หรงเหวินเหมี่ยวได้ยินเหออวี่เหยาเอ่ยก็หน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินอายหานซีเยว่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็เอ่ยหยอกเย้าขึ้นมา “ยามนี้น้องหญิงเหวินเหมี่ยวของเราเติบโตแล้ว เมื่อก่อนนิสัยไม่กลัวฟ้าดินนั่น ยามนี้กลับรู้จักเขินอายแล้ว”ไม่กี่คนก็ก็ยิ้นขำกันขึ้นมาภายในห้องหรูหราที่อยู่ไม่ไกลจากพวกนาง เสิ่นเป่าเยี่ยน และเสิ่นเป่าซวงก็กำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอกเสิ่นเป่าซวงไม่รู้ว่าวันนี้คือวันเดินทางกลับของพวกองค์ชายสอง เรื่องนี้เป็นเสิ่นเป่าเหยี่ยนไปสืบเรื่องมาให้โดยตั้งใจพาน้องสาวของตนเองมาก่อนหน้านี้น้องสาวเอ่ยกับตนว่าจะย้อมแพ้เรื่องขององค์รัชทายาทแม้ว่าสีหน้าของนางจะแน่วแน่เพียงแต่อย่างไรก็ยืนกรานมาตั้งหลายปี นางปล่อยวางไปแล้วจริง ๆ เหรอ ? อย่างไรก็ต้องลองดูถึงจะดี มีเพียงแค่นางปล่อยวางจริง ๆ ตนถึงจะวางใจได้เมื่อเห็นองค์รัชทายาทขี่ม้าเรียงแถวกันมาสามคน สายตามสองเสิ่นเป่าเหยี่ยนก็แฝงไปด้วยความรู้สึกทึ่ง แล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ดู ๆ แล้วองค์รัชทายาทผอมลง”“ท่านพ่อไม่ได้บอกว่าองค์รัชทายาทกำลังยุ่งอยู่กับราชกิจบ้านเมืองเหรอ ผอมลงไปหน่อยก็ปกติ” เสิ่นเป่าซวงกลับไม่ได้ไป
ตอนนี้นางไม่รีบร้อนเท่าคนเหล่านั้น เผยฉู่เยี่ยนอายุแค่เก้าขวบเท่านั้น ยังเร็วเกินไปที่จะแต่งงานกับเขา!ในขณะที่นางกําลังดื่มด่ำกับความงามของเผยฉู่เยี่ยน ก็มีคนมาเคาะประตูจากข้างนอก นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและหันไปมองหญิงรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆหญิงรับใช้คนนั้นรีบออกไปเปิดประตูข้างนอกแล้วดู ก่อนจะกลับมารายงานว่า “เจ้าหนู เป็นเจ้าหนูเหอและเจ้าหนูหลินเจ้าค่ะ”"เหออวิ๋นเหยาและหลินอิน? พวกนางสองคนมาทําอะไรที่นี่ สีหน้าของซิงเหนียวเหนี่ยวแสดงความไม่พอใจ“บอกว่าได้ยินว่าเจ้าหนูอยู่ที่นี่ เลยตั้งใจมาทําความเคารพเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนนั้นพูดอย่างเอาใจ“ให้พวกนางเข้ามาเถอะ” ซิงเหนียวเหนี่ยวแกว่งขาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างต่อ“บังเอิญจริง ๆ น้องหญิงซิงก็อยู่ที่นี่ด้วย” หลินอินและเหออวิ๋นเหยาเข้าไปในห้องส่วนตัวและเดินไปที่หน้าต่าง จุดประสงค์นั้นชัดเจนมากซิงเหนียวเหนี่ยวกลับจมจ่ออยู่กับคําพูดหวานไพเราะของทั้งสองคนไม่ได้สังเกตวันนี้เหออวิ๋นเหยาลากหลินอินมาที่นี่ แต่ไม่คิดว่าเพราะไม่ได้จองล่วงหน้า ห้องส่วนตัวจึงไม่มีไปนานแล้ว ได้ยินว่าซิงเหนียวเหนี่ยวอยู่คนเดียว ถึงได้กล้ามาหานางสายตาของเหออวิ๋นเห
เมื่อเห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ องค์ชายรองและเผยฉู่เยี่ยนก็รีบเข้าไปประคองไทเฮาไทเฮาจับมือของเผยฉู่เยี่ยนและมองเขาอย่างระมัดระวัง “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”เผยฉู่เยี่ยนรีบปลอบไทเฮา “ไทเฮาวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหลบได้ทันเวลา แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”ไทเฮาถึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ายินยอมให้เด็กอย่างพวกเจ้าออกไปฝึกฝนข้างนอกนะ เพียงแต่ข้างนอกมันอันตรายเกินไปจริงๆ”“จิ่นหยูเป็นหลานชายแท้ ๆ ของข้า ข้าย่อมรักเขาอยู่แล้ว” ไทเฮาพูดคํานี้ออกมา สายตามองไปที่เผยฉู่เยี่ยนด้วยแววตาลุกวาว “แต่เจ้าก็เป็นเด็กที่ข้าเห็นเติบโตมา ข้าก็รู้สึกสงสารเจ้าเหมือนกัน”แม่นมซูที่อยู่ข้าง ๆ เห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ จึงรีบเข้าไปพูดว่า “เมื่อวานไทเฮาได้ทราบเรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหาร ถึงกับร้องไห้กลางดึกอย่างทรมาน”เผยฉู่เยี่ยนได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ คุกเข่าลงอีกครั้ง โขกหัวให้ไทเฮา “กระหม่อมขอบพระทัยไทเฮาพะยะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นบรรยากาศเช่นนี้ก็รีบเอ่ยปากปรับ “เอาล่ะ กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”พูดจบก็ให้คนรับใช้จัดที่นั่งให้คนที่เข้ามาข้างหลังองค์ชายรองทําความเคารพบรรดาสนมทั้งหลายอีกครั้ง จึงสังเกตเห็นว
คําพูดขององค์ชายสามทําให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอึ้งไปชั่วขณะ องค์ชายสามกําลังยุแยงให้แตกคอกันงั้นเหรอแน่นอนว่าลู่ซิงหว่านเริ่มส่งออกอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ทําให้ทุกคนผิดหวัง[ยังเป็นองค์ชายนะเนี่ย ทำได้แค่นี้เองหรือ?][ไม่รู้ว่าเรียนรู้วิธีการจากสนมแห่งวังหลังคนไหนมา ใส่ความอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ หรือว่าคิดว่าเสด็จพ่อจะดูไม่ออก?][เป็นไปได้ไหมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังองค์ชายสามเป็นผู้หญิง? แนะนำให้เขาเล่นละครตบตาที่ผู้หญิงในวังหลังชอบใช้กัน][มังกรให้กําเนิดบุตรเก้าคนจริง ๆ แต่ละคนต่างมีความแตกต่างกัน องค์ชายสามก็ไม่ได้มีอํานาจบาตรใหญ่เหมือนเสด็จพ่อ และก็ไม่ได้มีแผนการของตระกูลชุย เพียงแค่เหมือนแม่ของเขา คิดแต่จะยึดอํานาจทั้งวันเท่านั้น]เมื่อฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความคิดที่แตกสลายของลู่ซิงหว่าน เขาก็มองไปที่องค์ชายสามอีกครั้งด้วยสายตาที่ไม่พอใจเล็กน้อย “ข้าสั่งให้จิ่นเหยาไปคนเดียว เจ้าไม่พอใจหรือ?”องค์ชายสามคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะมีท่าทีเช่นนี้ จึงรีบคุกเข่าลง “เสด็จพ่อทรงระงับพระพิโรธด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้ เพียงแค่คิดถึงจิ่นหยูและเผยซื่อจื่อเท่านั้น จึงคิดจะไปต้อนรับพ
อีกสองวันจะเป็นวันที่ครอบครัวนอกวังสามารถเข้าวังไปเยี่ยมเยียนและขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณได้แม่ของสนมเล่อกุ้ยเหรินย่อมเป็นหนึ่งในนั้นสิ่งแรกที่ต้องทําเมื่อเข้าวัง แน่นอนว่าต้องขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของตําหนักกลาง เพียงแต่ตอนนี้ตําแหน่งฮองเฮาว่างอยู่ นี่จึงกลายเป็นหน้าที่ของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแต่เดิมทีโขกหัวที่หน้าประตูวังก็สามารถจากไปได้แล้ว แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับยกเว้นให้คนไปเชิญฮูหยินหยวนมารดาของสนมเล่อกุ้ยเหรินเข้ามาในตําหนักหลักเดิมทีฮูหยินหยวนคิดว่าลูกสาวของตนล่วงเกินพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงเรียกตนเข้าตำหนักชิงอวิ๋นเพื่อกลั่นแกล้งตน ถึงอย่างไรนิสัยของลูกสาวตนนางก็รู้ดี หากบอกว่านางล่วงเกินคนในวังก็ไม่แปลกจึงได้แต่ฝืนใจเดินเข้าไปด้านในกลับเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยนั่งรออยู่บนที่นั่งนานแล้ว ในใจก็ยิ่งกระวนกระวาย จึงทําความเคารพอย่างเรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะประทานที่นั่งให้ตนเอง “จากประตูวังเข้ามาก็ค่อนข้างไกล แต่หยวนฮูหยินลําบากแล้ว”“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมเพคะ” ฮูหยินหยวนรีบขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ “ตอนที่หม่อมฉันเข้าวัง มีเกี้ยว
แอบเอาหูแนบข้างๆ ฮูหยินหยวนอีกครั้ง "ถ้าหากว่าข้าคลอดองค์ชายหรือว่าองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย คาดว่าคงจะได้ยกขึ้นเป็นพระสนมเช่นกัน และได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ตำหนักหลัก ถึงตอนนั้นท่านพ่อและท่านแม่ก็คงจะได้รับเกียรติยศบ้างเช่นกัน"ทว่าฮูหยินหยวนกลับจับมือของนางและลูบท้องของนางเบาๆ พร้อมกับหวีผมให้นางอีกครั้ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า "เด็กสาวคนนั้นที่เคยกระโดกกระเดกอยู่บ้านเมื่อก่อน บัดนี้ก็จะได้เป็นแม่คนแล้วหนา""ข้ากับท่านพ่อของเจ้า ไม่อยากเห็นเจ้าต้องลำบากเวลาอยู่ในวัง ขอแค่เพียงเจ้ามีชีวิตที่ตัวเองมีความสุข ก็ดีเหนือสิ่งอื่นใดแล้วหนา"พอได้ยินคำพูดนี้ของฮูหยินหยวน พระสนมเล่อกุ้ยเหรินก็อดน้ำตาไหลรินไม่ได้ ฮูหยินหยวนรีบเช็ดน้ำให้นาง พร้อมกับนำนางเข้ามากอดในอ้อมแขนเบาๆหลังจากผ่านไปนานพอสมควรถึงได้เอ่ยขึ้นว่า "พอแล้ว ที่นี่คือตำหนักในของวังหลวง ถ้าหากร้องไห้จนตาบวม จนถูกคนที่คิดไม่ซื่อมาพบเข้าเกรงว่าจะทำให้เจ้าลำบากเอาได้"ทว่าพระสนมเล่อกุ้ยเหรินกลับกอดเอวของฮูหยินหยวนแน่น พร้อมพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า "ท่านแม่เจ้าคะ ลูกกลัว"ฮูหยินหยวนตบมือของนางเบาๆ "เมื่อครู่ก่อนหน้าที่แม่จะมาที่นี่ แม่
ส่วนทางตำหนักชิงอวิ๋นฝั่งนี้ หลังจากที่ฮูหยินหยวนจากไปได้ไม่นาน ต้วนอวิ๋นอีลูกสะใภ้ของกวงฉินโหวก็มาด้วยเช่นกันพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็รู้ว่าวันนี้ตัวเองคงไม่ได้พักผ่อนแล้วจึงหันกลับไปต้อนรับที่เรือนรับรองด้านข้างต้วนอวิ๋นอีคิดไม่ถึงว่า พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะให้ตัวเองขอพระบัญชาตราตั้ง นางพลิกมองพระราชโองการที่เรือนอยู่หลายรอบมากและอดไม่ได้ที่จะพูดกับสามีของนางว่า "พระสนมกุ้ยเฟยกลับขอพระบัญชาตราตั้งแทนข้า บัดนี้ข้าเป็นคนที่มีบรรดาศักดิ์ตราตั้งแล้ว"เมื่อก่วนหลางสือเห็นนางดีใจ ในใจก็กระโดดโลดเต้นแทนนาง "ภรรยาของข้ามีคุณธรรมและอ่อนโยน ย่อมมีคุณสมบัติได้ตราตั้งนี้อย่างแน่นอน"ต้วนอวิ๋นอีที่ได้ยินคำนั้นก็อดที่จะเบ้ปากไม่ได้ ไม่รู้เพราะเหตุใด นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นางกลับรู้สึกว่า "มีคุณธรรมและอ่อนโยน" สี่คำนี้ไม่เหมือนกับกำลังชื่นชมเลย คนที่ใจกว้างและสดใสอย่างพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแบบนั้นต่างหาก ถึงจะเป็นคนที่ใจกว้างอย่างแท้จริง แบบนั้นถึงจะเป็นอย่างของแม่หญิงอย่างพวกนางสายตาที่เหลือบไปมองก่วนหลางสือยิ่งไม่ดีขึ้นมา นางกลับมองว่า ก่วนหลางสือคู่กับตัวเองถือว่านับเป็นขวัญยืน หากค
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินคำพูดของลู่ซิงหว่านอดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้ หรือว่าในสายตาของลูกสาวตัวเอง นางเป็นคนที่กระสับกระส่ายแบบนั้นหรือ?ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของแม่ วันหน้าเจ้าแซวเสด็จพ่อของเจ้าให้มากกว่านี้เถิด อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ยินอยู่ดี ส่วนแม่ก็ช่างเถิด ปล่อยแม่ไปเถิด!ต้วนอวิ๋นอีเห็นดังนั้นก็เตรียมที่จะลุกขึ้นทําความเคารพและขอตัวกลับไป แต่ทว่ากลับถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเรียกให้นั่งลง "เจ้ามีธุระหรือถึงกลับจวน?""ไม่มีเพคะ!" ต้วนอวิ๋นอีเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามเช่นนี้ จึงทำได้เพียงส่ายหัว ไม่รู้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยหมายถึงอะไร จึงทำไมได้เพียงตอบตามความจริงเท่านั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบโบกมือให้นางนั่งลง "ถ้าเช่นนั้นก็นั่งต่ออีกหน่อยเถิด ข้าชอบฟังคุณหนูพวกนี้เล่าเรื่องซุบซิบรอบตัวพวกนางมากที่สุดแล้ว วันนี้เจ้าเองก็ฟังกับข้าด้วยเถิด"[ประโยคหลังของท่านแม่ จะต้องเป็น "วันนี้เจ้ามีบุญวาสนาแล้ว" แต่คงอายที่จะพูดออกมาตามตรงกระมัง!]ทว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่ได้สนใจคำหยอกล้อของลู่ซิงหว่าน เจ้าหนูน้อยคนนี้นี่ตัวเองก็ชอบนินทา ยังกล้าพูดว่าตัวนางอีก ทั้งๆ ที่เจ้าเองก็ได้ฟังคำซุบซิบนิน
ซ่งชิงเหยียนมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ สีหน้าของเขาดูไม่ดีจริงๆ จากนั้นก็หันหน้าไปตบมือสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ “เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้วล่ะ”“เจ้าสนิทกับเล่อกุ้ยเหรินได้ดีที่สุด ตอนนี้ครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”ต้องบอกว่าความกังวลของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นไม่ผิด สนมเยว่กุ้ยเหรินถือได้ว่าเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดจริงๆ แต่ก็เป็นคนที่ไม่คิดมากสําหรับเรื่องที่ซ่งชิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางไม่สนใจแม้แต่น้อย รับเรื่องไว้แล้วก็พูดต่อจุดแรกของพวกเขาอยู่ที่ตําหนักนอกเมืองแห่งหนึ่งที่ชานเมืองฮ่องเต้ต้าฉู่เตรียมที่จะเก็บสัมภาระบางส่วนที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของพ่อค้าทั่วไป ค่อยเดินทางลงใต้ต่อไปทางด้านลู่ซิงหว่านอาจอยากลงใต้เพื่อไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาคืออยากดูว่าการเก็บเกี่ยวของราษฎรในปีนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไรมากกว่ากลยุทธ์การช่วยเหลือราษฎรที่นําโดยองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อราษฎรสงบสุข ใต้หล้านี้ถึงจะสงบสุขได้หลังจากเดินทางอย่างเรียบง่ายแล้ว ความเร็วของรถม้าก็เร็วขึ้น
“คุณหนูเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ จึงให้หลานอิ่งและจวี๋อิ่งติดตามไปตลอดทาง” เพราะทุกครั้งที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง นางมักจะถูกลอบสังหารเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่ เหม่ยอิ่งจึงไม่วางใจ“ส่วนข้าน้อยก็อยู่ในวัง คอยจับตาดูอยู่ในวังแทนคุณหนู” แทนที่จะบอกว่าจับตาในวัง ไม่สู้บอกว่าจับตาฮองเฮาจะดีกว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าน้อยจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”พูดถึงตรงนี้เหมยอิ่งก็หันไปมองจู๋อิ่งอีกครั้ง “สําหรับจู๋อิ่ง เรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้ ยังคงหาเบาะแสไม่ได้ ถือโอกาสนี้ให้จู๋อิ่งเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ด้วยตนเอง”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้าและพอใจมากกับการจัดการของเหมยอิ่ง[ว้าว เหมยหลานจู๋จวี๋ที่อยู่ข้างกายท่านแม่นี่สิถึงเป็นสี่มหาพิทักษ์][ท่านแม่บอกมาสิว่า สหายเคียงบ่าที่เก่งกาจแบบนี้มีจุดจบหนึ่งศพสองชีวิตในนิทานได้ยังไงล่ะเนี่ย][แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราเก่งมากเลย!]สองวันต่อมาในตอนฟ้าเพิ่งจะสาง รถของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ประตูวังแล้วพระสนมทั้งหลายย่อมต้องมาส่ง แม้แต่สนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเหยาผินที่กําลังตั้งครรภ์ก็ม
สืบไปสืบมา กลับไม่ได้ผลอะไรเลยทางฝั่งตระกูลหาน ไม่ว่าจะเป็นตําหนักชิงอวิ๋น หรือตำหนักหลงเซิง แม้กระทั่งตําหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮา ก็ยังส่งของขวัญมากมายไปให้หานซีเยว่ถึงอย่างไรหานซีเยว่ก็เกิดเรื่องในวังหลวง และก็เพื่อซ่งชิงเหยียนด้วยเนื่องจากไม่วางใจ ซ่งชิงเหยียนจึงให้จิ่นอวี้พาฉยงหัวไปที่จวนตระกูลหานอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องดูว่าอาการบาดเจ็บของหานซีเยว่หายดีเป็นเช่นไร นางถึงจะวางใจ“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ตอนนี้หานซีเยว่ไม่เป็นอะไรแล้ว สีหน้าฮูหยินหานก็ดีขึ้นมากแล้ว “บุตรสาวข้าแค่บาดเจ็บทางผิวหนังเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องให้พระสนมก่อความวุ่นวายเช่นนี้”แต่จิ่นอวี้ต้องทําตามคําสั่งของซ่งชิงเหยียน จึงให้ฉยงหัวตรวจดูหานซีเยว่อีกครั้งตอนนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างก็รู้ว่าข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีหมอหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมมาก ฮูหยินหานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งไม่นาน ฉยงหัวก็ออกมาจากห้องด้านใน มองไปทางฮูหยินหาน “ตอนนี้คุณหนูหานไม่เป็นอะไรแล้ว แม้มีดสั้นจะปักเข้าไปแล้ว แต่ยังดีที่เส้นเอ็นและกระดูกไม่บาดเจ็บ แค่ครึ่งเดือนนี้ พยายามอย่าให้คุ
นอกจากตําหนักชิงอวิ๋นที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว ย่อมมีตําหนักจิ่นซิ่วที่ยุ่งวุ่นวายตามไปด้วยตอนนี้ทุกคนในตําหนักต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าวันนี้คุณหนูตระกูลหานเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพระสนมหวงกุ้ยเฟย คิดไม่ถึงว่าจะพบมือสังหารที่นอกตําหนักชิงอวิ๋นแต่คุณหนูตระกูลหานที่ปกป้องพระสนมหวงกุ้ยเฟยอย่างสุดจิตสุดใจ กลับถูกมีดแทงแทนนางโชคดีที่คุณหนูตระกูลหานโชคดีมาก ไม่ได้โดนทําร้ายจุดสําคัญเมื่อได้ยินข่าวนี้ ไป๋หลิงที่กําลังมาพร้อมกับลู่ซิงหุยก็ลุกขึ้นยืนทันที ขมวดคิ้วและมองไปข้างนอกและลู่ซิงหุยก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของไป๋หลิงจริงๆ นางต้องการแก้แค้นตําหนักชิงอวิ๋นเพื่อตัวเองจริงๆ คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงก็สั่งให้อิงหงออกไป แล้วดึงไป๋หลิงมาอีกครั้ง“พี่หญิงไป๋หลิง” ลู่ซิงหุยลองหยั่งเชิงอย่างเงียบๆ “จะมีใครพบท่านไหม?”ไป๋หลิงกลับตกใจกับคําถามอย่างกะทันหันขององค์หญิงหก มองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลงข้างองค์หญิงหก “องค์หญิงวางใจเถิด ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้หรอกเพคะ”พระสนมเต๋อเฟยเคยทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้เบื้องหลัง ล้วนซ่อนอยู่ในวังหลังแห่งนี้ พวกเจาล้วนไม่มีพ่อแม่ไม่มีอะไรต
พอเห็นฉยงหัว รัชทายาทก็รีบก้าวขึ้นไปและถามว่า “แม่นางฉยงหัว ซีเยว่เป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อรู้ว่าซ่งชิงเหยียนเคารพและให้ความสําคัญกับฉยงหัว แม้จะรีบร้อน องค์รัชทายาทก็ยังเกรงใจนางมาก[ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าพี่ฉงหัวเก่งที่สุด!][พี่ฉยงหัวได้ถอนพิษของพี่หญิงตระกูลหานแล้ว แม้แต่บาดแผลก็รักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พี่หญิงตระกูลหานพ้นขีดอันตรายแล้ว][แค่รอตื่นมาก็พอ]ซ่งชิงเหยียนและฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความในใจของลู่ซิงหว่าน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่องค์รัชทายาทกลับไม่ได้ยิน ยังคงมองฉยงหัวด้วยสายตาร้อนแรง รอคอยคําตอบของนาง“ทูลองค์รัชทายาทเพคะ” ฉยงหัวกอดลู่ซิงหว่านแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย “แม่นางหานสบายดี ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็ตื่นแล้วเพคะ”ซ่งชิงเหยียนก็รีบเข้าไปรับลู่ซิงหว่าน “ฉยงหัว ลําบากเจ้าแล้ว”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงใจแล้ว เป็นหน้าที่ของบ่าวเพคะ” พระสนมหวงกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนี้ นางย่อมต้องตอบแทนอย่างสุดความสามารถเดิมทีฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังพูดคุยกับองค์รัชทายาทอยู่ในห้องเรียน และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พ่อลูกสองคนจึงมา
เมื่อรู้สึกถึงความโกรธของฝ่าบาท เมิ่งเฉวียนเต๋อรีบรับคําและหันหลังจากไปส่วนเสิ่นหนิงก็หลบไปหลบมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโกรธของฮ่องเต้ต้าฉู่ “ในเมื่อฮองเฮาอยู่ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ข้าพูดมาก ในวังหลังเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าเป็นฮองเฮา ควรทบทวนตัวเองให้ดี”เสิ่นหนิงรู้สึกหมดคําพูดเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตน ใครใช้ให้นังซ่งชิงเหยียนนี่ล่วงเกินคนอื่นไปทั่ว ทําไมไม่เห็นมีใครมาลอบสังหารคนอื่นเลย!แต่ใบหน้านางกลับทําได้เพียงคุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่ว่า ถ้านางกํานัลคนนี้ไม่ใช่คนของวังหลวง ก็แสดงว่าแต่ละตําหนักย่อมมีคนอื่นปะปนเข้ามา”“หม่อมฉันคิดว่าควรตรวจสอบคนรับใช้ทั้งหมดในวังหลัง” พูดถึงตรงนี้เสิ่นหนิงก็หยุดชะงัก “แค่ยุ่งยากนิดหน่อย”ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของนางอย่างหาได้ยาก “ไปตรวจสอบตอนนี้เลย มีคนตายแล้ว ยังจะพูดว่ายุ่งยากหรือไม่ยุ่งยากอีก”“พระมเหสี” ระหว่างทางที่ออกจากตําหนักชิงอวิ๋น เยว่หรานก็เผยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ “พระมเหสีเหตุใดต้องทนเช่นนี้ด้วยเพคะ”เสิ่นหนิงกลับถอนหายใจยาวช่างเถอะ อดทนอีกไม่กี่เ
ถึงอย่างไรก็เป็นพระชายาของพี่ชายองค์รัชทายาทที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกทั้งหานซีเยว่ดีต่อนางมากจริงๆ การเข้าวังครั้งนี้ ยังนําของเล่นพื้นบ้านมาให้นางไม่น้อยเลย[คนดีๆแบบนี้ต้องไม่ตายแน่]คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงหว่านถึงกับขอบตาแดงก่ำ[ในนิยาย หานซีเยว่ตายเพื่อพี่รัชทายาท คงเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องจะมีตัวแปรมากมายขนาดนี้ แต่โชคชะตาของพี่หญิงตระกูลหานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง!][พี่ฉยงหัวต้องรักษาได้แน่ๆ ]ซ่งชิงเหยียนจึงหันไปมองลู่ซิงหว่านที่ดวงตาแดงก่ำ กอดนางไว้ในอ้อมแขนและตบนางเบาๆ “หวานหว่านไม่ต้องกังวล พี่หญิงหานของเจ้าเป็นคนดีขนาดนี้ จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”“ฝ่าบาทเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ในขณะที่สองแม่ลูกกําลังเสียใจเพราะหานซีเยว่ เสียงของเมิ่งเฉวียนเต๋อก็ดังขึ้นจากข้างนอก“พระมเหสีเสด็จ” ทันทีที่เมิ่งเฉวียนเต๋อพูดจบ ก็มีเสียงของขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้นซ่งชิงเหยียนปล่อยลู่ซิงหว่านแล้วจูบนาง “หวานหว่านอยู่ดีๆ นะ แม่จะไปพบเสด็จพ่อดีไหม”ลู่ซิงหว่านพยักหน้าอย่างหนักแน่น แต่ไม่สนใจซ่งชิงเหยียนอีก เพียงมองไปทางหานซีเยว่เมื่อซ่งชิงเหยียนปรากฏตัวที่นอกประตู ทุกคนต่างก็ตกตะลึงแต่โชคร้า
“พี่ไป๋หลิง ตอนนี้เสด็จพี่ไม่อยู่แล้ว คนทั้งวังต่างก็รังแกข้า วันนั้นข้าถูกไอ้เด็กเหลือขอลู่ซิงหว่านรังแกอีกแล้ว” พูดจบประโยค องค์หญิงหกก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งความไม่พอใจในใจของไป๋หลิงเมื่อสักครู่ถูกลู่ซิงหุยแก้ไขทันทีใช่แล้ว ตอนนี้พระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่อยู่แล้ว องค์ชายสามก็ถูกกักบริเวณแล้ว คนที่องค์หญิงหกสามารถพึ่งพาได้มีเพียงตนเองเท่านั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ ไป๋หลิงก็ตบหลังองค์หญิงหกเบาๆ “องค์หญิงวางใจเถิด สิ่งใดที่ทําให้องค์หญิงไม่สบายใจ ล้วนต้องได้รับผลกรรม”ในทิศทางที่ลู่ซิงหุยมองไม่เห็น ดวงตาของไป๋หลิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังแม้แต่อิงหงก็ไม่กล้าสบตานางโดยตรง ก้มหน้าลงสิ่งที่ไป๋หลิงพูดในครั้งนี้ถูกต้อง ซ่งชิงเหยียนได้รับ"กรรมตามสนอง" อย่างที่นางพูดอย่างรวดเร็วเมื่อหานซีเยว่ออกจากวัง ซ่งชิงเหยียนก็ไปส่งนางที่ด้านนอก ซ่งชิงเหยียนก็ถูกลอบสังหารที่ถนนนอกตำหนักชิงอวิ๋นได้ยินมาว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสมากส่วนนางกํานัลที่ลอบสังหารคนนั้น หลังจากลอบสังหารสําเร็จแล้ว ก็ปาดคอตายอยู่บนถนนทันทีข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังอย่างรวดเร็วในเวลานี้ไป๋หลิงกําลังอยู่กับลู่ซิงหุย เมื่อลู่ซิงหุ
ในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกําลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับหานซีเยว่ลู่ซิงหุยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาหลายวันในที่สุดก็ได้พบกับไป๋หลิงทันทีที่ไป๋หลิงเข้าไปในห้องด้านใน ลู่ซิงหุยก็ขว้างถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างหน้าเขาไปที่เท้าของนางด้วยความโกรธ "เจ้ายังรู้ว่าจะมา!"“ตอนนี้เจ้าได้รับความโปรดปรานจากหญิงชั่วคนนั้นของฮองเฮาใช่หรือไม่? ลืมเสด็จแม่ของข้าไปจนสิ้นแล้ว!”ลู่ซิงหุยตอนนี้อาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ย่อมรู้ว่าบ่าวไพร่ของตําหนักจิ่นซิ่วเคารพไป๋หลิงเพียงใด และรู้ว่าตอนนี้ในใจของฮองเฮาพึ่งพาไป๋หลิงเป็นอย่างมากนอกจากนี้ไป๋หลิงไม่ได้ปรากฏตัวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงสงสัยส่วนอิงหงที่ยืนอยู่ข้างหลังลู่ซิงหุย รีบก้าวเข้าไปปิดปากนางอย่างรวดเร็ว “องค์หญิง!”จากนั้นก็ปล่อยมือ “องค์หญิงระวังคําพูด ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ทุกเรื่องต้องระมัดระวัง”“ฮึ” ลู่ซิงหุยส่งเสียงหึในลําคออย่างเย็นชา แล้วหันไปมองไป๋หลิงที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าช่างเป็นคนที่รู้จักหลบๆ ซ่อนๆ เสียจริง เมื่อก่อนต้องมาที่ตำหนักของข้าทุกวัน”“ตั้งแต่พี่สามถูกเสด็จพ่อกักบริเวณอยู่ในตําหนักฉางชิว เจ้าก็ไม่ปราก