นางจึงเร่งฝีเท้าไปที่ตำแหน่งชิงอวิ๋น ท่านน้าอาศัยอยู่ในวังมานานนางต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน"ท่านน้ารู้ไหมเพคะว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับลู่ซิงเสวี่ย?" องค์หญิงองค์ใหญ่ทำความเคารพเสร็จก็จับมือกุ้ยเฟยเฉินเดินไปที่ห้องด้านในเฉินกุ้ยเฟยกลับถูกนางทำให้สับสน "เกิดอะไรขึ้น"พูดจบเหมือนนึกอะไรออกจึงถามว่า "เจ้าเจอนางระหว่างทางแล้ว ทะเลาะกันอีกแล้วหรือ"องค์หญิงใหญ่กลับลุกขึ้นจากม้านั่งอย่างแรง ทําให้กุ้ยเฟยตกใจรีบเข้าไปประคอง "เจ้าระวังหน่อย กำลังท้องกำลังไส้"ลู่ซิงหว่านมองอยู่ข้างๆ อดพูดไม่ได้ว่า[ดูเหมือนว่านิสัยของพี่สาวคนโตของข้าไม่เหมือนท่านป้าเลย ฮองเฮาคนก่อนในหนังสือนิทานบอกว่าเป็นคนที่อ่อนโยนเป็นที่สุด พี่สาวคนโตท่าทางป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนท่านแม่ข้ามากกว่า]ฝ่ายเฉินกุ้ยเฟยก็คิดในใจว่า “ลูกรักของแม่ นี่เจ้าชมหรือว่าข้ากันแน่”องค์หญิงใหญ่รีบจับมือของเฉินกุ้ยเฟย "ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่นาง... นาง... ทักทายข้าน่ะสิ !"[ฮ่าๆ ๆ พี่ใหญ่น่ารักมาก ข้าชอบเล่นกับพี่ใหญ่ เดี่ยวถ้าหลานคลอดแล้วข้าต้องไปเยี่ยมเจ้าตัวเล็กสักหน่อย][ช่างเถอะ เด็กเล็กวุ่นวายเกินไป ไม่ไปดีกว่า]เฉินกุ้ยเฟยเองก็สงสัย
ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรออกขึ้นมา นางมองไปที่เฉินกุ้ยเฟย "ตอนนี้ท่านน้าดูแลตำหนักทั้งหกอยู่นี่เพคะ ไม่สู้น้าช่วยจัดแจงให้นางหน่อยดีไหม"เฉินกุ้ยเฟยกลับมององค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้างงงวย "อะไรกัน นี่ข้ากลายเป็นแม่สื่อไปแล้วหรือ""ดูนางน่าสงสารนี่เพคะ ข้าก็ช่วยท่านน้าเป็นธุระด้วยอีกแรงดีไหมเพคะ" องค์หญิงใหญ่เขย่าแขนของนางเฉินกุ้ยเฟยกลับดีดหน้าผากของนาง "เจ้านี่ก็ช่างใจดี ที่นางทำเจ้าไว้แต่ก่อนไม่ถือสาแล้วหรือ"องค์หญิงใหญ่กลับถอนหายใจ "ถึงยังไงก็เป็นน้องสาวของตัวเอง จะให้ข้าดูนางกระโดดเข้ากองไฟอยู่เฉยๆ หรือ"[พี่สาวคนโตของข้าไม่เพียงแต่สดใสมีชีวิตชีวาและฉลาดหนักแหลมเท่านั้น แต่ยังงดงามและน่าประทับใจ แถมมีน้ำใจด้วย ได้มีภรรยาเป็นเช่นนี้ สามีจะขออะไรอีก]เฉินกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว หวานหว่านคิดอะไรอยู่นี่พอคิดมาถึงตรงนี่ก็อุ้มหวานหว่านขึ้นมา แล้วมองไปที่องค์หญิงใหญ่ "เจ้าจะไปหาจิ่นหยูใช่ไหม""ย่อมต้องไปอยู่แล้วสิเพคะ แต่ดันมาถูกซิงเสวี่ยขัดจังหวะเสียก่อน ไม่เช่นนั้นข้าคงไปนานแล้ว" องค์หญิงใหญ่รีบลุกขึ้นตามเฉินกุ้ยเฟยไปเฉินกุ้ยเฟยจึงยัดลู่ซิงหว่านเข้าไปในอ้อมแขนของจิ่นซินและ
เฉินกุ้ยเฟยก็ยิ้ม "ไม่เป็นไร ตอนนี้หย่งอันก็ไม่ได้เป็นไรแล้ว"พวกเขาคุยกันอีกสองสามคําแล้วเฉินกุ้ยเฟยก็ปล่อยมือและพูดว่า "พี่สาวของเจ้าจะไปเยี่ยมพี่สอง งั้นข้าก็ไม่อยู่คุยเล่นกับพวกเจ้าแล้ว"องค์ชายสามจึงคำนับนางและมองดูเฉินกุ้ยเฟยและคณะจากไป เสร็จแล้วจึงหันหลังมาดึงองค์หญิงหกก็เดินไปที่ตำหนักฉางชิวองค์หญิงห้าก็ถูกนางกำนัลของนางพากลับไปที่ตำหนักเหวินอิงเมื่อเข้าไปในตำหนักฉางชิวแล้ว องค์ชายสามก็มององค์หญิงหกด้วยความโมโห แต่ก็พยายามใจเย็นก่อนพูดว่า "ตอนนี้ท่านแม่สนมถูกลดตำแหน่ง เจ้าอยู่ในวังจะพูดจะทำอะไรต้องระวังให้มาก ต่อไปก็อย่าไปมาหาสู่กับซิงยุ่นนัก"องค์หญิงหกพยักหน้ารับ แต่หลังจากที่องค์ชายสามจากไปนางก็กวาดสิ่งของบนโต๊ะลงกับพื้น "ลู่ซิงหว่าน ทั้งหมดเป็นเจ้า ทั้งหมดเป็นเจ้าคนเดียว"ส่วนทางฝั่งองค์หญิงใหญ่ก็อึ้งอีกครั้งนางถามว่า “ท่านน้า องค์ชายสาม... ก็โดนผีเข้าด้วยหรือ”เฉินกุ้ยเฟยรีบเอามือปิดปากนาง "เรื่องแบบนี้พูดที่ตำหนักชิงหยุนได้เท่านั้น ก่อนหน้านี้อวิ๋นกุ้ยเหรินเพิ่งจะก่อเรื่องนั้นไว้ เจ้าอยู่ในวังพูดอะไรก็ระวังหน่อย"องค์หญิงใหญ่รับพยักหน้า พอเฉินกุ้ยเฟยปล่อยมือแล้ว
องค์หญิงใหญ่เห็นองค์หญิงสองเป็นแบบนี้ เลยพูดติดตลกว่า "ข้าว่าน้องสองคงไม่ได้ออกไปข้างนอกมานานแล้ว ควรออกไปเดินเล่นหน่อยจะได้เจอชายหนุ่มดีๆ บ้าง"องค์หญิงสองกลับยิ้มขมขื่น "เสด็จพี่อย่ามาล้อเล่นข้าเลย อีกอย่าง ข้ามีอิสระแบบเสด็จพี่ที่ไหน"องค์หญิงใหญ่ได้ยินดังนั้น ก็เหมือนนึกอะไรได้ รีบมองไปที่สองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยและหลานเฟย "พระสนมเฉิน พระสนมหลาน ตอนนี้อากาศก็อบอุ่นขึ้นแล้ว ตระกูลฉินมีสวนแห่งหนึ่งในเมืองหลวงสวยงามมาก เก็บกวาดเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว เราไปจัดงานแต่งบทกวีกันดีหรือไม่"ดวงตาทั้งสองข้างมองเฉินกุ้ยเฟยด้วยแววตาเป็นประกาย แต่เฉินกุ้ยเฟยกลับลังเลตัวเองออกจากวังสองครั้งก่อน ก็เจอการลอบสังหารทั้งสองครั้ง เพื่อความปลอดภัยของหวานหว่านน่าจะอยู่ในวังดีกว่าไหมลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ กลับตบโต๊ะด้วยความดีใจ[ดีจัง หวานหว่านชอบเดินเที่ยวสวนที่สุด ถึงตอนนั้นหวังว่าพี่สาวคนโตจะเชิญคนมาเยอะๆ หวานหว่านชอบความคึกคักที่สุดเลย][ท่านแม่ของข้าก็ชอบความคึกคัก! ข้าชอบพี่สาวคนโตที่สุดเลย!][ถึงตอนนั้นท่านแม่ต้องตามเกาะแกะคุณหนูตระกูลขุนนางพวกนั้นให้เล่าเรื่องซุบซิบของคนอื่นให้ฟังแน
เดิมทีคิดว่าหลังจากองค์หญิงใหญ่ออกจากวังไปแล้วจะรอดพ้นจากเรื่องแบบนี้แล้วเสียอีก ไม่คิดว่าวันนี้องค์หญิงใหญ่แค่เสด็จกลับวังวันเดียว ก็ยังทะเลาะกันมาถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ได้"มหาขันทีเมิ่ง เสด็จพ่อจะอยู่หรือไม่" องค์หญิงใหญ่ถามด้วยเสียงหวานแต่เมิ่งฉวนเต๋อลำบากอยู่พักหนึ่ง ถ้าปล่อยองค์หญิงสองพระองค์เข้าไป วันนี้ฮ่องเต้จะต้องปวดหัวอีกแน่"ซิงนั่วมาหรือ เข้ามาสิ!" ไม่รอให้เมิ่งฉวนเต๋อคิดเสร็จ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เอ่ยปากเสียก่อนเมิ่งฉวนเต๋อทําอะไรไม่ถูก ได้แต่ทำใจกล้าพาองค์หญิงสององค์เข้าไปฮ่องเต้ต้าฉู่เพิ่งได้ข่าวว่าถ้าซิงนั่วตั้งครรภ์เมื่อวันก่อนนี้เองและพระองค์กำลังมีความสุข ครั้งที่แล้วเมื่อนางเข้าวังค่อนข้างอย่างรีบร้อนจึงไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก พระองค์จึงรีบเงยหน้าขึ้นมาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเอง แต่กลับเห็นลูกสาวคนโตเข้ามาพร้อมกับลูกสาวคนที่สองตอนนี้พระองค์ก็ปวดหัวเหมือนกัน แต่ก็ทำท่าดีใจ "พวกเจ้าสองคนมาด้วยกันหรือ""ฝ่าบาท ข้าเป็นคนลากน้องสองมาเองเพคะ" องค์หญิงใหญ่ตอบอย่างตรงไปตรงมาในใจของฮ่องเต้ต้าฉู่อดไม่ได้ตรึงเครียด เมื่อก่อนเวลาทั้งสองก็ทะเลาะกันเปิดหัวมาด้วยประโย
องค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสองได้คุยกับฮ่องเต้ต้าฉู่อีกสักครู่หนึ่ง ก่อนที่เมิ่งฉวนเต๋อจะพาออกมาส่ง ตอนอออกมาก้เจอพระสนมหนิงเฟยยืนอยู่ที่ประตูพอดีเมิ่งฉวนเต๋อรีบทำความเคารพ "พระสนมหนิงเฟยพ่ะย่ะค่ะ เมื่อกี้ฝ่าบาททรงตรัสกับองค์หญิงทั้งสองอยู่ จึงให้ท่านต้องรอนาน""ไม่เป็นไร" พระสนมหนิงเฟยพยักหน้าอย่างอ่อนโยนนางพยักหน้าให้องค์หญิงสองพระองค์ก่อนเข้าไปข้างใน"นี่คือพระสนมหนิงเฟยที่เก่งทางการแพทย์คนนั้นเหรอ" องค์หญิงใหญ่ไม่เคยเห็นพระสนมหนิงเฟยจึงรีบถามองค์หญิงสอง"อืม" องค์หญิงสองพยักหน้าแล้วตอบเบา ๆ "หลายวันก่อนเสด็จพ่อปวดหัวมาก แม้แต่หมอหลวงก็ยังรักษาไม่ได้ ถึงกระนั้นพระสนมหนิงเฟยให้ยาไปสองสามขนาน อาการปวดหัวของเสด็จพ่อก็หายเลย"จากนั้นก็กระเถิบเข้าใกล้องค์หญิงใหญ่แล้วพูดว่า "ตอนนี้เสด็จพ่อติดนางมาก ต้องให้ไปปรนนิบัติที่ห้องทรงอักษรทุกวัน""ไปทุกวันเลยหรือ" องค์หญิงใหญ่พึมพำ แต่คําพูดที่เหลือกลับไม่พูดออกมา ตอนนี้พระสนมหนิงเฟยคนนี้ได้รับความโปรดปรานขนาดนี้ ก็เท่ากับแบ่งความรักจากท่านน้าไปน่ะสิ"อืม" องค์หญิงสองพยักหน้า "ตอนที่น้องสาวเก้าไม่สบายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการรักษาจากนางเช่นกัน
“ในเมื่อพระสนมยอมให้อภัยเจ้าแล้ว” สนมหลินผินหันไปมององค์หญิงห้า “ก็จงไปคุกเข่าที่ตำหนักเหยียนหัวสามวัน ถือเป็นการขอขมา”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบห้ามปราม “คงไม่ต้องถึงเช่นนี้...”สนมหลินผินกลับย่อกายลง “ขอพระสนมโปรดให้โอกาสซิงยุ่นได้กลับตัวสักครั้งเถอะเพคะ”กล่าวจบก็สั่งนางกำนัลข้างกายให้พาองค์หญิงห้าไปยังตำหนักเหยียนหัวแล้วค่อยนั่งลงใหม่ ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยแฟยกับคนอื่น ๆ กลับเริ่มไม่เข้าใจการกระทำของนางแล้ว“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันสนิทกับพระสนมเต๋อเฟยมาก พระสนมคงจะรู้อยู่แล้ว ตอนนั้นพระสนมเต๋อเฟยได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้ฟังไม่น้อย จนทำให้หม่อมฉันพลอยรู้สึกไม่ดีต่อพระสนมไปบ้าง เหตุเพราะสนิทกับพระสนมเต๋อเฟย หม่อมฉันจึงอนุญาตให้ซิงยุ่นไปเล่นกับซิงหุยบ่อยๆ ลูกคนนี้เดิมก็เป็นคนเถรตรงอยู่แล้ว ไม่นึกว่าจะถูกองค์หญิงหกหลอกใช้เอาได้ จนเสียมารยาทต่อพระสนมเช่นนี้”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดีว่าคำพูดของสนมหลินผินมีทั้งจริงและเท็จปะปนกัน เพียงเพื่อจะอ่อนข้อให้แก่นาง แต่อย่างไรก็ตาม ปกตินางก็ไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีในวังอยู่แล้ว สนมหลินผินทำเช่นนี้เท่ากับช่วยนางตัดปัญหาไปได้มาก“เรื
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอึดอัด จึงได้พูดเรื่องจริงจัง “ที่หม่อมฉันมาวันนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งจะหารือกับฝ่าบาทเพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่มองหน้านางแทน“บัดนี้ซิงเสวี่ยก็ถึงวัยอันควรแล้ว น่าจะมีคู่ครองได้แล้วเพคะ ฝ่าบาทได้ทรงหมายตาตระกูลไหนไว้บ้างหรือยังเพคะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามหยั่งเชิง“ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หลายวันก่อนเกือบส่งนางไปแต่งงานที่ต่างเผ่าซะแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่เอ่ยถึงเรื่องในงานเลี้ยงขึ้นมา คล้ายกับไม่สู้พอใจนัก “แต่ยังไม่เห็นใครที่คู่ควร ชิงเหยียนเจ้าพอมีผู้ใดหมายตาหรือไม่?”“หม่อมฉันก็ยังไม่มีเหมือนกัน จึงมาคิดอีกที บัดนี้ดอกไม้ในอุทยานหลวงกำลังเบ่งบาน ถ้าไงลองจัดงานสังสรรค์ แล้วเชิญบรรดาคุณหนูคุณชายจากตระกูลต่าง ๆ มาเข้าวัง จะได้ดูตัวกันดีไหมเพคะ”“ก็ดี” ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้า “มีเจ้าคอยจัดการเรื่องของซิงเสวี่ย ข้าจะได้เบาใจขึ้น”“เพียงแต่อีกไม่กี่วันก็จะมีงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา ก็ต้องลำบากเจ้าอีก”“ยังมีพี่หญิงหลานเฟยคอยช่วย รวมถึงนางกำนัลหลายคนคอยรับใช้ หม่อมฉันย่อมทำงานง่ายขึ้นเพคะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นฮ่องเต้ทรงรับปากแล้