จิ่นซินและจิ่นอวี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกนางต้องติดตามพระสนมใกล้ชิดอยู่แล้วตอนนี้ในตำหนักจึงเงียบเหงา ฉยงหัวจึงมีเวลาว่างเดินเล่นในตำหนักชิงอวิ๋นที่ใหญ่โตครั้งนี้ลู่ซิงหว่านเดาไม่ผิดจริง ๆ ฉยงหัวคนนี้ก็คือปี่ฉยงหัว ซึ่งก็คือพี่ฉยงหัวที่คอยดูลู่ซิงหว่านหลายอย่างตอนที่นางอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรคราวนี้ลู่ซิงหว่านทะยานขึ้นฟ้าถูกคนลอบทำร้าย อาจารย์เป็นห่วงนางมาก แต่เขาไม่สามารถออกจากโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ ฉยงหัวเสนอตัวเดินทางมาแทนอาจารย์ของลู่ซิงหว่านแม้ว่าจะทํานายตำแหน่งของ,ซิงหว่านมาจากโลกแห่งการบําเพ็ญเพียรแล้ว แต่เมื่อพอลงมายังโลกมนุษย์ก็ยังคงไปลงผิดตำแหน่ง ไปโผล่ที่ชายแดนของแคว้นต้าฉู่ทั้งที่ตำแหน่งที่ทำนายไว้ควรเป็นเมืองหลวงของแคว้นต้าฉู่แถมตัวเองก็สูญเสียพลังวิญญาณไปหมดตัว นี่มัน... โชคร้ายสุด ๆ ไปเลยตอนนี้นอกจากจะมาผิดที่แล้วยังสูญเสียพลังวิญญาณ และยังเกือบจะถูกพวกเจ้าเล่ห์หลอกไปขายอีกโชคดีที่ทหารองครัก์ของติ้งกั๋วโหวช่วยตัวเองไว้ จึงรอดพ้นจากภัยนี้มาได้โลกมนุษย์อันตรายถึงเพียงนี้ ขนาดนางเป็นผู้ใหญ่ยังขนาดนี้ สงสารก็แต่หวานหว่าน ไม่รู้ว่าตอนนี้จะไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนโ
หลังจากเซียงอวิ๋นออกจากตำหนักจูหัวแล้ว สนมชูผินจึงหันไปถามอวี้ซิ่วที่อยู่ข้าง ๆ ว่า "ยานั้นไม่มีปัญหาแน่นะ?""สนมวางใจได้" อวี้ซิ่วบีบไหล่ให้สนมชูผินพลางพูดเบา ๆ "เดิมทีก็ทำเพื่อทดสอบเซียงอวิ๋นเท่านั้น จะเป็นพิษจริงได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ"สนมชูผินพยักหน้าสบายใจแต่ในที่ที่สนมชูผินมองไม่เห็น อวี้ซิ่วกลับแสดงสีหน้าชั่วร้ายออกมาในเวลานี้ในตำหนักชิงอวิ๋น เซียงอวิ๋นเห็นว่ามีนางกำนัลตําหนิตัวเอง ในใจก็ตื่นตระหนก แต่หันไปมองแล้วเห็นว่าไม่ใช่นางกำนัลที่มีหน้ามีตาในตำหนักชิงอวิ๋น และวันนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ออกจากวังไปเข้าร่วมงานกวีนิพนธ์ จะตั้งใจทิ้งคนไว้เฝ้าที่ตำหนักได้อย่างไร?ทันใดนั้นใจนางก็สงบลงอีกครั้ง นางมองไปที่หญิงสาวคนนั้น "พระสนมกุ้ยเฟยให้ข้ากลับมาส่งของ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?""ของอะไร" ฉยงหัวจะไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่เซียงอวิ๋นก็หยิบของในมือให้ฉยงหัวดูอย่างใจเย็น แต่ไม่ได้วางไว้ในมือที่นางยื่นออก "นี่เป็นธูปที่พระสนมกุ้ยเฟยขอจากองค์หญิงใหญ่เมื่อหลายวันก่อน ให้ข้าส่งกลับมาให้ก่อน"ฉยงหัวกลับไม่เชื่อนาง จึงก้าวไปข้างหน้าและห้ามนางไว้ "ไม่ได้ ก่อนที่พระสนมจะกลับมา ใครก็เข้าไปไม่ได้"พวกนา
เพราะเรื่องที่องค์หญิงสองแต่งงานจึงทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ชอบสนมซูผิน และน้ำเสียงก็มีแต่เพียงความเรียบนิ่ง “ในเมื่อเป็นเจ้าที่สั่งสอน แล้วเหตุใดถึงได้วิ่งมาที่ตำหนังชิงอวิ๋นเล่า ?”แม้ว่าน้ำเสียงจะเรียบนิ่ง แต่ดวงตาทั้งสองกลับมองไปที่สนมซูผินจนทำให้สนมซูผินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา“ไม่รู้ว่านางกำนัลคนนี้มาจากที่ใดถึงได้กล้ามาทำตัวกำเริบอยู่ที่ตำหนักชิงอวิ๋น และถูกหม่อมฉันชนเข้าพอดี” แม้ว่าสนมซูผินจะกลัวแต่ก็พยายามทำให้จิตใจมั่นคงฉยงหัวเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่เข้ามาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย ดูจากน้ำเสียงของสนมซูผินบุรุษผู้นี้คงจะเป็นฮ่องเต้ของโลกนี้จึงไม่ได้ไปทำตัวอ่อนแออีก แล้วเอ่ยพูด “หม่อมฉันเป็นนางกำนัลข้างกายของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เป็น…”ฉยงหัวกลับรู้สึกว่าว่าท่าทางของตัวเองในตอนนี้ไม่ง่ายที่จะแสดงท่าทางออกมา “เป็น” ทิศทางนี้จึงเริ่มเอ่ยเปลี่ยนเป็นคำอื่นแล้วใช้คางชี้ไปยังทิศทางของเซียงอวิ๋น “นางกำนัลผู้นั้นต้องการที่จะบุกเข้าไปยังห้องด้านในของพระสนมกุ้ยเฟย หม่อมฉันจะยอมให้นางสมหวังไม่ได้เพคะ”เอ่ยจบก็ใช่คางชี้ไปทางสนมซูผิน “ส่วนที่สนมซูผินเอ่ยว่าหม่อมฉันตีนางกำนัลของนาง เป็นนางกำนัลของนางผู้น
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้มองไปที่เซียงอวิ๋น “ในเมื่อฉยงหัวเอ่ยว่าเจ้าบุกลุกเข้ามาในตำหนัก เจ้าเองก็อธิบายเถิด”เพียงแต่ภายในน้ำเสียงกลับมีความน่าเกรงขามแฝงเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัยขณะนั้นเซียงอวิ๋นก็เลิ่กลั่กขึ้นมาแล้วรีบเงยหน้ามองไปที่สนมซูผินก่อนจะคุกเข่าคำนับลงมา “หม่อมฉันได้รับคำสั่งมาจากสนมซูผินเพื่อตั้งใจมามอบเครื่องหอมให้แกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพคะ”“เจ้า…” ฉยงหัวที่อยู่ด้านข้างอดพูดคำสกปรกออกมาไม่ได้แต่ก็อดกลั่นเอาไม่อีกครั้ง “นางกำนัลน้อยอย่างเจ้าเหตุใดถึงได้เอ่ยคำพูดเหลวไหล เมื่อสักครู่เจ้ายังบอกว่าเจ้าเป็นคนข้างกายของพระสนมกุ้ยเฟย พระสนมได้เครื่องหอมที่หายากมาจากองค์หญิงใหญ่จึงให้เจ้านำมาส่งก่อน”เซียงอวิ๋นได้ยินฉยงหัวเอ่ยเช่นนี้ขณะนั้นจึงร้อนรนขึ้น “เมื่อสักครู่เจ้าพูดเหลวไหล ข้าพูดมาตลอดว่ามามอบเครื่องหอมแทนสนมซูผิน เป็นเจ้าที่ฟังผิด”“เจ้า…” ฉยงหัวชี้ไปที่เซียงอวิ๋นโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เหตุใดถึงมีคนที่หน้าไม่อายขนาดนี้อยู่ด้วย“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามามอบเครื่องหอม” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นทั้งสองโต้เถียงกันไม่หยุด นางรู้ว่าเซียงอวิ๋นเป็นผู้ที่ไหลไปตามน้ำ การที่ผู้ที่เรียบง่ายใสซื่ออย่าง
พูดจบก็ยื่นกล่องเครื่องหอมไปตรงหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่พระสนมเฉินอดหน้าเสียออกมาไม่ได้ ดูท่าทางระมัดระวังของทางฝั่งนั้นเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่ากลัวว่าพิษนั้นจะทําร้ายข้า แต่ตอนนี้กลับยัดพิษนี้ใส่ต่อหน้าฮ่องเต้โดยตรง นี่...พฤติกรรมนี้คล้ายกับพฤติกรรมของลูกสาวคนเล็กที่ยังพูดไม่เป็นของตัวเองมาก เป็นสองมาตรฐานมาก เป็นใบหน้าหนึ่งสําหรับพ่อ เป็นใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่งสําหรับแม่ หรือว่านางเป็นพี่สาวฉยงหัวที่หวานหว่านพูดถึงจริง ๆฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้มาที่ตําหนักชิงอวิ๋นนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงจะเจอเรื่องเช่นนี้ จึงแย่งกระถางธูปในมือฉยงหัวไป แล้วโยนใส่ศีรษะของสนมซูผินเครื่องหอมนั้นเดิมทีเป็นสีแดงอยู่แล้ว ทันใดนั้นก็กระจายอยู่บนหัวของสนมซูผิน ทําให้ใบหน้าของสนมซูผินครึ่งเป็นสีแดงไปหมด ค่อนข้างมีกลิ่นอายแปลก ๆกระถางธูปนั้นเดิมทีก็ไม่เบาอยู่แล้ว กระแทกใส่หัวของสนมซูผิน เลือดก็ไหลออกมาทันทีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดว่าตนเองไม่ใช่คนดีอะไร และก็ไม่ได้มองสนมซูผินผู้นั้นด้วย มาทำร้ายนางทําร้ายอย่างนี้ นางยังยกน้ำชาให้อีกได้ยังไงล่ะแต่ก็รู้ว่าต้องทําท่าทางให้พอต่อหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่ “ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้ว ต้องฟังส
ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทนไม่ไหวแล้ว ดิ้นรนจะออกจากอ้อมกอดของฮ่องเต้ต้าฉู่ แล้วโผเข้าใส่อ้อมกอดของฉงหวาฮ่องเต้ต้าฉู่กลับคิดว่านางซนและดึงนางกลับมา“เพียงแต่ข้ามีเรื่องจะปรึกษาสนมซูผิน” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่น้ําเสียงกลับเย็นชาสนมซูผินเหมือนคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ในพริบตา รีบเอ่ยปากตอบว่า “พระสนมถามได้ตามสบาย”“ในเมื่อสนมซูผินบอกว่าเซียงอวิ๋นเกลียดข้าเพราะเรื่องของสนมฟางกุ้ยเหริน แล้วเป็นเพราะอะไรเล่า” น้ำเสียงของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความไม่แยแส“ย่อมเป็นเพราะเรื่องที่สนมฟางกุ้ยเหรินเข้าวังเย็น...” สนมซูผินรีบตอบออกมาอย่างไม่มีสมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะเสียงหยัน “ตามความหมายของสนมซูผิน คือข้าใช้วิชามารในพระราชวัง นี่จึงทําให้สนมฟางกุ้ยเหรินแท้งลูก จากนั้นก็กล่าวหาสนมหยุนกุ้ยเหรินว่า ข้าควรทําร้ายพวกนางสองคนถึงจะถูก”สนมซูผินเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดผิด จึงรีบโขกหัว “พระสนมโปรดอภัย เป็นหม่อมข้าพูดผิดเองเพคะ”“สนมซูผินควรขอขมากับฝ่าบาทถึงจะถูก เรื่องนี้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินใจเอง”สนมซูผินรีบโขกหัวไปทางฮ่องเต้ต้าฉู
[ข้าช่างเป็นคนฉลาดนัก สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นเพียงสนมเล็กๆ ก็กล้ามาคิดร้ายต่อท่านแม่ แสดงว่าสนมซูผินคงมีส่วนร่วมด้วย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเสียงในใจของลู่ซิงหว่านเช่นนี้ก็ให้จนปัญญา ลูกรักของแม่ แต่ว่าซูผินก็เป็นเพียงสนมในตำแหน่งผินเท่านั้นสิ่งที่ตนไม่เข้าใจก็คือ ได้ไปล่วงเกินอะไรต่อสนมซูผินคนนี้เข้า นางจึงได้โกรธแค้นตนถึงเพียงนี้?เซียงอวิ๋นย่อมไม่รู้ความคิดวกวนในใจของผู้อื่น ได้แต่ก้มหน้ากล่าวตอบ “พระสนม บ่าวไม่กล้าพูดเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนี้ก็แอบถลึงตาไม่ให้คนอื่นได้เห็น ให้โอกาสเจ้าได้พูดกลับมาทำอิดออด ตอนนี้ถ้าอยู่ในกองทัพ ข้าคงสั่งโบยเจ้าไปสิบทีแล้วค่อยว่าต่อเป็นแน่แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่สนพระทัยเรื่องเหล่านี้ “ในเมื่อไม่กล้าพูด เมิ่งฉวนเต๋อ ลากตัวออกไปโบยสักสิบที ดูว่าจะกล้าพูดหรือเปล่า"”“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันพูด” เซียงอวิ๋นเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้ว จึงรีบคุกเข่าขอขมา แต่กลับถูกขันทีหลายคนลากตัวออกไป “พระสนมโปรดช่วยบ่าวด้วย”เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้วเช่นนี้ สนมซูผินกับสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังจึงยิ่งไม่กล้าพูดจาโบยตีอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเพิ่งนึกได้ว่าลู่ซ
เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ปฏิบัติต่อสนมซูผินเช่นนั้น เซียงอวิ๋นก็ค่อยมีกำลังใจมากขึ้น“ขณะที่สนมซูผินมอบเตาเครื่องหอมให้หม่อมฉัน ได้บอกว่าข้างในผสมยาพิษไว้ หากหม่อมฉันกล้าเอาไปวางไว้ในตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นั่นคือการแสดงความซื่อสัตย์ของหม่อมฉันเอง”เซียงอวิ๋นกล่าวถึงตรงนี้จึงได้หยุดลง พาให้ตำหนักชิงอวิ๋นยิ่งเงียบกริบ ทุกคนต่างตะลึงกับพฤติกรรมของสนมซูผินเช่นนี้ที่ออกเสียงได้ ก็มีเพียงเสียงในใจของลู่ซิงหว่านเท่านั้น [สนมซูผินเป็นบ้าแล้วหรือไง พบเจอครั้งแรกก็ให้นางกำนัลพิสูจน์ความซื่อสัตย์ด้วยวิธีการเช่นนี้][ถ้าอย่างนั้นมิสู้ให้นางไปตายเสียดีกว่า หมดเรื่องหมดราวไป][เซียงอวิ๋นก็ช่างโง่นัก สนมซูผินทำเช่นนี้คือการหลอกใช้เห็นๆ ขนาดเด็กอย่างข้ายังดูออกเลย เรื่องนี้หากทำสำเร็จจริง เจ้าก็ช่วยนางกำจัดแม่ข้าได้ แต่หากล้มเหลว นางจะโยนความผิดให้เจ้ารับแต่เพียงผู้เดียว][เสด็จพ่อช่างไปหาผู้หญิงสติไม่สมประกอบเหล่านี้มาจากไหนกัน ก่อนหน้านี้ก็พระสนมเต๋อเฟย ถัดมาก็เป็นสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินและฟางกุ้ยเหริน ตอนนี้ก็เป็นสนมซูผินอีก][เฮ่ย เป็นเสด็จพ่อก็ไม่ง่ายนัก วันๆ ต้องคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงโง่เขล