องค์หญิงใหญ่เห็นองค์หญิงสองเป็นแบบนี้ เลยพูดติดตลกว่า "ข้าว่าน้องสองคงไม่ได้ออกไปข้างนอกมานานแล้ว ควรออกไปเดินเล่นหน่อยจะได้เจอชายหนุ่มดีๆ บ้าง"องค์หญิงสองกลับยิ้มขมขื่น "เสด็จพี่อย่ามาล้อเล่นข้าเลย อีกอย่าง ข้ามีอิสระแบบเสด็จพี่ที่ไหน"องค์หญิงใหญ่ได้ยินดังนั้น ก็เหมือนนึกอะไรได้ รีบมองไปที่สองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยและหลานเฟย "พระสนมเฉิน พระสนมหลาน ตอนนี้อากาศก็อบอุ่นขึ้นแล้ว ตระกูลฉินมีสวนแห่งหนึ่งในเมืองหลวงสวยงามมาก เก็บกวาดเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว เราไปจัดงานแต่งบทกวีกันดีหรือไม่"ดวงตาทั้งสองข้างมองเฉินกุ้ยเฟยด้วยแววตาเป็นประกาย แต่เฉินกุ้ยเฟยกลับลังเลตัวเองออกจากวังสองครั้งก่อน ก็เจอการลอบสังหารทั้งสองครั้ง เพื่อความปลอดภัยของหวานหว่านน่าจะอยู่ในวังดีกว่าไหมลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ กลับตบโต๊ะด้วยความดีใจ[ดีจัง หวานหว่านชอบเดินเที่ยวสวนที่สุด ถึงตอนนั้นหวังว่าพี่สาวคนโตจะเชิญคนมาเยอะๆ หวานหว่านชอบความคึกคักที่สุดเลย][ท่านแม่ของข้าก็ชอบความคึกคัก! ข้าชอบพี่สาวคนโตที่สุดเลย!][ถึงตอนนั้นท่านแม่ต้องตามเกาะแกะคุณหนูตระกูลขุนนางพวกนั้นให้เล่าเรื่องซุบซิบของคนอื่นให้ฟังแน
เดิมทีคิดว่าหลังจากองค์หญิงใหญ่ออกจากวังไปแล้วจะรอดพ้นจากเรื่องแบบนี้แล้วเสียอีก ไม่คิดว่าวันนี้องค์หญิงใหญ่แค่เสด็จกลับวังวันเดียว ก็ยังทะเลาะกันมาถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ได้"มหาขันทีเมิ่ง เสด็จพ่อจะอยู่หรือไม่" องค์หญิงใหญ่ถามด้วยเสียงหวานแต่เมิ่งฉวนเต๋อลำบากอยู่พักหนึ่ง ถ้าปล่อยองค์หญิงสองพระองค์เข้าไป วันนี้ฮ่องเต้จะต้องปวดหัวอีกแน่"ซิงนั่วมาหรือ เข้ามาสิ!" ไม่รอให้เมิ่งฉวนเต๋อคิดเสร็จ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เอ่ยปากเสียก่อนเมิ่งฉวนเต๋อทําอะไรไม่ถูก ได้แต่ทำใจกล้าพาองค์หญิงสององค์เข้าไปฮ่องเต้ต้าฉู่เพิ่งได้ข่าวว่าถ้าซิงนั่วตั้งครรภ์เมื่อวันก่อนนี้เองและพระองค์กำลังมีความสุข ครั้งที่แล้วเมื่อนางเข้าวังค่อนข้างอย่างรีบร้อนจึงไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก พระองค์จึงรีบเงยหน้าขึ้นมาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเอง แต่กลับเห็นลูกสาวคนโตเข้ามาพร้อมกับลูกสาวคนที่สองตอนนี้พระองค์ก็ปวดหัวเหมือนกัน แต่ก็ทำท่าดีใจ "พวกเจ้าสองคนมาด้วยกันหรือ""ฝ่าบาท ข้าเป็นคนลากน้องสองมาเองเพคะ" องค์หญิงใหญ่ตอบอย่างตรงไปตรงมาในใจของฮ่องเต้ต้าฉู่อดไม่ได้ตรึงเครียด เมื่อก่อนเวลาทั้งสองก็ทะเลาะกันเปิดหัวมาด้วยประโย
องค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสองได้คุยกับฮ่องเต้ต้าฉู่อีกสักครู่หนึ่ง ก่อนที่เมิ่งฉวนเต๋อจะพาออกมาส่ง ตอนอออกมาก้เจอพระสนมหนิงเฟยยืนอยู่ที่ประตูพอดีเมิ่งฉวนเต๋อรีบทำความเคารพ "พระสนมหนิงเฟยพ่ะย่ะค่ะ เมื่อกี้ฝ่าบาททรงตรัสกับองค์หญิงทั้งสองอยู่ จึงให้ท่านต้องรอนาน""ไม่เป็นไร" พระสนมหนิงเฟยพยักหน้าอย่างอ่อนโยนนางพยักหน้าให้องค์หญิงสองพระองค์ก่อนเข้าไปข้างใน"นี่คือพระสนมหนิงเฟยที่เก่งทางการแพทย์คนนั้นเหรอ" องค์หญิงใหญ่ไม่เคยเห็นพระสนมหนิงเฟยจึงรีบถามองค์หญิงสอง"อืม" องค์หญิงสองพยักหน้าแล้วตอบเบา ๆ "หลายวันก่อนเสด็จพ่อปวดหัวมาก แม้แต่หมอหลวงก็ยังรักษาไม่ได้ ถึงกระนั้นพระสนมหนิงเฟยให้ยาไปสองสามขนาน อาการปวดหัวของเสด็จพ่อก็หายเลย"จากนั้นก็กระเถิบเข้าใกล้องค์หญิงใหญ่แล้วพูดว่า "ตอนนี้เสด็จพ่อติดนางมาก ต้องให้ไปปรนนิบัติที่ห้องทรงอักษรทุกวัน""ไปทุกวันเลยหรือ" องค์หญิงใหญ่พึมพำ แต่คําพูดที่เหลือกลับไม่พูดออกมา ตอนนี้พระสนมหนิงเฟยคนนี้ได้รับความโปรดปรานขนาดนี้ ก็เท่ากับแบ่งความรักจากท่านน้าไปน่ะสิ"อืม" องค์หญิงสองพยักหน้า "ตอนที่น้องสาวเก้าไม่สบายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการรักษาจากนางเช่นกัน
“ในเมื่อพระสนมยอมให้อภัยเจ้าแล้ว” สนมหลินผินหันไปมององค์หญิงห้า “ก็จงไปคุกเข่าที่ตำหนักเหยียนหัวสามวัน ถือเป็นการขอขมา”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบห้ามปราม “คงไม่ต้องถึงเช่นนี้...”สนมหลินผินกลับย่อกายลง “ขอพระสนมโปรดให้โอกาสซิงยุ่นได้กลับตัวสักครั้งเถอะเพคะ”กล่าวจบก็สั่งนางกำนัลข้างกายให้พาองค์หญิงห้าไปยังตำหนักเหยียนหัวแล้วค่อยนั่งลงใหม่ ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยแฟยกับคนอื่น ๆ กลับเริ่มไม่เข้าใจการกระทำของนางแล้ว“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันสนิทกับพระสนมเต๋อเฟยมาก พระสนมคงจะรู้อยู่แล้ว ตอนนั้นพระสนมเต๋อเฟยได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้ฟังไม่น้อย จนทำให้หม่อมฉันพลอยรู้สึกไม่ดีต่อพระสนมไปบ้าง เหตุเพราะสนิทกับพระสนมเต๋อเฟย หม่อมฉันจึงอนุญาตให้ซิงยุ่นไปเล่นกับซิงหุยบ่อยๆ ลูกคนนี้เดิมก็เป็นคนเถรตรงอยู่แล้ว ไม่นึกว่าจะถูกองค์หญิงหกหลอกใช้เอาได้ จนเสียมารยาทต่อพระสนมเช่นนี้”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดีว่าคำพูดของสนมหลินผินมีทั้งจริงและเท็จปะปนกัน เพียงเพื่อจะอ่อนข้อให้แก่นาง แต่อย่างไรก็ตาม ปกตินางก็ไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีในวังอยู่แล้ว สนมหลินผินทำเช่นนี้เท่ากับช่วยนางตัดปัญหาไปได้มาก“เรื
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอึดอัด จึงได้พูดเรื่องจริงจัง “ที่หม่อมฉันมาวันนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งจะหารือกับฝ่าบาทเพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่มองหน้านางแทน“บัดนี้ซิงเสวี่ยก็ถึงวัยอันควรแล้ว น่าจะมีคู่ครองได้แล้วเพคะ ฝ่าบาทได้ทรงหมายตาตระกูลไหนไว้บ้างหรือยังเพคะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามหยั่งเชิง“ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หลายวันก่อนเกือบส่งนางไปแต่งงานที่ต่างเผ่าซะแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่เอ่ยถึงเรื่องในงานเลี้ยงขึ้นมา คล้ายกับไม่สู้พอใจนัก “แต่ยังไม่เห็นใครที่คู่ควร ชิงเหยียนเจ้าพอมีผู้ใดหมายตาหรือไม่?”“หม่อมฉันก็ยังไม่มีเหมือนกัน จึงมาคิดอีกที บัดนี้ดอกไม้ในอุทยานหลวงกำลังเบ่งบาน ถ้าไงลองจัดงานสังสรรค์ แล้วเชิญบรรดาคุณหนูคุณชายจากตระกูลต่าง ๆ มาเข้าวัง จะได้ดูตัวกันดีไหมเพคะ”“ก็ดี” ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้า “มีเจ้าคอยจัดการเรื่องของซิงเสวี่ย ข้าจะได้เบาใจขึ้น”“เพียงแต่อีกไม่กี่วันก็จะมีงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา ก็ต้องลำบากเจ้าอีก”“ยังมีพี่หญิงหลานเฟยคอยช่วย รวมถึงนางกำนัลหลายคนคอยรับใช้ หม่อมฉันย่อมทำงานง่ายขึ้นเพคะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นฮ่องเต้ทรงรับปากแล้
เมื่อเห็นนางหลินดูร้อนรน นางจึงหันหน้าไปทางเหออวิ๋นเหยา “แน่นอนว่าเชิญคุณหนูรองด้วยเจ้าค่ะ”“เพียงแต่เหอฮูหยินคงไม่ต้องตามไปด้วย เพราะงานเลี้ยงของพระสนมจะเชิญเฉพาะเหล่าคุณชายและคุณหนูผู้มีมีชาติตระกูลเท่านั้น ฮูหยินทั้งหลายพักผ่อนสักวันหนึ่งก็คงไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”นางหลินรีบพยักหน้าตอบรับ “แน่นอนอยู่แล้ว”พร้อมนึกถึงคราวก่อนจิ่นซินปฏิเสธการรับเงินจากนาง จึงไม่กล้าเอ่ยถึงอีก ได้แต่ส่งนางออกไปอย่างนอบน้อม แล้วค่อยกลับมาช่วยเหออวิ๋นเหยาเตรียมการ ส่วนทางเหออวี่เหยานั้น ทุกวันนี้นางเป็นหลานรักของฮูหยินเฒ่า มีคนคอยห่วงใยอยู่แล้ว จึงไม่ต้องให้นางไปเหลียวแลอีกเพียงแต่เมื่อมีความคิดเช่นนี้ นางจึงมองข้ามเหออวี่เหยาไปภายหลังก็เลยถูกฮูหยินเฒ่าตำหนิอีกหลายวันต่อมา จู่ๆตำหนักเหยียนเหอก็ส่งข่าวมาว่าพระสนมหลานเฟยล้มป่วยลงพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงไม่มีแก่ใจสนใจเรื่องอื่นอีก รีบตรงไปตำหนักเหยียนเหอทันที แต่หลังจากเดินไปครู่ใหญ่ จึงพบว่าจิ่นซินได้อุ้มหวานหว่านตามออกมาด้วย“เจ้าพาหวานหว่านมาทำไม?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามด้วยความสงสัย เดิมคิดว่าพระสนมหลานเฟยล้มป่วย ก็ไม่ควรพาหวานหว่านไปด้วย เพราะร่
หลังจากพระสนมหลานเฟยล้มป่วยลง พระสนมหนิงเฟยก็มาดูแลทุกวัน แต่อาการก็ไม่ทุเลาขึ้นเลยพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้สึกเป็นห่วงยิ่งนัก ย่อมต้องไปเยี่ยมที่ตำหนักเหยียนเหอทุกวันอยู่แล้วและวันนี้แม้แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เสด็จมาด้วย เมื่อเห็นทุกคนอยู่พร้อมหน้า ก็หันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย พร้อมรับสั่งถาม “หลานเฟยเป็นอย่างไรบ้าง?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้แต่ส่ายหน้า “ยังคงเหมือนเดิมเพคะ”เมื่อเห็นฮ่องเต้มา พระสนมหลานเฟยก็สั่งให้สาวใช้ข้างกายพยุงให้ตนลุกขึ้น และพิงที่พนักเตียง เม้มริมฝีปากที่แทบไม่มีสีเลือด พร้อมกล่าวอย่างอ่อนแรง “ฝ่าบาทมาแล้วหรือเพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบเดินไปนั่งข้าง ๆ นาง พร้อมจับมือนางไว้ “เจ้าจะลุกขึ้นทำไมกัน”พระสนมหลานเฟยส่ายหน้า สภาพอ่อนแรงเห็นแล้วน่าสงสารเป็นอย่างมาก นางเอ่ยตอบกลับไปว่า “หม่อมฉันป่วยมาหลายวันแล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากทูลฝ่าบาทมาตลอดเพคะ”“พี่หญิงป่วยถึงเพียงนี้แล้ว มีอะไรรอให้หายก่อนแล้วค่อยว่าเถอะเพคะ” พระสนมหนิงเฟยเป็นห่วงแทนนาง จึงรีบเอ่ยปากห้ามปรามพระสนมหลานเฟยได้แต่หัวเราะเบา ๆ “พูดนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”จากนั้นค่อยหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ “หลายวันก่อนน้องหญ
วันหนึ่งเมื่อกลับถึงตำหนัก พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงได้พูดคุยกับจิ่นซินและจิ่นอวี้ “ข้าดูการทำงานของหนิงเฟยแล้ว เป็นคนละเอียดรอบคอบ แสดงว่าตอนอยู่บ้านเดิม แม่ของนางคงจะอบรมมาไม่น้อย”“พระสนมจะได้สบายขึ้นนะเจ้าคะ” จิ่นอวี้ช่วยล้างมือให้พลาง พร้อมกล่าวสัพยอก“ข้าดูแล้ว แม้ว่าหนิงเฟยจะเข้าวังมาช้า แต่มีคุณสมบัติพอจะเป็นฮองเฮาได้ดี” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวอย่างชื่นชมจิ่นซินจิ่นอวี้ฟังแล้วไม่ได้เอ่ยปากตอบ เพราะพวกนางต่างรู้ดี พระสนมเข้าวังมาได้ก็ด้วยความสัมพันธ์ขององค์ชายรัชทายาท วันหน้าหากองค์ชายได้ครองราชย์จริง ต่อให้ตำแหน่งฮองเฮาว่างอยู่ ก็ไม่มีวันแต่งตั้งพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ จึงได้แต่ถอนหายใจทั้งคู่แต่ลู่ซิงหว่านกลับไม่คิดแบบนั้น[ข้าก็ว่างั้นแหละ ตำแหน่งฮองเฮาก็ให้พระสนมหนิงเฟยเป็นไปเถอะ ท่านแม่ไม่ต้องดูแลแม้แต้งานในวังหลังทั้งหกด้วย สู้เป็นพระสนมที่ว่างงาน อยู่สบายไปวัน ๆ ยังดีกว่า][วันหลังถ้าเงินไม่พอใช้จริง ๆ เราก็ไปขอจากพี่ชายใหญ่ ถ้าไม่ได้อีก ก็ไปหาพี่หญิงใหญ่ บ้านสามีนางมีเงิน][เฮ้อ ถ้าไม่ได้อีกละก็ ข้าใช้สมองอันชาญฉลาดของข้าหาเงินมาเลี้ยงท่านแม่ก็ยังได้เลย][สรุปคือท่านแม่