“เสด็จแม่ตรัสถูกแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่กระชับลู่ซิงหว่านในอ้อมกอดแล้วหันไปมองไทเฮา “คราวนี้ทูตที่จะมาคืออี้ซวนอ๋อง หลีซื่อกับฮูหยินของเขา ฟู่เหยา”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่อุ้มลู่ซิงหว่านมานานแล้ว คงจะเมื่อย จึงคิดจะรับลู่ซิงหว่านมา แต่เมื่อได้ยินชื่อฟู่เหยา ก็เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ต้าฉู่ทันที มือที่ยื่นออกไปก็ชะงักค้างอยู่กลางอากาศฮ่องเต้ต้าฉู่ดูเหมือนจะเห็นความสงสัยในใจนาง จึงรีบอธิบาย “ใช่ฟู่เหยาที่ชิงเหยียนคิดอยู่นั่นแหละ ตอนนี้นางถอนกำลังกลับมาจากชายแดนแล้ว แต่งงานกับอี้ซวนอ๋อง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยชั่วขณะหนึ่งในหัวราวกับขาวโพลนไปหมดตัวนางกับฟู่เหยาคนนี้ ก็ถือว่าเป็นคู่ปรับที่เคยต่อสู้กันมาแล้วตอนนั้นนางติดตามบิดาไปประจำการที่ชายแดนระหว่างแคว้นต้าลี่กับแคว้นต้าฉู่นางได้รับคำสั่งจากบิดาให้นำกองกำลังเล็กๆ ไปสำรวจการวางกำลังของกองทัพแคว้นต้าลี่ บังเอิญไปเจอฟู่เหยาที่นำกองกำลังออกมาลาดตระเวน ทั้งสองจึงได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ซ่งชิงเหยียนมีพรสวรรค์เหนือกว่า อีกทั้งได้รับการฝึกฝนที่ชายแดนมานานหลายปี สุดท้ายก็เหนือกว่าเล็กน้อยนางใช้หอกสกัดหมวกเกราะของฟู่เหยาหลุด ตั้งใจ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า “ใช่แล้วเพคะ พูดถึงแม่นางอู หม่อมฉันมีเรื่องจะขอพระมหากรุณาจากฝ่าบาทด้วยเพคะ”“เจ้าว่ามาเถิด” ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้ดีว่าซ่งชิงเหยียนเป็นคนรู้จักกาลเทศะ เรื่องที่นางเสนอมาย่อมผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว“ตระกูลอูนี้ช่วยเหลือหม่อมฉันมามากจริงๆ เพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองไทเฮา “ตอนจิ่นหยูถูกลอบสังหารที่วัดหมิงจิ้ง ก็อาศัยยาสมานแผลของแม่นาง ตอนที่พระสนมหลานเฟยป่วยหนักเป็นเดือน หากไม่ใช่แม่นางอูช่วย ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แล้วครั้งนี้ก็บังเอิญไปช่วยฉู่เยี่ยนอีก”“บุตรสาวของแม่นางอู แม่นางต้วน ตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง เป็นฮูหยินของจวนโหวกวงฉิน ก่วนหลางสือ แม่ก็ย่อมหวังดีต่อลูก” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ “หม่อมฉันคิดว่า อยากจะขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แม่นางเทียนเพคะ”พอพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดจบ ไทเฮาก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบกลับมาสงบสติอารมณ์ “ชิงเหยียนช่างมีน้ำใจจริงๆ ฮ่องเต้คิดเห็นอย่างไร?”ฮ่องเต้ต้าฉู่อดมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้ นึกถึงเรื่องในอดีตระหว่างนางกับกว่านหลางสือ ในใจก็มีความกังวลอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นดวงตาใสซื่อของ
กลับมาถึงตำหนักชิงอวิ๋น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เรียกเหมยหยิ่งเข้ามา เรื่องนี้นางให้ความสำคัญมาก จึงต้องจัดการโดยเร็ว “เรื่ององค์ชายรองและซื่อจื่ออันกั๋วกงถูกลอบสังหาร ข้าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับพระสนมหนิงเฟย”เหมยหยิ่งเพียงฟังคำสั่งนายหญิงอย่างเงียบๆ ไม่พูดแทรก“ตอนสืบต้องระวังให้มาก ให้จวี๋อิ่งวางงานในมือก่อน ไปสืบพร้อมกับเจ้า”“ให้จวี๋อิ่งจงใจทิ้งร่องรอยให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น แต่ต้องรักษาความปลอดภัยของตัวเองให้ได้ ไม่ได้หวังให้นางสืบอะไรหรอก เพียงให้เป็นฉากบังหน้าให้เจ้า ส่วนเจ้า ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด”เหมยหยิ่งเห็นนายหญิงระมัดระวังเช่นนี้ จึงรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก “เพคะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ คุณหนูวางใจได้”พูดจบก็ออกไปทันทีหลังจากเหมยหยิ่งจากไป พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในห้องชั้นในอยู่นาน ในที่สุดก็เรียกจิ่นซินเข้ามา “พวกเราไปตำหนักหานกวางกันเถอะ”“พระสนมจะไปพบพระสนมเหวินเฟยหรือเพคะ?” จิ่นซินถามอย่างสงสัย“อืม ครั้งก่อนต้องขอบคุณพระสนมเหวินเฟยที่เตือน ข้าจึงรอดพ้นกับดักที่สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินวางไว้ ข้าบอกว่าจะไปเยี่ยม แต่ก็ผิดคำพูด” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอุ้มลู่ซิงหว่านเดินไปพลาง
หันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอย่างตื่นเต้น "เหมือนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมากจริงด้วย!"จากนั้นก็ยื่นมือไปหยอกเล่นกับมือน้อย ๆ ของลู่ซิงหว่าน เนื่องจากในหนังสือนิทานเขาช่วยพูดแก้ต่างให้ติ้งกั๋วโหว ดังนั้นลู่ซิงหว่านก็เลยมีความประทับใจที่ดีในตัวเขาจึงคว้าจับมือของเขาไว้เขาอุทานอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง "เสด็จแม่ น้องเก้าจับมือข้าด้วย!"สายตาเต็มไปด้วยความดีใจ "ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าน้องเก้าเป็นเด็กน้อยที่มีพรสวรรค์ฉลาดหลักแหลม ตอนนี้อายุแค่หกเดือนก็สามารถฟังที่เราพูดรู้เรื่องแล้ว เก่งมากเลยจริง ๆ "[ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นคนสุขุม ที่ไหนได้ก็เป็นแค่เด็กเหมือนกัน!][วันนี้ฝืนใจช่วยพระสนมเหวินเฟยดูแลลูกก็ได้ ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่พระสนมเหวินเฟยช่วยเสด็จแม่ของข้าเมื่อครั้งที่แล้วก็แล้วกัน][เหตุการณ์ครั้งที่แล้วถ้าไม่ได้พระสนมเหวินเฟยล่ะก็จะอัตรายมาก ใครจะคิดว่าสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินคิดจะใช้วิธีชั่วร้ายแบบนั้นต่อกรกับท่านแม่]"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนานทีจะได้มาที โปรดพูดคุยกับเสด็จแม่เยอะ ๆ เถิด" องค์ชายสี่เล่นกับลู่ซิงหว่านได้สักพักก็รู้สึกว่ารบกวนเวลาพูดคุยของเสด็จแม่กับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยจึงคำนับอีก
"พี่หญิงไม่ต้องห่วง" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเข้าใจความหมายของพระสนมเหวินเฟยได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดต่อ "เดี๋ยวข้าจะไปที่ตำหนักซิงหยาง วันหลังก็ให้จิ่นรุ่ยไปตำหนักซิงหยางบ่อย ๆ ให้รัชทายาทช่วยสอนหนังสือให้แก่เขา""ข้าหมายความว่าเช่นนี้แหละ ขอบใจน้องหญิงมาก" พระสนมเหวินเฟยเอ่ยอย่างซาบซึ้งพวกนางทั้งสองรู้ดีว่าด้วยตัวนตนฐานะของพระสนมเหวินเฟย ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่มีทางให้องค์ชายสี่มีส่วนร่วมทางการเมืองแน่นอน แต่การเรียนหนังสือให้มากและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ อนาคตมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษแน่นอนลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะรำพึงรำพันไม่ได้[ลูกหลานเชื้อพระวงศ์นี่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ ทั้งห้ามโดดเด่นเกินไปจะทำให้รัชทายาทอิจฉา หรือถ้าด้อยค่าตนเองเกินไปก็จะถูกคนรังแก][ดีที่พี่รัชทายาทเป็นคนดีมากและเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก แม้แต่องค์ชายรองที่ได้เป็นฮ่องเต้ในหนังสือนิทาน ยังแทบจะต้องช่วยเหลือเคียงข้างพี่รัชทายาทเลย][เห็นจากที่องค์ชายสี่ช่วยพูดแก้ต่างให้ท่านตา คิดว่าเขาคงจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร พี่รัชทายาทต้องดูแลเขาอย่างดีแน่นอน]ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงค่อยบอกจุดประสงค์การมาในครั้งนี้ของตน "อันที่จริงที่
"ตำหนักของข้าคึกคักมากเลยนะ!" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดพลางชำเลืองมองจิ่นอวี้ "ใช่ไหมจิ่นอวี้?""แน่นอนอยู่แล้วเพคะ" จิ่นอวี้เห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดคุยอย่างออกรสกับพระสนมเหวินเฟยก็พูดหยอก "พระสนมของพวกข้าชอบฟังเรื่องเล่ามาก หากพระสนมเหวินเฟยมีเวลาว่างก็ไปฟังด้วยกันกับพวกข้าสิเพคะ""เรื่องเล่า?" พระสนมเหวินเฟยไม่เข้าใจ"ถ้าพี่หญิงเหวินเฟยไปแล้วก็รู้เอง" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ว่าที่จิ่นอวี้พูดหมายถึงอะไรจึงเขินอายเล็กน้อย"เหวินเฟยจะไปไหนหรือ?" พระสนมเหวินเฟยยังไม่ทันตอบก็มีเสียงฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น "นาน ๆ ข้าจะได้มาหาเหวินเฟย แต่วันนี้คึกคักเป็นพิเศษเลยนะ"เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นว่าเป็นฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รีบลุกขึ้นคำนับ "หม่อมฉันกำลังบอกว่า ถ้าพี่หญิงพระสนมเหวินเฟยว่างให้ไปเที่ยวที่ตำหนักชิงอวิ๋นบ้าง ฝ่าบาทต้องช่วยโน้มน้าวพี่หญิงด้วยนะเพคะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่ประคองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้ลุกขึ้น แล้วให้พระสนมเหวินเฟยนั่งลงจึงค่อยเอ่ยปาก "ชิงเหยียนพูดถูก ตอนนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เจ้าควรออกไปข้างนอกบ้าง ชิงเหยียนเป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยมที่สุดแล้ว อยู่กับนางไม่เหนื่อยมากหรอก""ถ้าเช่นนั้นต้องขอบ
ส่วนทางฝั่งขององค์ชายสาม เมื่อรู้ว่าองค์ชายสองกำลังจะกลับมาอย่างปลอดภัย สีหน้าก็นิ่งขรึมราวกับจะเค้นน้ำหมึกออกมาได้"ไหนซิ่นเทียนบอกว่าจะอาศัยโอกาสจัดการมือขวาคนนี้ของรัชทายาททิ้งไม่ใช่หรือ?" องค์ชายสามมองเจิ้งจงที่อยู่ข้าง ๆ แล้วก่นด่า "มันมีปัญญาแค่นี้เองหรือ?"เจิ้งจงรีบเข้ามาพูดปลอบ "องค์ชายโปรดใจเย็นเถิด เผยฉู่เยี่ยนคนนั้นทำให้องค์ชายเสียเรื่อง เขารับดาบแทรองค์ชายสองทำให้องค์ชายสองรอดไปได้""องค์ชายไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ไม่ได้ยังมีครั้งหน้าอีก ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายสองก็อยู่ข้างกายเราอยู่แล้วมีโอกาสอีกเหลือเฟือ ตอนนี้ไม่ถูกจับได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว"องค์ชายสามได้ยินก็ไม่พอใจมาก "ถูฏจับได้ก็ถูกจับได้สิ เกี่ยวอะไรกับ..."แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดคำสุดท้ายออกไป ตอนนี้ตนไร้ที่พึ่งนอกจากซิ่นเทียน ทำได้เพียงต้องพึ่งพาอาศัยถึงจะได้ขึ้นสู่บังลลังก์อย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงว่าเมื่อก่อนเขาทำงานได้ไม่เลวจึงอ่อนน้ำเสียงลง "ช่างมันเถอะ ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งข้างกายรัชทายาทเท่านั้น"เจิ้งจงรู้ว่าช่วงนี้องค์ชายสามอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เริ่มจากการสิ้นพระชนม์ของพระสนมเต๋อเฟย ดังนั้นเส้นสายที่จะดึงจ้าวหาน
เอ่ยจบก็หมุนตัวจากไป หากไม่ใช่เพราะว่าไม่มีตัวเลือกเขาก็ไม่มีทางไปเลือกคนไร้ประโยชน์แบบนี้วันที่สอง เป็นวันที่องค์ชายรอง และ เผยฉู่เยี่ยนตกลงกันไว้ว่าจะเดินทางกลับ ในตอนที่ใกล้จะถึงเมื่อหลวงก็ได้มีม้าเร็วข้างกายขององค์ชายรองกลับมารายงาน องค์รัชทายาทถึงได้ออกจากวังไปแล้วพาคนไปรอพวกเขาอยู่ที่ด้านหน้าประตูเมืองเสียงดังกรุบกรับของเกือกม้าดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล องค์รัชทายาทจึงหันไปมองแล้วเห็นว่าจิ่นหยู และฉู่เยี่ยนกำลังควบม้าเข้ามา องค์รัชทายาทถึงได้สะบัดแส้ม้าเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เดินไปด้านหน้า“เสด็จพี่”“องค์รัชทายาท”องค์ชายรอง และฉู่เยี่ยนรีบเร่งมาตลอดทางเมื่อเห็นองค์รัชทายาทก็โล่งใจราวกลับว่ายกภูเขาออกจากอก และแน่นอนว่ายากจะปิดบังสีหน้ามีความสุของค์รัชทายาทพาม้าเข้าไปใกล้ ๆ กับทั้งสองคน “ตลอดทางพวกเจ้าลำบากแล้ว”แล้วก็มองไปที่เผยฉู่เยี่ยน “ฉู่เยี่ยนดีขึ้นแล้วหรือ ? เหตุใดถึงไม่นั่งรถม้า ? อย่าไปทำให้กระทบกับบาดแผลอีก”“องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัย” แน่นอนว่าเผยฉู่เยี่ยนซาบซึ้งในความเป็นห่วงขององค์รัชทายาท จึงยกมือขึ้นมาคารวะแล้วเอ่ย “บาดแผลหายดีแล้วถึงได้ออกเดินทางพ่ะย่ะค่ะ บาดแผล
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต