“เรื่องที่สาวใช้ของเจ้าแอบอ้างพระราชโองการนั้น เจ้าก็อย่าเก็บมาคิดมากเลย ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ไม่ได้ตำหนิเจ้า”ไทเฮาพูดจบก็หันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างๆ “เจ้าก็อย่าไปโทษพระสนมหนิงเฟยเลย”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบตอบ “ไทเฮารับสั่งอะไรเช่นนั้นเพคะ ก็แค่สาวใช้ไม่รู้เรื่องรู้ราว หม่อมฉันจะไปโทษพระสนมหนิงเฟยได้อย่างไรเพคะ!”พระสนมหนิงเฟยจึงมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยความสงสาร “ขอบคุณพี่หญิงที่ไม่ถือสา หลายวันมานี้หม่อมฉันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆ ทั้งกลัวว่าฝ่าบาทจะรังเกียจหม่อมฉัน ทั้งกลัวว่าพี่เฉินจะเกลียดชัง ตอนนี้หม่อมฉันได้เปลี่ยนสาวใช้ในตำหนักทั้งหมดแล้ว...”พูดพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจะเช็ดน้ำตาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบเข้าไปจับมือนาง ปลอบว่า “น้องอย่าได้คิดมากเลย วันก่อนข้าเองก็ป่วย เลยไม่ได้ไปเยี่ยมเจ้า ไม่เช่นนั้นเมื่อเจ้าตั้งครรภ์ ข้าจะต้องไปเป็นคนแรกอย่างแน่นอน”“ดูข้าสิ เพิ่งกล้าออกมาพบคนสองสามวันนี้เอง ช่างน่าเสียดายลูกของเจ้าจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นพวกนางสองคนอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียวก็รู้สึกดีใจในตอนนั้นเอง ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็ขยับตัว ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้สึกไม
“เสด็จแม่ตรัสถูกแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่กระชับลู่ซิงหว่านในอ้อมกอดแล้วหันไปมองไทเฮา “คราวนี้ทูตที่จะมาคืออี้ซวนอ๋อง หลีซื่อกับฮูหยินของเขา ฟู่เหยา”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่อุ้มลู่ซิงหว่านมานานแล้ว คงจะเมื่อย จึงคิดจะรับลู่ซิงหว่านมา แต่เมื่อได้ยินชื่อฟู่เหยา ก็เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ต้าฉู่ทันที มือที่ยื่นออกไปก็ชะงักค้างอยู่กลางอากาศฮ่องเต้ต้าฉู่ดูเหมือนจะเห็นความสงสัยในใจนาง จึงรีบอธิบาย “ใช่ฟู่เหยาที่ชิงเหยียนคิดอยู่นั่นแหละ ตอนนี้นางถอนกำลังกลับมาจากชายแดนแล้ว แต่งงานกับอี้ซวนอ๋อง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยชั่วขณะหนึ่งในหัวราวกับขาวโพลนไปหมดตัวนางกับฟู่เหยาคนนี้ ก็ถือว่าเป็นคู่ปรับที่เคยต่อสู้กันมาแล้วตอนนั้นนางติดตามบิดาไปประจำการที่ชายแดนระหว่างแคว้นต้าลี่กับแคว้นต้าฉู่นางได้รับคำสั่งจากบิดาให้นำกองกำลังเล็กๆ ไปสำรวจการวางกำลังของกองทัพแคว้นต้าลี่ บังเอิญไปเจอฟู่เหยาที่นำกองกำลังออกมาลาดตระเวน ทั้งสองจึงได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ซ่งชิงเหยียนมีพรสวรรค์เหนือกว่า อีกทั้งได้รับการฝึกฝนที่ชายแดนมานานหลายปี สุดท้ายก็เหนือกว่าเล็กน้อยนางใช้หอกสกัดหมวกเกราะของฟู่เหยาหลุด ตั้งใจ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า “ใช่แล้วเพคะ พูดถึงแม่นางอู หม่อมฉันมีเรื่องจะขอพระมหากรุณาจากฝ่าบาทด้วยเพคะ”“เจ้าว่ามาเถิด” ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้ดีว่าซ่งชิงเหยียนเป็นคนรู้จักกาลเทศะ เรื่องที่นางเสนอมาย่อมผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว“ตระกูลอูนี้ช่วยเหลือหม่อมฉันมามากจริงๆ เพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองไทเฮา “ตอนจิ่นหยูถูกลอบสังหารที่วัดหมิงจิ้ง ก็อาศัยยาสมานแผลของแม่นาง ตอนที่พระสนมหลานเฟยป่วยหนักเป็นเดือน หากไม่ใช่แม่นางอูช่วย ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แล้วครั้งนี้ก็บังเอิญไปช่วยฉู่เยี่ยนอีก”“บุตรสาวของแม่นางอู แม่นางต้วน ตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง เป็นฮูหยินของจวนโหวกวงฉิน ก่วนหลางสือ แม่ก็ย่อมหวังดีต่อลูก” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ “หม่อมฉันคิดว่า อยากจะขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แม่นางเทียนเพคะ”พอพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดจบ ไทเฮาก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบกลับมาสงบสติอารมณ์ “ชิงเหยียนช่างมีน้ำใจจริงๆ ฮ่องเต้คิดเห็นอย่างไร?”ฮ่องเต้ต้าฉู่อดมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้ นึกถึงเรื่องในอดีตระหว่างนางกับกว่านหลางสือ ในใจก็มีความกังวลอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นดวงตาใสซื่อของ
กลับมาถึงตำหนักชิงอวิ๋น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เรียกเหมยหยิ่งเข้ามา เรื่องนี้นางให้ความสำคัญมาก จึงต้องจัดการโดยเร็ว “เรื่ององค์ชายรองและซื่อจื่ออันกั๋วกงถูกลอบสังหาร ข้าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับพระสนมหนิงเฟย”เหมยหยิ่งเพียงฟังคำสั่งนายหญิงอย่างเงียบๆ ไม่พูดแทรก“ตอนสืบต้องระวังให้มาก ให้จวี๋อิ่งวางงานในมือก่อน ไปสืบพร้อมกับเจ้า”“ให้จวี๋อิ่งจงใจทิ้งร่องรอยให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น แต่ต้องรักษาความปลอดภัยของตัวเองให้ได้ ไม่ได้หวังให้นางสืบอะไรหรอก เพียงให้เป็นฉากบังหน้าให้เจ้า ส่วนเจ้า ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด”เหมยหยิ่งเห็นนายหญิงระมัดระวังเช่นนี้ จึงรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก “เพคะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ คุณหนูวางใจได้”พูดจบก็ออกไปทันทีหลังจากเหมยหยิ่งจากไป พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในห้องชั้นในอยู่นาน ในที่สุดก็เรียกจิ่นซินเข้ามา “พวกเราไปตำหนักหานกวางกันเถอะ”“พระสนมจะไปพบพระสนมเหวินเฟยหรือเพคะ?” จิ่นซินถามอย่างสงสัย“อืม ครั้งก่อนต้องขอบคุณพระสนมเหวินเฟยที่เตือน ข้าจึงรอดพ้นกับดักที่สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินวางไว้ ข้าบอกว่าจะไปเยี่ยม แต่ก็ผิดคำพูด” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอุ้มลู่ซิงหว่านเดินไปพลาง
หันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอย่างตื่นเต้น "เหมือนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมากจริงด้วย!"จากนั้นก็ยื่นมือไปหยอกเล่นกับมือน้อย ๆ ของลู่ซิงหว่าน เนื่องจากในหนังสือนิทานเขาช่วยพูดแก้ต่างให้ติ้งกั๋วโหว ดังนั้นลู่ซิงหว่านก็เลยมีความประทับใจที่ดีในตัวเขาจึงคว้าจับมือของเขาไว้เขาอุทานอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง "เสด็จแม่ น้องเก้าจับมือข้าด้วย!"สายตาเต็มไปด้วยความดีใจ "ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าน้องเก้าเป็นเด็กน้อยที่มีพรสวรรค์ฉลาดหลักแหลม ตอนนี้อายุแค่หกเดือนก็สามารถฟังที่เราพูดรู้เรื่องแล้ว เก่งมากเลยจริง ๆ "[ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นคนสุขุม ที่ไหนได้ก็เป็นแค่เด็กเหมือนกัน!][วันนี้ฝืนใจช่วยพระสนมเหวินเฟยดูแลลูกก็ได้ ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่พระสนมเหวินเฟยช่วยเสด็จแม่ของข้าเมื่อครั้งที่แล้วก็แล้วกัน][เหตุการณ์ครั้งที่แล้วถ้าไม่ได้พระสนมเหวินเฟยล่ะก็จะอัตรายมาก ใครจะคิดว่าสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินคิดจะใช้วิธีชั่วร้ายแบบนั้นต่อกรกับท่านแม่]"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนานทีจะได้มาที โปรดพูดคุยกับเสด็จแม่เยอะ ๆ เถิด" องค์ชายสี่เล่นกับลู่ซิงหว่านได้สักพักก็รู้สึกว่ารบกวนเวลาพูดคุยของเสด็จแม่กับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยจึงคำนับอีก
"พี่หญิงไม่ต้องห่วง" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเข้าใจความหมายของพระสนมเหวินเฟยได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดต่อ "เดี๋ยวข้าจะไปที่ตำหนักซิงหยาง วันหลังก็ให้จิ่นรุ่ยไปตำหนักซิงหยางบ่อย ๆ ให้รัชทายาทช่วยสอนหนังสือให้แก่เขา""ข้าหมายความว่าเช่นนี้แหละ ขอบใจน้องหญิงมาก" พระสนมเหวินเฟยเอ่ยอย่างซาบซึ้งพวกนางทั้งสองรู้ดีว่าด้วยตัวนตนฐานะของพระสนมเหวินเฟย ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่มีทางให้องค์ชายสี่มีส่วนร่วมทางการเมืองแน่นอน แต่การเรียนหนังสือให้มากและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ อนาคตมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษแน่นอนลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะรำพึงรำพันไม่ได้[ลูกหลานเชื้อพระวงศ์นี่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ ทั้งห้ามโดดเด่นเกินไปจะทำให้รัชทายาทอิจฉา หรือถ้าด้อยค่าตนเองเกินไปก็จะถูกคนรังแก][ดีที่พี่รัชทายาทเป็นคนดีมากและเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก แม้แต่องค์ชายรองที่ได้เป็นฮ่องเต้ในหนังสือนิทาน ยังแทบจะต้องช่วยเหลือเคียงข้างพี่รัชทายาทเลย][เห็นจากที่องค์ชายสี่ช่วยพูดแก้ต่างให้ท่านตา คิดว่าเขาคงจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร พี่รัชทายาทต้องดูแลเขาอย่างดีแน่นอน]ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงค่อยบอกจุดประสงค์การมาในครั้งนี้ของตน "อันที่จริงที่
"ตำหนักของข้าคึกคักมากเลยนะ!" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดพลางชำเลืองมองจิ่นอวี้ "ใช่ไหมจิ่นอวี้?""แน่นอนอยู่แล้วเพคะ" จิ่นอวี้เห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดคุยอย่างออกรสกับพระสนมเหวินเฟยก็พูดหยอก "พระสนมของพวกข้าชอบฟังเรื่องเล่ามาก หากพระสนมเหวินเฟยมีเวลาว่างก็ไปฟังด้วยกันกับพวกข้าสิเพคะ""เรื่องเล่า?" พระสนมเหวินเฟยไม่เข้าใจ"ถ้าพี่หญิงเหวินเฟยไปแล้วก็รู้เอง" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ว่าที่จิ่นอวี้พูดหมายถึงอะไรจึงเขินอายเล็กน้อย"เหวินเฟยจะไปไหนหรือ?" พระสนมเหวินเฟยยังไม่ทันตอบก็มีเสียงฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น "นาน ๆ ข้าจะได้มาหาเหวินเฟย แต่วันนี้คึกคักเป็นพิเศษเลยนะ"เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นว่าเป็นฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รีบลุกขึ้นคำนับ "หม่อมฉันกำลังบอกว่า ถ้าพี่หญิงพระสนมเหวินเฟยว่างให้ไปเที่ยวที่ตำหนักชิงอวิ๋นบ้าง ฝ่าบาทต้องช่วยโน้มน้าวพี่หญิงด้วยนะเพคะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่ประคองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้ลุกขึ้น แล้วให้พระสนมเหวินเฟยนั่งลงจึงค่อยเอ่ยปาก "ชิงเหยียนพูดถูก ตอนนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เจ้าควรออกไปข้างนอกบ้าง ชิงเหยียนเป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยมที่สุดแล้ว อยู่กับนางไม่เหนื่อยมากหรอก""ถ้าเช่นนั้นต้องขอบ
ส่วนทางฝั่งขององค์ชายสาม เมื่อรู้ว่าองค์ชายสองกำลังจะกลับมาอย่างปลอดภัย สีหน้าก็นิ่งขรึมราวกับจะเค้นน้ำหมึกออกมาได้"ไหนซิ่นเทียนบอกว่าจะอาศัยโอกาสจัดการมือขวาคนนี้ของรัชทายาททิ้งไม่ใช่หรือ?" องค์ชายสามมองเจิ้งจงที่อยู่ข้าง ๆ แล้วก่นด่า "มันมีปัญญาแค่นี้เองหรือ?"เจิ้งจงรีบเข้ามาพูดปลอบ "องค์ชายโปรดใจเย็นเถิด เผยฉู่เยี่ยนคนนั้นทำให้องค์ชายเสียเรื่อง เขารับดาบแทรองค์ชายสองทำให้องค์ชายสองรอดไปได้""องค์ชายไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ไม่ได้ยังมีครั้งหน้าอีก ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายสองก็อยู่ข้างกายเราอยู่แล้วมีโอกาสอีกเหลือเฟือ ตอนนี้ไม่ถูกจับได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว"องค์ชายสามได้ยินก็ไม่พอใจมาก "ถูฏจับได้ก็ถูกจับได้สิ เกี่ยวอะไรกับ..."แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดคำสุดท้ายออกไป ตอนนี้ตนไร้ที่พึ่งนอกจากซิ่นเทียน ทำได้เพียงต้องพึ่งพาอาศัยถึงจะได้ขึ้นสู่บังลลังก์อย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงว่าเมื่อก่อนเขาทำงานได้ไม่เลวจึงอ่อนน้ำเสียงลง "ช่างมันเถอะ ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งข้างกายรัชทายาทเท่านั้น"เจิ้งจงรู้ว่าช่วงนี้องค์ชายสามอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เริ่มจากการสิ้นพระชนม์ของพระสนมเต๋อเฟย ดังนั้นเส้นสายที่จะดึงจ้าวหาน