เอ่ยจบก็หมุนตัวจากไป หากไม่ใช่เพราะว่าไม่มีตัวเลือกเขาก็ไม่มีทางไปเลือกคนไร้ประโยชน์แบบนี้วันที่สอง เป็นวันที่องค์ชายรอง และ เผยฉู่เยี่ยนตกลงกันไว้ว่าจะเดินทางกลับ ในตอนที่ใกล้จะถึงเมื่อหลวงก็ได้มีม้าเร็วข้างกายขององค์ชายรองกลับมารายงาน องค์รัชทายาทถึงได้ออกจากวังไปแล้วพาคนไปรอพวกเขาอยู่ที่ด้านหน้าประตูเมืองเสียงดังกรุบกรับของเกือกม้าดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล องค์รัชทายาทจึงหันไปมองแล้วเห็นว่าจิ่นหยู และฉู่เยี่ยนกำลังควบม้าเข้ามา องค์รัชทายาทถึงได้สะบัดแส้ม้าเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เดินไปด้านหน้า“เสด็จพี่”“องค์รัชทายาท”องค์ชายรอง และฉู่เยี่ยนรีบเร่งมาตลอดทางเมื่อเห็นองค์รัชทายาทก็โล่งใจราวกลับว่ายกภูเขาออกจากอก และแน่นอนว่ายากจะปิดบังสีหน้ามีความสุของค์รัชทายาทพาม้าเข้าไปใกล้ ๆ กับทั้งสองคน “ตลอดทางพวกเจ้าลำบากแล้ว”แล้วก็มองไปที่เผยฉู่เยี่ยน “ฉู่เยี่ยนดีขึ้นแล้วหรือ ? เหตุใดถึงไม่นั่งรถม้า ? อย่าไปทำให้กระทบกับบาดแผลอีก”“องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัย” แน่นอนว่าเผยฉู่เยี่ยนซาบซึ้งในความเป็นห่วงขององค์รัชทายาท จึงยกมือขึ้นมาคารวะแล้วเอ่ย “บาดแผลหายดีแล้วถึงได้ออกเดินทางพ่ะย่ะค่ะ บาดแผล
หรงเหวินเหมี่ยวได้ยินเหออวี่เหยาเอ่ยก็หน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินอายหานซีเยว่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็เอ่ยหยอกเย้าขึ้นมา “ยามนี้น้องหญิงเหวินเหมี่ยวของเราเติบโตแล้ว เมื่อก่อนนิสัยไม่กลัวฟ้าดินนั่น ยามนี้กลับรู้จักเขินอายแล้ว”ไม่กี่คนก็ก็ยิ้นขำกันขึ้นมาภายในห้องหรูหราที่อยู่ไม่ไกลจากพวกนาง เสิ่นเป่าเยี่ยน และเสิ่นเป่าซวงก็กำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอกเสิ่นเป่าซวงไม่รู้ว่าวันนี้คือวันเดินทางกลับของพวกองค์ชายสอง เรื่องนี้เป็นเสิ่นเป่าเหยี่ยนไปสืบเรื่องมาให้โดยตั้งใจพาน้องสาวของตนเองมาก่อนหน้านี้น้องสาวเอ่ยกับตนว่าจะย้อมแพ้เรื่องขององค์รัชทายาทแม้ว่าสีหน้าของนางจะแน่วแน่เพียงแต่อย่างไรก็ยืนกรานมาตั้งหลายปี นางปล่อยวางไปแล้วจริง ๆ เหรอ ? อย่างไรก็ต้องลองดูถึงจะดี มีเพียงแค่นางปล่อยวางจริง ๆ ตนถึงจะวางใจได้เมื่อเห็นองค์รัชทายาทขี่ม้าเรียงแถวกันมาสามคน สายตามสองเสิ่นเป่าเหยี่ยนก็แฝงไปด้วยความรู้สึกทึ่ง แล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ดู ๆ แล้วองค์รัชทายาทผอมลง”“ท่านพ่อไม่ได้บอกว่าองค์รัชทายาทกำลังยุ่งอยู่กับราชกิจบ้านเมืองเหรอ ผอมลงไปหน่อยก็ปกติ” เสิ่นเป่าซวงกลับไม่ได้ไป
ตอนนี้นางไม่รีบร้อนเท่าคนเหล่านั้น เผยฉู่เยี่ยนอายุแค่เก้าขวบเท่านั้น ยังเร็วเกินไปที่จะแต่งงานกับเขา!ในขณะที่นางกําลังดื่มด่ำกับความงามของเผยฉู่เยี่ยน ก็มีคนมาเคาะประตูจากข้างนอก นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและหันไปมองหญิงรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆหญิงรับใช้คนนั้นรีบออกไปเปิดประตูข้างนอกแล้วดู ก่อนจะกลับมารายงานว่า “เจ้าหนู เป็นเจ้าหนูเหอและเจ้าหนูหลินเจ้าค่ะ”"เหออวิ๋นเหยาและหลินอิน? พวกนางสองคนมาทําอะไรที่นี่ สีหน้าของซิงเหนียวเหนี่ยวแสดงความไม่พอใจ“บอกว่าได้ยินว่าเจ้าหนูอยู่ที่นี่ เลยตั้งใจมาทําความเคารพเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนนั้นพูดอย่างเอาใจ“ให้พวกนางเข้ามาเถอะ” ซิงเหนียวเหนี่ยวแกว่งขาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างต่อ“บังเอิญจริง ๆ น้องหญิงซิงก็อยู่ที่นี่ด้วย” หลินอินและเหออวิ๋นเหยาเข้าไปในห้องส่วนตัวและเดินไปที่หน้าต่าง จุดประสงค์นั้นชัดเจนมากซิงเหนียวเหนี่ยวกลับจมจ่ออยู่กับคําพูดหวานไพเราะของทั้งสองคนไม่ได้สังเกตวันนี้เหออวิ๋นเหยาลากหลินอินมาที่นี่ แต่ไม่คิดว่าเพราะไม่ได้จองล่วงหน้า ห้องส่วนตัวจึงไม่มีไปนานแล้ว ได้ยินว่าซิงเหนียวเหนี่ยวอยู่คนเดียว ถึงได้กล้ามาหานางสายตาของเหออวิ๋นเห
เมื่อเห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ องค์ชายรองและเผยฉู่เยี่ยนก็รีบเข้าไปประคองไทเฮาไทเฮาจับมือของเผยฉู่เยี่ยนและมองเขาอย่างระมัดระวัง “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”เผยฉู่เยี่ยนรีบปลอบไทเฮา “ไทเฮาวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหลบได้ทันเวลา แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”ไทเฮาถึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ายินยอมให้เด็กอย่างพวกเจ้าออกไปฝึกฝนข้างนอกนะ เพียงแต่ข้างนอกมันอันตรายเกินไปจริงๆ”“จิ่นหยูเป็นหลานชายแท้ ๆ ของข้า ข้าย่อมรักเขาอยู่แล้ว” ไทเฮาพูดคํานี้ออกมา สายตามองไปที่เผยฉู่เยี่ยนด้วยแววตาลุกวาว “แต่เจ้าก็เป็นเด็กที่ข้าเห็นเติบโตมา ข้าก็รู้สึกสงสารเจ้าเหมือนกัน”แม่นมซูที่อยู่ข้าง ๆ เห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ จึงรีบเข้าไปพูดว่า “เมื่อวานไทเฮาได้ทราบเรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหาร ถึงกับร้องไห้กลางดึกอย่างทรมาน”เผยฉู่เยี่ยนได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ คุกเข่าลงอีกครั้ง โขกหัวให้ไทเฮา “กระหม่อมขอบพระทัยไทเฮาพะยะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นบรรยากาศเช่นนี้ก็รีบเอ่ยปากปรับ “เอาล่ะ กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”พูดจบก็ให้คนรับใช้จัดที่นั่งให้คนที่เข้ามาข้างหลังองค์ชายรองทําความเคารพบรรดาสนมทั้งหลายอีกครั้ง จึงสังเกตเห็นว
คําพูดขององค์ชายสามทําให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอึ้งไปชั่วขณะ องค์ชายสามกําลังยุแยงให้แตกคอกันงั้นเหรอแน่นอนว่าลู่ซิงหว่านเริ่มส่งออกอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ทําให้ทุกคนผิดหวัง[ยังเป็นองค์ชายนะเนี่ย ทำได้แค่นี้เองหรือ?][ไม่รู้ว่าเรียนรู้วิธีการจากสนมแห่งวังหลังคนไหนมา ใส่ความอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ หรือว่าคิดว่าเสด็จพ่อจะดูไม่ออก?][เป็นไปได้ไหมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังองค์ชายสามเป็นผู้หญิง? แนะนำให้เขาเล่นละครตบตาที่ผู้หญิงในวังหลังชอบใช้กัน][มังกรให้กําเนิดบุตรเก้าคนจริง ๆ แต่ละคนต่างมีความแตกต่างกัน องค์ชายสามก็ไม่ได้มีอํานาจบาตรใหญ่เหมือนเสด็จพ่อ และก็ไม่ได้มีแผนการของตระกูลชุย เพียงแค่เหมือนแม่ของเขา คิดแต่จะยึดอํานาจทั้งวันเท่านั้น]เมื่อฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความคิดที่แตกสลายของลู่ซิงหว่าน เขาก็มองไปที่องค์ชายสามอีกครั้งด้วยสายตาที่ไม่พอใจเล็กน้อย “ข้าสั่งให้จิ่นเหยาไปคนเดียว เจ้าไม่พอใจหรือ?”องค์ชายสามคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะมีท่าทีเช่นนี้ จึงรีบคุกเข่าลง “เสด็จพ่อทรงระงับพระพิโรธด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้ เพียงแค่คิดถึงจิ่นหยูและเผยซื่อจื่อเท่านั้น จึงคิดจะไปต้อนรับพ
อีกสองวันจะเป็นวันที่ครอบครัวนอกวังสามารถเข้าวังไปเยี่ยมเยียนและขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณได้แม่ของสนมเล่อกุ้ยเหรินย่อมเป็นหนึ่งในนั้นสิ่งแรกที่ต้องทําเมื่อเข้าวัง แน่นอนว่าต้องขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของตําหนักกลาง เพียงแต่ตอนนี้ตําแหน่งฮองเฮาว่างอยู่ นี่จึงกลายเป็นหน้าที่ของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแต่เดิมทีโขกหัวที่หน้าประตูวังก็สามารถจากไปได้แล้ว แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับยกเว้นให้คนไปเชิญฮูหยินหยวนมารดาของสนมเล่อกุ้ยเหรินเข้ามาในตําหนักหลักเดิมทีฮูหยินหยวนคิดว่าลูกสาวของตนล่วงเกินพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงเรียกตนเข้าตำหนักชิงอวิ๋นเพื่อกลั่นแกล้งตน ถึงอย่างไรนิสัยของลูกสาวตนนางก็รู้ดี หากบอกว่านางล่วงเกินคนในวังก็ไม่แปลกจึงได้แต่ฝืนใจเดินเข้าไปด้านในกลับเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยนั่งรออยู่บนที่นั่งนานแล้ว ในใจก็ยิ่งกระวนกระวาย จึงทําความเคารพอย่างเรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะประทานที่นั่งให้ตนเอง “จากประตูวังเข้ามาก็ค่อนข้างไกล แต่หยวนฮูหยินลําบากแล้ว”“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมเพคะ” ฮูหยินหยวนรีบขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ “ตอนที่หม่อมฉันเข้าวัง มีเกี้ยว
แอบเอาหูแนบข้างๆ ฮูหยินหยวนอีกครั้ง "ถ้าหากว่าข้าคลอดองค์ชายหรือว่าองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย คาดว่าคงจะได้ยกขึ้นเป็นพระสนมเช่นกัน และได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ตำหนักหลัก ถึงตอนนั้นท่านพ่อและท่านแม่ก็คงจะได้รับเกียรติยศบ้างเช่นกัน"ทว่าฮูหยินหยวนกลับจับมือของนางและลูบท้องของนางเบาๆ พร้อมกับหวีผมให้นางอีกครั้ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า "เด็กสาวคนนั้นที่เคยกระโดกกระเดกอยู่บ้านเมื่อก่อน บัดนี้ก็จะได้เป็นแม่คนแล้วหนา""ข้ากับท่านพ่อของเจ้า ไม่อยากเห็นเจ้าต้องลำบากเวลาอยู่ในวัง ขอแค่เพียงเจ้ามีชีวิตที่ตัวเองมีความสุข ก็ดีเหนือสิ่งอื่นใดแล้วหนา"พอได้ยินคำพูดนี้ของฮูหยินหยวน พระสนมเล่อกุ้ยเหรินก็อดน้ำตาไหลรินไม่ได้ ฮูหยินหยวนรีบเช็ดน้ำให้นาง พร้อมกับนำนางเข้ามากอดในอ้อมแขนเบาๆหลังจากผ่านไปนานพอสมควรถึงได้เอ่ยขึ้นว่า "พอแล้ว ที่นี่คือตำหนักในของวังหลวง ถ้าหากร้องไห้จนตาบวม จนถูกคนที่คิดไม่ซื่อมาพบเข้าเกรงว่าจะทำให้เจ้าลำบากเอาได้"ทว่าพระสนมเล่อกุ้ยเหรินกลับกอดเอวของฮูหยินหยวนแน่น พร้อมพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า "ท่านแม่เจ้าคะ ลูกกลัว"ฮูหยินหยวนตบมือของนางเบาๆ "เมื่อครู่ก่อนหน้าที่แม่จะมาที่นี่ แม่
ส่วนทางตำหนักชิงอวิ๋นฝั่งนี้ หลังจากที่ฮูหยินหยวนจากไปได้ไม่นาน ต้วนอวิ๋นอีลูกสะใภ้ของกวงฉินโหวก็มาด้วยเช่นกันพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็รู้ว่าวันนี้ตัวเองคงไม่ได้พักผ่อนแล้วจึงหันกลับไปต้อนรับที่เรือนรับรองด้านข้างต้วนอวิ๋นอีคิดไม่ถึงว่า พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะให้ตัวเองขอพระบัญชาตราตั้ง นางพลิกมองพระราชโองการที่เรือนอยู่หลายรอบมากและอดไม่ได้ที่จะพูดกับสามีของนางว่า "พระสนมกุ้ยเฟยกลับขอพระบัญชาตราตั้งแทนข้า บัดนี้ข้าเป็นคนที่มีบรรดาศักดิ์ตราตั้งแล้ว"เมื่อก่วนหลางสือเห็นนางดีใจ ในใจก็กระโดดโลดเต้นแทนนาง "ภรรยาของข้ามีคุณธรรมและอ่อนโยน ย่อมมีคุณสมบัติได้ตราตั้งนี้อย่างแน่นอน"ต้วนอวิ๋นอีที่ได้ยินคำนั้นก็อดที่จะเบ้ปากไม่ได้ ไม่รู้เพราะเหตุใด นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นางกลับรู้สึกว่า "มีคุณธรรมและอ่อนโยน" สี่คำนี้ไม่เหมือนกับกำลังชื่นชมเลย คนที่ใจกว้างและสดใสอย่างพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแบบนั้นต่างหาก ถึงจะเป็นคนที่ใจกว้างอย่างแท้จริง แบบนั้นถึงจะเป็นอย่างของแม่หญิงอย่างพวกนางสายตาที่เหลือบไปมองก่วนหลางสือยิ่งไม่ดีขึ้นมา นางกลับมองว่า ก่วนหลางสือคู่กับตัวเองถือว่านับเป็นขวัญยืน หากค