พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้มองไปที่เซียงอวิ๋น “ในเมื่อฉยงหัวเอ่ยว่าเจ้าบุกลุกเข้ามาในตำหนัก เจ้าเองก็อธิบายเถิด”เพียงแต่ภายในน้ำเสียงกลับมีความน่าเกรงขามแฝงเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัยขณะนั้นเซียงอวิ๋นก็เลิ่กลั่กขึ้นมาแล้วรีบเงยหน้ามองไปที่สนมซูผินก่อนจะคุกเข่าคำนับลงมา “หม่อมฉันได้รับคำสั่งมาจากสนมซูผินเพื่อตั้งใจมามอบเครื่องหอมให้แกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพคะ”“เจ้า…” ฉยงหัวที่อยู่ด้านข้างอดพูดคำสกปรกออกมาไม่ได้แต่ก็อดกลั่นเอาไม่อีกครั้ง “นางกำนัลน้อยอย่างเจ้าเหตุใดถึงได้เอ่ยคำพูดเหลวไหล เมื่อสักครู่เจ้ายังบอกว่าเจ้าเป็นคนข้างกายของพระสนมกุ้ยเฟย พระสนมได้เครื่องหอมที่หายากมาจากองค์หญิงใหญ่จึงให้เจ้านำมาส่งก่อน”เซียงอวิ๋นได้ยินฉยงหัวเอ่ยเช่นนี้ขณะนั้นจึงร้อนรนขึ้น “เมื่อสักครู่เจ้าพูดเหลวไหล ข้าพูดมาตลอดว่ามามอบเครื่องหอมแทนสนมซูผิน เป็นเจ้าที่ฟังผิด”“เจ้า…” ฉยงหัวชี้ไปที่เซียงอวิ๋นโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เหตุใดถึงมีคนที่หน้าไม่อายขนาดนี้อยู่ด้วย“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามามอบเครื่องหอม” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นทั้งสองโต้เถียงกันไม่หยุด นางรู้ว่าเซียงอวิ๋นเป็นผู้ที่ไหลไปตามน้ำ การที่ผู้ที่เรียบง่ายใสซื่ออย่าง
พูดจบก็ยื่นกล่องเครื่องหอมไปตรงหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่พระสนมเฉินอดหน้าเสียออกมาไม่ได้ ดูท่าทางระมัดระวังของทางฝั่งนั้นเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่ากลัวว่าพิษนั้นจะทําร้ายข้า แต่ตอนนี้กลับยัดพิษนี้ใส่ต่อหน้าฮ่องเต้โดยตรง นี่...พฤติกรรมนี้คล้ายกับพฤติกรรมของลูกสาวคนเล็กที่ยังพูดไม่เป็นของตัวเองมาก เป็นสองมาตรฐานมาก เป็นใบหน้าหนึ่งสําหรับพ่อ เป็นใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่งสําหรับแม่ หรือว่านางเป็นพี่สาวฉยงหัวที่หวานหว่านพูดถึงจริง ๆฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้มาที่ตําหนักชิงอวิ๋นนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงจะเจอเรื่องเช่นนี้ จึงแย่งกระถางธูปในมือฉยงหัวไป แล้วโยนใส่ศีรษะของสนมซูผินเครื่องหอมนั้นเดิมทีเป็นสีแดงอยู่แล้ว ทันใดนั้นก็กระจายอยู่บนหัวของสนมซูผิน ทําให้ใบหน้าของสนมซูผินครึ่งเป็นสีแดงไปหมด ค่อนข้างมีกลิ่นอายแปลก ๆกระถางธูปนั้นเดิมทีก็ไม่เบาอยู่แล้ว กระแทกใส่หัวของสนมซูผิน เลือดก็ไหลออกมาทันทีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดว่าตนเองไม่ใช่คนดีอะไร และก็ไม่ได้มองสนมซูผินผู้นั้นด้วย มาทำร้ายนางทําร้ายอย่างนี้ นางยังยกน้ำชาให้อีกได้ยังไงล่ะแต่ก็รู้ว่าต้องทําท่าทางให้พอต่อหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่ “ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้ว ต้องฟังส
ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทนไม่ไหวแล้ว ดิ้นรนจะออกจากอ้อมกอดของฮ่องเต้ต้าฉู่ แล้วโผเข้าใส่อ้อมกอดของฉงหวาฮ่องเต้ต้าฉู่กลับคิดว่านางซนและดึงนางกลับมา“เพียงแต่ข้ามีเรื่องจะปรึกษาสนมซูผิน” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่น้ําเสียงกลับเย็นชาสนมซูผินเหมือนคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ในพริบตา รีบเอ่ยปากตอบว่า “พระสนมถามได้ตามสบาย”“ในเมื่อสนมซูผินบอกว่าเซียงอวิ๋นเกลียดข้าเพราะเรื่องของสนมฟางกุ้ยเหริน แล้วเป็นเพราะอะไรเล่า” น้ำเสียงของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความไม่แยแส“ย่อมเป็นเพราะเรื่องที่สนมฟางกุ้ยเหรินเข้าวังเย็น...” สนมซูผินรีบตอบออกมาอย่างไม่มีสมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะเสียงหยัน “ตามความหมายของสนมซูผิน คือข้าใช้วิชามารในพระราชวัง นี่จึงทําให้สนมฟางกุ้ยเหรินแท้งลูก จากนั้นก็กล่าวหาสนมหยุนกุ้ยเหรินว่า ข้าควรทําร้ายพวกนางสองคนถึงจะถูก”สนมซูผินเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดผิด จึงรีบโขกหัว “พระสนมโปรดอภัย เป็นหม่อมข้าพูดผิดเองเพคะ”“สนมซูผินควรขอขมากับฝ่าบาทถึงจะถูก เรื่องนี้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินใจเอง”สนมซูผินรีบโขกหัวไปทางฮ่องเต้ต้าฉู
[ข้าช่างเป็นคนฉลาดนัก สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นเพียงสนมเล็กๆ ก็กล้ามาคิดร้ายต่อท่านแม่ แสดงว่าสนมซูผินคงมีส่วนร่วมด้วย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเสียงในใจของลู่ซิงหว่านเช่นนี้ก็ให้จนปัญญา ลูกรักของแม่ แต่ว่าซูผินก็เป็นเพียงสนมในตำแหน่งผินเท่านั้นสิ่งที่ตนไม่เข้าใจก็คือ ได้ไปล่วงเกินอะไรต่อสนมซูผินคนนี้เข้า นางจึงได้โกรธแค้นตนถึงเพียงนี้?เซียงอวิ๋นย่อมไม่รู้ความคิดวกวนในใจของผู้อื่น ได้แต่ก้มหน้ากล่าวตอบ “พระสนม บ่าวไม่กล้าพูดเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนี้ก็แอบถลึงตาไม่ให้คนอื่นได้เห็น ให้โอกาสเจ้าได้พูดกลับมาทำอิดออด ตอนนี้ถ้าอยู่ในกองทัพ ข้าคงสั่งโบยเจ้าไปสิบทีแล้วค่อยว่าต่อเป็นแน่แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่สนพระทัยเรื่องเหล่านี้ “ในเมื่อไม่กล้าพูด เมิ่งฉวนเต๋อ ลากตัวออกไปโบยสักสิบที ดูว่าจะกล้าพูดหรือเปล่า"”“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันพูด” เซียงอวิ๋นเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้ว จึงรีบคุกเข่าขอขมา แต่กลับถูกขันทีหลายคนลากตัวออกไป “พระสนมโปรดช่วยบ่าวด้วย”เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้วเช่นนี้ สนมซูผินกับสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังจึงยิ่งไม่กล้าพูดจาโบยตีอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเพิ่งนึกได้ว่าลู่ซ
เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ปฏิบัติต่อสนมซูผินเช่นนั้น เซียงอวิ๋นก็ค่อยมีกำลังใจมากขึ้น“ขณะที่สนมซูผินมอบเตาเครื่องหอมให้หม่อมฉัน ได้บอกว่าข้างในผสมยาพิษไว้ หากหม่อมฉันกล้าเอาไปวางไว้ในตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นั่นคือการแสดงความซื่อสัตย์ของหม่อมฉันเอง”เซียงอวิ๋นกล่าวถึงตรงนี้จึงได้หยุดลง พาให้ตำหนักชิงอวิ๋นยิ่งเงียบกริบ ทุกคนต่างตะลึงกับพฤติกรรมของสนมซูผินเช่นนี้ที่ออกเสียงได้ ก็มีเพียงเสียงในใจของลู่ซิงหว่านเท่านั้น [สนมซูผินเป็นบ้าแล้วหรือไง พบเจอครั้งแรกก็ให้นางกำนัลพิสูจน์ความซื่อสัตย์ด้วยวิธีการเช่นนี้][ถ้าอย่างนั้นมิสู้ให้นางไปตายเสียดีกว่า หมดเรื่องหมดราวไป][เซียงอวิ๋นก็ช่างโง่นัก สนมซูผินทำเช่นนี้คือการหลอกใช้เห็นๆ ขนาดเด็กอย่างข้ายังดูออกเลย เรื่องนี้หากทำสำเร็จจริง เจ้าก็ช่วยนางกำจัดแม่ข้าได้ แต่หากล้มเหลว นางจะโยนความผิดให้เจ้ารับแต่เพียงผู้เดียว][เสด็จพ่อช่างไปหาผู้หญิงสติไม่สมประกอบเหล่านี้มาจากไหนกัน ก่อนหน้านี้ก็พระสนมเต๋อเฟย ถัดมาก็เป็นสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินและฟางกุ้ยเหริน ตอนนี้ก็เป็นสนมซูผินอีก][เฮ่ย เป็นเสด็จพ่อก็ไม่ง่ายนัก วันๆ ต้องคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงโง่เขล
“เพื่อเห็นแก่องค์หญิงทั้งสอง ข้าพยายามอดทนต่อเจ้า แต่เจ้าก็ยังเหิมเกริมไม่เลิกรา”“สมัยก่อนข้าดูแลกิจการในวังหลังหกตำหนัก เจ้าก็คอยฉีกหน้ากลั่นแกล้งอยู่เรื่อย ตอนนั้นเคยลงโทษเจ้าไปแล้วหนหนึ่ง ไม่นึกว่าเจ้ายังไม่หลาบจำ”“มาวันนี้ก็มีเรื่องวางยาอีก เห็นทีว่า เรื่องสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินก็คงเกี่ยวข้องกับเจ้าแน่”สนมซูผินได้ยินพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยถึงเรื่องสนมอวิ๋นกุ้ยเหริน ก็พลันใจเต้นคล้ายจะหลุดจากอก พยายามควบคุมเสียงของตนเองไว้ “พระสนมเมตตาด้วย แม้ข้าจะสนิทกับอวิ๋นกุ้ยเหรินมากก็จริง แต่ไม่กล้ามีส่วนร่วมกับเรื่องทำคุณไสยแน่นอน”ไม่ต้องรอให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยปาก ลู่ซิงหว่านชิงดักหน้าก่อน[อย่ามาทำปากดีหน่อยเลย ท่านสนิทกับอวิ๋นกุ้ยเหรินราวกับอะไรดี ปกตินอกจากกินข้าวกับนอนแล้ว เวลาอื่นแทบจะตัวติดกัน][สิ่งที่อวิ๋นกุ้ยเหรินเคยกระทำ ล้วนเป็นการยุยงจากท่าน แล้วเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับท่านได้อย่างไร]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังคงมีน้ำเสียงเย็นชา มองดูสนมซูผินคล้ายกับเจ็บใจที่นางไม่รักดี “ซูผิน หากข้าไม่มีหลักฐาน คงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ส่งเดช”สนมซูผินเงยหน้าขึ้นมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เห็นแววตานางมีแต
ครั้นเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ่งขมวดคิ้วหนัก เมิ่งฉวนเต๋อก็เดินไปใช้เท้าเตะอวี้ซิ่วหนึ่งที “นังไพร่ไม่รู้กาลเทศะ คำพูดนี้ให้เจ้าพูดจากปากได้หรือ?”แต่ในใจกลับแอบคิด สาวใช้ผู้นี้เห็นทีจะได้ตายพร้อมพระสนมเต๋อเฟยในวันนี้เป็นแน่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นดังนี้ จึงได้ถามอวี้ซิ่ว “เจ้าอยู่กับเต๋อเฟยในตำแหน่งอะไร?”“ฮึ!” สาวใช้เพียงแค่ทำเสียงฮึในลำคอ ไม่ยอมพูดอะไรอีกฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงนวดคลึงหว่างคิ้วของพระองค์เอง จึงได้รับสั่งต่อ “จับตัวนังผู้นี้ไปกรมอาญา แล้วสอบเค้นให้หนัก จนกว่านางจะยอมเปิดปากสารภาพทุกอย่าง”จากนั้นก็ทรงชี้นิ้วไปทางเซียงอวิ๋น “ประหารซะ”เมิ่งฉวนเต๋ออยู่กับฮ่องเต้มานาน ย่อมรู้ถึงนิสัยเป็นอย่างดี จึงไม่กล้ารีรออีก รีบสั่งให้คนปิดปากนางกำนัลทั้งสอง พร้อมแยกย้ายส่งตัวไปรับโทษบัดนี้จึงเหลือเพียงสนมซูผินเพียงผู้เดียว รอบข้างเงียบกริบเป็นอย่างมากเมื่อคำนึงถึงว่าใกล้จะมีงานอภิเษกขององค์หญิงรอง พระสนมหวงกุ้ยเฟยคิดว่าเรื่องนี้ให้ยุติชั่วคราวจะดีกว่า เพียงแต่ในใจยังอดนึกโกรธไม่ได้สุดท้ายจึงได้ถอนหายใจ พร้อมเอ่ยปากต่อ “ฝ่าบาทเพคะ ถึงอย่างไรซูเฟยก็เป็นมารดาขององค์หญิงรองและองค์หญิงเจ็ด บ
ฉยงหัวอยู่ด้านข้างแอบนินทาในใจ ขณะมองดูแสดงความรักระหว่างฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟย รู้ว่าเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เพราะปกติฮ่องเต้ก็มีสนมมากมายอยู่แล้ว ส่วนแววตาที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองดูฮ่องเต้นั้น ก็หาได้มีความรักแต่อย่างใด ดูคล้ายกับมองดูผู้เป็นนายมากกว่าใช่แล้ว คล้ายกับนายจ้าง ในนิทานก็บอกไว้เช่นนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่ชี้นิ้วไปยังสนมซูผิน “จับตัวนัง...”พลันหยุดชะงัก ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบหุบปาก เก็บคำว่า ‘ผู้หญิงหน้าโง่’ เข้าไปทันควัน เกือบถูกหวานหว่านพาให้เสียคนซะแล้ว“ให้นางไปอยู่ในตำหนักจูหัว ห้ามใครเข้าพบเป็นอันขาด รอจนกว่าองค์หญิงรองออกเรือนแล้วค่อยว่าใหม่”กล่าวจับก็ชี้ไปยังเมิ่งฉวนเต๋อ “ถ้ามีอะไรผิดพลาด ข้าจะเล่นงานเจ้า”เมิ่งฉวนเต๋อรีบถวายคำนับ “กระหม่อมจะดูแลอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”พลางเดินขึ้นหน้า ไปถึงข้างกายพระสนมซูผิน “เชิญพระสนมไปได้แล้ว”ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ถอดถอนนาง นางก็ยังเป็นสนมตำแหน่งผินอยู่ เมิ่งฉวนเต๋อจึงต้องให้เกียรติต่อหน้าผู้อื่นบ้างและในเวลานี้ ที่ทางเดินด้านนอกตำหนักชิงอวิ๋น องค์หญิงรองซิงเสวี่ยกำลังเดินเหม่อลอยอยู่นางรู้มานานแล้วว่าเสด็จแม่ไม่