หลังจากเกิดเรื่องต่างๆ มากมายขนาดนี้ องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ที่จวนตัวเองก็นั่งไม่ติดแล้วเหมือนกันในวันนี้จึงขอพระราชทานพระราชานุญาตเข้าเยี่ยมไทเฮาในวังครั้งสุดท้ายที่นางเข้าวังมาถวายพระพรก็ไม่ได้พบเสด็จย่า นับๆ แล้วนี่ก็ไม่ได้เจอเสด็จย่ามาเกือบหนึ่งปีแล้ว"เสด็จย่า หลานคิดถึงเสด็จจังเลยเพคะ" องค์หญิงใหญ่ได้ใกล้ชิดกับไทเฮามากก่อนออกจากพระราชวังไป ครั้งนี้ก็เดินทางไปเจียงหนานจึงไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้"อืมๆ ๆ หลานสาวคนดีของย่า จดหมายที่เจ้าเขียนมาย่าได้อ่านหมดแล้ว ดูท่าทางเจ้าไปเจียงหนานครั้งนี้จะไม่เลวนะ" ไทเฮาเห็นองค์หญิงใหญ่หมอบลงบนตักตัวเองจึงตบหลังนางเบาๆแม่นมที่อยู่ข้างๆ เห็นสองย่าหลานดูมีความสุขและอดไม่ได้ที่จะต้องปาดน้ำตาองค์หญิงใหญ่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดีเยี่ยมจากฮ่องเฮาองค์ก่อน ไม่ว่าลมแรงหรือฝนก็ต้องมาถวายพระพรไทเฮาที่ตำหนักหรงเล่อตลอด แม้ภายหลังจะออกจากพระราชวังไปแล้ว แต่ไม่กี่วันก็จะกลับเข้ามามาเยี่ยมทีปีนี้ไทเฮาก็บ่นถึงองค์หญิงใหญ่ไม่ขาดปาก จึงเอ่ยปากว่า "องค์หญิงใหญ่กลับมาแล้ว ไทเฮาคิดถึงท่านมากเลยเพคะ""นังคนนี่ เจ้าฟ้องเรื่องข้าหรือ" ไทเฮาไม่ได้โกรธจริง แค่แสร
นางจึงเร่งฝีเท้าไปที่ตำแหน่งชิงอวิ๋น ท่านน้าอาศัยอยู่ในวังมานานนางต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน"ท่านน้ารู้ไหมเพคะว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับลู่ซิงเสวี่ย?" องค์หญิงองค์ใหญ่ทำความเคารพเสร็จก็จับมือกุ้ยเฟยเฉินเดินไปที่ห้องด้านในเฉินกุ้ยเฟยกลับถูกนางทำให้สับสน "เกิดอะไรขึ้น"พูดจบเหมือนนึกอะไรออกจึงถามว่า "เจ้าเจอนางระหว่างทางแล้ว ทะเลาะกันอีกแล้วหรือ"องค์หญิงใหญ่กลับลุกขึ้นจากม้านั่งอย่างแรง ทําให้กุ้ยเฟยตกใจรีบเข้าไปประคอง "เจ้าระวังหน่อย กำลังท้องกำลังไส้"ลู่ซิงหว่านมองอยู่ข้างๆ อดพูดไม่ได้ว่า[ดูเหมือนว่านิสัยของพี่สาวคนโตของข้าไม่เหมือนท่านป้าเลย ฮองเฮาคนก่อนในหนังสือนิทานบอกว่าเป็นคนที่อ่อนโยนเป็นที่สุด พี่สาวคนโตท่าทางป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนท่านแม่ข้ามากกว่า]ฝ่ายเฉินกุ้ยเฟยก็คิดในใจว่า “ลูกรักของแม่ นี่เจ้าชมหรือว่าข้ากันแน่”องค์หญิงใหญ่รีบจับมือของเฉินกุ้ยเฟย "ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่นาง... นาง... ทักทายข้าน่ะสิ !"[ฮ่าๆ ๆ พี่ใหญ่น่ารักมาก ข้าชอบเล่นกับพี่ใหญ่ เดี่ยวถ้าหลานคลอดแล้วข้าต้องไปเยี่ยมเจ้าตัวเล็กสักหน่อย][ช่างเถอะ เด็กเล็กวุ่นวายเกินไป ไม่ไปดีกว่า]เฉินกุ้ยเฟยเองก็สงสัย
ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรออกขึ้นมา นางมองไปที่เฉินกุ้ยเฟย "ตอนนี้ท่านน้าดูแลตำหนักทั้งหกอยู่นี่เพคะ ไม่สู้น้าช่วยจัดแจงให้นางหน่อยดีไหม"เฉินกุ้ยเฟยกลับมององค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้างงงวย "อะไรกัน นี่ข้ากลายเป็นแม่สื่อไปแล้วหรือ""ดูนางน่าสงสารนี่เพคะ ข้าก็ช่วยท่านน้าเป็นธุระด้วยอีกแรงดีไหมเพคะ" องค์หญิงใหญ่เขย่าแขนของนางเฉินกุ้ยเฟยกลับดีดหน้าผากของนาง "เจ้านี่ก็ช่างใจดี ที่นางทำเจ้าไว้แต่ก่อนไม่ถือสาแล้วหรือ"องค์หญิงใหญ่กลับถอนหายใจ "ถึงยังไงก็เป็นน้องสาวของตัวเอง จะให้ข้าดูนางกระโดดเข้ากองไฟอยู่เฉยๆ หรือ"[พี่สาวคนโตของข้าไม่เพียงแต่สดใสมีชีวิตชีวาและฉลาดหนักแหลมเท่านั้น แต่ยังงดงามและน่าประทับใจ แถมมีน้ำใจด้วย ได้มีภรรยาเป็นเช่นนี้ สามีจะขออะไรอีก]เฉินกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว หวานหว่านคิดอะไรอยู่นี่พอคิดมาถึงตรงนี่ก็อุ้มหวานหว่านขึ้นมา แล้วมองไปที่องค์หญิงใหญ่ "เจ้าจะไปหาจิ่นหยูใช่ไหม""ย่อมต้องไปอยู่แล้วสิเพคะ แต่ดันมาถูกซิงเสวี่ยขัดจังหวะเสียก่อน ไม่เช่นนั้นข้าคงไปนานแล้ว" องค์หญิงใหญ่รีบลุกขึ้นตามเฉินกุ้ยเฟยไปเฉินกุ้ยเฟยจึงยัดลู่ซิงหว่านเข้าไปในอ้อมแขนของจิ่นซินและ
เฉินกุ้ยเฟยก็ยิ้ม "ไม่เป็นไร ตอนนี้หย่งอันก็ไม่ได้เป็นไรแล้ว"พวกเขาคุยกันอีกสองสามคําแล้วเฉินกุ้ยเฟยก็ปล่อยมือและพูดว่า "พี่สาวของเจ้าจะไปเยี่ยมพี่สอง งั้นข้าก็ไม่อยู่คุยเล่นกับพวกเจ้าแล้ว"องค์ชายสามจึงคำนับนางและมองดูเฉินกุ้ยเฟยและคณะจากไป เสร็จแล้วจึงหันหลังมาดึงองค์หญิงหกก็เดินไปที่ตำหนักฉางชิวองค์หญิงห้าก็ถูกนางกำนัลของนางพากลับไปที่ตำหนักเหวินอิงเมื่อเข้าไปในตำหนักฉางชิวแล้ว องค์ชายสามก็มององค์หญิงหกด้วยความโมโห แต่ก็พยายามใจเย็นก่อนพูดว่า "ตอนนี้ท่านแม่สนมถูกลดตำแหน่ง เจ้าอยู่ในวังจะพูดจะทำอะไรต้องระวังให้มาก ต่อไปก็อย่าไปมาหาสู่กับซิงยุ่นนัก"องค์หญิงหกพยักหน้ารับ แต่หลังจากที่องค์ชายสามจากไปนางก็กวาดสิ่งของบนโต๊ะลงกับพื้น "ลู่ซิงหว่าน ทั้งหมดเป็นเจ้า ทั้งหมดเป็นเจ้าคนเดียว"ส่วนทางฝั่งองค์หญิงใหญ่ก็อึ้งอีกครั้งนางถามว่า “ท่านน้า องค์ชายสาม... ก็โดนผีเข้าด้วยหรือ”เฉินกุ้ยเฟยรีบเอามือปิดปากนาง "เรื่องแบบนี้พูดที่ตำหนักชิงหยุนได้เท่านั้น ก่อนหน้านี้อวิ๋นกุ้ยเหรินเพิ่งจะก่อเรื่องนั้นไว้ เจ้าอยู่ในวังพูดอะไรก็ระวังหน่อย"องค์หญิงใหญ่รับพยักหน้า พอเฉินกุ้ยเฟยปล่อยมือแล้ว
องค์หญิงใหญ่เห็นองค์หญิงสองเป็นแบบนี้ เลยพูดติดตลกว่า "ข้าว่าน้องสองคงไม่ได้ออกไปข้างนอกมานานแล้ว ควรออกไปเดินเล่นหน่อยจะได้เจอชายหนุ่มดีๆ บ้าง"องค์หญิงสองกลับยิ้มขมขื่น "เสด็จพี่อย่ามาล้อเล่นข้าเลย อีกอย่าง ข้ามีอิสระแบบเสด็จพี่ที่ไหน"องค์หญิงใหญ่ได้ยินดังนั้น ก็เหมือนนึกอะไรได้ รีบมองไปที่สองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยและหลานเฟย "พระสนมเฉิน พระสนมหลาน ตอนนี้อากาศก็อบอุ่นขึ้นแล้ว ตระกูลฉินมีสวนแห่งหนึ่งในเมืองหลวงสวยงามมาก เก็บกวาดเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว เราไปจัดงานแต่งบทกวีกันดีหรือไม่"ดวงตาทั้งสองข้างมองเฉินกุ้ยเฟยด้วยแววตาเป็นประกาย แต่เฉินกุ้ยเฟยกลับลังเลตัวเองออกจากวังสองครั้งก่อน ก็เจอการลอบสังหารทั้งสองครั้ง เพื่อความปลอดภัยของหวานหว่านน่าจะอยู่ในวังดีกว่าไหมลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ กลับตบโต๊ะด้วยความดีใจ[ดีจัง หวานหว่านชอบเดินเที่ยวสวนที่สุด ถึงตอนนั้นหวังว่าพี่สาวคนโตจะเชิญคนมาเยอะๆ หวานหว่านชอบความคึกคักที่สุดเลย][ท่านแม่ของข้าก็ชอบความคึกคัก! ข้าชอบพี่สาวคนโตที่สุดเลย!][ถึงตอนนั้นท่านแม่ต้องตามเกาะแกะคุณหนูตระกูลขุนนางพวกนั้นให้เล่าเรื่องซุบซิบของคนอื่นให้ฟังแน
เดิมทีคิดว่าหลังจากองค์หญิงใหญ่ออกจากวังไปแล้วจะรอดพ้นจากเรื่องแบบนี้แล้วเสียอีก ไม่คิดว่าวันนี้องค์หญิงใหญ่แค่เสด็จกลับวังวันเดียว ก็ยังทะเลาะกันมาถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ได้"มหาขันทีเมิ่ง เสด็จพ่อจะอยู่หรือไม่" องค์หญิงใหญ่ถามด้วยเสียงหวานแต่เมิ่งฉวนเต๋อลำบากอยู่พักหนึ่ง ถ้าปล่อยองค์หญิงสองพระองค์เข้าไป วันนี้ฮ่องเต้จะต้องปวดหัวอีกแน่"ซิงนั่วมาหรือ เข้ามาสิ!" ไม่รอให้เมิ่งฉวนเต๋อคิดเสร็จ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เอ่ยปากเสียก่อนเมิ่งฉวนเต๋อทําอะไรไม่ถูก ได้แต่ทำใจกล้าพาองค์หญิงสององค์เข้าไปฮ่องเต้ต้าฉู่เพิ่งได้ข่าวว่าถ้าซิงนั่วตั้งครรภ์เมื่อวันก่อนนี้เองและพระองค์กำลังมีความสุข ครั้งที่แล้วเมื่อนางเข้าวังค่อนข้างอย่างรีบร้อนจึงไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก พระองค์จึงรีบเงยหน้าขึ้นมาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเอง แต่กลับเห็นลูกสาวคนโตเข้ามาพร้อมกับลูกสาวคนที่สองตอนนี้พระองค์ก็ปวดหัวเหมือนกัน แต่ก็ทำท่าดีใจ "พวกเจ้าสองคนมาด้วยกันหรือ""ฝ่าบาท ข้าเป็นคนลากน้องสองมาเองเพคะ" องค์หญิงใหญ่ตอบอย่างตรงไปตรงมาในใจของฮ่องเต้ต้าฉู่อดไม่ได้ตรึงเครียด เมื่อก่อนเวลาทั้งสองก็ทะเลาะกันเปิดหัวมาด้วยประโย
องค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสองได้คุยกับฮ่องเต้ต้าฉู่อีกสักครู่หนึ่ง ก่อนที่เมิ่งฉวนเต๋อจะพาออกมาส่ง ตอนอออกมาก้เจอพระสนมหนิงเฟยยืนอยู่ที่ประตูพอดีเมิ่งฉวนเต๋อรีบทำความเคารพ "พระสนมหนิงเฟยพ่ะย่ะค่ะ เมื่อกี้ฝ่าบาททรงตรัสกับองค์หญิงทั้งสองอยู่ จึงให้ท่านต้องรอนาน""ไม่เป็นไร" พระสนมหนิงเฟยพยักหน้าอย่างอ่อนโยนนางพยักหน้าให้องค์หญิงสองพระองค์ก่อนเข้าไปข้างใน"นี่คือพระสนมหนิงเฟยที่เก่งทางการแพทย์คนนั้นเหรอ" องค์หญิงใหญ่ไม่เคยเห็นพระสนมหนิงเฟยจึงรีบถามองค์หญิงสอง"อืม" องค์หญิงสองพยักหน้าแล้วตอบเบา ๆ "หลายวันก่อนเสด็จพ่อปวดหัวมาก แม้แต่หมอหลวงก็ยังรักษาไม่ได้ ถึงกระนั้นพระสนมหนิงเฟยให้ยาไปสองสามขนาน อาการปวดหัวของเสด็จพ่อก็หายเลย"จากนั้นก็กระเถิบเข้าใกล้องค์หญิงใหญ่แล้วพูดว่า "ตอนนี้เสด็จพ่อติดนางมาก ต้องให้ไปปรนนิบัติที่ห้องทรงอักษรทุกวัน""ไปทุกวันเลยหรือ" องค์หญิงใหญ่พึมพำ แต่คําพูดที่เหลือกลับไม่พูดออกมา ตอนนี้พระสนมหนิงเฟยคนนี้ได้รับความโปรดปรานขนาดนี้ ก็เท่ากับแบ่งความรักจากท่านน้าไปน่ะสิ"อืม" องค์หญิงสองพยักหน้า "ตอนที่น้องสาวเก้าไม่สบายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการรักษาจากนางเช่นกัน
“ในเมื่อพระสนมยอมให้อภัยเจ้าแล้ว” สนมหลินผินหันไปมององค์หญิงห้า “ก็จงไปคุกเข่าที่ตำหนักเหยียนหัวสามวัน ถือเป็นการขอขมา”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบห้ามปราม “คงไม่ต้องถึงเช่นนี้...”สนมหลินผินกลับย่อกายลง “ขอพระสนมโปรดให้โอกาสซิงยุ่นได้กลับตัวสักครั้งเถอะเพคะ”กล่าวจบก็สั่งนางกำนัลข้างกายให้พาองค์หญิงห้าไปยังตำหนักเหยียนหัวแล้วค่อยนั่งลงใหม่ ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยแฟยกับคนอื่น ๆ กลับเริ่มไม่เข้าใจการกระทำของนางแล้ว“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันสนิทกับพระสนมเต๋อเฟยมาก พระสนมคงจะรู้อยู่แล้ว ตอนนั้นพระสนมเต๋อเฟยได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้ฟังไม่น้อย จนทำให้หม่อมฉันพลอยรู้สึกไม่ดีต่อพระสนมไปบ้าง เหตุเพราะสนิทกับพระสนมเต๋อเฟย หม่อมฉันจึงอนุญาตให้ซิงยุ่นไปเล่นกับซิงหุยบ่อยๆ ลูกคนนี้เดิมก็เป็นคนเถรตรงอยู่แล้ว ไม่นึกว่าจะถูกองค์หญิงหกหลอกใช้เอาได้ จนเสียมารยาทต่อพระสนมเช่นนี้”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดีว่าคำพูดของสนมหลินผินมีทั้งจริงและเท็จปะปนกัน เพียงเพื่อจะอ่อนข้อให้แก่นาง แต่อย่างไรก็ตาม ปกตินางก็ไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีในวังอยู่แล้ว สนมหลินผินทำเช่นนี้เท่ากับช่วยนางตัดปัญหาไปได้มาก“เรื
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต