ชินดนัยรู้ตัวว่าจันทร์เจ้าว่ากระทบเขาเรื่องการซ่อมถนนหรือทางเท้าของกรุงเทพฯ ซี่งเขาเองก็ไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ไม่แปลกที่หญิงสาวยังยึดติดว่าเขาเป็นเพลย์บอยจอมเจ้าชู้คนนั้นอยู่ อีกทั้งเขาก็สร้างความเจ็บช้ำให้เธอไว้ไม่น้อย เธอจะตั้งแง่กับเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เขาก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป จันทร์เจ้าจะเข้าใจและเริ่มมองเขาที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่หนุ่มเสเพลเมื่อเจ็ดปีก่อนคนนั้นอีก
ทั้งคู่มาถึงโชว์รูมนาฬิกาที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและนอบน้อม พนักงานสาวในชุดสูทสีดำที่ไม่ได้กำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ต่างยกมือไหว้ทำความเคารพชินดนัย ขณะที่จันทร์เจ้าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นมิตรบนหน้าตลอดเวลา
จันทร์เจ้ากวาดตามองโชว์รูมนาฬิกาที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูดูมีรสนิยมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตาเป็นประกายเมื่อเห็นนาฬิกาที่ราคาเป็นแสนเป็นล้าน สำหรับเธอแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย มีก็ดีไม่มีก็ได้ เพราะตนก็ไม่ใช่นักสะสม อีกทั้งหากตนมีโอกาสได้ครอบครองนาฬิการาคาแพงแบบนี้อีกครั้ง ก็คงเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้กับหลานรักอย่างพราวนภา เผื่อในอนาคตมีเหตุให้ต้องใช้เงินก็สามารถนำออกมาขายต่อได้
"เชิญทางนี้ครับคุณชิน" ผู้จัดการหนุ่มผายมือเชิญให้ชินดนัยกับหญิงสาวที่มาด้วยกันไปนั่งที่ชุดรับรองแขก ทั้งสองคนจึงเดินไปตรงนั้น หลังจากนั่งเรียบร้อยแล้วชินดนัยจึงแนะนำจันทร์เจ้าให้อีกฝ่ายได้รู้จัก
"คุณเพชรครับ นี่คุณจันทร์เจ้า เป็นเลขาฯ คนใหม่ของผมเอง คุณจันทร์ นี่คุณพัชระ หรือเรียกคุณเพชรก็ได้ เขาเป็นผู้จัดการสาขานี้"
จันทร์เจ้ายกมือไหว้พัชระพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ชายหนุ่มรับไหว้แล้วยิ้มตอบพลางลอบมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เลขานุการคนใหม่ของท่านประธานดูนิ่งขรึมไว้ตัวแต่ไม่หยิ่งยโส ให้ความรู้สึกของความเป็นผู้ดี ซึ่งเขาคิดว่าบุคลิกแบบนี้จึงจะเหมาะสำหรับตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทมากกว่าคนเดิม
"ผมพาคุณจันทร์เขามาที่นี่เพราะอยากให้เห็นภาพรวมทั้งหมดน่ะว่าเราทำงานกันยังไง มีขั้นตอนไหนบ้าง คุณจันทร์เขาเพิ่งมาทำงานกับผมได้ไม่กี่วันเองก็เลยคิดว่าพามาทำความรู้จักกับคุณเพชรไว้เลยดีกว่า เพราะอีกหน่อยต้องติดต่อกันบ่อย"
ชินดนัยบอกจุดประสงค์ของการมาที่นี่กับพัชระอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้คุยกันทางโทรศัพท์แล้ว ซึ่งผู้จัดการหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้พร้อมกับยิ้มให้เลขานุการคนใหม่อย่างเป็นมิตรก่อนพูดว่า
"ถ้าอย่างนั้นผมพาคุณจันทร์..." พัชระยังพูดไม่ทันจบประโยค ชินดนัยก็ชิงพูดขึ้นก่อน
"ผมจะเป็นคนพาคุณจันทร์ทัวร์ในชอปเองเพราะคงต้องมีการอธิบายบางจุดละเอียดหน่อย คุณเพชรคอยอยู่รับรองลูกค้าดีกว่า" ชินดนัยยิ้มมุมปาก ประโยคที่ฟังดูเหมือนเป็นการออกคำสั่งกลาย ๆ นั้นทำเอาผู้จัดการหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออกนอกจากพยักหน้ารับแล้วคลี่ยิ้มให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด
"ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนคุณชินดีกว่า มีอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ" พัชระลุกขึ้นอย่างรู้งาน แม้ในใจจะมีแต่ความสงสัยกับพฤติกรรมแปลก ๆ ของผู้เป็นนายที่ลงทุนพาเลขาฯ ส่วนตัวมาทัวร์ในโชว์รูม หนำซ้ำยังเป็นคนคอยอธิบายการทำงานด้วยตัวเองอีก ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยลงมายุ่งกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพในฐานะผู้จัดการ เขาจึงต้องเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ ไม่แสดงออกถึงความอยากรู้ทางสีหน้าและแววตาให้พนักงานคนอื่นในร้านสังเกตเห็น
ชินดนัยพยักหน้าเรียกให้จันทร์เจ้าเดินตามไปที่ตู้โชว์นาฬิกาที่ฝังเข้ากับผนังที่อยู่ใกล้ที่สุด ตู้โชว์แต่ละตู้จะมีนาฬิกาหนึ่งหรือสองเรือนจัดวางไว้อยู่ในนั้น หญิงสาวหยุดยืนหน้าตู้แล้วมองสิ่งประดิษฐ์นั้นผ่านกระจกนิรภัย ซึ่งจัดว่าเป็นงานศิลป์ชั้นยอดในรูปแบบของนาฬิกาข้อมือ
"อย่างที่จันทร์เคยรู้อยู่แล้วว่านาฬิกาของเราจะเป็นงานทำด้วยมือทั้งหมด และทุกขั้นตอนในการผลิตนั้น ต่อให้เป็นแค่ฟันเฟืองเล็ก ๆ เราก็พิถีพิถันมาก นาฬิกาบางรุ่น เราต้องใช้คนทำถึงห้าสิบกว่าคน กลไกของบางรุ่นก็มีส่วนประกอบมากถึงสองพันกว่าชิ้น เพราะฉะนั้นหากใครต้องการเป็นเจ้าของนาฬิกายี่ห้อนี้สักเรือน ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะได้ของกลับไปเลย เพราะเราต้องสั่งผลิตเรือนต่อเรือน"
ชายหนุ่มพูดพลางเดินไปอีกตู้โดยมีหญิงสาวคอยเดินตาม ซึ่งคราวนี้เป็นตู้ที่ตั้งอยู่กลางร้าน และมีนาฬิกาหลายรุ่นวางเรียงอยู่ในนั้น เขาก้มลงมองแล้วพูดว่า "ยิ่งรุ่นไหนที่เป็นที่นิยมก็จะรอคิวนานหน่อย รอกันเป็นปีสองปีกว่าจะได้ครอบครอง"
"ลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจใช่ไหมคะว่าต้องรอนานขนาดนั้น" หญิงสาวถามอย่างสงสัย เพราะตอนนั้นที่ตนได้มาใส่ติดข้อมือก็เป็นของมือสอง แต่กระนั้นราคาของมันก็ยังหลายแสน
"ส่วนใหญ่คนที่มาเป็นลูกค้าของที่นี่มักจะเล่นหรือสะสมนาฬิกากันอยู่แล้ว ก็จะเข้าใจว่ายี่ห้อนี้ต้องสั่งทำเท่านั้น นาฬิกาของเราจะไม่มีการผลิตออกมาหลายเรือนแล้ววางขายเรียงกันเป็นตับเหมือนบางยี่ห้อ หากใครอยากได้ของเร็ว จ่ายเงินปุ๊บได้ของปั๊บก็ต้องไปซื้อมือสองเอา แต่คนที่เขาอยากได้มือหนึ่งจริง ๆ เขาจะรอกันได้"
ชินดนัยหันไปมองรอบตัวว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้หรือไม่ ครั้นพอเห็นว่าไม่มีใครเขาจึงหันไปหาหญิงสาวที่ยืนข้างกายแล้วลดเสียงเบาลงให้ได้ยินกันแค่สองคน
"ของบางอย่างถ้ามันคุ้มค่ากับการรอคอย ต่อให้รอหนึ่งปีหรือสองปียังไงก็รอได้อยู่แล้ว ก็เหมือนคนเรานั่นแหละ ถ้าคนคนนั้นควรค่าแก่การให้นึกถึงและรอคอย ต่อให้ต้องใช้เวลากี่ปีก็รอได้เสมอ"
จันทร์เจ้ามองเขาด้วยหางตาแล้วพูดกลับไปเบา ๆ เช่นกัน
"แต่ก็ต้องไม่ลืมถามคนคนนั้นด้วยนะคะว่าเขาอยากให้รอไหม บางทีเขาอาจจะอยากให้เป็นเส้นขนานกันไปตลอดชีวิตก็ได้นะคะ"
"ก็ไม่เป็นไร" เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนพูดต่อ
"เพราะพี่จะเอาปากกาลากเส้นขึ้นมาใหม่ให้เส้นขนานสองเส้นมันมาบรรจบกัน" เขาพูดพลางทำท่าประกอบ ขณะที่หญิงสาวนั้นหัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังคงความเรียบเรื่อยอยู่
"เขียนได้ก็ลบได้ค่ะ ที่โต๊ะมีลิควิด และถ้ายังมือบอนเขียนอีกก็หักปากกาทิ้งซะก็สิ้นเรื่อง"
ชินดนัยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เอียงศีรษะเข้าไปใกล้เธออีกนิดแล้วพูดเบา ๆ
"ดุจัง กลัวนะเนี่ย"
หญิงสาวทำเสียงฮึเบา ๆ แล้วเดินหนีไปอีกด้านของตู้โชว์ ซึ่งฝั่งนั้นเป็นนาฬิกาสำหรับผู้หญิง สายตาของจันทร์เจ้าจับจ้องไปที่นาฬิกาเรือนหนึ่งไม่วางตา และชายหนุ่มก็สังเกตเห็นเช่นกัน
"รุ่นนี้ขายดีที่สุด ตอนนี้ยอดสั่งจองอยู่ที่สามร้อยกว่า ซึ่งแน่นอนว่าจะรับนาฬิกาได้ก็ต้องรอประมาณปีครึ่ง" เขาจำได้ว่าจันทร์เจ้าก็มีนาฬิกายี่ห้อนี้อยู่เรือนหนึ่งเช่นกัน และเป็นรุ่นเดียวกับที่หญิงสาวกำลังมองอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่เคยบอกใครว่าครอบครัวทำธุรกิจอะไร เวลามีคนถามเขาก็บอกแค่ว่าที่บ้านเปิดร้านขายนาฬิกา
"ตอนนี้ราคาเท่าไรแล้วคะ" เธอถามขึ้นโดยที่สายตาไม่ละไปจากนาฬิกาเรือนนั้น
"รุ่นธรรมดาอยู่ที่หกแสนกว่า แต่ถ้าเป็นโรสโกลด์จะอยู่ที่หนึ่งล้านหนึ่ง"
ชินดนัยตอบเสียงนุ่ม ยิ่งเห็นสายตาที่มีแต่ความระลึกถึงของหญิงสาวแล้วเขาก็อดสงสารเธอไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็นับถือในความเข้มแข็งของเธอด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านาฬิกาที่เขาเคยเห็นเรือนนั้น ป่านนี้คงถูกขายทอดตลาดไปแล้ว
เขาไม่กล้าละลาบละล้วงถามเรื่องครอบครัวของเธอ เพราะไม่อยากให้จันทร์เจ้ามองว่าตนไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเรื่องครอบครัวล้มละลายแบบนี้หญิงสาวคงไม่ต้องการพูดถึงเท่าไรนัก"รุ่นนี้พวกดาราหรือไฮโซแถวหน้าของเมืองไทยฮิตกันมาก แต่เวลามีคนใส่ชนกันกลับไม่ดูเกร่อ ถ้าเปรียบเป็นกระเป๋าก็คงเหมือนชาแนลหรือแอร์เมสนะคะ""ใช่ เพราะนาฬิกาของเราไม่เคยลดราคา มีแต่ขึ้นราคา ถ้ามีตำหนิหรือข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทางผู้ผลิตจะทำใหม่ทันที ยิ่งบางรุ่นที่ไม่ผลิตแล้วก็ยิ่งแพง ราคามีแต่ทะยานขึ้น เขาถึงได้บอกไงว่าเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลานได้"เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ในห้องรับรอง"เห็นลูกค้าคนนั้นไหม เขามารับนาฬิกาที่สั่งไว้ซึ่งนับเป็นเรือนที่หกแล้วที่ซื้อไปจากที่นี่ เขาบอกว่าชอบสะสมนาฬิกาเพราะกะจะเอาไว้เป็นทรัพย์สินในมรดกด้วย"จันทร์เจ้าพยักหน้ารับรู้เพราะเข้าใจดี ตอนที่บ้านของเธอต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ เฉพาะนาฬิกาสะสมของบิดาก็ขายได้มากถึงสิบกว่าล้าน ส่วนนาฬิกาของเธอกับพี่สาวนั้นขายได้ล้านกว่า
"วันนี้พี่ขอตัวกลับก่อนนะ มีธุระกับที่บ้านน่ะ ถ้าจันทร์มีปัญหาอะไรก็โทร. หาพี่ได้ตลอดเวลาไม่ต้องเกรงใจ หรือไม่มีปัญหาอะไรก็โทร. มาได้ ถ้าเป็นสายจากจันทร์ พี่แสตนด์บายรอเสมอ""ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ขอตัวนะคะ" หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนเดินออกจากห้อง เธอรู้ว่าเขายังคงมองตามหลังมาอยู่จึงพยายามไม่เบนสายตาไปทางนั้น ครั้นพอออกมานอกห้องก็เจอกับกิตติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดซึ่งดูแลไปถึงฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ด้วย จันทร์เจ้าจึงค้อมศีรษะให้เขาในฐานะที่ตนตำแหน่งต่ำกว่า"คุณชินอยู่ในห้องใช่ไหม" กิตติกรถามพลางชี้เข้าไปในห้อง"อยู่ค่ะ แต่เห็นท่านประธานบอกว่าจะขอตัวกลับบ้านก่อน คุณกิตติกรจะคุยกับท่านเรื่องกระทู้ในเว็บบอร์ดใช่ไหมคะ"หญิงสาวลองถามเขาดูเพราะคิดว่าชินดนัยคงส่งอีเมลถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คาดเดานักเพราะกิตติกรพยักหน้าให้แทนการตอบรับ"งั้นหรือ ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้ผมค่อยมาคุยอีกทีก็แล้วกัน" กิตติกรยิ้มให้เลขาฯ คนใหม่ก่อนจะเดินกลับห้องทำงานของตัวเองคล้อยหลังผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประตูห้องทำงานของชินดนัยก็เปิดออก ชายหนุ่มเลิกคิ้วข
จันทร์เจ้าเปลี่ยนจากชุดทำงานมาใส่ชุดลำลองแล้วลงมารับประทานมื้อเย็น เธอเห็นมารดากำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในครัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางยกมือทาบอกไปด้วยก็อดสงสัยไม่ได้"แม่จันทร์จ๋า" เสียงใส ๆ จากพราวนภาส่งเสียงเรียกมาจากห้องนั่งเล่น หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหา"จ๋าหนูพราว วันนี้หนูหม่ำข้าวหมดจานไหมคะ" เธอก้มตัวอุ้มเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มทั้งซ้ายขวา พราวนภาจึงหอมกลับไปบ้าง"หนูพราวกินไม่หมด ยายจ๋าทำข้าวมีแคเหลาะ หนูพราวไม่ชอบ"จันทร์เจ้ายิ้มอย่างเอ็นดูพลางทรุดตัวนั่งบนโซฟาแล้วให้หลานตัวน้อยนั่งบนตัก"แคร์รอตค่ะลูก ไม่ใช่แคเหลาะนะ ไหนลองพูดซิ...แคร์รอต" หญิงสาวเน้นสองคำหลังช้า ๆ เพื่อให้พราวนภาพูดตาม"แคร์-รอต" เด็กน้อยพูดตามชัดถ้อยชัดคำ"ถูกต้อง ลูกสาวใครน้อ เก่งที่สุดในโลกเลย" จันทร์เจ้าหอมแก้มยุ้ย ๆ ทั้งสองข้างอีกครั้ง"ลูกสาวแม่จันทร์เจ้ากับแม่ตะวันค่า" พราวนภาฉีกยิ้มกว้างจนลักยิ้มที่แก้มซ้ายบุ๋มลงไป หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปลูบเบา ๆ เพราะหลานสาวตัวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน"แคร์รอตกินแล้วดีนะคะหน
เช้าวันถัดมา จันทร์เจ้านำของใช้ที่จำเป็นสำหรับพราวนภาไปไว้บนรถ ทั้งเสื้อผ้า ผ้าห่มผืนโปรด เบาะรองนอนแบบพับได้ รวมไปถึงอาหารและนมกล่อง เพราะจะได้ไม่ต้องลงไปซื้อที่มินิมาร์ตด้านล่างอาคารให้เสียเวลา"หนูพราวสวัสดีคุณยายก่อนลูก วันนี้คุณยายต้องไปต่างจังหวัดนะคะ คืนนี้คงไม่ได้นอนกับหนูพราว" จันทร์เจ้าบอกหลานสาว พราวนภาจึงกอดตุ๊กตาตัวโปรดไว้แนบอกแล้วกระพุ่มมือไหว้ผู้เป็นยายก่อนจะเดินเข้าไปกอดขาอย่างออดอ้อน"ยายจ๋าจะไปเที่ยว ทำไมไม่ให้หนูพราวไปด้วยคะ"พรรณีลูบศีรษะเล็ก ๆ ของหลานตัวน้อยอย่างเอ็นดู "ยายไม่ได้ไปเที่ยวนะลูก ยายไปทำงานค่ะ หนูพราวไปกับยายไม่ได้หรอก แต่ยายไปแค่ไม่กี่วันก็กลับแล้ว หนูพราวอยู่กับคุณแม่ต้องเป็นเด็กดีนะคะ" พูดกับหลานเสร็จก็หันไปพูดกับบุตรสาว"กุญแจบ้านเอาไปรึยัง ลืมไม่ได้เชียวนะไม่อย่างนั้นเข้าบ้านกันไม่ได้""อยู่ในกระเป๋าแล้วค่ะคุณแม่ไม่ต้องห่วง คุณแม่เองก็ขับรถดี ๆ นะคะ""อืม รีบไปกันเถอะ สายไปกว่านี้แล้วรถมันจะติด แม่เองก็คงออกจากบ้านสักประมาณสิบโมงนั่นแหละ""ค่ะ...เราขึ้นรถกันดีกว่าค่ะหนูพราว เดี๋ย
"ตามปกติ ต่อให้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่เด็กก็มักใช้นามสกุลของพ่อไม่ใช่หรือวะ" เขารู้สึกสะกิดใจตรงนี้ที่สุด และสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขาอีกเรื่องก็คือพราวนภามีใบหน้าละม้ายคล้ายใครบางคนที่เขารู้จัก แต่เขากลับนึกไม่ออกว่าใครเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะทำงานดังขึ้นปลุกให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขาหยิบขึ้นมากดรับสายทันทีที่เห็นชื่อคนที่โทร. เข้ามา"เออว่าไง" เขากรอกเสียงลงไปด้วยคำทักทายที่เป็นกันเองเพราะคนที่โทรศัพท์เข้ามาคือภาวิน"บ่ายนี้มึงอยู่ออฟฟิศรึเปล่า""อยู่ แต่ไม่ยุ่งเท่าไร ถามทำไม" ชินดนัยถามกลับเพราะคิดว่าเพื่อนสนิทน่าจะชวนออกไปข้างนอก"ไม่ยุ่งก็ดี งั้นสักบ่ายครึ่งกูจะเข้าไปหา มีอะไรจะปรึกษาหน่อย""โอเค แล้วไอ้ปกล่ะจะมาด้วยรึเปล่า" เขาถามถึงปกเกล้า เพื่อนสนิทอีกคน"เห็นว่าไปดูทำเลเปิดสาขาใหม่ที่บุรีรัมย์""อ้อ...สนามแข่งรถที่นั่นกำลังบูมเลยนี่" เขาเห็นด้วยที่ปกเกล้าจะไปเปิดร้านขายอุปกรณ์แต่งรถสำหรับซูเปอร์คาร์ที่บุรีรัมย์เพราะเคยคุยกันมาหลายครั้งแล้วว่าที่นั่นน่าสนใจ"ใช่ เอาเป็นว่าเจอกันช่วงบ่ายละกันเพื่อน แค่น
"พ่อมาหาหนูพราวแล้ว" พราวนภายิ้มเขิน สองแขนแกว่งไกวไปมาราวกับกำลังดีใจอย่างที่สุด แววตาไร้เดียงสาเป็นประกายสดใสมองคนตัวโตตรงหน้าตาแทบไม่กะพริบ"หืม...พ่อหรือ"ภาวินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจพลางยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเองอย่างลืมตัว กำลังจะพูดปฏิเสธออกไปว่าตนไม่ใช่บิดาของเด็กน้อย แต่พอเห็นดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ที่มองมาอย่างคาดหวังเขาก็พูดไม่ออก เพราะเกรงว่าคำพูดของตนจะไปทำร้ายจิตใจเด็กหญิงตัวน้อยเข้าแต่เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ามีความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างกำลังคืบคลานเข้าสู่หัวใจอย่างช้า ๆ และความรู้สึกนั้นก็พิเศษจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เขารู้สึกผูกพันและถูกชะตากับเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างน่าประหลาดทั้งที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก และที่สำคัญคือจู่ ๆ เขาก็รู้สึกอยากกอดเด็กคนนี้แน่น ๆ แนบอกตราบนานเท่านานทันใดนั้นสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับรอยบุ๋มเล็ก ๆ น่ารักที่ข้างแก้มใสอมชมพูของเด็กน้อยตรงหน้าทันที"โอ๊ะ! เรามีลักยิ้มเหมือนกันเลยค่ะ" ภาวินชี้ลักยิ้มที่แก้มซ้ายของตัวเองก่อนจะใช้นิ้วจิ้มเบา ๆ ที่ลักยิ้มบนแก้มของพราวนภา
"จะไปรู้ได้ยังไง ป่านนี้คงไปทำงานที่ใหม่แล้วมั้ง" ชินดนัยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ"ที่ใหม่ที่ว่านั่นคือบ้านมึงรึเปล่าไอ้ชิน ได้ข่าวว่าเขาอยากเป็นสะใภ้บ้านมึงมากไม่ใช่หรือ" ภาวินพูดยิ้ม ๆ จึงถูกชินดนัยชูนิ้วกลางให้พร้อมกับพูดว่า"บ้านกูยังไม่ต้องการสะใภ้ตอนนี้ เชิญมึงก่อนเลยเพื่อน จะได้เอาไว้ช่วยงานบริษัทมึงด้วยไง""ยังไม่ต้องการเหมือนกันว่ะ" พูดจบภาวินก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนคนฟังต้องเขม้นมองหน้าเพื่อนอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกัน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อนจันทร์เจ้าเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดใส่กาแฟและน้ำเปล่า หญิงสาวเดินเข้ามาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าภาวินหนึ่งชุด และฝั่งตรงข้ามสำหรับเจ้านายอีกหนึ่งชุด จากนั้นก็ทำท่าจะหันหลังเดินกลับไปที่ประตู"ขอบคุณมากครับ" ภาวินยิ้มจนตาหยีให้เช่นเคย จันทร์เจ้าจึงยิ้มตอบพร้อมกับผงกศีรษะให้อย่างนอบน้อมก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบและปิดประตูให้ตามเดิมตั้งแต่เดินเข้ามาจนกระทั่งเดินออกไป หญิงสาวไม่มองไปทางเจ้านายหนุ่มเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ชายหนุ่มเขาจับจ้องเธอจนตาแทบไม่กะพริบ กระทั่งเห็
พูดจบชินดนัยก็ก้มมองมือตัวเองที่กำลังถูไปมาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จึงไม่ทันเห็นสายตาของเพื่อนรักที่มองมาอย่างเห็นใจ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ภาวินก็ตบบ่าเขาพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง"เฮ้ย! ไม่เป็นไรเว้ยเพื่อน มันก็แค่เชื้อเอชไอวีไม่ใช่หรือวะ สมัยนี้เขารักษากันได้แล้ว คนที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องเป็นเอดส์กันทุกคนนี่หว่า บางคนแข็งแรงแถมยังอายุยืนกว่าคนปกติเสียด้วยซ้ำ มันก็เหมือนกับเชื้อหวัดที่ทุกคนมีอยู่ในร่างกายนั่นแหละวะ แค่ดูแลตัวเองให้ดีก็ไม่มีโรคแทรกซ้อนแล้ว สมัยนี้การแพทย์เขาพัฒนาจะตายไป"ได้ยินเพื่อนพูดมาอย่างนั้นชินดนัยก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะรู้สึกว่าคำพูดของภาวินชักฟังแปร่ง ๆ หู กำลังจะอ้าปากแก้ไขความเข้าใจผิดแต่อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน"ต่อให้มึงจะเป็นอะไร ยังไงมึงก็เพื่อนกูนะเว้ยไอ้ชิน พวกเราคบกันมาตั้งแต่ยังใส่ชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นจนถึงตอนนี้อายุก็แตะเลขสามกันแล้ว มึงคิดว่าพวกกูจะเลิกคบกับมึงเพราะรังเกียจที่มึงติดเชื้อเอชไอวีรึไงวะ ไอ้บ้า""มึงสิบ้า! กูพูดสักคำรึยังว่ากูติด คิดไปถึงไหนวะไอ้วิน เดี๋ยวกูถีบเลย" ไม่พูดเปล่า แต่ชินดนัยยังยกเท
"เชิญครับ ตามสบายเลย" ชินดนัยยกมือขึ้นกอดอกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่าย ครั้นพอมองไปด้านข้างก็เห็นจันทร์เจ้าอุ้มพราวนภาเดินเข้ามาใกล้ โดยเจ้าตัวเล็กได้แต่กอดคอหญิงสาวแล้วเอาหน้าซุกกับบ่าของผู้เป็นน้า ไหล่เล็ก ๆ สะท้านไหวตามแรงสะอื้นเป็นพัก ๆ ไม่ยอมหันหน้ามามองทางนี้ราวกับหวาดกลัวใครบางคน"แกก็เหมือนกัน! อย่าคิดว่ามีเจ้านายคอยถือหางแล้วจะเชิดหน้าชูคออยู่ในบริษัทนี้ได้ตลอดนะ คอยดูเถอะ ฉันจะบอกอดีตประธานให้ไล่แกออก" รัมภาหันไปแหวใส่จันทร์เจ้าอย่างเอาเรื่อง แต่หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ส่งให้แล้วพูดกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น"ถ้าคิดว่าทำได้ก็เชิญค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าอดีตท่านประธานจะมาสนใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ด้วยรึเปล่า อ้อ...ฉันขอแนะนำหน่อยนะคะ ถ้าคุณอยากให้คนกราบไหว้มากนักละก็ ลองอัดรูปตัวเองใส่กรอบ หรือทำรูปปั้นครึ่งตัวขนาดเท่าคนจริงไปวางตั้งไว้หน้าตึกดูสิคะ รับรองค่ะว่านอกจากจะมีคนมากราบไหว้บูชาแล้ว ยังมีของเซ่นไหว้ไม่ขาดอีกด้วย""ว้าย! คุณแม่ขา มันหาว่าคุณแม่ตายแล้วค่ะ...พี่ชินคะ เกรซไม่ยอมนะ พี่ปล่อยให้นังเลขาฯ นี่มาว่าคุณแม่ของเกรซได้ยังไง"
จันทร์เจ้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง "ค่ะ"หญิงสาวลอบถอนหายใจ เธอเข้าใจดีว่าการที่ชินดนัยให้เธอติดตามไปด้วยก็เพื่อให้ตนไปทำความรู้จักกับบรรดาลูกค้าไฮโซทั้งหลาย และหากเธอสามารถจำชื่อของแต่ละคนได้ก็จะเป็นการดีกับบริษัทด้วย เพราะถือเป็นการให้เกียรติลูกค้าอย่างมาก อีกทั้งจะทำให้ลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกเป็นคนสำคัญที่มีคนจดจำชื่อตนได้ ถือเป็นการสร้างความประทับใจอย่างหนึ่งหวังว่างานนี้จะไม่จะเจอคนรู้จักเพราะชินดนัยบอกว่ามีแต่คนในแวดวงไฮโซ ไม่ใช่กลุ่มนักธุรกิจ ตั้งแต่ครอบครัวถูกฟ้องล้มละลาย เธอกับมารดาก็ปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ โดยไม่ติดต่อกับบรรดาภรรยานักธุรกิจที่เคยรู้จักกันอีก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าก็ทำท่าทางเห็นใจ แต่ลับหลังกลับหัวเราะเยาะเย้ยในชะตากรรมของคนอื่นขณะที่จันทร์เจ้าจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง ชินดนัยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่างานประมูลครั้งนี้ หญิงสาวอาจเจอคนรู้จักก็เป็นได้ และเธอคงกำลังหนักใจอยู่กระมังที่ต้องไปออกงานพร้อมเขา"เอ่อ...พี่ขอโทษทีนะจันทร์ พี่ลืมไปเลยว่างานนี้เราอาจจะเจอคนรู้จักของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าจันทร์ไ
วันต่อมาจันทร์เจ้าจำเป็นต้องพาพราวนภามาเลี้ยงที่ทำงานอีกหนึ่งวัน หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจว่าวันนี้ขอไม่เจอกับภาวินอีก เพราะบอกตามตรงว่ายังหาวิธีรับมือกับเขาไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เธอต้องรีบปรึกษากับมารดาทันทีที่ท่านกลับมาถึงหลังจากปูเบาะเพื่อให้หลานสาวนั่งเล่นด้านหลังโต๊ะทำงานเสร็จเรียบร้อย เมื่อหันกลับมาก็เจอร่างสูงโปร่งของผู้เป็นเจ้านายยืนยิ้มเผล่อยู่เบื้องหน้าพอดี"สวัสดีค่ะคุณลุงประธาน" เสียงใสของพราวนภาเอ่ยทักทายพลางย่อตัวไหว้ทันทีที่เห็นหน้าของคนที่ไปเยี่ยมหาถึงบ้านเมื่อวานพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจิดจ้าไปให้"สวัสดีค่ะหนูพราว วันนี้แต่งตัวน่ารักจัง มีหูกระต่ายที่ไหล่ด้วยหรือคะ"ชินดนัยทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางเดินเข้าไปยืนใกล้กับจันทร์เจ้าจนไหล่แทบชนกัน หญิงสาวจึงเบี่ยงตัวไปอีกด้านเพื่อเว้นระยะห่างจากเขา เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเธอห่างออกไปแล้วเขาจึงย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กหญิงตัวน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า"วันนี้เราไปหม่ำไอติมกันไหมคะ ลุงอยากกินจังเลยแต่ไม่มีเพื่อนไปกิน หนูพราวไปเป็นเพื่อนลุงหน่อยได้ไหมเอ่ย"พราวนภายิ้มพร้อ
เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างกันอดหมั่นไส้ไม่ได้ ภาวินปรายตามองเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอื้อมไปเร่งเสียงเพลงในรถให้ดังขึ้นพร้อมกับพูดว่า"กูจะฟังเพลง กูไม่ได้อยากฟังเสียงมึง"ชินดนัยยิ้มกว้างแล้วกดปุ่มลดเสียงจากพวงมาลัยที่จับอยู่แล้วจงใจพูดยั่วเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด"แต่นี่มันรถกู เพราะฉะนั้นกูจะร้องดังแค่ไหนก็ได้" พูดจบก็ร้องท่อนฮุคของเพลงเสียงดังลั่นรถ ก่อนจะตบท้ายด้วยการหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรัก"จะเครียดไปทำไมวะไอ้วิน หรือเสียใจที่จู่ ๆ ก็มีลูกสาวโผล่มาคนหนึ่ง กูว่าหนูพราวน่ารักน่าเอ็นดูจะตายไป นี่ถ้าพ่อกับแม่มึงรู้ว่ามีหลานสาวน่ารัก ๆ อย่างนี้สงสัยตื่นเต้นกันน่าดู"ภาวินถอนหายใจเสียงดังก่อนพูด "จะไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ ท่าทางคุณจันทร์คงไม่มีทางปล่อยหนูพราวแน่""ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อยสิ เขาก็ไม่ได้หนีไปไหนกันนี่หว่า มึงอยากไปหาเมื่อไรก็ได้หนูจันทร์เขาก็บอกไว้แล้วนี่ เขาไม่ได้กีดกันหรือห้ามไม่ให้มึงไปหาลูกสักหน่อย""มึงก็พูดง่ายสิ
ทั้งสองหนุ่มเองก็เงียบไปเช่นกัน ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปครู่หนึ่ง"ช่วงนั้นพวกเราสามคนแม่ลูกแทบจะทำอะไรกันไม่ถูกเพราะทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ยังดีที่มีญาติสนิทบางคน และเพื่อนของคุณแม่ที่ช่วยเหลือและแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่าง กว่าจะผ่านจุดนั้นกันมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พี่ตะวันเองก็เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้อง พูดคุยน้อยลง ไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อน พี่เขาตัดการติดต่อกับเพื่อนทุกคน จันทร์กับคุณแม่ก็คิดว่าพี่ตะวันคงกำลังปรับตัวจึงไม่ได้สงสัยอะไร และช่วงนั้นจันทร์ก็มัวแต่ยุ่งกับการหางานทำด้วย คุณแม่ก็ต้องอบขนมทำเค้กไปให้ร้านต่าง ๆ ลองชิมรสชาติ ถ้าถูกปากก็จะได้สั่งไปขาย"จันทร์เจ้าเล่าไปเรื่อย ๆ จนลืมตัวเผลอใช้ชื่อตนแทนคำเรียกขาน และคนฟังก็ไม่ได้สะดุดหูกับตรงนี้เช่นกันเพราะต่างคนต่างอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง"เราสามคนก็ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายอย่างนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งพี่ตะวันคลอด หลังจากคลอดแล้วพี่เขาดูเหมือนจะยิ่งเก็บตัวและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม ปกติคนที่เพิ่งคลอดลูกมามักจะอวบขึ้นแต่พี่ตะวันกลับซูบผอมลงไปมาก จากคนที
"หมาเห็นปลากระป๋อง ได้แต่มองไม่มีสิทธิ์แ..." คำสุดท้ายภาวินพูดโดยไม่ออกเสียงแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนคนที่ถูกนำไปเปรียบกับสุนัขได้แต่ชูนิ้วกลางให้เพื่อน จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องรับแขกจนกระทั่งจันทร์เจ้าพาพราวนภาเดินเข้ามาในห้องหญิงสาวเห็นสองหนุ่มพากันนั่งตัวตรงจึงก้มตัวลงไปบอกหลานตัวน้อย"หนูพราว หนูนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ ขอแม่คุยกับคุณลุงเขาก่อน""แม่จันทร์จะไปไหนคะ หนูพราวไปด้วย" พราวนภาเงยหน้าถามเสียงอ่อยด้วยสายตาออดอ้อน"แม่ไม่ได้ไปไหนค่ะ แม่จะนั่งคุยตรงโต๊ะกินข้าวนี่เอง หนูพราวนั่งดูการ์ตูนไปก่อนนะลูก" พูดจบก็เดินจะไปหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดช่องการ์ตูน แต่รีโมตนั้นกลับวางอยู่บนเบาะข้างชินดนัย เธอมองหน้าเขา เห็นเขายิ้มกริ่มมองตอบกลับมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วพูดว่า"หนูพราวคะ เวลาจะขอสิ่งของ หรือขอให้ผู้ใหญ่หยิบของให้ เราควรจะพูดยังไงเอ่ย""พูดว่าหยิบของให้หนูพราวหน่อยได้ไหมคะ" พราวนภาตอบอย่างพาซื่อ"แล้วถ้า..." ชินดนัยหยุดพูดพลางมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ
ชินดนัยก้าวมายืนด้านหน้าบรรพตอย่างเอาเรื่อง ขณะที่ภาวินก็เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดอย่างไม่พอใจเช่นกัน"แถวบ้านกูเขาเรียกปากหมานะเนี่ย จัดสักดอกดีไหมวะไอ้ชิน""เฮ้ย! พวกมึงจะหมาหมู่หรือวะ คิดว่ากูกลัวรึไง ถุย!"บรรพตถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มทั้งคู่แล้วพูดอย่างอาฆาต"ฝากไว้ก่อนเถอะพวกมึงน่ะ อย่าให้กูเจอที่อื่นนะจะให้คนกระทืบแม่งให้ตายคาตีนเลย""ตายคาตีนกูก่อนดีไหม ปากดีฉิบหาย" ชินดนัยปรี่เข้าไปทันที บรรพตจึงรีบถอยกรูดไปที่รถของตัวเองพร้อมกับเปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างลนลาน เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้ารีบไขกุญแจเปิดประตูรั้วออกมาแล้วร้องห้ามเสียงสั่น"หยุดเดี๋ยวนี้นะ! อย่ามาต่อยตีกันหน้าบ้านฉันนะ" สิ้นเสียงของหญิงสาว เสียงล้อบดถนนจากการเร่งเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มพร้อมกับที่รถสปอร์ตของบรรพตวิ่งฉิวผ่านหน้าไปจนเกือบชนจักรยานที่พนักงานรักษาความปลอดภัยขี่ตรวจตราภายในหมู่บ้านคล้อยหลังรถเจ้าปัญหา จันทร์เจ้าก็หันมามองหน้าชายหนุ่มสองคนแล้วถามอย่างเอาเรื่อง"แล้วพวกคุณสองคนมาทำไม"ภาวินทำหน้าอิหลักอิเห
จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสะกดความกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจ บรรพตเป็นบุตรชายของเจ้าสัวเอนก เพื่อนในทางธุรกิจของบิดาผู้ล่วงลับ ตอนที่บ้านของเธอยังไม่ถูกฟ้องล้มละลาย เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อเธออยู่หลายครั้ง บางทีก็เข้าหาทางบิดา ทำทีเป็นว่าให้ผู้ใหญ่พูดคุยตกลงเพื่อเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่พอบ้านของเธอไม่เหลืออะไร ผู้ชายคนนี้กลับยื่นข้อเสนอให้เธอไปเป็นเมียเก็บของเขา เพื่อแลกกับเงินเดือนละหนึ่งแสนบาท ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่เคยปริปากบอกมารดาให้ท่านทราบจนกระทั่งวันนี้ใครยอมก็โง่เต็มที!"คุณบรรพตมีธุระอะไรรึเปล่าคะถึงได้มาเวลานี้"หญิงสาวพยายามเก็บความหวาดหวั่นเอาไว้ในใจ แล้วแสดงออกมาแต่ความสงบเยือกเย็นผ่านทางสีหน้าเช่นเคย และเพราะรู้ตัวว่าตนอาจเผลอแสดงความรังเกียจออกไปทางสายตา จึงพยายามกลอกตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น ตอนนี้เธออยู่บ้านกับเด็กเล็กแค่สองคน หากผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาดี เขาอาจลงมือทำอะไรก็ได้"แหม...น้องจันทร์นี่ละก็ พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม มันฟังดูห่างเหินเกินไปเหมือนเราไม่ใช่คนกันเองอย่างนั้นแหละ" บรรพตยิ้มพร
"ช่วงที่กูได้งานเป็นนักบินใหม่ ๆ กูเคยคบกับแอร์สายการบินเดียวกันอยู่คนหนึ่งชื่อตะวัน คบได้ปีกว่าก็เลิกไป และตะวันก็น่าจะเป็นพี่สาวของเลขาฯ มึงนั่นแหละ ถึงว่าสิ ตอนเห็นหน้าคุณจันทร์ครั้งแรกกูถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก เพราะสองพี่น้องนี่หน้าตาคล้าย ๆ กันนี่เอง" ภาวินก้มดูรูปในโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง"ทำไมถึงเลิกวะ บอกได้ไหม" ชินดนัยอดถามไม่ได้ เพราะหากพราวนภาเป็นลูกของภาวินจริง ๆ ก็หมายความว่าพี่สาวของจันทร์เจ้าตั้งครรภ์อยู่ตอนที่เลิกรากับเพื่อนเขาภาวินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา แหงนคอพาดไว้กับพนักแล้วหลับตานิ่งก่อนจะตอบเบา ๆ"เขาบอกว่าเขาท้องกับคนอื่น"ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็เป็นภาวินที่เปิดปากพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน"ตอนแรกก็ยังดี ๆ อยู่ ตอนบินไปปารีสก็ยังไปเที่ยวด้วยกันอยู่เลย แต่หลังจากกลับมาถึงเมืองไทยได้สักวันสองวัน จู่ ๆ ตะวันก็โทร. มาบอกเลิกกู เขาบอกว่าคบผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยไม่ได้คบกูคนเดียว เขาท้อง และลูกในท้องก็เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น เฮ้อ...บอกตามตรงเลยว่าตอนนั้นกูโคตรโกรธเลย วันไหนไม่มีบิน ก