พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้มองไปที่เซียงอวิ๋น “ในเมื่อฉยงหัวเอ่ยว่าเจ้าบุกลุกเข้ามาในตำหนัก เจ้าเองก็อธิบายเถิด”เพียงแต่ภายในน้ำเสียงกลับมีความน่าเกรงขามแฝงเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัยขณะนั้นเซียงอวิ๋นก็เลิ่กลั่กขึ้นมาแล้วรีบเงยหน้ามองไปที่สนมซูผินก่อนจะคุกเข่าคำนับลงมา “หม่อมฉันได้รับคำสั่งมาจากสนมซูผินเพื่อตั้งใจมามอบเครื่องหอมให้แกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพคะ”“เจ้า…” ฉยงหัวที่อยู่ด้านข้างอดพูดคำสกปรกออกมาไม่ได้แต่ก็อดกลั่นเอาไม่อีกครั้ง “นางกำนัลน้อยอย่างเจ้าเหตุใดถึงได้เอ่ยคำพูดเหลวไหล เมื่อสักครู่เจ้ายังบอกว่าเจ้าเป็นคนข้างกายของพระสนมกุ้ยเฟย พระสนมได้เครื่องหอมที่หายากมาจากองค์หญิงใหญ่จึงให้เจ้านำมาส่งก่อน”เซียงอวิ๋นได้ยินฉยงหัวเอ่ยเช่นนี้ขณะนั้นจึงร้อนรนขึ้น “เมื่อสักครู่เจ้าพูดเหลวไหล ข้าพูดมาตลอดว่ามามอบเครื่องหอมแทนสนมซูผิน เป็นเจ้าที่ฟังผิด”“เจ้า…” ฉยงหัวชี้ไปที่เซียงอวิ๋นโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เหตุใดถึงมีคนที่หน้าไม่อายขนาดนี้อยู่ด้วย“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามามอบเครื่องหอม” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นทั้งสองโต้เถียงกันไม่หยุด นางรู้ว่าเซียงอวิ๋นเป็นผู้ที่ไหลไปตามน้ำ การที่ผู้ที่เรียบง่ายใสซื่ออย่าง
พูดจบก็ยื่นกล่องเครื่องหอมไปตรงหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่พระสนมเฉินอดหน้าเสียออกมาไม่ได้ ดูท่าทางระมัดระวังของทางฝั่งนั้นเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่ากลัวว่าพิษนั้นจะทําร้ายข้า แต่ตอนนี้กลับยัดพิษนี้ใส่ต่อหน้าฮ่องเต้โดยตรง นี่...พฤติกรรมนี้คล้ายกับพฤติกรรมของลูกสาวคนเล็กที่ยังพูดไม่เป็นของตัวเองมาก เป็นสองมาตรฐานมาก เป็นใบหน้าหนึ่งสําหรับพ่อ เป็นใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่งสําหรับแม่ หรือว่านางเป็นพี่สาวฉยงหัวที่หวานหว่านพูดถึงจริง ๆฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้มาที่ตําหนักชิงอวิ๋นนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงจะเจอเรื่องเช่นนี้ จึงแย่งกระถางธูปในมือฉยงหัวไป แล้วโยนใส่ศีรษะของสนมซูผินเครื่องหอมนั้นเดิมทีเป็นสีแดงอยู่แล้ว ทันใดนั้นก็กระจายอยู่บนหัวของสนมซูผิน ทําให้ใบหน้าของสนมซูผินครึ่งเป็นสีแดงไปหมด ค่อนข้างมีกลิ่นอายแปลก ๆกระถางธูปนั้นเดิมทีก็ไม่เบาอยู่แล้ว กระแทกใส่หัวของสนมซูผิน เลือดก็ไหลออกมาทันทีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดว่าตนเองไม่ใช่คนดีอะไร และก็ไม่ได้มองสนมซูผินผู้นั้นด้วย มาทำร้ายนางทําร้ายอย่างนี้ นางยังยกน้ำชาให้อีกได้ยังไงล่ะแต่ก็รู้ว่าต้องทําท่าทางให้พอต่อหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่ “ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้ว ต้องฟังส
ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทนไม่ไหวแล้ว ดิ้นรนจะออกจากอ้อมกอดของฮ่องเต้ต้าฉู่ แล้วโผเข้าใส่อ้อมกอดของฉงหวาฮ่องเต้ต้าฉู่กลับคิดว่านางซนและดึงนางกลับมา“เพียงแต่ข้ามีเรื่องจะปรึกษาสนมซูผิน” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่น้ําเสียงกลับเย็นชาสนมซูผินเหมือนคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ในพริบตา รีบเอ่ยปากตอบว่า “พระสนมถามได้ตามสบาย”“ในเมื่อสนมซูผินบอกว่าเซียงอวิ๋นเกลียดข้าเพราะเรื่องของสนมฟางกุ้ยเหริน แล้วเป็นเพราะอะไรเล่า” น้ำเสียงของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความไม่แยแส“ย่อมเป็นเพราะเรื่องที่สนมฟางกุ้ยเหรินเข้าวังเย็น...” สนมซูผินรีบตอบออกมาอย่างไม่มีสมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะเสียงหยัน “ตามความหมายของสนมซูผิน คือข้าใช้วิชามารในพระราชวัง นี่จึงทําให้สนมฟางกุ้ยเหรินแท้งลูก จากนั้นก็กล่าวหาสนมหยุนกุ้ยเหรินว่า ข้าควรทําร้ายพวกนางสองคนถึงจะถูก”สนมซูผินเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดผิด จึงรีบโขกหัว “พระสนมโปรดอภัย เป็นหม่อมข้าพูดผิดเองเพคะ”“สนมซูผินควรขอขมากับฝ่าบาทถึงจะถูก เรื่องนี้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินใจเอง”สนมซูผินรีบโขกหัวไปทางฮ่องเต้ต้าฉู
[ข้าช่างเป็นคนฉลาดนัก สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นเพียงสนมเล็กๆ ก็กล้ามาคิดร้ายต่อท่านแม่ แสดงว่าสนมซูผินคงมีส่วนร่วมด้วย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเสียงในใจของลู่ซิงหว่านเช่นนี้ก็ให้จนปัญญา ลูกรักของแม่ แต่ว่าซูผินก็เป็นเพียงสนมในตำแหน่งผินเท่านั้นสิ่งที่ตนไม่เข้าใจก็คือ ได้ไปล่วงเกินอะไรต่อสนมซูผินคนนี้เข้า นางจึงได้โกรธแค้นตนถึงเพียงนี้?เซียงอวิ๋นย่อมไม่รู้ความคิดวกวนในใจของผู้อื่น ได้แต่ก้มหน้ากล่าวตอบ “พระสนม บ่าวไม่กล้าพูดเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนี้ก็แอบถลึงตาไม่ให้คนอื่นได้เห็น ให้โอกาสเจ้าได้พูดกลับมาทำอิดออด ตอนนี้ถ้าอยู่ในกองทัพ ข้าคงสั่งโบยเจ้าไปสิบทีแล้วค่อยว่าต่อเป็นแน่แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่สนพระทัยเรื่องเหล่านี้ “ในเมื่อไม่กล้าพูด เมิ่งฉวนเต๋อ ลากตัวออกไปโบยสักสิบที ดูว่าจะกล้าพูดหรือเปล่า"”“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันพูด” เซียงอวิ๋นเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้ว จึงรีบคุกเข่าขอขมา แต่กลับถูกขันทีหลายคนลากตัวออกไป “พระสนมโปรดช่วยบ่าวด้วย”เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้วเช่นนี้ สนมซูผินกับสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังจึงยิ่งไม่กล้าพูดจาโบยตีอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเพิ่งนึกได้ว่าลู่ซ
เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ปฏิบัติต่อสนมซูผินเช่นนั้น เซียงอวิ๋นก็ค่อยมีกำลังใจมากขึ้น“ขณะที่สนมซูผินมอบเตาเครื่องหอมให้หม่อมฉัน ได้บอกว่าข้างในผสมยาพิษไว้ หากหม่อมฉันกล้าเอาไปวางไว้ในตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นั่นคือการแสดงความซื่อสัตย์ของหม่อมฉันเอง”เซียงอวิ๋นกล่าวถึงตรงนี้จึงได้หยุดลง พาให้ตำหนักชิงอวิ๋นยิ่งเงียบกริบ ทุกคนต่างตะลึงกับพฤติกรรมของสนมซูผินเช่นนี้ที่ออกเสียงได้ ก็มีเพียงเสียงในใจของลู่ซิงหว่านเท่านั้น [สนมซูผินเป็นบ้าแล้วหรือไง พบเจอครั้งแรกก็ให้นางกำนัลพิสูจน์ความซื่อสัตย์ด้วยวิธีการเช่นนี้][ถ้าอย่างนั้นมิสู้ให้นางไปตายเสียดีกว่า หมดเรื่องหมดราวไป][เซียงอวิ๋นก็ช่างโง่นัก สนมซูผินทำเช่นนี้คือการหลอกใช้เห็นๆ ขนาดเด็กอย่างข้ายังดูออกเลย เรื่องนี้หากทำสำเร็จจริง เจ้าก็ช่วยนางกำจัดแม่ข้าได้ แต่หากล้มเหลว นางจะโยนความผิดให้เจ้ารับแต่เพียงผู้เดียว][เสด็จพ่อช่างไปหาผู้หญิงสติไม่สมประกอบเหล่านี้มาจากไหนกัน ก่อนหน้านี้ก็พระสนมเต๋อเฟย ถัดมาก็เป็นสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินและฟางกุ้ยเหริน ตอนนี้ก็เป็นสนมซูผินอีก][เฮ่ย เป็นเสด็จพ่อก็ไม่ง่ายนัก วันๆ ต้องคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงโง่เขล
“เพื่อเห็นแก่องค์หญิงทั้งสอง ข้าพยายามอดทนต่อเจ้า แต่เจ้าก็ยังเหิมเกริมไม่เลิกรา”“สมัยก่อนข้าดูแลกิจการในวังหลังหกตำหนัก เจ้าก็คอยฉีกหน้ากลั่นแกล้งอยู่เรื่อย ตอนนั้นเคยลงโทษเจ้าไปแล้วหนหนึ่ง ไม่นึกว่าเจ้ายังไม่หลาบจำ”“มาวันนี้ก็มีเรื่องวางยาอีก เห็นทีว่า เรื่องสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินก็คงเกี่ยวข้องกับเจ้าแน่”สนมซูผินได้ยินพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยถึงเรื่องสนมอวิ๋นกุ้ยเหริน ก็พลันใจเต้นคล้ายจะหลุดจากอก พยายามควบคุมเสียงของตนเองไว้ “พระสนมเมตตาด้วย แม้ข้าจะสนิทกับอวิ๋นกุ้ยเหรินมากก็จริง แต่ไม่กล้ามีส่วนร่วมกับเรื่องทำคุณไสยแน่นอน”ไม่ต้องรอให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยปาก ลู่ซิงหว่านชิงดักหน้าก่อน[อย่ามาทำปากดีหน่อยเลย ท่านสนิทกับอวิ๋นกุ้ยเหรินราวกับอะไรดี ปกตินอกจากกินข้าวกับนอนแล้ว เวลาอื่นแทบจะตัวติดกัน][สิ่งที่อวิ๋นกุ้ยเหรินเคยกระทำ ล้วนเป็นการยุยงจากท่าน แล้วเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับท่านได้อย่างไร]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังคงมีน้ำเสียงเย็นชา มองดูสนมซูผินคล้ายกับเจ็บใจที่นางไม่รักดี “ซูผิน หากข้าไม่มีหลักฐาน คงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ส่งเดช”สนมซูผินเงยหน้าขึ้นมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เห็นแววตานางมีแต
ครั้นเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ่งขมวดคิ้วหนัก เมิ่งฉวนเต๋อก็เดินไปใช้เท้าเตะอวี้ซิ่วหนึ่งที “นังไพร่ไม่รู้กาลเทศะ คำพูดนี้ให้เจ้าพูดจากปากได้หรือ?”แต่ในใจกลับแอบคิด สาวใช้ผู้นี้เห็นทีจะได้ตายพร้อมพระสนมเต๋อเฟยในวันนี้เป็นแน่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นดังนี้ จึงได้ถามอวี้ซิ่ว “เจ้าอยู่กับเต๋อเฟยในตำแหน่งอะไร?”“ฮึ!” สาวใช้เพียงแค่ทำเสียงฮึในลำคอ ไม่ยอมพูดอะไรอีกฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงนวดคลึงหว่างคิ้วของพระองค์เอง จึงได้รับสั่งต่อ “จับตัวนังผู้นี้ไปกรมอาญา แล้วสอบเค้นให้หนัก จนกว่านางจะยอมเปิดปากสารภาพทุกอย่าง”จากนั้นก็ทรงชี้นิ้วไปทางเซียงอวิ๋น “ประหารซะ”เมิ่งฉวนเต๋ออยู่กับฮ่องเต้มานาน ย่อมรู้ถึงนิสัยเป็นอย่างดี จึงไม่กล้ารีรออีก รีบสั่งให้คนปิดปากนางกำนัลทั้งสอง พร้อมแยกย้ายส่งตัวไปรับโทษบัดนี้จึงเหลือเพียงสนมซูผินเพียงผู้เดียว รอบข้างเงียบกริบเป็นอย่างมากเมื่อคำนึงถึงว่าใกล้จะมีงานอภิเษกขององค์หญิงรอง พระสนมหวงกุ้ยเฟยคิดว่าเรื่องนี้ให้ยุติชั่วคราวจะดีกว่า เพียงแต่ในใจยังอดนึกโกรธไม่ได้สุดท้ายจึงได้ถอนหายใจ พร้อมเอ่ยปากต่อ “ฝ่าบาทเพคะ ถึงอย่างไรซูเฟยก็เป็นมารดาขององค์หญิงรองและองค์หญิงเจ็ด บ
ฉยงหัวอยู่ด้านข้างแอบนินทาในใจ ขณะมองดูแสดงความรักระหว่างฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟย รู้ว่าเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เพราะปกติฮ่องเต้ก็มีสนมมากมายอยู่แล้ว ส่วนแววตาที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองดูฮ่องเต้นั้น ก็หาได้มีความรักแต่อย่างใด ดูคล้ายกับมองดูผู้เป็นนายมากกว่าใช่แล้ว คล้ายกับนายจ้าง ในนิทานก็บอกไว้เช่นนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่ชี้นิ้วไปยังสนมซูผิน “จับตัวนัง...”พลันหยุดชะงัก ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบหุบปาก เก็บคำว่า ‘ผู้หญิงหน้าโง่’ เข้าไปทันควัน เกือบถูกหวานหว่านพาให้เสียคนซะแล้ว“ให้นางไปอยู่ในตำหนักจูหัว ห้ามใครเข้าพบเป็นอันขาด รอจนกว่าองค์หญิงรองออกเรือนแล้วค่อยว่าใหม่”กล่าวจับก็ชี้ไปยังเมิ่งฉวนเต๋อ “ถ้ามีอะไรผิดพลาด ข้าจะเล่นงานเจ้า”เมิ่งฉวนเต๋อรีบถวายคำนับ “กระหม่อมจะดูแลอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”พลางเดินขึ้นหน้า ไปถึงข้างกายพระสนมซูผิน “เชิญพระสนมไปได้แล้ว”ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ถอดถอนนาง นางก็ยังเป็นสนมตำแหน่งผินอยู่ เมิ่งฉวนเต๋อจึงต้องให้เกียรติต่อหน้าผู้อื่นบ้างและในเวลานี้ ที่ทางเดินด้านนอกตำหนักชิงอวิ๋น องค์หญิงรองซิงเสวี่ยกำลังเดินเหม่อลอยอยู่นางรู้มานานแล้วว่าเสด็จแม่ไม่
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต
หลังจากมองส่งชายผู้นั้นจากไปแล้ว ความเคร่งขรึมจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่ “เว่ยเฉิง ถือป้ายคําสั่ง ไปโยกย้ายทหาร”เว่ยเฉิงกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าฉู่“เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับยืนกรานอย่างยิ่ง “ข้างกายข้ามีองครักษ์เงามังกร ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นในเวลานี้ คนที่เคาะประตูอยู่นอกจวนตระกูลจิ้นก็คือกลุ่มของฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมทีเขาอยากจะไปคนเดียว แต่ภายใต้การยืนยันของซ่งชิงเหยียน ในที่สุดก็ไปด้วยกันทั้งสามคนถึงอย่างไรความสามารถในการได้ยินของลู่ซิงหว่านในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งมีชิงเหยียนอยู่ หากมีอันตรายจริงๆ นางก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเห็นคนที่มา ใต้เท้าจิ้นก็ตกใจจนยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทําไมฝ่าบาทถึงกลับมาอีก“ใต้เท้าจิ้น” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทําความเคารพใต้เท้าจิ้นอย่างเป็นกลาง “ข้าน้อยลู่เหยา อยากมาทํามาหากินที่อําเภอไถจิน หวังว่าใต้เท้าจิ้นจะสะดวก เงินทองอะไร ล้วนคุยกันได้”ใต้เท้าจิ้นรีบคํานับกลับ เขาจะกล้ารับการคํานับจากฝ่าบาทได้อย่างไรมองซ่งชิงเหยียนที่อุ้มเด็กอยู่ข้างๆ อีกครั้ง คิดว่านี่คงเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิ
“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “หาพวกคนบ้านนอกมาสอบถามดูว่าใต้เท้าจิ้นเป็นคนอย่างไรกันแน่”เว่ยเฉิงมองตามสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ไป จริงดังคาด ตอนนี้ที่นามีราษฎรจํานวนไม่น้อยกําลังไถนาอยู่แม้จะสงสัย แต่ก็รับพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้วเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก เว่ยเฉิงก็พาคนคนหนึ่งเดินกลับมา “นายท่าน ชายผู้นี้บอกว่ามีเรื่องจะพูด”ชายผู้นั้นคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"[โอ้ แม่เจ้า พื้นที่นี่ไม่เรียบเลยนะ ไม่เจ็บเหรอเนี่ย]“นายท่านท่านนี้คิดว่าคงมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่านายท่านอยากรู้อะไรหรือขอรับ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทําธุรกิจเล็กๆ ที่อําเภอไถจินแห่งนี้ ไม่รู้ว่านายอําเภออย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร ก็เลยอยากลองสอบถามดู”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของน้องชายผู้นั้นมีความผิดหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่งเดิมทีเขาคิดว่าคนนี้เป็นขุนนางใหญ่อะไรในเมืองหลวง ได้รับคําสั่งให้มาตรวจสอบใต้เท้าจิ้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ครอบครัวพ่อค้าเท่านั้น แต่ก็ยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่านดู
เสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนมาไม่น้อยแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้[โอ้ เสด็จพ่อของข้า ท่านคิดว่ายังอยู่ในวังหรือ? ท่านทําตัวเงียบๆ หน่อยที่ข้างนอกได้ไหม?][ข้ากับท่านท่านแม่ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัยนะ][จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทําไมต้องตามเสด็จพ่อออกมาด้วย คงไม่ได้ถูกลอบสังหารอีกแล้วใช่ไหม?]ส่วนซ่งชิงเหยียนก็รีบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา คีบอาหารให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ข้ารู้ว่านายท่านคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว แต่ไม่กินไม่ได้นะเจ้าคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เข้าใจความหมายของแม่ลูกคู่นี้ จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา ค่อยๆ กินอาหารในจานสนมเยว่กุ้ยเหรินยืนมองอยู่ด้านข้างจนตาค้างใครบอกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยพระสนมมีนิสัยหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่าทําไมนางถึงเข้าวังมาหลายปีและยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนยศสักทีก็ตัวเองไม่สมควรจริงๆ นั่นแหละ!ทําไมพระสนมถึงได้เก่งขนาดนี้ทางด้านบู๊สามารถนําทหารไปรบได้ ส่วนด้านเหวิน... เหวินสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ได้ส่งเว่ยเฉิงไปตรวจสอบใต้เท้าจิ้นที่อ