“ในเมื่อพระสนมยอมให้อภัยเจ้าแล้ว” สนมหลินผินหันไปมององค์หญิงห้า “ก็จงไปคุกเข่าที่ตำหนักเหยียนหัวสามวัน ถือเป็นการขอขมา”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบห้ามปราม “คงไม่ต้องถึงเช่นนี้...”สนมหลินผินกลับย่อกายลง “ขอพระสนมโปรดให้โอกาสซิงยุ่นได้กลับตัวสักครั้งเถอะเพคะ”กล่าวจบก็สั่งนางกำนัลข้างกายให้พาองค์หญิงห้าไปยังตำหนักเหยียนหัวแล้วค่อยนั่งลงใหม่ ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยแฟยกับคนอื่น ๆ กลับเริ่มไม่เข้าใจการกระทำของนางแล้ว“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันสนิทกับพระสนมเต๋อเฟยมาก พระสนมคงจะรู้อยู่แล้ว ตอนนั้นพระสนมเต๋อเฟยได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้ฟังไม่น้อย จนทำให้หม่อมฉันพลอยรู้สึกไม่ดีต่อพระสนมไปบ้าง เหตุเพราะสนิทกับพระสนมเต๋อเฟย หม่อมฉันจึงอนุญาตให้ซิงยุ่นไปเล่นกับซิงหุยบ่อยๆ ลูกคนนี้เดิมก็เป็นคนเถรตรงอยู่แล้ว ไม่นึกว่าจะถูกองค์หญิงหกหลอกใช้เอาได้ จนเสียมารยาทต่อพระสนมเช่นนี้”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดีว่าคำพูดของสนมหลินผินมีทั้งจริงและเท็จปะปนกัน เพียงเพื่อจะอ่อนข้อให้แก่นาง แต่อย่างไรก็ตาม ปกตินางก็ไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีในวังอยู่แล้ว สนมหลินผินทำเช่นนี้เท่ากับช่วยนางตัดปัญหาไปได้มาก“เรื
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอึดอัด จึงได้พูดเรื่องจริงจัง “ที่หม่อมฉันมาวันนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งจะหารือกับฝ่าบาทเพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่มองหน้านางแทน“บัดนี้ซิงเสวี่ยก็ถึงวัยอันควรแล้ว น่าจะมีคู่ครองได้แล้วเพคะ ฝ่าบาทได้ทรงหมายตาตระกูลไหนไว้บ้างหรือยังเพคะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามหยั่งเชิง“ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หลายวันก่อนเกือบส่งนางไปแต่งงานที่ต่างเผ่าซะแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่เอ่ยถึงเรื่องในงานเลี้ยงขึ้นมา คล้ายกับไม่สู้พอใจนัก “แต่ยังไม่เห็นใครที่คู่ควร ชิงเหยียนเจ้าพอมีผู้ใดหมายตาหรือไม่?”“หม่อมฉันก็ยังไม่มีเหมือนกัน จึงมาคิดอีกที บัดนี้ดอกไม้ในอุทยานหลวงกำลังเบ่งบาน ถ้าไงลองจัดงานสังสรรค์ แล้วเชิญบรรดาคุณหนูคุณชายจากตระกูลต่าง ๆ มาเข้าวัง จะได้ดูตัวกันดีไหมเพคะ”“ก็ดี” ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้า “มีเจ้าคอยจัดการเรื่องของซิงเสวี่ย ข้าจะได้เบาใจขึ้น”“เพียงแต่อีกไม่กี่วันก็จะมีงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา ก็ต้องลำบากเจ้าอีก”“ยังมีพี่หญิงหลานเฟยคอยช่วย รวมถึงนางกำนัลหลายคนคอยรับใช้ หม่อมฉันย่อมทำงานง่ายขึ้นเพคะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นฮ่องเต้ทรงรับปากแล้
เมื่อเห็นนางหลินดูร้อนรน นางจึงหันหน้าไปทางเหออวิ๋นเหยา “แน่นอนว่าเชิญคุณหนูรองด้วยเจ้าค่ะ”“เพียงแต่เหอฮูหยินคงไม่ต้องตามไปด้วย เพราะงานเลี้ยงของพระสนมจะเชิญเฉพาะเหล่าคุณชายและคุณหนูผู้มีมีชาติตระกูลเท่านั้น ฮูหยินทั้งหลายพักผ่อนสักวันหนึ่งก็คงไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”นางหลินรีบพยักหน้าตอบรับ “แน่นอนอยู่แล้ว”พร้อมนึกถึงคราวก่อนจิ่นซินปฏิเสธการรับเงินจากนาง จึงไม่กล้าเอ่ยถึงอีก ได้แต่ส่งนางออกไปอย่างนอบน้อม แล้วค่อยกลับมาช่วยเหออวิ๋นเหยาเตรียมการ ส่วนทางเหออวี่เหยานั้น ทุกวันนี้นางเป็นหลานรักของฮูหยินเฒ่า มีคนคอยห่วงใยอยู่แล้ว จึงไม่ต้องให้นางไปเหลียวแลอีกเพียงแต่เมื่อมีความคิดเช่นนี้ นางจึงมองข้ามเหออวี่เหยาไปภายหลังก็เลยถูกฮูหยินเฒ่าตำหนิอีกหลายวันต่อมา จู่ๆตำหนักเหยียนเหอก็ส่งข่าวมาว่าพระสนมหลานเฟยล้มป่วยลงพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงไม่มีแก่ใจสนใจเรื่องอื่นอีก รีบตรงไปตำหนักเหยียนเหอทันที แต่หลังจากเดินไปครู่ใหญ่ จึงพบว่าจิ่นซินได้อุ้มหวานหว่านตามออกมาด้วย“เจ้าพาหวานหว่านมาทำไม?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามด้วยความสงสัย เดิมคิดว่าพระสนมหลานเฟยล้มป่วย ก็ไม่ควรพาหวานหว่านไปด้วย เพราะร่
หลังจากพระสนมหลานเฟยล้มป่วยลง พระสนมหนิงเฟยก็มาดูแลทุกวัน แต่อาการก็ไม่ทุเลาขึ้นเลยพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้สึกเป็นห่วงยิ่งนัก ย่อมต้องไปเยี่ยมที่ตำหนักเหยียนเหอทุกวันอยู่แล้วและวันนี้แม้แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เสด็จมาด้วย เมื่อเห็นทุกคนอยู่พร้อมหน้า ก็หันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย พร้อมรับสั่งถาม “หลานเฟยเป็นอย่างไรบ้าง?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้แต่ส่ายหน้า “ยังคงเหมือนเดิมเพคะ”เมื่อเห็นฮ่องเต้มา พระสนมหลานเฟยก็สั่งให้สาวใช้ข้างกายพยุงให้ตนลุกขึ้น และพิงที่พนักเตียง เม้มริมฝีปากที่แทบไม่มีสีเลือด พร้อมกล่าวอย่างอ่อนแรง “ฝ่าบาทมาแล้วหรือเพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบเดินไปนั่งข้าง ๆ นาง พร้อมจับมือนางไว้ “เจ้าจะลุกขึ้นทำไมกัน”พระสนมหลานเฟยส่ายหน้า สภาพอ่อนแรงเห็นแล้วน่าสงสารเป็นอย่างมาก นางเอ่ยตอบกลับไปว่า “หม่อมฉันป่วยมาหลายวันแล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากทูลฝ่าบาทมาตลอดเพคะ”“พี่หญิงป่วยถึงเพียงนี้แล้ว มีอะไรรอให้หายก่อนแล้วค่อยว่าเถอะเพคะ” พระสนมหนิงเฟยเป็นห่วงแทนนาง จึงรีบเอ่ยปากห้ามปรามพระสนมหลานเฟยได้แต่หัวเราะเบา ๆ “พูดนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”จากนั้นค่อยหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ “หลายวันก่อนน้องหญ
วันหนึ่งเมื่อกลับถึงตำหนัก พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงได้พูดคุยกับจิ่นซินและจิ่นอวี้ “ข้าดูการทำงานของหนิงเฟยแล้ว เป็นคนละเอียดรอบคอบ แสดงว่าตอนอยู่บ้านเดิม แม่ของนางคงจะอบรมมาไม่น้อย”“พระสนมจะได้สบายขึ้นนะเจ้าคะ” จิ่นอวี้ช่วยล้างมือให้พลาง พร้อมกล่าวสัพยอก“ข้าดูแล้ว แม้ว่าหนิงเฟยจะเข้าวังมาช้า แต่มีคุณสมบัติพอจะเป็นฮองเฮาได้ดี” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวอย่างชื่นชมจิ่นซินจิ่นอวี้ฟังแล้วไม่ได้เอ่ยปากตอบ เพราะพวกนางต่างรู้ดี พระสนมเข้าวังมาได้ก็ด้วยความสัมพันธ์ขององค์ชายรัชทายาท วันหน้าหากองค์ชายได้ครองราชย์จริง ต่อให้ตำแหน่งฮองเฮาว่างอยู่ ก็ไม่มีวันแต่งตั้งพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ จึงได้แต่ถอนหายใจทั้งคู่แต่ลู่ซิงหว่านกลับไม่คิดแบบนั้น[ข้าก็ว่างั้นแหละ ตำแหน่งฮองเฮาก็ให้พระสนมหนิงเฟยเป็นไปเถอะ ท่านแม่ไม่ต้องดูแลแม้แต้งานในวังหลังทั้งหกด้วย สู้เป็นพระสนมที่ว่างงาน อยู่สบายไปวัน ๆ ยังดีกว่า][วันหลังถ้าเงินไม่พอใช้จริง ๆ เราก็ไปขอจากพี่ชายใหญ่ ถ้าไม่ได้อีก ก็ไปหาพี่หญิงใหญ่ บ้านสามีนางมีเงิน][เฮ้อ ถ้าไม่ได้อีกละก็ ข้าใช้สมองอันชาญฉลาดของข้าหาเงินมาเลี้ยงท่านแม่ก็ยังได้เลย][สรุปคือท่านแม่
ได้พระสนมหนิงเฟยมาเป็นผู้ช่วย งานทุกอย่างจึงเป็นไปด้วยความราบรื่น อีกสองวันก็จะมีงานสังสรรค์เทศกาลฤดูใบไม้ผลิแล้วมีคนจากในวังทยอยส่งบัตรเชิญไปยังจวนต่าง ๆ เพื่อเชิญเหล่าคุณชายและคุณหนูทั้งหลายให้เข้าวัง เพียงไม่นาน ร้านตัดเสื้อผ้าในเมืองหลวง ร้านขายเครื่องประดับต่าง ๆ ก็เริ่มคึกคักขึ้นมาและเมื่อถึงวันจัดงาน จวนขุนนางทั้งหลายก็เริ่มวุ่นวายกันแต่เช้าตรู่ จวบจนถึงยามสาย ก็เริ่มมีรถม้าทยอยไปทางประตูวังหลวงส่วนในตำหนักชิงอวิ๋นนั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ตื่นแต่เช้าเช่นกันนางคิดอยู่ว่า หากได้พบคุณหนูผู้มีตระกูลสูงบางคนก่อนงานจะเริ่มก็คงดี เพราะตอนนี้นางยังมีห่วงอยู่หลายอย่างนัก!แต่ก็มีคำกล่าวบอกว่า ที่ใดมีคนมาก ที่นั่นจะยิ่งมีเรื่องวุ่นวายตามมาและเพิ่งเข้าวังไม่นาน จิ่นซินก็วิ่งมาหา “พระสนม นอกวังเกิดเรื่องแล้วเพคะ”“เกิดเรื่องแล้ว?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตกใจเป็นอย่างมาก ที่จริงนางก็รู้ว่าคุณหนูเหล่านี้อาจมีการทะเลาะแง่งอนบ้าง แต่ถ้าจะก่อเรื่องขึ้นที่นอกวัง ก็นับว่ากำแหงเกินไปหน่อยแล้ว“ก็ไม่ถึงกับเรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่มีปากเสียงเล็กน้อยเท่านั้นเพคะ”“ปากเสียงอะไรกัน?”“ก็คุณหนูเหออ
เพราะได้รับคำเชิญจากพระสนมเอก ทุกคนจึงไม่กล้าอิดออดชักช้า เพียงไม่ถึงเวลาครึ่งก้านธูป บรรดาคุณหนูก็ถูกจิ่นอวี้พาเข้ามายังโถงกลางของตำหนักชิงอวิ๋นส่วนคุณหนูผู้อื่นนั้น ก็มีนางกำนัลอีกหลายคนพาไปยังตำหนักชิงอวิ๋น หลังจากคารวะพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแล้วค่อยไปต่อที่อุทยานหลวง ยังมีคุณชายอีกหลายคน ก็จะมีคนของรัชทายาทและเหล่าพี่น้องคอยให้การต้อนรับวังหลวงเป็นที่พำนักของฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้บรรดาคุณหนูซึ่งปกติอยู่บ้านมักใช้อำนาจบาตรใหญ่ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามนางกำนัลไปอย่างเงียบ ๆและมีคุณหนูบางคนเพิ่งเคยมาวังหลวงครั้งแรก แม้ปกติอยู่บ้านจะถูกเอาอกเอาใจเพียงไหน เมื่อเข้าวังมาก็ต้องเดินตามนางกำนัลด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตน ไม่กล้าพูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียวเพราะไม่นึกว่าวังหลวงจะโอ่อ่าถึงเพียงนี้ ขนาดเดินอยู่นานถึงครึ่งก้านธูป ก็ยังไม่ถึงตำหนักชิงอวิ๋นสักที ทำเอาเหล่าคุณหนูเริ่มจะเหนื่อยล้าเต็มทีนางกำนัลที่นำหน้าได้รับคำสั่งมาจากพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เมื่อเห็นเหล่าคุณหนูต่างก็เหนื่อยล้า จึงได้ชะลอฝีเท้าลง เพราะไหน ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ช้าหน่อยคงไม่เป็นไรและที่ตำหนักชิงอวิ๋นในเวลานี้ พระสน
ไม่นานนัก คนอื่นก็ตามมาสมทบที่ตำหนักชิงอวิ๋นจิ่นอวี้เข้ามารายงาน “พระสนม คุณหนูทั้งหลายมาถึงแล้วเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า พร้อมสั่งจิ่นอวี้ “เอาของเข้ามาได้”จากนั้นก็กล่าวต่อคุณหนูทั้งหลาย “วันนี้ที่เชิญทุกคนมา เพราะมีธุระเรื่องหนึ่ง ข้ารู้สึกถูกชะตากับคุณหนูทุกคน จึงได้เตรียมปิ่นไว้ห้าเล่ม แต่ว่ารูปแบบเหมือนกัน เพื่อมอบให้แก่ทุกคน”ทุกคนรีบลุกขึ้นแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณพระสนมเพคะ”จึงให้จิ่นซิ่นและจิ่นอวี้ช่วยทุกคนปักปิ่น และหัวเราะด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว สวยมาก”ตื่นเช้ามาวันนี้ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนาน ๆ จะแต่งกายเต็มยศสักครั้ง แม้ว่าจะวุ่นวายซับซ้อน แต่ก็แลดูสวยงามยิ่ง จนทำให้คุณหนูบางคนรู้สึกละอายในตนเอง ที่แท้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นสาวงามที่หาคนเทียบยากยิ่งนักแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็อดชื่นชมไม่ได้[ท่านแม่สวยจัง ข้าอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญยังไม่เคยเห็นใครสวยขนาดนี้มาก่อน อีกหน่อยข้าโตขึ้นก็คงสวยเหมือนท่านแม่ด้วยใช่ไหม]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยื่นหน้าไปหอมแก้มลู่ซิงหว่าน พลางคิดในใจ หวานหว่านของแม่ย่อมเป็นหญิงสาวที่งามที่สุดในโลก“ไปเถอะ เราไปข้างนอกกัน” กล่าวจบก็เดินนำออกไปคุณหน
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต
หลังจากมองส่งชายผู้นั้นจากไปแล้ว ความเคร่งขรึมจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่ “เว่ยเฉิง ถือป้ายคําสั่ง ไปโยกย้ายทหาร”เว่ยเฉิงกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าฉู่“เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับยืนกรานอย่างยิ่ง “ข้างกายข้ามีองครักษ์เงามังกร ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นในเวลานี้ คนที่เคาะประตูอยู่นอกจวนตระกูลจิ้นก็คือกลุ่มของฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมทีเขาอยากจะไปคนเดียว แต่ภายใต้การยืนยันของซ่งชิงเหยียน ในที่สุดก็ไปด้วยกันทั้งสามคนถึงอย่างไรความสามารถในการได้ยินของลู่ซิงหว่านในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งมีชิงเหยียนอยู่ หากมีอันตรายจริงๆ นางก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเห็นคนที่มา ใต้เท้าจิ้นก็ตกใจจนยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทําไมฝ่าบาทถึงกลับมาอีก“ใต้เท้าจิ้น” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทําความเคารพใต้เท้าจิ้นอย่างเป็นกลาง “ข้าน้อยลู่เหยา อยากมาทํามาหากินที่อําเภอไถจิน หวังว่าใต้เท้าจิ้นจะสะดวก เงินทองอะไร ล้วนคุยกันได้”ใต้เท้าจิ้นรีบคํานับกลับ เขาจะกล้ารับการคํานับจากฝ่าบาทได้อย่างไรมองซ่งชิงเหยียนที่อุ้มเด็กอยู่ข้างๆ อีกครั้ง คิดว่านี่คงเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิ
“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “หาพวกคนบ้านนอกมาสอบถามดูว่าใต้เท้าจิ้นเป็นคนอย่างไรกันแน่”เว่ยเฉิงมองตามสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ไป จริงดังคาด ตอนนี้ที่นามีราษฎรจํานวนไม่น้อยกําลังไถนาอยู่แม้จะสงสัย แต่ก็รับพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้วเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก เว่ยเฉิงก็พาคนคนหนึ่งเดินกลับมา “นายท่าน ชายผู้นี้บอกว่ามีเรื่องจะพูด”ชายผู้นั้นคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"[โอ้ แม่เจ้า พื้นที่นี่ไม่เรียบเลยนะ ไม่เจ็บเหรอเนี่ย]“นายท่านท่านนี้คิดว่าคงมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่านายท่านอยากรู้อะไรหรือขอรับ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทําธุรกิจเล็กๆ ที่อําเภอไถจินแห่งนี้ ไม่รู้ว่านายอําเภออย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร ก็เลยอยากลองสอบถามดู”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของน้องชายผู้นั้นมีความผิดหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่งเดิมทีเขาคิดว่าคนนี้เป็นขุนนางใหญ่อะไรในเมืองหลวง ได้รับคําสั่งให้มาตรวจสอบใต้เท้าจิ้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ครอบครัวพ่อค้าเท่านั้น แต่ก็ยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่านดู
เสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนมาไม่น้อยแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้[โอ้ เสด็จพ่อของข้า ท่านคิดว่ายังอยู่ในวังหรือ? ท่านทําตัวเงียบๆ หน่อยที่ข้างนอกได้ไหม?][ข้ากับท่านท่านแม่ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัยนะ][จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทําไมต้องตามเสด็จพ่อออกมาด้วย คงไม่ได้ถูกลอบสังหารอีกแล้วใช่ไหม?]ส่วนซ่งชิงเหยียนก็รีบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา คีบอาหารให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ข้ารู้ว่านายท่านคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว แต่ไม่กินไม่ได้นะเจ้าคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เข้าใจความหมายของแม่ลูกคู่นี้ จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา ค่อยๆ กินอาหารในจานสนมเยว่กุ้ยเหรินยืนมองอยู่ด้านข้างจนตาค้างใครบอกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยพระสนมมีนิสัยหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่าทําไมนางถึงเข้าวังมาหลายปีและยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนยศสักทีก็ตัวเองไม่สมควรจริงๆ นั่นแหละ!ทําไมพระสนมถึงได้เก่งขนาดนี้ทางด้านบู๊สามารถนําทหารไปรบได้ ส่วนด้านเหวิน... เหวินสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ได้ส่งเว่ยเฉิงไปตรวจสอบใต้เท้าจิ้นที่อ