อีกสองวันจะเป็นวันที่ครอบครัวนอกวังสามารถเข้าวังไปเยี่ยมเยียนและขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณได้แม่ของสนมเล่อกุ้ยเหรินย่อมเป็นหนึ่งในนั้นสิ่งแรกที่ต้องทําเมื่อเข้าวัง แน่นอนว่าต้องขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของตําหนักกลาง เพียงแต่ตอนนี้ตําแหน่งฮองเฮาว่างอยู่ นี่จึงกลายเป็นหน้าที่ของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแต่เดิมทีโขกหัวที่หน้าประตูวังก็สามารถจากไปได้แล้ว แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับยกเว้นให้คนไปเชิญฮูหยินหยวนมารดาของสนมเล่อกุ้ยเหรินเข้ามาในตําหนักหลักเดิมทีฮูหยินหยวนคิดว่าลูกสาวของตนล่วงเกินพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงเรียกตนเข้าตำหนักชิงอวิ๋นเพื่อกลั่นแกล้งตน ถึงอย่างไรนิสัยของลูกสาวตนนางก็รู้ดี หากบอกว่านางล่วงเกินคนในวังก็ไม่แปลกจึงได้แต่ฝืนใจเดินเข้าไปด้านในกลับเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยนั่งรออยู่บนที่นั่งนานแล้ว ในใจก็ยิ่งกระวนกระวาย จึงทําความเคารพอย่างเรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะประทานที่นั่งให้ตนเอง “จากประตูวังเข้ามาก็ค่อนข้างไกล แต่หยวนฮูหยินลําบากแล้ว”“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมเพคะ” ฮูหยินหยวนรีบขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ “ตอนที่หม่อมฉันเข้าวัง มีเกี้ยว
แอบเอาหูแนบข้างๆ ฮูหยินหยวนอีกครั้ง "ถ้าหากว่าข้าคลอดองค์ชายหรือว่าองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย คาดว่าคงจะได้ยกขึ้นเป็นพระสนมเช่นกัน และได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ตำหนักหลัก ถึงตอนนั้นท่านพ่อและท่านแม่ก็คงจะได้รับเกียรติยศบ้างเช่นกัน"ทว่าฮูหยินหยวนกลับจับมือของนางและลูบท้องของนางเบาๆ พร้อมกับหวีผมให้นางอีกครั้ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า "เด็กสาวคนนั้นที่เคยกระโดกกระเดกอยู่บ้านเมื่อก่อน บัดนี้ก็จะได้เป็นแม่คนแล้วหนา""ข้ากับท่านพ่อของเจ้า ไม่อยากเห็นเจ้าต้องลำบากเวลาอยู่ในวัง ขอแค่เพียงเจ้ามีชีวิตที่ตัวเองมีความสุข ก็ดีเหนือสิ่งอื่นใดแล้วหนา"พอได้ยินคำพูดนี้ของฮูหยินหยวน พระสนมเล่อกุ้ยเหรินก็อดน้ำตาไหลรินไม่ได้ ฮูหยินหยวนรีบเช็ดน้ำให้นาง พร้อมกับนำนางเข้ามากอดในอ้อมแขนเบาๆหลังจากผ่านไปนานพอสมควรถึงได้เอ่ยขึ้นว่า "พอแล้ว ที่นี่คือตำหนักในของวังหลวง ถ้าหากร้องไห้จนตาบวม จนถูกคนที่คิดไม่ซื่อมาพบเข้าเกรงว่าจะทำให้เจ้าลำบากเอาได้"ทว่าพระสนมเล่อกุ้ยเหรินกลับกอดเอวของฮูหยินหยวนแน่น พร้อมพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า "ท่านแม่เจ้าคะ ลูกกลัว"ฮูหยินหยวนตบมือของนางเบาๆ "เมื่อครู่ก่อนหน้าที่แม่จะมาที่นี่ แม่
ส่วนทางตำหนักชิงอวิ๋นฝั่งนี้ หลังจากที่ฮูหยินหยวนจากไปได้ไม่นาน ต้วนอวิ๋นอีลูกสะใภ้ของกวงฉินโหวก็มาด้วยเช่นกันพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็รู้ว่าวันนี้ตัวเองคงไม่ได้พักผ่อนแล้วจึงหันกลับไปต้อนรับที่เรือนรับรองด้านข้างต้วนอวิ๋นอีคิดไม่ถึงว่า พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะให้ตัวเองขอพระบัญชาตราตั้ง นางพลิกมองพระราชโองการที่เรือนอยู่หลายรอบมากและอดไม่ได้ที่จะพูดกับสามีของนางว่า "พระสนมกุ้ยเฟยกลับขอพระบัญชาตราตั้งแทนข้า บัดนี้ข้าเป็นคนที่มีบรรดาศักดิ์ตราตั้งแล้ว"เมื่อก่วนหลางสือเห็นนางดีใจ ในใจก็กระโดดโลดเต้นแทนนาง "ภรรยาของข้ามีคุณธรรมและอ่อนโยน ย่อมมีคุณสมบัติได้ตราตั้งนี้อย่างแน่นอน"ต้วนอวิ๋นอีที่ได้ยินคำนั้นก็อดที่จะเบ้ปากไม่ได้ ไม่รู้เพราะเหตุใด นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นางกลับรู้สึกว่า "มีคุณธรรมและอ่อนโยน" สี่คำนี้ไม่เหมือนกับกำลังชื่นชมเลย คนที่ใจกว้างและสดใสอย่างพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแบบนั้นต่างหาก ถึงจะเป็นคนที่ใจกว้างอย่างแท้จริง แบบนั้นถึงจะเป็นอย่างของแม่หญิงอย่างพวกนางสายตาที่เหลือบไปมองก่วนหลางสือยิ่งไม่ดีขึ้นมา นางกลับมองว่า ก่วนหลางสือคู่กับตัวเองถือว่านับเป็นขวัญยืน หากค
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินคำพูดของลู่ซิงหว่านอดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้ หรือว่าในสายตาของลูกสาวตัวเอง นางเป็นคนที่กระสับกระส่ายแบบนั้นหรือ?ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของแม่ วันหน้าเจ้าแซวเสด็จพ่อของเจ้าให้มากกว่านี้เถิด อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ยินอยู่ดี ส่วนแม่ก็ช่างเถิด ปล่อยแม่ไปเถิด!ต้วนอวิ๋นอีเห็นดังนั้นก็เตรียมที่จะลุกขึ้นทําความเคารพและขอตัวกลับไป แต่ทว่ากลับถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเรียกให้นั่งลง "เจ้ามีธุระหรือถึงกลับจวน?""ไม่มีเพคะ!" ต้วนอวิ๋นอีเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามเช่นนี้ จึงทำได้เพียงส่ายหัว ไม่รู้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยหมายถึงอะไร จึงทำไมได้เพียงตอบตามความจริงเท่านั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบโบกมือให้นางนั่งลง "ถ้าเช่นนั้นก็นั่งต่ออีกหน่อยเถิด ข้าชอบฟังคุณหนูพวกนี้เล่าเรื่องซุบซิบรอบตัวพวกนางมากที่สุดแล้ว วันนี้เจ้าเองก็ฟังกับข้าด้วยเถิด"[ประโยคหลังของท่านแม่ จะต้องเป็น "วันนี้เจ้ามีบุญวาสนาแล้ว" แต่คงอายที่จะพูดออกมาตามตรงกระมัง!]ทว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่ได้สนใจคำหยอกล้อของลู่ซิงหว่าน เจ้าหนูน้อยคนนี้นี่ตัวเองก็ชอบนินทา ยังกล้าพูดว่าตัวนางอีก ทั้งๆ ที่เจ้าเองก็ได้ฟังคำซุบซิบนิน
ส่วนเสิ่นเป่าซวงที่ลังเลอยู่ข้างๆ มาตลอดในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า "พระสนมไม่รู้สึกว่าการกระทํานี้ของท่านพี่ไม่เหมาะสมหรือเพคะ?"เสิ่นเป่าเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ซีดเป็นไก่ต้มเช่นกันพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางแบบนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "พวกเจ้าสองคนพี่น้องจริงใจมาก ยังไม่รู้ใจข้าก็กล้าพูดเรื่องนี้กับข้า"ทว่ากลับส่ายหัว "ดังคำกล่าวที่ว่า มันผู้ใดไม่รุกรานข้าข้าก็ไม่รุกรานมันผู้ใด แต่ถ้าหากถูกคนอื่นทําร้าย ยังนั่งรอความตาย ถ้าเช่นนั้นก็โง่เขลานัก"ขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดคำนี้ สายตาก็ค่อยๆ เลื่อนลอยไปไกลในตอนกลางคืนเหมยหยิ่งและจวี๋อิ่งกลับมาแล้ว"คุณหนูขอรับ ข้าน้อยไปตรวจสอบเรื่องครอบครัวเดิมและคนอื่นๆ ของพระสนมหนิงเฟยแล้วท่านพ่อของพระสนมหนิงเฟยคือใต้เท้าเสิ่นจากผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ เป็นคนซื่อตรงที่สุด แม้กระทั่งอนุภรรยาที่อยู่ข้างๆ ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วย""ท่านแม่ของพระสนมหนิงเฟย ครอบครัวเดิมไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เป็นคนแคว้นเจี้ยน อีกทั้งได้ตรววจสอบแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลยขอรับ""มีเพียงจุดเดียว ก่อนหน้าพระสนมหนิงเฟยมีเพียงมี
"พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร?" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยหันหน้าไปมองเหมยหยิ่ง จากนั้นก็มองจวี๋อิ่งอีกครั้ง"ข้าน้อยมองว่า กลับเหมือนว่าพระสนมหนิงเฟยจงใจแสดงจุดอ่อนให้พวกเราเห็น นางน่าจะรู้ว่ามีคนตรวจสอบนางอยู่ แต่ทว่าไม่รู้ว่าเป็นใคร การกระทํานี้น่าจะเป็นการลองใจแต่เพียงเท่านั้นขอรับ"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า "ในเมื่อนางรู้แล้ว ก็เปิดเผยเรื่องนี้ให้องครักษ์เงามังกรทราบ""พวกเจ้าสองคนก็ไม่ต้องไปตรวจสอบอีก เพื่อไม่ให้ความจริงเปิดเผยและรู้ตัวพวกเจ้า ถึงจะเสียเปรียบเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่อย่างไรก็ตามบัดนี้พระสนมหนิงเฟยเองก็ไม่ได้ใช้วิธีการอะไรแล้ว วันหลังย่อมมีองครักษ์เงามังกรคอยจับตามองนางแน่นอน"เหมยหยิ่งและจวี๋อิ่งก็ได้รับคําสั่งให้ไปเรื่องที่มีผู้ชายปรากฏตัวขึ้นในตำหนักหนิงเหอ จะต้องเข้าหูฮ่องเต้ต้าฉู่ผ่านองครักษ์เงามังกรอย่างแน่นอน วันนี้ฟ้าเพิ่งจะมืด ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ระงับความโกรธไปยังตำหนักหนิงเหอพระสนมหนิงเฟยเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ที่ไม่ได้มาหลายวัน ก็มาที่ตำหนักหนิงเหอโดยตรง ตอนนี้จึงออกไปต้อนรับด้วยความดีใจ "ฝ่าบาทมาแล้ว"ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับสะบัดมือของนางอย่างแรงและเดินเข้าไปข้างในเท่านั้น
เค้นเสียงฮึอย่างเย็นชา “เห็นทีตอนนี้พระสนมหนิงเฟยกล้าหาญมากขึ้นทีเดียว”น้ำเสียงยังคงไม่เป็นมิตร ก่อนที่พระสนมหนิงเฟยจะทันได้อ้าปากขอความเมตตา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เอ่ยต่อ “เมิ่งฉวนเต๋อประหารชีวิตตีจนตาย”พูดจบก็ลุกขึ้นยืน ผลักร่างของพระสนมหนิงเฟยไปด้านข้าง “นางกำนัลข้างกายของพระสนมหนิงเฟยนางนี้ ให้โบยยี่สิบที”พูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองตำหนักหนิงเหออีกพระสนมหนิงเฟยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก โชคดีที่ตนเองสังเกตเห็นองครักษ์เงามังกรที่ซุ่มอยู่ก่อน จึงได้หาอวิ๋นอีมาเป็นแพะรับบาปไว้ล่วงหน้า สุดท้ายก็รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้วันรุ่งขึ้น ในท้องพระโรงกลับเกิดการโต้เถียงขึ้น ช่วงนี้ยิ่งใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮา ประเด็นเรื่องการแต่งตั้งฮองเฮาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นใต้เท้าหรง หัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เริ่มฉากสำคัญของละครใหญ่ครั้งนี้ วันนี้ในการว่าราชการตอนเช้า เขาไม่สนพระพักตร์ที่หม่นหมองของฮ่องเต้ต้าฉู่ ทูลเสนอเรื่องนี้อีกครั้ง “ฝ่าบาท ตำแหน่งฮองเฮายังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ขุนนางและราษฎรทั่วหล้าต่างยังไม่อาจวางใจได้ ขอฝ่าบาทโปรดตัดสินพระทัยโดยเร็วด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม
การเห็นด้วยกับเรื่องแต่งตั้งฮองเฮานั้น เป็นคำสั่งจากซิ่นเทียนอย่างแน่นอนไม่คิดว่าเขาจะคาดการณ์ได้แม่นยำเช่นนี้วันนั้นซิ่นเทียนส่งจดหมายมา บอกเพียงว่าหากในอีกไม่กี่วันนี้มีคนเสนอเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาในท้องพระโรง ให้องค์ชายสามเห็นด้วยเท่านั้น ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ต้องแต่งตั้งฮองเฮาอยู่แล้ว การออกหน้าครั้งนี้จะช่วยลดความระแวงของรัชทายาทที่มีต่อองค์ชายสามได้ ถือเป็นโอกาสที่ดีหลังจากคิดไปคิดมา องค์ชายสามก็ตัดสินใจพูดออกไปในที่สุดแต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินคำพูดขององค์ชายสาม จู่ๆ ก็ทรงลุกขึ้นยืน แล้วขว้างฎีกาของหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินลงพื้นอย่างแรง“ไม่สู้พวกเจ้ามาเป็นฮ่องเต้แทนข้าเสียเลยเล่า!”“ขอฝ่าบาทโปรดทรงพระสงบพระทัย” เหล่าขุนนางได้ยินคำตรัสของฮ่องเต้ต้าฉู่ ต่างรีบคุกเข่าลงอย่างตกใจ“เลิกประชุม” ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่สนใจ เพียงหันหลังสะบัดแขนเดินจากไป“เลิกประชุม” เมิ่งฉวนเต๋อเห็นดังนั้น รีบตะโกนเสียงดัง แล้วตามเสด็จไปหลังออกจากตำหนักจิ่งเจิ้ง ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับรู้สึกสับสน ไม่รู้จะไปที่ใดดีหลังจากยืนนิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็หันหลังไปยังตำหนักหรงเล่อไทเฮาเมื่อเ