จันทร์เจ้าคลี่ยิ้มให้เขาพลางวางบัตรซึ่งเป็นการ์ดแข็งสีดำและปั๊มชื่อของชายหนุ่มเป็นภาษาอังกฤษด้วยสีทองลงตรงหน้าชินดนัย จากนั้นก็กางแผ่นโฆษณาซึ่งมีรูปบันนี่เกิร์ลสุดเซ็กซี่ในชุดเสื้อเอวลอยกับกางเกงขาสั้นรัดรูปสีขาวเด่นหราอยู่ตรงกลาง ในแผ่นนั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการแสดงโชว์ของเดือนล่าสุด รวมไปถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ สำหรับสมาชิกวีไอพี
ตอนแรกที่เธอเห็นซองจดหมายเรียบหรูสีดำ มีโลโก้ของคลับปั๊มสีทองอยู่ด้านหน้า เธอก็รู้แล้วว่าเป็นที่ไหน เพราะผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่บริษัทเก่าก็เป็นสมาชิกอยู่เช่นกัน เขาพาลูกค้าคนสำคัญไปเลี้ยงที่นั่นบ่อย เธอเองก็เคยเข้าไปที่นั่นหนึ่งครั้งจึงพอรู้ว่าเป็นสถานที่แบบไหน
"อะแฮ่ม! เอ่อ...พี่ไม่ได้สมัครเองนะ เพื่อนพี่มันสมัครให้น่ะ ออกเงินให้อีกต่างหาก"
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนพลางหยิบบัตรสมาชิกใบนั้นมาเก็บในกระเป๋าเสื้อ จะทำทีเป็นโยนทิ้งถังขยะให้เธอเห็นแล้วค่อยเก็บคืนมาทีหลังก็กระไรอยู่ เพราะดูเหมือนเป็นการหลอกลวงเสียเปล่า ๆ อย่างไรเสียเขากับเพื่อนสนิทก็ต้องไปพบปะสังสรรค์ที่นั่นกันบ้างอยู่แล้ว อีกทั้งบัตรใบนี้ก็มีมูลค่าถึงห้าหมื่นบาทที่ปกเกล้าต้องจ่ายไป ฉะนั้นไหน ๆ ก็เสียเงินไปแล้วจึงต้องใช้สิทธิพิเศษจากบัตรใบนี้ให้คุ้ม
จันทร์เจ้าอดยิ้มมุมปากไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของเขา ความจริงแล้วคลับแห่งนี้ก็จัดว่าเป็นสถานบันเทิงที่หรูหราและมีระดับมากแห่งหนึ่ง ไม่มีการโชว์ลามกอนาจาร ไม่มีพวกกักขฬะหยาบคายเนื่องจากคนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจมีระดับ หรือไม่ก็บรรดาเศรษฐีกระเป๋าหนักที่ชมชอบของสวย ๆ งาม ๆ เพราะหญิงสาวที่นี่จะคัดเลือกมาเป็นอย่างดี
และแม้ผู้จัดการที่บริษัทเก่าจะเคยบอกว่าไม่มีการขายบริการ หรือออฟหญิงสาวออกไปข้างนอก แต่เธอเชื่อว่าน่าจะมีการตกลงกันนอกรอบที่ไม่เกี่ยวกับงานในคลับระหว่างลูกค้ากับสาว ๆ บางคน เพราะตอนขากลับเธอเคยเห็นหญิงสาวหลายรายขึ้นรถของลูกค้าหนุ่มที่มาเที่ยว ซึ่งคงไปต่อกันที่อื่นเป็นแน่
"ใกล้เที่ยงแล้ว พี่ว่าเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าไหม"
ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วช่วยเธอแยกจดหมายโดยคัดฉบับที่เขาไม่สนใจเอาไปไว้อีกกองหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีซองสีดำจากคลับฮาร์ดเพลย์บอยด้วย
"ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เที่ยงนี้ฉันนัดเพื่อนไว้ที่ห้างใกล้ ๆ นี่เอง"
เธอบอกไปตามตรงพลางรวบกองจดหมายที่จะทิ้งมาถือไว้ที่มือซ้าย ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยถามยิ้ม ๆ
"ท่านประธานจะฝากซื้ออะไรไหมคะ หรือจะเอาอะไรก็ได้เหมือนเดิม"
ชินดนัยหรี่ตามองหญิงสาวอย่างจับผิด จากนั้นก็ยกนิ้วชี้ไปทางเธออย่างคาดโทษ "ถ้าแกล้งกันอีก คราวนี้จะลากไปกินมื้อเที่ยงด้วยกันทุกวันเลยคอยดูสิ"
จันทร์เจ้าเม้มปากกลั้นขำ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางประตู แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเขาบอกไล่หลังมา
"เอาข้าวแกงกะหรี่แฮมเบอร์เกอร์ใส่ผักโขมกับเห็ดรวม ความเผ็ดระดับสาม เอาเงินนี่ไปนะหนูจันทร์"
เมื่อหญิงสาวหันกลับไปมอง ก็เห็นเขากำลังเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ล้วงธนบัตรใบสีเทาออกมายื่นให้เธอจึงเดินไปรับ
"ขอโค้กเย็นจัดสักกระป๋องด้วยนะ ที่เหลือจันทร์อยากกินอะไรก็ซื้อเอาละกัน มื้อนี้พี่เลี้ยง"
ได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวก็เผลอตัวเบะปากด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่คนตาดีที่มองหน้าเธออยู่ก่อนแล้วนั้นกลับเห็นเต็มสองตา และอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาด้วยความขบขัน
เมื่อได้เงินแล้วจันทร์เจ้าก็เดินไปที่ประตู ยังไม่ทันที่มือจะแตะถูกลูกบิด ชายหนุ่มเจ้าของห้องก็เรียกเธอไว้อีกครั้ง
"หนูจันทร์"
หญิงสาวหันกลับไปมองพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม "คะ"
"พี่กับดาด้าไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างที่คิดนะ เราสองคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนเมืองนอกแล้ว"
จันทร์เจ้าขมวดคิ้วแล้วมองเขาทางหางตา ปากพึมพำเบา ๆ
"ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย"
ชินดนัยยิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะเขาได้ยินเต็มสองหู
"ก็พี่อยากบอก กลัวถูกเข้าใจผิดแล้วถ่านไฟเก่าจะไม่ยอมคุน่ะ"
หญิงสาวส่งค้อนให้เขาวงใหญ่ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้องทำงานของผู้เป็นนายโดยมีสายตาแพรวพราวของชายหนุ่มที่นั่งยิ้มเต็มวงหน้ามองตามไปจนกระทั่งประตูปิดลงตามเดิม
จันทร์เจ้าเดินออกจากอาคารสำนักงานไปตามทางเชื่อมลอยฟ้าเพื่อไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ละแวกเดียวกัน ใช้เวลาไม่นานนักหญิงสาวก็มาถึงบริเวณทางเข้าออกของห้างฯ ซึ่งเป็นจุดนัดพบ ตรงนั้นมีหุ่นขี้ผึ้งของนักร้องชายชื่อดังตั้งอยู่ เธออดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นเด็กสาววัยรุ่นหลายคนพากันถ่ายรูปคู่กับหุ่นขี้ผึ้งเสมือนจริงจนเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว
เห็นแล้วคิดถึงตอนที่ตนยังเป็นนักเรียนและนิสิต เธอยอมรับว่าชอบชีวิตในตอนนั้นที่สุดเพราะนอกจากเรียนหนังสือแล้วก็ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใด ๆ ให้ต้องกังวล เธอโชคดีที่ได้ใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นอย่างคุ้มค่า หากย้อนเวลากลับไปได้ เธอก็อยากกลับไปสัมผัสกับชีวิตช่วงนั้นอีกครั้ง และที่สำคัญ เธอจะกลับไปแก้ไขเรื่องบางอย่างด้วยโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับชินดนัย
แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะเวลาไม่เคยเดินถอยหลัง สิ่งที่เธอทำได้จึงมีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
"ยิ้มอะไรยะหล่อน อยากไปถ่ายรูปคู่กับจัสตินรึไง"
น้ำเสียงติดจะแหบพร่าเล็กน้อยที่ดังอยู่ข้างหู ทำให้จันทร์เจ้าต้องหันไปหาเจ้าของเสียงพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
"ทำไมเสียงเป็นอย่างนั้นล่ะยายปุ้ย เมื่อคืนตอนคุยกันก็ยังดี ๆ อยู่เลยนี่"
"ติดหวัดมาจากพี่เอน่ะสิ พอฉันเป็นปุ๊บพี่เขาก็หายปั๊บเลย แย่ชะมัด" ไปรมาบ่นอุบเมื่อพูดถึงอรรถวิทแฟนหนุ่ม แต่แววตากลับอ่อนโยนลง
ทั้งสองสาวเดินไปคุยไปจนกระทั่งลงบันไดเลื่อนมาถึงชั้นล่าง ซึ่งเป็นชั้นที่มีร้านอาหารมากมายหลายชาติหลายชนิดให้เลือก และเนื่องจากเป็นเวลาพักเที่ยงคนจึงค่อนข้างหนาแน่นเป็นพิเศษ
"ว่าแต่เราสองคนจะกินอะไรกันดี" ไปรมามองไปรอบ ๆ แล้วก็ทำหน้าง้ำบ่นออกมาอีกครั้ง "คนเยอะว่ะแก แต่ละร้านต้องรอคิวนานแน่เลย แล้วจะกลับไปเข้างานช่วงบ่ายทันไหมเนี่ย"
"กินในฟู้ดคอร์ตก็ได้นี่นา มีให้เลือกตั้งเยอะแยะ ไว้วันหลังเราค่อยนัดมากินกันตอนเลิกงานก็ได้ จะได้มีเวลานั่งคุยกันยาว ๆ"
จันทร์เจ้ายิ้มพลางมองไปยังศูนย์อาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก จะว่าไปแล้วอาหารในศูนย์อาหารแห่งนี้อร่อยหลายร้าน และราคาก็พอกันกับศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
"เอางั้นก็ได้" ไปรมาพยักหน้าตกลงแล้วเดินย้อนกลับไป สายตาก็สอดส่ายมองหาที่นั่งว่างไปด้วย
"จันทร์! ตรงนั้นว่างอยู่ แกรีบไปนั่งจองที่ไว้เลยนะเดี๋ยวฉันจะไปแลกบัตรมาให้"
ไปรมารุนหลังเพื่อนพลางชี้ไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ จันทร์เจ้าจึงเดินไปที่โต๊ะนั้นแล้วนั่งรอเพื่อนซื้อข้าวให้เสร็จเรียบร้อย ตนจึงค่อยไปซื้อทีหลัง รอไม่นานนักไปรมาก็ถือถาดใส่อาหารเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ยื่นบัตรแทนเงินสดมาให้
"นี่บัตรของแกนะจันทร์ ฉันแลกไว้สองร้อย ถ้าไม่พอก็ไปเติมเองละกัน"
"ตั้งสองร้อย แกจะให้ฉันกินอะไรนักหนา" จันทร์เจ้าค้อนให้เพื่อนก่อนลุกขึ้นเดินไปยังร้านอาหารที่เล็งไว้ตั้งแต่ตอนนั่งรอ ใช้เวลารอคิวไม่นานหญิงสาวก็ถือถาดอาหารของตัวเองมานั่งที่เดิม
"พักหลังนี่แกเจอยายวีวี่บ้างไหม" ไปรมาเปิดปากพูดทันทีที่เห็นจันทร์เจ้านั่งเรียบร้อยดีแล้ว
"ไม่ได้เจอมาสองสามเดือนแล้วละ เห็นบอกว่าจะไปทำงานเมืองนอกนี่นา แกถามทำไมหรือ"ไปรมาเบ้ปากพลางคว้าหลอดมาดูดน้ำให้ลื่นคอก่อนพูดว่า"บอกตามตรงเลยนะว่าฉันไม่เชื่อว่ะ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่ายายวีวี่มันเป็นคนยังไง แกเชื่อนางไหม ฉันถามตรง ๆ"จันทร์เจ้ายิ้มเจื่อนไม่ตอบคำถาม แต่การแสดงออกอย่างนั้นของเธอก็ทำให้อีกฝ่ายรู้ทันทีว่าคิดไม่ต่างกัน ไปรมาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่ม"ฉันไม่เข้าใจว่ะว่านางจะโกหกเพื่ออะไรวะ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนะไอ้เรื่องมโนคิดเป็นตุเป็นตะเนี่ย พวกเราจับได้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนก็ยังไม่เข็ด จะเลิกคบก็กระไรอยู่ อุตส่าห์รู้จักกันมาตั้งหลายปี เพราะเรื่องอื่นนางก็ดีเสียแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวนี่แหละ""ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะจะว่าไปแล้วนางก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน" จันทร์เจ้าถอนหายใจแผ่ว"แต่ถ้ามันยังเป็นอย่างนี้ต่อไป สักวันมันต้องโดนคนอื่นเขาแหกอกแน่ ๆ และเมื่อถึงเวลานั้นมันจะถูกเขาหาว่าเป็นพวกต้มตุ๋นน่ะสิแก" ไปรมาหยุดพูดแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้จันทร์เจ้า จากนั้นก็ลดเสียงลงให้ได้ยินกันแค่สองคน"ถ้ามันรู้ว่
หลังเลิกงาน ชินดนัยขับรถถึงบ้านในเวลาหนึ่งทุ่มเล็กน้อย ชายหนุ่มเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางฮัมเพลงเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดี ก่อนเสียงเพลงจะหยุดลงเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก"ตาชิน กลับมาแล้วหรือลูก""มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับคุณแม่" เขาถามท่านกลับไป ในใจเริ่มกังวลถึงอาการป่วยของน้องสาวเพราะมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้คนในบ้านต่างพากันเป็นห่วง"ยายนุชน่ะสิ ปิดประตูเงียบอยู่แต่ในห้องตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน แม่เรียกลงมากินข้าวเย็นก็บอกว่ายังไม่หิว นี่พ่อเราก็กำลังเกลี้ยกล่อมให้ออกมานั่งเล่นข้างนอกบ้าง ไม่อยากให้อยู่ในห้องคนเดียวนานนัก เพราะกลัวว่าจะ..."ท่านหยุดพูดไว้เพียงแค่นั้น เขาจึงยื่นมือไปบีบมือท่านเบา ๆ อย่างปลุกปลอบ"เดี๋ยวผมคุยกับน้องเองครับคุณแม่" พูดจบเขาก็เดินขึ้นบันไดไปหน้าห้องนอนของชญานุชซึ่งอยู่เยื้องกับห้องนอนของเขา มีร่างสูงโปร่งของบิดายืนนิ่งอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าอมทุกข์ ครั้นพอเห็นเขาเดินเข้าไปใกล้ ท่านจึงหันมามองพลางถอนหายใจแผ่ว"คุณพ่อไปพักผ่อนเถอะคร
ชินดนัยส่ายหน้าก่อนตอบ "ไม่ใช่ค่ะ พี่เคยคบกับเขาตอนเรียนมหา'ลัยน่ะ แต่ก็คบได้ไม่นานก็เลิกกันไปแล้วพี่ก็ไปเรียนต่อพอดี ตอนนี้เขามาทำงานเป็นเลขาฯ ของพี่ พี่ก็พยายามจะรื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ กับเขาอยู่แต่ยังไม่สำเร็จ""แปลว่าจบไม่สวยเท่าไรใช่ไหมคะ" เมื่อถูกน้องสาวถามจี้ใจดำ เขาก็ได้แต่ทำหน้าประดักประเดิดเพราะเป็นเรื่องจริง ก่อนจะพยักหน้ายอมรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง"พี่ไม่ดีเองแหละ ช่วงนั้นมั่นใจในความหล่อของตัวเองมากไปหน่อย"เขาพยายามใช้คำพูดที่ฟังติดตลก เพราะความจริงแล้วการที่เขาควงสาวไม่ซ้ำหน้า คบผู้หญิงซ้อนกันหลายคนในช่วงนั้นเป็นเพราะฮอร์โมนความเป็นชายมันพลุ่งพล่าน โดยเฉพาะการได้ลากสาวสวยมาเล่นสนุกกันบนเตียงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเขาเหลือเกิน ยิ่งเขาสามารถปิดบังบรรดาสาว ๆ ที่คบอยู่ และให้เจ้าหล่อนเชื่อว่าเขาคบเธอแค่คนเดียวได้นานเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากเท่านั้น"แล้วทำไมพี่ชินถึงอยากกลับมาคบกับคนนี้อีกครั้งล่ะคะ"ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่ว มีมากมายหลายสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรให้คนฟังเข้าใจสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่ แต่ส
“มาแล้วครับผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงแล้วเดินเข้ามาวางขวดน้ำไว้บนโต๊ะและยื่นแก้วนมให้น้องสาว เธอรับแก้วไปถือไว้ เขาจึงเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง เปิดลิ้นชักหยิบยาต้านเศร้าที่ต้องกินก่อนนอนออกมาทั้งแผง จากนั้นก็มานั่งที่เดิมเขารอจนเธอดื่มนมหมดแก้วจึงแกะยาจากแผงยื่นให้หนึ่งเม็ดพร้อมรอยยิ้ม เธอมองยาเม็ดเล็ก ๆ สีขาวในมือเขาครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกมารับแต่ยังไม่ยอมกิน เขาจึงแกะออกมาอีกเม็ดแล้วพูดว่า“ถ้านุชไม่อยากกินยาคนเดียวเดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ” พูดจบเขาก็โยนยาเม็ดนั้นเข้าปากแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทั้งขวด ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของน้องสาว“พี่ชิน! กินเข้าไปได้ยังไงคะ” หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ากินยาเหมือนตน“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย พี่ก็แค่อยากกินยาเป็นเพื่อนนุช คราวนี้ถึงตานุชต้องกินยาบ้างแล้วนะคะ” เขายิ้มราวกับการกินยาต้านเศร้าทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครั้นพอเห็นน้องสาวกินยาแล้วดื่มน้ำตาม ชินดนัยก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะโทรศัพท์ไปถามรมิดาเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาสำหรับคนที่
"พี่โทร. ไปบอกผู้จัดการสาขาแล้วละว่าเราจะเข้าไปที่นั่น ที่พี่จะให้จันทร์ไปวันนี้ก็เพราะอีกหน่อยจันทร์จะต้องไปติดต่อกับที่นี่บ่อย ๆ และอีกอย่างคือหลายคนรู้แค่ว่าพี่เปลี่ยนเลขาฯ แล้วแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ถือเสียว่าไปแนะนำตัวเองละกัน""ค่ะ สิบโมงครึ่งใช่ไหมคะ""อืม เดินไปนะ เดินบนทางลอยฟ้านี่แหละ และถ้าจันทร์ไม่มีงานด่วน หรืองานไหนที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จภายในวันนี้พี่ก็จะพาเราไปที่ศูนย์บริการด้วย ไปดูขั้นตอนการทำงานจริงเวลาที่มีสินค้าส่งซ่อม จะได้รู้ว่าเขาทำกันยังไงบ้าง"จันทร์เจ้าทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจได้"คิดว่าไม่มีนะคะ ไปวันนี้เลยก็ได้"ชินดนัยยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้าให้ "งั้นก็ตามนั้น สิบโมงครึ่งเข้ามาเตือนพี่อีกทีละกัน เผื่อพี่มัวแต่ทำนั่นทำนี่จนลืมเวลา""ค่ะ ขอตัวนะคะ" พูดจบจันทร์เจ้าก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นนายมองตามหลังไปตลอดจนกระทั่งประตูปิดลงเขาจึงละสายตาออกมาชินดนัยยิ้มกว้างเมื่อในที่สุดกวางน้อยก็ตกหลุมที่เขาดักไว้จนได้"ไว้ไปวันหลังละกันนะหนูจันทร์ ศูนย์บริการน่ะ"
ชินดนัยกับจันทร์เจ้าเดินเคียงกันไปบนทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมตั้งแต่แยกราชประสงค์จนถึงย่านสยามสแควร์ อันเป็นที่ตั้งของบรรดาห้างสรรพสินค้าใหญ่ซึ่งมีสินค้าแฟชั่นหลากหลายแบรนด์ชั้นนำไปจนถึงโชว์รูมรถหรูชายหนุ่มมีรอยยิ้มที่มุมปากตลอดเวลา เหตุผลหนึ่งที่เขาพาหญิงสาวมาเดินบนทางเดินลอยฟ้าตรงนี้ก็เพื่อระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขากับเธอเจอกันครั้งแรกตอนนั้นเธอเป็นน้องปีหนึ่ง เขาเป็นพี่ปีสาม เขาเพิ่งเสร็จจากเตะบอลกับเพื่อน จึงนั่งจักรยานยนต์รับจ้างแถวหน้ามหาวิทยาลัยมาลงที่รถไฟฟ้าแล้วขึ้นมาบนทางเดินตรงนี้เพื่อจะเข้าไปที่บริษัทเพราะจอดรถไว้ที่นั่น เขาเห็นจันทร์เจ้ามาแต่ไกล ณ เวลานั้นเขาสนใจเธอขึ้นมาทันทีตามประสาผู้ชายรักสนุกเมื่อเห็นสาวสวยถูกใจ เธออยู่ในชุดนิสิตกระโปรงพลีตคลุมเข่าเดินหิ้วถุงของห้างสรรพสินค้าพะรุงพะรังเต็มสองมือและไม่รู้เพราะโชคเข้าข้างเขาหรือเพราะอะไร จู่ ๆ ก็มีลมแรงพัดมาจนผมของเธอปลิวมาปิดหน้าปิดตา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระโปรงที่เธอสวมอยู่ก็ถูกลมพัดจนเลิกขึ้นเกือบเห็นกางเกงใน หญิงสาวดูตกใจมากแต่ก็นับว่ามีสติและแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เพราะเธอรีบ
ชินดนัยรู้ตัวว่าจันทร์เจ้าว่ากระทบเขาเรื่องการซ่อมถนนหรือทางเท้าของกรุงเทพฯ ซี่งเขาเองก็ไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ไม่แปลกที่หญิงสาวยังยึดติดว่าเขาเป็นเพลย์บอยจอมเจ้าชู้คนนั้นอยู่ อีกทั้งเขาก็สร้างความเจ็บช้ำให้เธอไว้ไม่น้อย เธอจะตั้งแง่กับเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เขาก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป จันทร์เจ้าจะเข้าใจและเริ่มมองเขาที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่หนุ่มเสเพลเมื่อเจ็ดปีก่อนคนนั้นอีกทั้งคู่มาถึงโชว์รูมนาฬิกาที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและนอบน้อม พนักงานสาวในชุดสูทสีดำที่ไม่ได้กำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ต่างยกมือไหว้ทำความเคารพชินดนัย ขณะที่จันทร์เจ้าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นมิตรบนหน้าตลอดเวลาจันทร์เจ้ากวาดตามองโชว์รูมนาฬิกาที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูดูมีรสนิยมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตาเป็นประกายเมื่อเห็นนาฬิกาที่ราคาเป็นแสนเป็นล้าน สำหรับเธอแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย มีก็ดีไม่มีก็ได้ เพราะตนก็ไม่ใช่นั
เขาไม่กล้าละลาบละล้วงถามเรื่องครอบครัวของเธอ เพราะไม่อยากให้จันทร์เจ้ามองว่าตนไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเรื่องครอบครัวล้มละลายแบบนี้หญิงสาวคงไม่ต้องการพูดถึงเท่าไรนัก"รุ่นนี้พวกดาราหรือไฮโซแถวหน้าของเมืองไทยฮิตกันมาก แต่เวลามีคนใส่ชนกันกลับไม่ดูเกร่อ ถ้าเปรียบเป็นกระเป๋าก็คงเหมือนชาแนลหรือแอร์เมสนะคะ""ใช่ เพราะนาฬิกาของเราไม่เคยลดราคา มีแต่ขึ้นราคา ถ้ามีตำหนิหรือข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทางผู้ผลิตจะทำใหม่ทันที ยิ่งบางรุ่นที่ไม่ผลิตแล้วก็ยิ่งแพง ราคามีแต่ทะยานขึ้น เขาถึงได้บอกไงว่าเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลานได้"เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ในห้องรับรอง"เห็นลูกค้าคนนั้นไหม เขามารับนาฬิกาที่สั่งไว้ซึ่งนับเป็นเรือนที่หกแล้วที่ซื้อไปจากที่นี่ เขาบอกว่าชอบสะสมนาฬิกาเพราะกะจะเอาไว้เป็นทรัพย์สินในมรดกด้วย"จันทร์เจ้าพยักหน้ารับรู้เพราะเข้าใจดี ตอนที่บ้านของเธอต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ เฉพาะนาฬิกาสะสมของบิดาก็ขายได้มากถึงสิบกว่าล้าน ส่วนนาฬิกาของเธอกับพี่สาวนั้นขายได้ล้านกว่า
"เชิญครับ ตามสบายเลย" ชินดนัยยกมือขึ้นกอดอกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่าย ครั้นพอมองไปด้านข้างก็เห็นจันทร์เจ้าอุ้มพราวนภาเดินเข้ามาใกล้ โดยเจ้าตัวเล็กได้แต่กอดคอหญิงสาวแล้วเอาหน้าซุกกับบ่าของผู้เป็นน้า ไหล่เล็ก ๆ สะท้านไหวตามแรงสะอื้นเป็นพัก ๆ ไม่ยอมหันหน้ามามองทางนี้ราวกับหวาดกลัวใครบางคน"แกก็เหมือนกัน! อย่าคิดว่ามีเจ้านายคอยถือหางแล้วจะเชิดหน้าชูคออยู่ในบริษัทนี้ได้ตลอดนะ คอยดูเถอะ ฉันจะบอกอดีตประธานให้ไล่แกออก" รัมภาหันไปแหวใส่จันทร์เจ้าอย่างเอาเรื่อง แต่หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ส่งให้แล้วพูดกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น"ถ้าคิดว่าทำได้ก็เชิญค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าอดีตท่านประธานจะมาสนใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ด้วยรึเปล่า อ้อ...ฉันขอแนะนำหน่อยนะคะ ถ้าคุณอยากให้คนกราบไหว้มากนักละก็ ลองอัดรูปตัวเองใส่กรอบ หรือทำรูปปั้นครึ่งตัวขนาดเท่าคนจริงไปวางตั้งไว้หน้าตึกดูสิคะ รับรองค่ะว่านอกจากจะมีคนมากราบไหว้บูชาแล้ว ยังมีของเซ่นไหว้ไม่ขาดอีกด้วย""ว้าย! คุณแม่ขา มันหาว่าคุณแม่ตายแล้วค่ะ...พี่ชินคะ เกรซไม่ยอมนะ พี่ปล่อยให้นังเลขาฯ นี่มาว่าคุณแม่ของเกรซได้ยังไง"
จันทร์เจ้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง "ค่ะ"หญิงสาวลอบถอนหายใจ เธอเข้าใจดีว่าการที่ชินดนัยให้เธอติดตามไปด้วยก็เพื่อให้ตนไปทำความรู้จักกับบรรดาลูกค้าไฮโซทั้งหลาย และหากเธอสามารถจำชื่อของแต่ละคนได้ก็จะเป็นการดีกับบริษัทด้วย เพราะถือเป็นการให้เกียรติลูกค้าอย่างมาก อีกทั้งจะทำให้ลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกเป็นคนสำคัญที่มีคนจดจำชื่อตนได้ ถือเป็นการสร้างความประทับใจอย่างหนึ่งหวังว่างานนี้จะไม่จะเจอคนรู้จักเพราะชินดนัยบอกว่ามีแต่คนในแวดวงไฮโซ ไม่ใช่กลุ่มนักธุรกิจ ตั้งแต่ครอบครัวถูกฟ้องล้มละลาย เธอกับมารดาก็ปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ โดยไม่ติดต่อกับบรรดาภรรยานักธุรกิจที่เคยรู้จักกันอีก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าก็ทำท่าทางเห็นใจ แต่ลับหลังกลับหัวเราะเยาะเย้ยในชะตากรรมของคนอื่นขณะที่จันทร์เจ้าจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง ชินดนัยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่างานประมูลครั้งนี้ หญิงสาวอาจเจอคนรู้จักก็เป็นได้ และเธอคงกำลังหนักใจอยู่กระมังที่ต้องไปออกงานพร้อมเขา"เอ่อ...พี่ขอโทษทีนะจันทร์ พี่ลืมไปเลยว่างานนี้เราอาจจะเจอคนรู้จักของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าจันทร์ไ
วันต่อมาจันทร์เจ้าจำเป็นต้องพาพราวนภามาเลี้ยงที่ทำงานอีกหนึ่งวัน หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจว่าวันนี้ขอไม่เจอกับภาวินอีก เพราะบอกตามตรงว่ายังหาวิธีรับมือกับเขาไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เธอต้องรีบปรึกษากับมารดาทันทีที่ท่านกลับมาถึงหลังจากปูเบาะเพื่อให้หลานสาวนั่งเล่นด้านหลังโต๊ะทำงานเสร็จเรียบร้อย เมื่อหันกลับมาก็เจอร่างสูงโปร่งของผู้เป็นเจ้านายยืนยิ้มเผล่อยู่เบื้องหน้าพอดี"สวัสดีค่ะคุณลุงประธาน" เสียงใสของพราวนภาเอ่ยทักทายพลางย่อตัวไหว้ทันทีที่เห็นหน้าของคนที่ไปเยี่ยมหาถึงบ้านเมื่อวานพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจิดจ้าไปให้"สวัสดีค่ะหนูพราว วันนี้แต่งตัวน่ารักจัง มีหูกระต่ายที่ไหล่ด้วยหรือคะ"ชินดนัยทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางเดินเข้าไปยืนใกล้กับจันทร์เจ้าจนไหล่แทบชนกัน หญิงสาวจึงเบี่ยงตัวไปอีกด้านเพื่อเว้นระยะห่างจากเขา เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเธอห่างออกไปแล้วเขาจึงย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กหญิงตัวน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า"วันนี้เราไปหม่ำไอติมกันไหมคะ ลุงอยากกินจังเลยแต่ไม่มีเพื่อนไปกิน หนูพราวไปเป็นเพื่อนลุงหน่อยได้ไหมเอ่ย"พราวนภายิ้มพร้อ
เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างกันอดหมั่นไส้ไม่ได้ ภาวินปรายตามองเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอื้อมไปเร่งเสียงเพลงในรถให้ดังขึ้นพร้อมกับพูดว่า"กูจะฟังเพลง กูไม่ได้อยากฟังเสียงมึง"ชินดนัยยิ้มกว้างแล้วกดปุ่มลดเสียงจากพวงมาลัยที่จับอยู่แล้วจงใจพูดยั่วเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด"แต่นี่มันรถกู เพราะฉะนั้นกูจะร้องดังแค่ไหนก็ได้" พูดจบก็ร้องท่อนฮุคของเพลงเสียงดังลั่นรถ ก่อนจะตบท้ายด้วยการหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรัก"จะเครียดไปทำไมวะไอ้วิน หรือเสียใจที่จู่ ๆ ก็มีลูกสาวโผล่มาคนหนึ่ง กูว่าหนูพราวน่ารักน่าเอ็นดูจะตายไป นี่ถ้าพ่อกับแม่มึงรู้ว่ามีหลานสาวน่ารัก ๆ อย่างนี้สงสัยตื่นเต้นกันน่าดู"ภาวินถอนหายใจเสียงดังก่อนพูด "จะไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ ท่าทางคุณจันทร์คงไม่มีทางปล่อยหนูพราวแน่""ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อยสิ เขาก็ไม่ได้หนีไปไหนกันนี่หว่า มึงอยากไปหาเมื่อไรก็ได้หนูจันทร์เขาก็บอกไว้แล้วนี่ เขาไม่ได้กีดกันหรือห้ามไม่ให้มึงไปหาลูกสักหน่อย""มึงก็พูดง่ายสิ
ทั้งสองหนุ่มเองก็เงียบไปเช่นกัน ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปครู่หนึ่ง"ช่วงนั้นพวกเราสามคนแม่ลูกแทบจะทำอะไรกันไม่ถูกเพราะทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ยังดีที่มีญาติสนิทบางคน และเพื่อนของคุณแม่ที่ช่วยเหลือและแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่าง กว่าจะผ่านจุดนั้นกันมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พี่ตะวันเองก็เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้อง พูดคุยน้อยลง ไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อน พี่เขาตัดการติดต่อกับเพื่อนทุกคน จันทร์กับคุณแม่ก็คิดว่าพี่ตะวันคงกำลังปรับตัวจึงไม่ได้สงสัยอะไร และช่วงนั้นจันทร์ก็มัวแต่ยุ่งกับการหางานทำด้วย คุณแม่ก็ต้องอบขนมทำเค้กไปให้ร้านต่าง ๆ ลองชิมรสชาติ ถ้าถูกปากก็จะได้สั่งไปขาย"จันทร์เจ้าเล่าไปเรื่อย ๆ จนลืมตัวเผลอใช้ชื่อตนแทนคำเรียกขาน และคนฟังก็ไม่ได้สะดุดหูกับตรงนี้เช่นกันเพราะต่างคนต่างอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง"เราสามคนก็ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายอย่างนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งพี่ตะวันคลอด หลังจากคลอดแล้วพี่เขาดูเหมือนจะยิ่งเก็บตัวและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม ปกติคนที่เพิ่งคลอดลูกมามักจะอวบขึ้นแต่พี่ตะวันกลับซูบผอมลงไปมาก จากคนที
"หมาเห็นปลากระป๋อง ได้แต่มองไม่มีสิทธิ์แ..." คำสุดท้ายภาวินพูดโดยไม่ออกเสียงแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนคนที่ถูกนำไปเปรียบกับสุนัขได้แต่ชูนิ้วกลางให้เพื่อน จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องรับแขกจนกระทั่งจันทร์เจ้าพาพราวนภาเดินเข้ามาในห้องหญิงสาวเห็นสองหนุ่มพากันนั่งตัวตรงจึงก้มตัวลงไปบอกหลานตัวน้อย"หนูพราว หนูนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ ขอแม่คุยกับคุณลุงเขาก่อน""แม่จันทร์จะไปไหนคะ หนูพราวไปด้วย" พราวนภาเงยหน้าถามเสียงอ่อยด้วยสายตาออดอ้อน"แม่ไม่ได้ไปไหนค่ะ แม่จะนั่งคุยตรงโต๊ะกินข้าวนี่เอง หนูพราวนั่งดูการ์ตูนไปก่อนนะลูก" พูดจบก็เดินจะไปหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดช่องการ์ตูน แต่รีโมตนั้นกลับวางอยู่บนเบาะข้างชินดนัย เธอมองหน้าเขา เห็นเขายิ้มกริ่มมองตอบกลับมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วพูดว่า"หนูพราวคะ เวลาจะขอสิ่งของ หรือขอให้ผู้ใหญ่หยิบของให้ เราควรจะพูดยังไงเอ่ย""พูดว่าหยิบของให้หนูพราวหน่อยได้ไหมคะ" พราวนภาตอบอย่างพาซื่อ"แล้วถ้า..." ชินดนัยหยุดพูดพลางมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ
ชินดนัยก้าวมายืนด้านหน้าบรรพตอย่างเอาเรื่อง ขณะที่ภาวินก็เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดอย่างไม่พอใจเช่นกัน"แถวบ้านกูเขาเรียกปากหมานะเนี่ย จัดสักดอกดีไหมวะไอ้ชิน""เฮ้ย! พวกมึงจะหมาหมู่หรือวะ คิดว่ากูกลัวรึไง ถุย!"บรรพตถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มทั้งคู่แล้วพูดอย่างอาฆาต"ฝากไว้ก่อนเถอะพวกมึงน่ะ อย่าให้กูเจอที่อื่นนะจะให้คนกระทืบแม่งให้ตายคาตีนเลย""ตายคาตีนกูก่อนดีไหม ปากดีฉิบหาย" ชินดนัยปรี่เข้าไปทันที บรรพตจึงรีบถอยกรูดไปที่รถของตัวเองพร้อมกับเปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างลนลาน เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้ารีบไขกุญแจเปิดประตูรั้วออกมาแล้วร้องห้ามเสียงสั่น"หยุดเดี๋ยวนี้นะ! อย่ามาต่อยตีกันหน้าบ้านฉันนะ" สิ้นเสียงของหญิงสาว เสียงล้อบดถนนจากการเร่งเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มพร้อมกับที่รถสปอร์ตของบรรพตวิ่งฉิวผ่านหน้าไปจนเกือบชนจักรยานที่พนักงานรักษาความปลอดภัยขี่ตรวจตราภายในหมู่บ้านคล้อยหลังรถเจ้าปัญหา จันทร์เจ้าก็หันมามองหน้าชายหนุ่มสองคนแล้วถามอย่างเอาเรื่อง"แล้วพวกคุณสองคนมาทำไม"ภาวินทำหน้าอิหลักอิเห
จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสะกดความกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจ บรรพตเป็นบุตรชายของเจ้าสัวเอนก เพื่อนในทางธุรกิจของบิดาผู้ล่วงลับ ตอนที่บ้านของเธอยังไม่ถูกฟ้องล้มละลาย เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อเธออยู่หลายครั้ง บางทีก็เข้าหาทางบิดา ทำทีเป็นว่าให้ผู้ใหญ่พูดคุยตกลงเพื่อเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่พอบ้านของเธอไม่เหลืออะไร ผู้ชายคนนี้กลับยื่นข้อเสนอให้เธอไปเป็นเมียเก็บของเขา เพื่อแลกกับเงินเดือนละหนึ่งแสนบาท ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่เคยปริปากบอกมารดาให้ท่านทราบจนกระทั่งวันนี้ใครยอมก็โง่เต็มที!"คุณบรรพตมีธุระอะไรรึเปล่าคะถึงได้มาเวลานี้"หญิงสาวพยายามเก็บความหวาดหวั่นเอาไว้ในใจ แล้วแสดงออกมาแต่ความสงบเยือกเย็นผ่านทางสีหน้าเช่นเคย และเพราะรู้ตัวว่าตนอาจเผลอแสดงความรังเกียจออกไปทางสายตา จึงพยายามกลอกตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น ตอนนี้เธออยู่บ้านกับเด็กเล็กแค่สองคน หากผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาดี เขาอาจลงมือทำอะไรก็ได้"แหม...น้องจันทร์นี่ละก็ พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม มันฟังดูห่างเหินเกินไปเหมือนเราไม่ใช่คนกันเองอย่างนั้นแหละ" บรรพตยิ้มพร
"ช่วงที่กูได้งานเป็นนักบินใหม่ ๆ กูเคยคบกับแอร์สายการบินเดียวกันอยู่คนหนึ่งชื่อตะวัน คบได้ปีกว่าก็เลิกไป และตะวันก็น่าจะเป็นพี่สาวของเลขาฯ มึงนั่นแหละ ถึงว่าสิ ตอนเห็นหน้าคุณจันทร์ครั้งแรกกูถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก เพราะสองพี่น้องนี่หน้าตาคล้าย ๆ กันนี่เอง" ภาวินก้มดูรูปในโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง"ทำไมถึงเลิกวะ บอกได้ไหม" ชินดนัยอดถามไม่ได้ เพราะหากพราวนภาเป็นลูกของภาวินจริง ๆ ก็หมายความว่าพี่สาวของจันทร์เจ้าตั้งครรภ์อยู่ตอนที่เลิกรากับเพื่อนเขาภาวินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา แหงนคอพาดไว้กับพนักแล้วหลับตานิ่งก่อนจะตอบเบา ๆ"เขาบอกว่าเขาท้องกับคนอื่น"ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็เป็นภาวินที่เปิดปากพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน"ตอนแรกก็ยังดี ๆ อยู่ ตอนบินไปปารีสก็ยังไปเที่ยวด้วยกันอยู่เลย แต่หลังจากกลับมาถึงเมืองไทยได้สักวันสองวัน จู่ ๆ ตะวันก็โทร. มาบอกเลิกกู เขาบอกว่าคบผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยไม่ได้คบกูคนเดียว เขาท้อง และลูกในท้องก็เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น เฮ้อ...บอกตามตรงเลยว่าตอนนั้นกูโคตรโกรธเลย วันไหนไม่มีบิน ก