ชินดนัยรู้ตัวว่าจันทร์เจ้าว่ากระทบเขาเรื่องการซ่อมถนนหรือทางเท้าของกรุงเทพฯ ซี่งเขาเองก็ไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ไม่แปลกที่หญิงสาวยังยึดติดว่าเขาเป็นเพลย์บอยจอมเจ้าชู้คนนั้นอยู่ อีกทั้งเขาก็สร้างความเจ็บช้ำให้เธอไว้ไม่น้อย เธอจะตั้งแง่กับเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เขาก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป จันทร์เจ้าจะเข้าใจและเริ่มมองเขาที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่หนุ่มเสเพลเมื่อเจ็ดปีก่อนคนนั้นอีก
ทั้งคู่มาถึงโชว์รูมนาฬิกาที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและนอบน้อม พนักงานสาวในชุดสูทสีดำที่ไม่ได้กำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ต่างยกมือไหว้ทำความเคารพชินดนัย ขณะที่จันทร์เจ้าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นมิตรบนหน้าตลอดเวลา
จันทร์เจ้ากวาดตามองโชว์รูมนาฬิกาที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูดูมีรสนิยมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตาเป็นประกายเมื่อเห็นนาฬิกาที่ราคาเป็นแสนเป็นล้าน สำหรับเธอแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย มีก็ดีไม่มีก็ได้ เพราะตนก็ไม่ใช่นักสะสม อีกทั้งหากตนมีโอกาสได้ครอบครองนาฬิการาคาแพงแบบนี้อีกครั้ง ก็คงเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้กับหลานรักอย่างพราวนภา เผื่อในอนาคตมีเหตุให้ต้องใช้เงินก็สามารถนำออกมาขายต่อได้
"เชิญทางนี้ครับคุณชิน" ผู้จัดการหนุ่มผายมือเชิญให้ชินดนัยกับหญิงสาวที่มาด้วยกันไปนั่งที่ชุดรับรองแขก ทั้งสองคนจึงเดินไปตรงนั้น หลังจากนั่งเรียบร้อยแล้วชินดนัยจึงแนะนำจันทร์เจ้าให้อีกฝ่ายได้รู้จัก
"คุณเพชรครับ นี่คุณจันทร์เจ้า เป็นเลขาฯ คนใหม่ของผมเอง คุณจันทร์ นี่คุณพัชระ หรือเรียกคุณเพชรก็ได้ เขาเป็นผู้จัดการสาขานี้"
จันทร์เจ้ายกมือไหว้พัชระพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ชายหนุ่มรับไหว้แล้วยิ้มตอบพลางลอบมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เลขานุการคนใหม่ของท่านประธานดูนิ่งขรึมไว้ตัวแต่ไม่หยิ่งยโส ให้ความรู้สึกของความเป็นผู้ดี ซึ่งเขาคิดว่าบุคลิกแบบนี้จึงจะเหมาะสำหรับตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทมากกว่าคนเดิม
"ผมพาคุณจันทร์เขามาที่นี่เพราะอยากให้เห็นภาพรวมทั้งหมดน่ะว่าเราทำงานกันยังไง มีขั้นตอนไหนบ้าง คุณจันทร์เขาเพิ่งมาทำงานกับผมได้ไม่กี่วันเองก็เลยคิดว่าพามาทำความรู้จักกับคุณเพชรไว้เลยดีกว่า เพราะอีกหน่อยต้องติดต่อกันบ่อย"
ชินดนัยบอกจุดประสงค์ของการมาที่นี่กับพัชระอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้คุยกันทางโทรศัพท์แล้ว ซึ่งผู้จัดการหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้พร้อมกับยิ้มให้เลขานุการคนใหม่อย่างเป็นมิตรก่อนพูดว่า
"ถ้าอย่างนั้นผมพาคุณจันทร์..." พัชระยังพูดไม่ทันจบประโยค ชินดนัยก็ชิงพูดขึ้นก่อน
"ผมจะเป็นคนพาคุณจันทร์ทัวร์ในชอปเองเพราะคงต้องมีการอธิบายบางจุดละเอียดหน่อย คุณเพชรคอยอยู่รับรองลูกค้าดีกว่า" ชินดนัยยิ้มมุมปาก ประโยคที่ฟังดูเหมือนเป็นการออกคำสั่งกลาย ๆ นั้นทำเอาผู้จัดการหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออกนอกจากพยักหน้ารับแล้วคลี่ยิ้มให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด
"ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนคุณชินดีกว่า มีอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ" พัชระลุกขึ้นอย่างรู้งาน แม้ในใจจะมีแต่ความสงสัยกับพฤติกรรมแปลก ๆ ของผู้เป็นนายที่ลงทุนพาเลขาฯ ส่วนตัวมาทัวร์ในโชว์รูม หนำซ้ำยังเป็นคนคอยอธิบายการทำงานด้วยตัวเองอีก ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยลงมายุ่งกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพในฐานะผู้จัดการ เขาจึงต้องเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ ไม่แสดงออกถึงความอยากรู้ทางสีหน้าและแววตาให้พนักงานคนอื่นในร้านสังเกตเห็น
ชินดนัยพยักหน้าเรียกให้จันทร์เจ้าเดินตามไปที่ตู้โชว์นาฬิกาที่ฝังเข้ากับผนังที่อยู่ใกล้ที่สุด ตู้โชว์แต่ละตู้จะมีนาฬิกาหนึ่งหรือสองเรือนจัดวางไว้อยู่ในนั้น หญิงสาวหยุดยืนหน้าตู้แล้วมองสิ่งประดิษฐ์นั้นผ่านกระจกนิรภัย ซึ่งจัดว่าเป็นงานศิลป์ชั้นยอดในรูปแบบของนาฬิกาข้อมือ
"อย่างที่จันทร์เคยรู้อยู่แล้วว่านาฬิกาของเราจะเป็นงานทำด้วยมือทั้งหมด และทุกขั้นตอนในการผลิตนั้น ต่อให้เป็นแค่ฟันเฟืองเล็ก ๆ เราก็พิถีพิถันมาก นาฬิกาบางรุ่น เราต้องใช้คนทำถึงห้าสิบกว่าคน กลไกของบางรุ่นก็มีส่วนประกอบมากถึงสองพันกว่าชิ้น เพราะฉะนั้นหากใครต้องการเป็นเจ้าของนาฬิกายี่ห้อนี้สักเรือน ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะได้ของกลับไปเลย เพราะเราต้องสั่งผลิตเรือนต่อเรือน"
ชายหนุ่มพูดพลางเดินไปอีกตู้โดยมีหญิงสาวคอยเดินตาม ซึ่งคราวนี้เป็นตู้ที่ตั้งอยู่กลางร้าน และมีนาฬิกาหลายรุ่นวางเรียงอยู่ในนั้น เขาก้มลงมองแล้วพูดว่า "ยิ่งรุ่นไหนที่เป็นที่นิยมก็จะรอคิวนานหน่อย รอกันเป็นปีสองปีกว่าจะได้ครอบครอง"
"ลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจใช่ไหมคะว่าต้องรอนานขนาดนั้น" หญิงสาวถามอย่างสงสัย เพราะตอนนั้นที่ตนได้มาใส่ติดข้อมือก็เป็นของมือสอง แต่กระนั้นราคาของมันก็ยังหลายแสน
"ส่วนใหญ่คนที่มาเป็นลูกค้าของที่นี่มักจะเล่นหรือสะสมนาฬิกากันอยู่แล้ว ก็จะเข้าใจว่ายี่ห้อนี้ต้องสั่งทำเท่านั้น นาฬิกาของเราจะไม่มีการผลิตออกมาหลายเรือนแล้ววางขายเรียงกันเป็นตับเหมือนบางยี่ห้อ หากใครอยากได้ของเร็ว จ่ายเงินปุ๊บได้ของปั๊บก็ต้องไปซื้อมือสองเอา แต่คนที่เขาอยากได้มือหนึ่งจริง ๆ เขาจะรอกันได้"
ชินดนัยหันไปมองรอบตัวว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้หรือไม่ ครั้นพอเห็นว่าไม่มีใครเขาจึงหันไปหาหญิงสาวที่ยืนข้างกายแล้วลดเสียงเบาลงให้ได้ยินกันแค่สองคน
"ของบางอย่างถ้ามันคุ้มค่ากับการรอคอย ต่อให้รอหนึ่งปีหรือสองปียังไงก็รอได้อยู่แล้ว ก็เหมือนคนเรานั่นแหละ ถ้าคนคนนั้นควรค่าแก่การให้นึกถึงและรอคอย ต่อให้ต้องใช้เวลากี่ปีก็รอได้เสมอ"
จันทร์เจ้ามองเขาด้วยหางตาแล้วพูดกลับไปเบา ๆ เช่นกัน
"แต่ก็ต้องไม่ลืมถามคนคนนั้นด้วยนะคะว่าเขาอยากให้รอไหม บางทีเขาอาจจะอยากให้เป็นเส้นขนานกันไปตลอดชีวิตก็ได้นะคะ"
"ก็ไม่เป็นไร" เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนพูดต่อ
"เพราะพี่จะเอาปากกาลากเส้นขึ้นมาใหม่ให้เส้นขนานสองเส้นมันมาบรรจบกัน" เขาพูดพลางทำท่าประกอบ ขณะที่หญิงสาวนั้นหัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังคงความเรียบเรื่อยอยู่
"เขียนได้ก็ลบได้ค่ะ ที่โต๊ะมีลิควิด และถ้ายังมือบอนเขียนอีกก็หักปากกาทิ้งซะก็สิ้นเรื่อง"
ชินดนัยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เอียงศีรษะเข้าไปใกล้เธออีกนิดแล้วพูดเบา ๆ
"ดุจัง กลัวนะเนี่ย"
หญิงสาวทำเสียงฮึเบา ๆ แล้วเดินหนีไปอีกด้านของตู้โชว์ ซึ่งฝั่งนั้นเป็นนาฬิกาสำหรับผู้หญิง สายตาของจันทร์เจ้าจับจ้องไปที่นาฬิกาเรือนหนึ่งไม่วางตา และชายหนุ่มก็สังเกตเห็นเช่นกัน
"รุ่นนี้ขายดีที่สุด ตอนนี้ยอดสั่งจองอยู่ที่สามร้อยกว่า ซึ่งแน่นอนว่าจะรับนาฬิกาได้ก็ต้องรอประมาณปีครึ่ง" เขาจำได้ว่าจันทร์เจ้าก็มีนาฬิกายี่ห้อนี้อยู่เรือนหนึ่งเช่นกัน และเป็นรุ่นเดียวกับที่หญิงสาวกำลังมองอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่เคยบอกใครว่าครอบครัวทำธุรกิจอะไร เวลามีคนถามเขาก็บอกแค่ว่าที่บ้านเปิดร้านขายนาฬิกา
"ตอนนี้ราคาเท่าไรแล้วคะ" เธอถามขึ้นโดยที่สายตาไม่ละไปจากนาฬิกาเรือนนั้น
"รุ่นธรรมดาอยู่ที่หกแสนกว่า แต่ถ้าเป็นโรสโกลด์จะอยู่ที่หนึ่งล้านหนึ่ง"
ชินดนัยตอบเสียงนุ่ม ยิ่งเห็นสายตาที่มีแต่ความระลึกถึงของหญิงสาวแล้วเขาก็อดสงสารเธอไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็นับถือในความเข้มแข็งของเธอด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านาฬิกาที่เขาเคยเห็นเรือนนั้น ป่านนี้คงถูกขายทอดตลาดไปแล้ว
เขาไม่กล้าละลาบละล้วงถามเรื่องครอบครัวของเธอ เพราะไม่อยากให้จันทร์เจ้ามองว่าตนไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเรื่องครอบครัวล้มละลายแบบนี้หญิงสาวคงไม่ต้องการพูดถึงเท่าไรนัก"รุ่นนี้พวกดาราหรือไฮโซแถวหน้าของเมืองไทยฮิตกันมาก แต่เวลามีคนใส่ชนกันกลับไม่ดูเกร่อ ถ้าเปรียบเป็นกระเป๋าก็คงเหมือนชาแนลหรือแอร์เมสนะคะ""ใช่ เพราะนาฬิกาของเราไม่เคยลดราคา มีแต่ขึ้นราคา ถ้ามีตำหนิหรือข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทางผู้ผลิตจะทำใหม่ทันที ยิ่งบางรุ่นที่ไม่ผลิตแล้วก็ยิ่งแพง ราคามีแต่ทะยานขึ้น เขาถึงได้บอกไงว่าเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลานได้"เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ในห้องรับรอง"เห็นลูกค้าคนนั้นไหม เขามารับนาฬิกาที่สั่งไว้ซึ่งนับเป็นเรือนที่หกแล้วที่ซื้อไปจากที่นี่ เขาบอกว่าชอบสะสมนาฬิกาเพราะกะจะเอาไว้เป็นทรัพย์สินในมรดกด้วย"จันทร์เจ้าพยักหน้ารับรู้เพราะเข้าใจดี ตอนที่บ้านของเธอต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ เฉพาะนาฬิกาสะสมของบิดาก็ขายได้มากถึงสิบกว่าล้าน ส่วนนาฬิกาของเธอกับพี่สาวนั้นขายได้ล้านกว่า
"วันนี้พี่ขอตัวกลับก่อนนะ มีธุระกับที่บ้านน่ะ ถ้าจันทร์มีปัญหาอะไรก็โทร. หาพี่ได้ตลอดเวลาไม่ต้องเกรงใจ หรือไม่มีปัญหาอะไรก็โทร. มาได้ ถ้าเป็นสายจากจันทร์ พี่แสตนด์บายรอเสมอ""ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ขอตัวนะคะ" หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนเดินออกจากห้อง เธอรู้ว่าเขายังคงมองตามหลังมาอยู่จึงพยายามไม่เบนสายตาไปทางนั้น ครั้นพอออกมานอกห้องก็เจอกับกิตติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดซึ่งดูแลไปถึงฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ด้วย จันทร์เจ้าจึงค้อมศีรษะให้เขาในฐานะที่ตนตำแหน่งต่ำกว่า"คุณชินอยู่ในห้องใช่ไหม" กิตติกรถามพลางชี้เข้าไปในห้อง"อยู่ค่ะ แต่เห็นท่านประธานบอกว่าจะขอตัวกลับบ้านก่อน คุณกิตติกรจะคุยกับท่านเรื่องกระทู้ในเว็บบอร์ดใช่ไหมคะ"หญิงสาวลองถามเขาดูเพราะคิดว่าชินดนัยคงส่งอีเมลถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คาดเดานักเพราะกิตติกรพยักหน้าให้แทนการตอบรับ"งั้นหรือ ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้ผมค่อยมาคุยอีกทีก็แล้วกัน" กิตติกรยิ้มให้เลขาฯ คนใหม่ก่อนจะเดินกลับห้องทำงานของตัวเองคล้อยหลังผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประตูห้องทำงานของชินดนัยก็เปิดออก ชายหนุ่มเลิกคิ้วข
จันทร์เจ้าเปลี่ยนจากชุดทำงานมาใส่ชุดลำลองแล้วลงมารับประทานมื้อเย็น เธอเห็นมารดากำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในครัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางยกมือทาบอกไปด้วยก็อดสงสัยไม่ได้"แม่จันทร์จ๋า" เสียงใส ๆ จากพราวนภาส่งเสียงเรียกมาจากห้องนั่งเล่น หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหา"จ๋าหนูพราว วันนี้หนูหม่ำข้าวหมดจานไหมคะ" เธอก้มตัวอุ้มเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มทั้งซ้ายขวา พราวนภาจึงหอมกลับไปบ้าง"หนูพราวกินไม่หมด ยายจ๋าทำข้าวมีแคเหลาะ หนูพราวไม่ชอบ"จันทร์เจ้ายิ้มอย่างเอ็นดูพลางทรุดตัวนั่งบนโซฟาแล้วให้หลานตัวน้อยนั่งบนตัก"แคร์รอตค่ะลูก ไม่ใช่แคเหลาะนะ ไหนลองพูดซิ...แคร์รอต" หญิงสาวเน้นสองคำหลังช้า ๆ เพื่อให้พราวนภาพูดตาม"แคร์-รอต" เด็กน้อยพูดตามชัดถ้อยชัดคำ"ถูกต้อง ลูกสาวใครน้อ เก่งที่สุดในโลกเลย" จันทร์เจ้าหอมแก้มยุ้ย ๆ ทั้งสองข้างอีกครั้ง"ลูกสาวแม่จันทร์เจ้ากับแม่ตะวันค่า" พราวนภาฉีกยิ้มกว้างจนลักยิ้มที่แก้มซ้ายบุ๋มลงไป หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปลูบเบา ๆ เพราะหลานสาวตัวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน"แคร์รอตกินแล้วดีนะคะหน
เช้าวันถัดมา จันทร์เจ้านำของใช้ที่จำเป็นสำหรับพราวนภาไปไว้บนรถ ทั้งเสื้อผ้า ผ้าห่มผืนโปรด เบาะรองนอนแบบพับได้ รวมไปถึงอาหารและนมกล่อง เพราะจะได้ไม่ต้องลงไปซื้อที่มินิมาร์ตด้านล่างอาคารให้เสียเวลา"หนูพราวสวัสดีคุณยายก่อนลูก วันนี้คุณยายต้องไปต่างจังหวัดนะคะ คืนนี้คงไม่ได้นอนกับหนูพราว" จันทร์เจ้าบอกหลานสาว พราวนภาจึงกอดตุ๊กตาตัวโปรดไว้แนบอกแล้วกระพุ่มมือไหว้ผู้เป็นยายก่อนจะเดินเข้าไปกอดขาอย่างออดอ้อน"ยายจ๋าจะไปเที่ยว ทำไมไม่ให้หนูพราวไปด้วยคะ"พรรณีลูบศีรษะเล็ก ๆ ของหลานตัวน้อยอย่างเอ็นดู "ยายไม่ได้ไปเที่ยวนะลูก ยายไปทำงานค่ะ หนูพราวไปกับยายไม่ได้หรอก แต่ยายไปแค่ไม่กี่วันก็กลับแล้ว หนูพราวอยู่กับคุณแม่ต้องเป็นเด็กดีนะคะ" พูดกับหลานเสร็จก็หันไปพูดกับบุตรสาว"กุญแจบ้านเอาไปรึยัง ลืมไม่ได้เชียวนะไม่อย่างนั้นเข้าบ้านกันไม่ได้""อยู่ในกระเป๋าแล้วค่ะคุณแม่ไม่ต้องห่วง คุณแม่เองก็ขับรถดี ๆ นะคะ""อืม รีบไปกันเถอะ สายไปกว่านี้แล้วรถมันจะติด แม่เองก็คงออกจากบ้านสักประมาณสิบโมงนั่นแหละ""ค่ะ...เราขึ้นรถกันดีกว่าค่ะหนูพราว เดี๋ย
"ตามปกติ ต่อให้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่เด็กก็มักใช้นามสกุลของพ่อไม่ใช่หรือวะ" เขารู้สึกสะกิดใจตรงนี้ที่สุด และสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขาอีกเรื่องก็คือพราวนภามีใบหน้าละม้ายคล้ายใครบางคนที่เขารู้จัก แต่เขากลับนึกไม่ออกว่าใครเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะทำงานดังขึ้นปลุกให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขาหยิบขึ้นมากดรับสายทันทีที่เห็นชื่อคนที่โทร. เข้ามา"เออว่าไง" เขากรอกเสียงลงไปด้วยคำทักทายที่เป็นกันเองเพราะคนที่โทรศัพท์เข้ามาคือภาวิน"บ่ายนี้มึงอยู่ออฟฟิศรึเปล่า""อยู่ แต่ไม่ยุ่งเท่าไร ถามทำไม" ชินดนัยถามกลับเพราะคิดว่าเพื่อนสนิทน่าจะชวนออกไปข้างนอก"ไม่ยุ่งก็ดี งั้นสักบ่ายครึ่งกูจะเข้าไปหา มีอะไรจะปรึกษาหน่อย""โอเค แล้วไอ้ปกล่ะจะมาด้วยรึเปล่า" เขาถามถึงปกเกล้า เพื่อนสนิทอีกคน"เห็นว่าไปดูทำเลเปิดสาขาใหม่ที่บุรีรัมย์""อ้อ...สนามแข่งรถที่นั่นกำลังบูมเลยนี่" เขาเห็นด้วยที่ปกเกล้าจะไปเปิดร้านขายอุปกรณ์แต่งรถสำหรับซูเปอร์คาร์ที่บุรีรัมย์เพราะเคยคุยกันมาหลายครั้งแล้วว่าที่นั่นน่าสนใจ"ใช่ เอาเป็นว่าเจอกันช่วงบ่ายละกันเพื่อน แค่น
"พ่อมาหาหนูพราวแล้ว" พราวนภายิ้มเขิน สองแขนแกว่งไกวไปมาราวกับกำลังดีใจอย่างที่สุด แววตาไร้เดียงสาเป็นประกายสดใสมองคนตัวโตตรงหน้าตาแทบไม่กะพริบ"หืม...พ่อหรือ"ภาวินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจพลางยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเองอย่างลืมตัว กำลังจะพูดปฏิเสธออกไปว่าตนไม่ใช่บิดาของเด็กน้อย แต่พอเห็นดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ที่มองมาอย่างคาดหวังเขาก็พูดไม่ออก เพราะเกรงว่าคำพูดของตนจะไปทำร้ายจิตใจเด็กหญิงตัวน้อยเข้าแต่เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ามีความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างกำลังคืบคลานเข้าสู่หัวใจอย่างช้า ๆ และความรู้สึกนั้นก็พิเศษจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เขารู้สึกผูกพันและถูกชะตากับเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างน่าประหลาดทั้งที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก และที่สำคัญคือจู่ ๆ เขาก็รู้สึกอยากกอดเด็กคนนี้แน่น ๆ แนบอกตราบนานเท่านานทันใดนั้นสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับรอยบุ๋มเล็ก ๆ น่ารักที่ข้างแก้มใสอมชมพูของเด็กน้อยตรงหน้าทันที"โอ๊ะ! เรามีลักยิ้มเหมือนกันเลยค่ะ" ภาวินชี้ลักยิ้มที่แก้มซ้ายของตัวเองก่อนจะใช้นิ้วจิ้มเบา ๆ ที่ลักยิ้มบนแก้มของพราวนภา
"จะไปรู้ได้ยังไง ป่านนี้คงไปทำงานที่ใหม่แล้วมั้ง" ชินดนัยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ"ที่ใหม่ที่ว่านั่นคือบ้านมึงรึเปล่าไอ้ชิน ได้ข่าวว่าเขาอยากเป็นสะใภ้บ้านมึงมากไม่ใช่หรือ" ภาวินพูดยิ้ม ๆ จึงถูกชินดนัยชูนิ้วกลางให้พร้อมกับพูดว่า"บ้านกูยังไม่ต้องการสะใภ้ตอนนี้ เชิญมึงก่อนเลยเพื่อน จะได้เอาไว้ช่วยงานบริษัทมึงด้วยไง""ยังไม่ต้องการเหมือนกันว่ะ" พูดจบภาวินก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนคนฟังต้องเขม้นมองหน้าเพื่อนอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกัน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อนจันทร์เจ้าเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดใส่กาแฟและน้ำเปล่า หญิงสาวเดินเข้ามาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าภาวินหนึ่งชุด และฝั่งตรงข้ามสำหรับเจ้านายอีกหนึ่งชุด จากนั้นก็ทำท่าจะหันหลังเดินกลับไปที่ประตู"ขอบคุณมากครับ" ภาวินยิ้มจนตาหยีให้เช่นเคย จันทร์เจ้าจึงยิ้มตอบพร้อมกับผงกศีรษะให้อย่างนอบน้อมก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบและปิดประตูให้ตามเดิมตั้งแต่เดินเข้ามาจนกระทั่งเดินออกไป หญิงสาวไม่มองไปทางเจ้านายหนุ่มเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ชายหนุ่มเขาจับจ้องเธอจนตาแทบไม่กะพริบ กระทั่งเห็
พูดจบชินดนัยก็ก้มมองมือตัวเองที่กำลังถูไปมาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จึงไม่ทันเห็นสายตาของเพื่อนรักที่มองมาอย่างเห็นใจ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ภาวินก็ตบบ่าเขาพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง"เฮ้ย! ไม่เป็นไรเว้ยเพื่อน มันก็แค่เชื้อเอชไอวีไม่ใช่หรือวะ สมัยนี้เขารักษากันได้แล้ว คนที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องเป็นเอดส์กันทุกคนนี่หว่า บางคนแข็งแรงแถมยังอายุยืนกว่าคนปกติเสียด้วยซ้ำ มันก็เหมือนกับเชื้อหวัดที่ทุกคนมีอยู่ในร่างกายนั่นแหละวะ แค่ดูแลตัวเองให้ดีก็ไม่มีโรคแทรกซ้อนแล้ว สมัยนี้การแพทย์เขาพัฒนาจะตายไป"ได้ยินเพื่อนพูดมาอย่างนั้นชินดนัยก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะรู้สึกว่าคำพูดของภาวินชักฟังแปร่ง ๆ หู กำลังจะอ้าปากแก้ไขความเข้าใจผิดแต่อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน"ต่อให้มึงจะเป็นอะไร ยังไงมึงก็เพื่อนกูนะเว้ยไอ้ชิน พวกเราคบกันมาตั้งแต่ยังใส่ชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นจนถึงตอนนี้อายุก็แตะเลขสามกันแล้ว มึงคิดว่าพวกกูจะเลิกคบกับมึงเพราะรังเกียจที่มึงติดเชื้อเอชไอวีรึไงวะ ไอ้บ้า""มึงสิบ้า! กูพูดสักคำรึยังว่ากูติด คิดไปถึงไหนวะไอ้วิน เดี๋ยวกูถีบเลย" ไม่พูดเปล่า แต่ชินดนัยยังยกเท
"อ้าว แล้วพี่ออกมาก่อนแบบนี้พวกพี่ ๆ เขาไม่ว่ากันหรือคะ""ไม่ว่าหรอกน่า พวกพี่จะนัดกันเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ไม่มีพี่ มันสองคนก็นัดชนแก้วกันเป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างนะ พวกมันก็เข้าใจดีว่าเคสของหนูจันทร์เป็นเคสที่พี่ต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง"ชินดนัยยิ้มพลางหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้หญิงสาวอีกครั้ง จันทร์เจ้าเบิกตากว้างเพราะตนเพิ่งดื่มเข้าไปแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น ไวน์ยังเหลือในแก้วตั้งเยอะแต่เขากลับรินให้จนเลยครึ่งแก้วขึ้นมา"พอแล้วค่ะ จะมอมกันหรือไง พี่ก็รู้ว่าจันทร์ดื่มไม่เก่ง"ชินดนัยมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าว่า"พี่รู้ว่าจันทร์ดื่มไวน์ไม่เก่ง แต่เวลาที่จันทร์เมาจันทร์จะดูดน้ำอย่างอื่นได้เก่งมากเลย เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องมอมสักหน่อย"จันทร์เจ้าหน้าแดงขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรที่จะเป็นการเข้าเนื้อตัวเองอีกชายหนุ่มมองสีหน้าขัดเขินของเธอแล้วก็นึกอยากพรมจูบไปให้ทั่วใบหน้า แต่เพราะเกรงว่าตนอาจจะไม่จบลงแค่จูบจึงได้แต่สะกดกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ พลางหาเรื่องอื่นมา
มือของเขาเลื่อนขึ้นมาจนสัมผัสได้กับเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ของกางเกงชั้นใน จากนั้นเขาก็จับเอวของเธอไว้แล้วผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองภาพความสวยงามที่หาได้ยากแบบนี้ให้เต็มตา"เซ็กซี่มากที่รัก พี่ชอบมากเลย"สายตาร้อนแรงของเขาราวกับจะแผดเผาเธอได้ ยอมรับว่าอายแสนอายจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่ความพรักพร้อมของเขานั้นปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจันทร์เจ้าเอาแขนออกจากคอของชินดนัยแล้วดึงกระโปรงลง จากนั้นก็ใช้นิ้วเกี่ยวหูกางเกงของเขาพลางดึงเบา ๆ แล้วพูดว่า"ไปที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ จันทร์เพิ่งอุ่นเสร็จเมื่อกี้เอง ไวน์ก็เพิ่งเอามาแช่ใหม่ ถ้าไม่ดื่มตอนนี้เดี๋ยวน้ำแข็งจะละลายเสียก่อน"เธอดึงหูกางเกงของเขาเพื่อให้ชายหนุ่มเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ชินดนัยเดินตามอย่างว่าง่ายจนกระทั่งมาถึงโต๊ะจึงกดบ่าของเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้"เดี๋ยวจันทร์รินไวน์ให้นะคะ"หญิงสาวยิ้มหวานให้ก่อนหันหลังให้เขาแล้วเอื้อมหยิบขวดไวน์ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แต่เพราะชุ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน แค่แจ้งชื่อของปกเกล้าก็จะมีพนักงานสาวสวยพาเขาไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ทันที"อ้าว ไอ้ปกยังไม่มาหรือ" ชินดนัยเห็นภาวินนั่งอยู่เพียงลำพังจึงถามถึงเพื่อนอีกคน"คงกำลังมาแหละมั้ง เห็นว่ามีเรื่องด่วนนิดหน่อย...ของพี่คนนี้โซดาอย่างเดียวนะจ๊ะ" ภาวินตอบพลางหันไปบอกกับบันนี่สาวที่มีหน้าที่ผสมเหล้าอยู่ข้างโต๊ะ"เฮ้ย...เรื่องด่วนที่ว่าหมายถึงเรื่องนี้เองหรือวะ" ชินดนัยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางบุ้ยหน้าไปทางชั้นล่าง ภาวินจึงมองลงไปบ้างก็เห็นปกเกล้ากำลังจูงมือหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในคลับด้วยจะว่าไปแล้วน่าจะเรียกว่าฉุดลากกันมากกว่า เพราะดูจากท่าทางไม่เต็มใจของผู้หญิงที่ปกเกล้าพามาด้วยกันนั้นก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายถูกบังคับให้มาที่นี่"น่ารักดีว่ะ อย่างกับเด็กมหาลัย ไอ้ปกไปหามาจากไหนวะเนี่ย"ภาวินอดสงสัยไม่ได้เพราะปกติแล้วเวลานัดสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิท จะไม่มีใครพาผู้หญิงมาด้วยเด็ดขาดเพราะกลัวงานกร่อย และกฎนี้ปกเกล้าก็เป็นคนตั้งขึ้นเองด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวกลับทำผิดกฎเสียเอง"กูว่าคนนี้คงไม่ธรรมดาเว้ย มึงดูสิไอ้ปกเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน ทำอย่างกับจับ
สุดท้ายแล้วจันทร์เจ้าก็ไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้ชินดนัย ดังนั้นหลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงกับภัทรพลเสร็จแล้วเธอจึงกลับขึ้นไปบนออฟฟิศตามเดิม ทว่านั่งทำงานไปได้ไม่เท่าไร หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นทั้งเจ้านายและคนรักในห้องทำงานของเขา"จันทร์ขอลางานครึ่งวันนะคะพี่ชิน คุณแม่ติดธุระก็เลยไปรับหนูพราวที่โรงเรียนไม่ได้ค่ะ จันทร์เลยต้องไปรับแทน""งั้นหรือ...อืม งั้นก็ไปเถอะ ถึงบ้านแล้วโทร. หาพี่ละกัน พี่จะได้ไม่เป็นห่วง" เขายิ้มพลางกางแขนออกกว้าง หญิงสาวจึงอดค้อนให้เขาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังเดินเข้าไปก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วโผไปซุกในอ้อมอกของเขาชินดนัยหอมขมับของเธออย่างแสนรัก หากแต่มือเจ้ากรรมก็ยังไม่วายซุกซน บีบบั้นท้ายของหญิงสาวเล่นอย่างเคยตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือถูกเจ้าของบั้นท้ายหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง"นิสัยไม่ดีตลอดเลยพี่ชินเนี่ย เผลอเป็นไม่ได้"จันทร์เจ้าบ่นให้เขาพลางผละออกห่างแล้วยืนเต็มความสูงตามเดิม จากนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องทำงาน"จันทร์ไปก่อนนะคะ ถึงบ้านแล้วจะโทร. หาค่ะ" พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปจึงไม่ทันเห็นว่าใบ
ชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจมากจนเกินไปอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งปฏิบัติต่อหญิงสาวที่ตนมีใจให้เพราะไม่ต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับเขามากเพราะจันทร์เจ้าพูดกับเขาอย่างที่คุยกับคนรู้จักทั่วไป ไม่มีท่าทีปิดกั้นหรือระแวงจนเขาไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เธอทั้งคู่สั่งกับข้าวมาสามอย่าง หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์ของภัทรพลก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเลขานุการของตนเขาจึงต้องกดรับเพราะหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลขาฯ ของเขาจะไม่โทร. มาในเวลาพักเที่ยงอย่างนี้เป็นแน่"ผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ" เขาพูดกับจันทร์เจ้าแล้วรีบลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ออกจากร้านอาหารทันที จากนั้นก็เดินห่างออกไปจากหน้าร้านโดยเดินไปทางห้องน้ำเพราะตั้งใจจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยชินดนัยเห็นผู้ชายที่อยู่กับแฟนสาวของตนกำลังเดินคุยโทรศัพท์ไปทางห้องน้ำ เขาจึงเดินอ้อมจากอีกด้านตามไปทันทีชายหนุ่มคนนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จก็จัดการทำธุระส่วนตัว ส่วนชินดนัยก็ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเพื่อรออีกฝ่ายอย่างใจเย็น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินมาล้างมือในอ่างท
จันทร์เจ้ากลอกตามองเพดาน ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างหยอกเย้าจากเลขาฯ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้กัน เธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ"ไม่รีบเข้าไป เดี๋ยวท่านประธานก็ออกมาตามด้วยตัวเองอีกหรอก"นันทิดาพูดจบก็หัวเราะคิกคัก เพราะท่านประธานหนุ่มไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่ตนมีต่อเลขาฯ ส่วนตัวคนนี้สักนิด ช่วงแรกที่จันทร์เจ้าคบหากับท่านประธานก็มีเพียงคนกันเองอย่างพวกตนที่เป็นเลขานุการด้วยกันเท่านั้นที่รู้แต่หลังจากที่มีโปรแกรมเมอร์หนุ่มคนใหม่เข้ามาทำงานที่บริษัทแล้วแสดงออกว่าสนใจเลขาฯ ของท่านประธานจนถึงขนาดเอ่ยปากชวนไปเลี้ยงข้าวกลางวัน ซึ่งพอเรื่องนี้เข้าหูผู้เป็นเจ้านายอย่างชินดนัย ท่านประธานหนุ่มก็แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้าทันทีโดยไม่สนใจว่าพนักงานคนอื่นจะมองอย่างไรทั้งเดินจูงมือจันทร์เจ้า บางคราวก็โอบไหล่โอบเอว แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเอ่ยปากเตือนหลายครั้งแต่ท่านประธานก็ยังคงทำตามใจตัวเองเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และพนักงานทุกคนก็รับรู้กันถ้วนหน้าว่าท่านประธานกับเลขาฯ ส่วนตัวนั้นกำลังคบหาดูใจกันอยู่ นานวันเข้าจากที่ทุกคนเคยตื่นเต้นกับเรื่องนี้ก็เร
ในเช้าวันทำงานอันแสนวุ่นวาย จันทร์เจ้าค่อย ๆ เคลื่อนรถไปบนท้องถนนอย่างเชื่องช้าเพราะการจราจรติดขัดอย่างผิดปกติ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายพลางคิดในใจว่าข้างหน้าคงเกิดอุบัติเหตุเป็นแน่ เธอมองเวลาบนแผงคอนโซลหน้ารถ อีกแค่สิบห้านาทีก็จะถึงเวลาเข้างานแล้ว แต่ตอนนี้เธอยังไม่ครึ่งทางเลยด้วยซ้ำจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทร. ไปบอกชายหนุ่มผู้ซึ่งพ่วงทั้งตำแหน่งเจ้านายและชายคนรักว่าตนคงเข้าทำงานสาย"อุ๊ย! แย่จริง" จันทร์เจ้าพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อโทรศัพท์เกิดหลุดมือหล่นไปอยู่ใกล้เท้า เธอมองทางข้างหน้า เห็นว่ารถยังคงเคลื่อนตัวไปได้อย่างเชื่องช้าจึงเหยียบเบรกค้างไว้ครึ่งเดียวเพื่อชะลอความเร็วรถก่อนจะก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือกึก!"อุ๊ยตายแล้ว!" หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าชั่วเสี้ยววินาทีที่ตนละสายตาจากท้องถนนเพื่อก้มเก็บโทรศัพท์นั้นจะส่งผลให้รถของเธอชนเข้ากับรถคันหน้าเข้าจนได้ แม้จะไม่รุนแรงเพราะรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่ต่างจากคลาน แต่อย่างไรเสียก็ถือว่าเธอเป็นฝ่ายผิดที่ไปชนเขาก่อนรถคันหน้าจอดนิ่งพร้อมกับเปิดไฟกะพริบ จากนั้นประตูฝั
จันทร์เจ้าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "ทำไมหรือคะ พี่ชินเจออะไรมาหรือ"ชินดนัยถอนหายใจแผ่วก่อนจะตัดสินใจเล่าให้หญิงสาวฟัง หลังจากเล่าจบเขาก็พูดขึ้นว่า"ตอนแรกพี่ว่าจะไม่บอกจันทร์ เพราะเดี๋ยวจันทร์จะหาว่าพี่ขี้ฟ้อง คิดเล็กคิดน้อยกับเพื่อนของจันทร์ แต่มาคิดดูอีกที เพื่อนแบบนี้ไม่มีเสียยังจะดีกว่า""ช่างเขาเถอะค่ะ จันทร์เลิกใส่ใจเรื่องของวีวี่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ปล่อยให้เขาแข่งไปคนเดียวเถอะ"ชายหนุ่มยิ้มละไมเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องพูดแบบนี้"พรุ่งนี้เจอกันที่จุดนัดพบตรงปั๊มน้ำมันนะ อย่าตื่นสายล่ะ"ชายหนุ่มแกล้งเย้าเพราะรู้อยู่แล้วว่าจันทร์เจ้าไม่ใช่คนตื่นสาย เธอยู่หน้าใส่ชายหนุ่มแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มเขาไม่แรงนักก่อนพูดว่า"บอกตัวเองเถอะค่ะ จันทร์ว่ารถจันทร์ไปถึงก่อนทุกคนแน่นอน"สุดสัปดาห์นี้เป็นวันหยุดยาว ทั้งสามบ้านจึงนัดกันไปเที่ยวทะเลปราณบุรี ต่างคนต่างขับรถไปบ้านใครบ้านมันโดยยึดเอาปั๊มน้ำมันใหญ่ตรงถนนวิภาวดีเป็นจุดนัดพบ"จะรอดูคนขี้คุย โอเคครับพรุ่งนี้เจอกัน"ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปจูบหญิงสาวเป็นการลาเมื่อถึงห
"ฉันยังไม่แจกตอนนี้ รอนังวีวี่มาก่อน นี่ฉันอุตส่าห์บอกมันว่านัดกันตอนหกโมงครึ่งนะเนี่ย แต่นี่ปาไปทุ่มครึ่งแล้วนางยังไม่เสด็จมา ใครก็ได้จุดธูปเรียกมันหน่อยซิ"ทันทีที่ไปรมาพูดจบ ประตูห้องวีไอพีที่จัดเลี้ยงก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างระหงในชุดเดรสรัดรูปสีดำ เจ้าตัวเยื้องย่างเข้ามาในห้องราวกับนางพญาโดยไม่ยอมสบตาใคร เมื่อถึงเก้าอี้ว่างก็วางกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังที่หลายคนรู้ดีว่าราคาไม่ต่ำกว่าสามแสนลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงค่อยกวาดตามองทุกคนทั้งรอยยิ้มเรียวปากสีสดของวรัชยาค่อย ๆ หุบลงเมื่อเห็นชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ ก่อนจะพึมพำอย่างแผ่วเบา"พี่ชิน" สายตาของวรัชยาเบนไปที่หญิงสาวข้างกายเขา "ยายจันทร์""โอ๊ยหล่อน เปิดตัวมาแบบรัชดาลัยเธียเตอร์มาก เขานัดกันหกโมงครึ่งแต่หล่อนเพิ่งมาเอาป่านนี้ โหงพรายที่หล่อนเลี้ยงไว้เพิ่งกระซิบบอกรึไงยะ" เพื่อนที่เป็นสาวประเภทสองคนหนึ่งอดแขวะวรัชยาไม่ได้"ฉันก็ต้องมีติดธุระกันบ้างสิ ฉันไม่ได้ทำงานเป็นพนักงานประจำเหมือนพวกเธอนะ ฉันมีธุรกิจส่วนตัวก็รู้ ๆ กันอยู่"วรัชยาพยายามวางตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะชายห