ชินดนัยส่ายหน้าก่อนตอบ "ไม่ใช่ค่ะ พี่เคยคบกับเขาตอนเรียนมหา'ลัยน่ะ แต่ก็คบได้ไม่นานก็เลิกกันไปแล้วพี่ก็ไปเรียนต่อพอดี ตอนนี้เขามาทำงานเป็นเลขาฯ ของพี่ พี่ก็พยายามจะรื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ กับเขาอยู่แต่ยังไม่สำเร็จ"
"แปลว่าจบไม่สวยเท่าไรใช่ไหมคะ" เมื่อถูกน้องสาวถามจี้ใจดำ เขาก็ได้แต่ทำหน้าประดักประเดิดเพราะเป็นเรื่องจริง ก่อนจะพยักหน้ายอมรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง
"พี่ไม่ดีเองแหละ ช่วงนั้นมั่นใจในความหล่อของตัวเองมากไปหน่อย"
เขาพยายามใช้คำพูดที่ฟังติดตลก เพราะความจริงแล้วการที่เขาควงสาวไม่ซ้ำหน้า คบผู้หญิงซ้อนกันหลายคนในช่วงนั้นเป็นเพราะฮอร์โมนความเป็นชายมันพลุ่งพล่าน โดยเฉพาะการได้ลากสาวสวยมาเล่นสนุกกันบนเตียงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเขาเหลือเกิน ยิ่งเขาสามารถปิดบังบรรดาสาว ๆ ที่คบอยู่ และให้เจ้าหล่อนเชื่อว่าเขาคบเธอแค่คนเดียวได้นานเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากเท่านั้น
"แล้วทำไมพี่ชินถึงอยากกลับมาคบกับคนนี้อีกครั้งล่ะคะ"
ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่ว มีมากมายหลายสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรให้คนฟังเข้าใจสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกใช้คำพูดที่ฟังเข้าใจง่ายและคิดว่าผู้หญิงอย่างชญานุชน่าจะเข้าใจดี
"พี่ก็บอกไม่ถูกหรอกนะนุช ถึงแม้ว่าพี่กับจันทร์จะคบกันไม่นานเท่าไร แต่ตอนที่คบกับเขาพี่รู้สึกสบายใจที่สุด ตอนนั้นเวลาที่พี่อยากปรับทุกข์กับใครสักคน พี่จะนึกถึงจันทร์เป็นคนแรก ตอนที่เลิกกัน พี่เคยคิดจะไปขอคืนดีกับเขาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ติดที่ตอนนั้นอีโก้ลูกผู้ชายมันบังตา"
ไม่มีใครรู้หรอกว่าเวลาที่มีคนเอ่ยถึงการมีแฟนหรือคนรัก ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเขาก็คือจันทร์เจ้า ตอนที่เขาเรียนต่อต่างประเทศ แม้จะมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาผลัดกันขึ้นเตียงเขา แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่คนเดียวแล้วเขาถูกความเหงาเข้าเล่นงาน คนที่เขาคิดถึงเพียงหนึ่งเดียวก็คือผู้หญิงที่ชื่อจันทร์เจ้าเช่นเคย
"แต่การที่เขายอมมาทำงานเป็นเลขาฯ ให้พี่ชิน ก็แสดงว่าเขาก็ไม่ได้โกรธเกลียดพี่ไม่ใช่หรือคะ" เมื่อน้องสาวพูดเช่นนั้นเขาก็ได้แต่ยิ้มแหย ก่อนจะสารภาพด้วยน้ำเสียงจืดเจื่อน
"ความจริงแล้วตอนแรกเขาไม่รู้ว่าต้องมาทำงานกับพี่น่ะ พี่โชคดีที่บังเอิญได้ไปเห็นเรซูเม่ของเขาตอนส่งมาสมัครงานพี่ก็เลยบอกให้ฝ่ายบุคคลรับไว้โดยไม่ต้องสัมภาษณ์ แล้วก็เล่นตุกติกกับรายละเอียดในสัญญานิดหน่อย เพื่อป้องกันเขาชิงลาออกหลังจากที่รู้ว่าต้องมาทำงานให้พี่"
ชญานุชเบิกตากว้าง ปากสีซีดเผยอเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะมองค้อนเขา
"น่าเกลียดที่สุดเลยค่ะพี่ชิน สมควรแล้วค่ะที่เขาไม่ยอมคืนดีด้วย"
ชินดนัยหัวเราะร่า ก่อนจะยื่นมือไปยีผมน้องสาวเล่นเบา ๆ
"อ้าว ไม่เข้าข้างพี่สักหน่อยหรือ เราเป็นพี่น้องกันนะคะนุช"
"ไม่ละค่ะ นุชเข้าข้างผู้หญิงด้วยกันมากกว่า" ชญานุชยู่หน้าใส่พี่ชาย ชายหนุ่มเห็นว่าอารมณ์ของน้องสาวเริ่มสดใสขึ้นมาบ้างแล้วจึงลองตะล่อมถามเรื่องของอีกฝ่ายบ้าง
"แล้วนุชล่ะคะ พักนี้เป็นยังไงบ้าง"
เธอหันมายิ้มให้บาง ๆ ก่อนตอบ "ก็เรื่อย ๆ ค่ะ พี่ชินก็รู้ว่านุชอยู่แต่ในบ้านทั้งวันไม่ได้ออกไปไหน ชีวิตประจำวันของนุชก็เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่มีอะไรแตกต่างหรอก"
"วันเสาร์นี้นุชไปดูหนังกับพี่หน่อยสิ ได้ไหมคะ ไปดูเป็นเพื่อนพี่หน่อย พี่อยากดูเรื่องนี้มากเลย จะไปดูคนเดียวก็รู้สึกแปลก ๆ จะชวนเพื่อนไปเดี๋ยวคนก็จะมองว่าเป็นคู่เกย์กันอีก"
ชินดนัยรีบเข้าจุดประสงค์หลักของตัวเองทันที แม้ว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจะเป็นสิ่งที่เขาคาดเดาได้อยู่แล้ว
“นุชไม่อยากออกไปไหนค่ะ ทำไมพี่ชินไม่ลองชวนแฟนเก่าของพี่ล่ะคะเผื่อถ่านไฟเก่าจะคุ”
“เฮ้อ...ถ้าเขายอมไปกับพี่ก็ดีน่ะสิคะ พี่คงไม่ต้องมานั่งปรึกษานุชหรอก” เขายิ้มพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวอย่างอ่อนโยน สีหน้าแววตาบ่งบอกถึงความรักและเอ็นดูอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ความจริงแล้วพี่อยากควงน้องสาวสุดที่รักของพี่ไปดูหนังมากกว่า จะว่าไปแล้วเราสองคนไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันนานมากแล้วนะคะ”
ชญานุชหลุบตาลงมองมือตัวเอง ปากซีดเซียวของเธอเม้มแน่นราวกับกำลังสะกดกลั้นกับอารมณ์บางอย่าง เขาเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารน้องสาวจับใจ อยากช่วยแบ่งเบาความทุกข์มาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเธอถึงจะยอมระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้เขาได้รับรู้
“นุชคะ นุชฟังพี่นะ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่ว่านุชกำลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่ พี่อยากให้นุชรู้ว่าพี่จะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้าง ๆ นุชเสมอ ตอนนี้นุชอาจจะยังไม่สะดวกเล่าหรือระบายให้พี่ฟังก็ไม่เป็นไร พี่รอได้ พี่ยินดีรับฟังนุชทุกเรื่อง นุชเป็นน้องสาวคนเดียวของพี่ เพราะฉะนั้นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพี่นอกจากคุณพ่อคุณแม่แล้วก็มีนุชอีกคน”
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงสะอื้นจากคนตรงหน้าก็ดังขึ้นเบา ๆ ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาเช็ดน้ำตาให้น้องสาวอย่างนุ่มนวลโดยไม่พูดอะไรอีก เพราะต้องการให้เวลาชญานุชได้คิดและไตร่ตรอง อีกทั้งเขาไม่ต้องการกดดันอีกฝ่ายมากเกินไป ตอนนี้จิตใจของหญิงสาวเปราะบางมาก เขากลัวว่าหากพูดอะไรออกไปแล้วกระทบจิตใจของเธอเข้า ทุกอย่างอาจจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
“ดื่มนมอุ่น ๆ สักแก้วไหมคะ พี่จะลงไปเอามาให้ หรือนุชอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม พี่ชายคนนี้พร้อมบริการเจ้าหญิงน้อยทุกอย่างเลย” เขาพูดอย่างเอาอกเอาใจเหมือนเมื่อครั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และเพราะคำเรียกขาน “เจ้าหญิงน้อย” ของเขานี่เองที่เรียกรอยยิ้มจากเธอได้ แม้ว่าจะเป็นการยิ้มทั้งน้ำตาก็ตาม
“ขอนมสักแก้วละกันค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ชิน”
“ได้ครับเจ้าหญิงน้อย”
ชินดนัยลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องของชญานุชเพื่อลงไปอุ่นนมในครัว เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง เขาเห็นบิดามารดาลุกขึ้นจากโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วปรี่เข้ามาหาอย่างร้อนใจ
“น้องเป็นยังไงบ้างลูก” นภวรรณผู้เป็นมารดาเอ่ยถามขึ้นก่อน
“ยายนุชไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณพ่อคุณแม่ น้องก็แค่อยากอยู่คนเดียวเท่านั้นเอง นี่ผมลงมาเอานมไปให้น้องดื่มสักแก้ว เสร็จแล้วก็จะให้น้องกินยานอนแล้วครับ อย่ากังวลเลย” ชายหนุ่มบีบมือมารดาเบา ๆ ก่อนผละไปทางห้องครัว
ใช้เวลาไม่นานนักชินดนัยก็เดินถือแก้วนมสดพร้อมขวดน้ำดื่มขึ้นมาบนห้องชญานุช เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่สายตามองเหม่อไปทางหน้าต่างห้องซึ่งขณะนี้ด้านนอกมืดสนิทเนื่องจากเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว
“มาแล้วครับผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงแล้วเดินเข้ามาวางขวดน้ำไว้บนโต๊ะและยื่นแก้วนมให้น้องสาว เธอรับแก้วไปถือไว้ เขาจึงเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง เปิดลิ้นชักหยิบยาต้านเศร้าที่ต้องกินก่อนนอนออกมาทั้งแผง จากนั้นก็มานั่งที่เดิมเขารอจนเธอดื่มนมหมดแก้วจึงแกะยาจากแผงยื่นให้หนึ่งเม็ดพร้อมรอยยิ้ม เธอมองยาเม็ดเล็ก ๆ สีขาวในมือเขาครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกมารับแต่ยังไม่ยอมกิน เขาจึงแกะออกมาอีกเม็ดแล้วพูดว่า“ถ้านุชไม่อยากกินยาคนเดียวเดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ” พูดจบเขาก็โยนยาเม็ดนั้นเข้าปากแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทั้งขวด ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของน้องสาว“พี่ชิน! กินเข้าไปได้ยังไงคะ” หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ากินยาเหมือนตน“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย พี่ก็แค่อยากกินยาเป็นเพื่อนนุช คราวนี้ถึงตานุชต้องกินยาบ้างแล้วนะคะ” เขายิ้มราวกับการกินยาต้านเศร้าทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครั้นพอเห็นน้องสาวกินยาแล้วดื่มน้ำตาม ชินดนัยก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะโทรศัพท์ไปถามรมิดาเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาสำหรับคนที่
"พี่โทร. ไปบอกผู้จัดการสาขาแล้วละว่าเราจะเข้าไปที่นั่น ที่พี่จะให้จันทร์ไปวันนี้ก็เพราะอีกหน่อยจันทร์จะต้องไปติดต่อกับที่นี่บ่อย ๆ และอีกอย่างคือหลายคนรู้แค่ว่าพี่เปลี่ยนเลขาฯ แล้วแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ถือเสียว่าไปแนะนำตัวเองละกัน""ค่ะ สิบโมงครึ่งใช่ไหมคะ""อืม เดินไปนะ เดินบนทางลอยฟ้านี่แหละ และถ้าจันทร์ไม่มีงานด่วน หรืองานไหนที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จภายในวันนี้พี่ก็จะพาเราไปที่ศูนย์บริการด้วย ไปดูขั้นตอนการทำงานจริงเวลาที่มีสินค้าส่งซ่อม จะได้รู้ว่าเขาทำกันยังไงบ้าง"จันทร์เจ้าทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจได้"คิดว่าไม่มีนะคะ ไปวันนี้เลยก็ได้"ชินดนัยยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้าให้ "งั้นก็ตามนั้น สิบโมงครึ่งเข้ามาเตือนพี่อีกทีละกัน เผื่อพี่มัวแต่ทำนั่นทำนี่จนลืมเวลา""ค่ะ ขอตัวนะคะ" พูดจบจันทร์เจ้าก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นนายมองตามหลังไปตลอดจนกระทั่งประตูปิดลงเขาจึงละสายตาออกมาชินดนัยยิ้มกว้างเมื่อในที่สุดกวางน้อยก็ตกหลุมที่เขาดักไว้จนได้"ไว้ไปวันหลังละกันนะหนูจันทร์ ศูนย์บริการน่ะ"
ชินดนัยกับจันทร์เจ้าเดินเคียงกันไปบนทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมตั้งแต่แยกราชประสงค์จนถึงย่านสยามสแควร์ อันเป็นที่ตั้งของบรรดาห้างสรรพสินค้าใหญ่ซึ่งมีสินค้าแฟชั่นหลากหลายแบรนด์ชั้นนำไปจนถึงโชว์รูมรถหรูชายหนุ่มมีรอยยิ้มที่มุมปากตลอดเวลา เหตุผลหนึ่งที่เขาพาหญิงสาวมาเดินบนทางเดินลอยฟ้าตรงนี้ก็เพื่อระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขากับเธอเจอกันครั้งแรกตอนนั้นเธอเป็นน้องปีหนึ่ง เขาเป็นพี่ปีสาม เขาเพิ่งเสร็จจากเตะบอลกับเพื่อน จึงนั่งจักรยานยนต์รับจ้างแถวหน้ามหาวิทยาลัยมาลงที่รถไฟฟ้าแล้วขึ้นมาบนทางเดินตรงนี้เพื่อจะเข้าไปที่บริษัทเพราะจอดรถไว้ที่นั่น เขาเห็นจันทร์เจ้ามาแต่ไกล ณ เวลานั้นเขาสนใจเธอขึ้นมาทันทีตามประสาผู้ชายรักสนุกเมื่อเห็นสาวสวยถูกใจ เธออยู่ในชุดนิสิตกระโปรงพลีตคลุมเข่าเดินหิ้วถุงของห้างสรรพสินค้าพะรุงพะรังเต็มสองมือและไม่รู้เพราะโชคเข้าข้างเขาหรือเพราะอะไร จู่ ๆ ก็มีลมแรงพัดมาจนผมของเธอปลิวมาปิดหน้าปิดตา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระโปรงที่เธอสวมอยู่ก็ถูกลมพัดจนเลิกขึ้นเกือบเห็นกางเกงใน หญิงสาวดูตกใจมากแต่ก็นับว่ามีสติและแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เพราะเธอรีบ
ชินดนัยรู้ตัวว่าจันทร์เจ้าว่ากระทบเขาเรื่องการซ่อมถนนหรือทางเท้าของกรุงเทพฯ ซี่งเขาเองก็ไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ไม่แปลกที่หญิงสาวยังยึดติดว่าเขาเป็นเพลย์บอยจอมเจ้าชู้คนนั้นอยู่ อีกทั้งเขาก็สร้างความเจ็บช้ำให้เธอไว้ไม่น้อย เธอจะตั้งแง่กับเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เขาก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป จันทร์เจ้าจะเข้าใจและเริ่มมองเขาที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่หนุ่มเสเพลเมื่อเจ็ดปีก่อนคนนั้นอีกทั้งคู่มาถึงโชว์รูมนาฬิกาที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและนอบน้อม พนักงานสาวในชุดสูทสีดำที่ไม่ได้กำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ต่างยกมือไหว้ทำความเคารพชินดนัย ขณะที่จันทร์เจ้าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นมิตรบนหน้าตลอดเวลาจันทร์เจ้ากวาดตามองโชว์รูมนาฬิกาที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูดูมีรสนิยมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตาเป็นประกายเมื่อเห็นนาฬิกาที่ราคาเป็นแสนเป็นล้าน สำหรับเธอแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย มีก็ดีไม่มีก็ได้ เพราะตนก็ไม่ใช่นั
เขาไม่กล้าละลาบละล้วงถามเรื่องครอบครัวของเธอ เพราะไม่อยากให้จันทร์เจ้ามองว่าตนไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเรื่องครอบครัวล้มละลายแบบนี้หญิงสาวคงไม่ต้องการพูดถึงเท่าไรนัก"รุ่นนี้พวกดาราหรือไฮโซแถวหน้าของเมืองไทยฮิตกันมาก แต่เวลามีคนใส่ชนกันกลับไม่ดูเกร่อ ถ้าเปรียบเป็นกระเป๋าก็คงเหมือนชาแนลหรือแอร์เมสนะคะ""ใช่ เพราะนาฬิกาของเราไม่เคยลดราคา มีแต่ขึ้นราคา ถ้ามีตำหนิหรือข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทางผู้ผลิตจะทำใหม่ทันที ยิ่งบางรุ่นที่ไม่ผลิตแล้วก็ยิ่งแพง ราคามีแต่ทะยานขึ้น เขาถึงได้บอกไงว่าเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลานได้"เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ในห้องรับรอง"เห็นลูกค้าคนนั้นไหม เขามารับนาฬิกาที่สั่งไว้ซึ่งนับเป็นเรือนที่หกแล้วที่ซื้อไปจากที่นี่ เขาบอกว่าชอบสะสมนาฬิกาเพราะกะจะเอาไว้เป็นทรัพย์สินในมรดกด้วย"จันทร์เจ้าพยักหน้ารับรู้เพราะเข้าใจดี ตอนที่บ้านของเธอต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ เฉพาะนาฬิกาสะสมของบิดาก็ขายได้มากถึงสิบกว่าล้าน ส่วนนาฬิกาของเธอกับพี่สาวนั้นขายได้ล้านกว่า
"วันนี้พี่ขอตัวกลับก่อนนะ มีธุระกับที่บ้านน่ะ ถ้าจันทร์มีปัญหาอะไรก็โทร. หาพี่ได้ตลอดเวลาไม่ต้องเกรงใจ หรือไม่มีปัญหาอะไรก็โทร. มาได้ ถ้าเป็นสายจากจันทร์ พี่แสตนด์บายรอเสมอ""ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ขอตัวนะคะ" หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนเดินออกจากห้อง เธอรู้ว่าเขายังคงมองตามหลังมาอยู่จึงพยายามไม่เบนสายตาไปทางนั้น ครั้นพอออกมานอกห้องก็เจอกับกิตติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดซึ่งดูแลไปถึงฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ด้วย จันทร์เจ้าจึงค้อมศีรษะให้เขาในฐานะที่ตนตำแหน่งต่ำกว่า"คุณชินอยู่ในห้องใช่ไหม" กิตติกรถามพลางชี้เข้าไปในห้อง"อยู่ค่ะ แต่เห็นท่านประธานบอกว่าจะขอตัวกลับบ้านก่อน คุณกิตติกรจะคุยกับท่านเรื่องกระทู้ในเว็บบอร์ดใช่ไหมคะ"หญิงสาวลองถามเขาดูเพราะคิดว่าชินดนัยคงส่งอีเมลถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คาดเดานักเพราะกิตติกรพยักหน้าให้แทนการตอบรับ"งั้นหรือ ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้ผมค่อยมาคุยอีกทีก็แล้วกัน" กิตติกรยิ้มให้เลขาฯ คนใหม่ก่อนจะเดินกลับห้องทำงานของตัวเองคล้อยหลังผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประตูห้องทำงานของชินดนัยก็เปิดออก ชายหนุ่มเลิกคิ้วข
จันทร์เจ้าเปลี่ยนจากชุดทำงานมาใส่ชุดลำลองแล้วลงมารับประทานมื้อเย็น เธอเห็นมารดากำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในครัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางยกมือทาบอกไปด้วยก็อดสงสัยไม่ได้"แม่จันทร์จ๋า" เสียงใส ๆ จากพราวนภาส่งเสียงเรียกมาจากห้องนั่งเล่น หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหา"จ๋าหนูพราว วันนี้หนูหม่ำข้าวหมดจานไหมคะ" เธอก้มตัวอุ้มเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มทั้งซ้ายขวา พราวนภาจึงหอมกลับไปบ้าง"หนูพราวกินไม่หมด ยายจ๋าทำข้าวมีแคเหลาะ หนูพราวไม่ชอบ"จันทร์เจ้ายิ้มอย่างเอ็นดูพลางทรุดตัวนั่งบนโซฟาแล้วให้หลานตัวน้อยนั่งบนตัก"แคร์รอตค่ะลูก ไม่ใช่แคเหลาะนะ ไหนลองพูดซิ...แคร์รอต" หญิงสาวเน้นสองคำหลังช้า ๆ เพื่อให้พราวนภาพูดตาม"แคร์-รอต" เด็กน้อยพูดตามชัดถ้อยชัดคำ"ถูกต้อง ลูกสาวใครน้อ เก่งที่สุดในโลกเลย" จันทร์เจ้าหอมแก้มยุ้ย ๆ ทั้งสองข้างอีกครั้ง"ลูกสาวแม่จันทร์เจ้ากับแม่ตะวันค่า" พราวนภาฉีกยิ้มกว้างจนลักยิ้มที่แก้มซ้ายบุ๋มลงไป หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปลูบเบา ๆ เพราะหลานสาวตัวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน"แคร์รอตกินแล้วดีนะคะหน
เช้าวันถัดมา จันทร์เจ้านำของใช้ที่จำเป็นสำหรับพราวนภาไปไว้บนรถ ทั้งเสื้อผ้า ผ้าห่มผืนโปรด เบาะรองนอนแบบพับได้ รวมไปถึงอาหารและนมกล่อง เพราะจะได้ไม่ต้องลงไปซื้อที่มินิมาร์ตด้านล่างอาคารให้เสียเวลา"หนูพราวสวัสดีคุณยายก่อนลูก วันนี้คุณยายต้องไปต่างจังหวัดนะคะ คืนนี้คงไม่ได้นอนกับหนูพราว" จันทร์เจ้าบอกหลานสาว พราวนภาจึงกอดตุ๊กตาตัวโปรดไว้แนบอกแล้วกระพุ่มมือไหว้ผู้เป็นยายก่อนจะเดินเข้าไปกอดขาอย่างออดอ้อน"ยายจ๋าจะไปเที่ยว ทำไมไม่ให้หนูพราวไปด้วยคะ"พรรณีลูบศีรษะเล็ก ๆ ของหลานตัวน้อยอย่างเอ็นดู "ยายไม่ได้ไปเที่ยวนะลูก ยายไปทำงานค่ะ หนูพราวไปกับยายไม่ได้หรอก แต่ยายไปแค่ไม่กี่วันก็กลับแล้ว หนูพราวอยู่กับคุณแม่ต้องเป็นเด็กดีนะคะ" พูดกับหลานเสร็จก็หันไปพูดกับบุตรสาว"กุญแจบ้านเอาไปรึยัง ลืมไม่ได้เชียวนะไม่อย่างนั้นเข้าบ้านกันไม่ได้""อยู่ในกระเป๋าแล้วค่ะคุณแม่ไม่ต้องห่วง คุณแม่เองก็ขับรถดี ๆ นะคะ""อืม รีบไปกันเถอะ สายไปกว่านี้แล้วรถมันจะติด แม่เองก็คงออกจากบ้านสักประมาณสิบโมงนั่นแหละ""ค่ะ...เราขึ้นรถกันดีกว่าค่ะหนูพราว เดี๋ย
"เชิญครับ ตามสบายเลย" ชินดนัยยกมือขึ้นกอดอกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่าย ครั้นพอมองไปด้านข้างก็เห็นจันทร์เจ้าอุ้มพราวนภาเดินเข้ามาใกล้ โดยเจ้าตัวเล็กได้แต่กอดคอหญิงสาวแล้วเอาหน้าซุกกับบ่าของผู้เป็นน้า ไหล่เล็ก ๆ สะท้านไหวตามแรงสะอื้นเป็นพัก ๆ ไม่ยอมหันหน้ามามองทางนี้ราวกับหวาดกลัวใครบางคน"แกก็เหมือนกัน! อย่าคิดว่ามีเจ้านายคอยถือหางแล้วจะเชิดหน้าชูคออยู่ในบริษัทนี้ได้ตลอดนะ คอยดูเถอะ ฉันจะบอกอดีตประธานให้ไล่แกออก" รัมภาหันไปแหวใส่จันทร์เจ้าอย่างเอาเรื่อง แต่หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ส่งให้แล้วพูดกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น"ถ้าคิดว่าทำได้ก็เชิญค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าอดีตท่านประธานจะมาสนใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ด้วยรึเปล่า อ้อ...ฉันขอแนะนำหน่อยนะคะ ถ้าคุณอยากให้คนกราบไหว้มากนักละก็ ลองอัดรูปตัวเองใส่กรอบ หรือทำรูปปั้นครึ่งตัวขนาดเท่าคนจริงไปวางตั้งไว้หน้าตึกดูสิคะ รับรองค่ะว่านอกจากจะมีคนมากราบไหว้บูชาแล้ว ยังมีของเซ่นไหว้ไม่ขาดอีกด้วย""ว้าย! คุณแม่ขา มันหาว่าคุณแม่ตายแล้วค่ะ...พี่ชินคะ เกรซไม่ยอมนะ พี่ปล่อยให้นังเลขาฯ นี่มาว่าคุณแม่ของเกรซได้ยังไง"
จันทร์เจ้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง "ค่ะ"หญิงสาวลอบถอนหายใจ เธอเข้าใจดีว่าการที่ชินดนัยให้เธอติดตามไปด้วยก็เพื่อให้ตนไปทำความรู้จักกับบรรดาลูกค้าไฮโซทั้งหลาย และหากเธอสามารถจำชื่อของแต่ละคนได้ก็จะเป็นการดีกับบริษัทด้วย เพราะถือเป็นการให้เกียรติลูกค้าอย่างมาก อีกทั้งจะทำให้ลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกเป็นคนสำคัญที่มีคนจดจำชื่อตนได้ ถือเป็นการสร้างความประทับใจอย่างหนึ่งหวังว่างานนี้จะไม่จะเจอคนรู้จักเพราะชินดนัยบอกว่ามีแต่คนในแวดวงไฮโซ ไม่ใช่กลุ่มนักธุรกิจ ตั้งแต่ครอบครัวถูกฟ้องล้มละลาย เธอกับมารดาก็ปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ โดยไม่ติดต่อกับบรรดาภรรยานักธุรกิจที่เคยรู้จักกันอีก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าก็ทำท่าทางเห็นใจ แต่ลับหลังกลับหัวเราะเยาะเย้ยในชะตากรรมของคนอื่นขณะที่จันทร์เจ้าจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง ชินดนัยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่างานประมูลครั้งนี้ หญิงสาวอาจเจอคนรู้จักก็เป็นได้ และเธอคงกำลังหนักใจอยู่กระมังที่ต้องไปออกงานพร้อมเขา"เอ่อ...พี่ขอโทษทีนะจันทร์ พี่ลืมไปเลยว่างานนี้เราอาจจะเจอคนรู้จักของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าจันทร์ไ
วันต่อมาจันทร์เจ้าจำเป็นต้องพาพราวนภามาเลี้ยงที่ทำงานอีกหนึ่งวัน หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจว่าวันนี้ขอไม่เจอกับภาวินอีก เพราะบอกตามตรงว่ายังหาวิธีรับมือกับเขาไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เธอต้องรีบปรึกษากับมารดาทันทีที่ท่านกลับมาถึงหลังจากปูเบาะเพื่อให้หลานสาวนั่งเล่นด้านหลังโต๊ะทำงานเสร็จเรียบร้อย เมื่อหันกลับมาก็เจอร่างสูงโปร่งของผู้เป็นเจ้านายยืนยิ้มเผล่อยู่เบื้องหน้าพอดี"สวัสดีค่ะคุณลุงประธาน" เสียงใสของพราวนภาเอ่ยทักทายพลางย่อตัวไหว้ทันทีที่เห็นหน้าของคนที่ไปเยี่ยมหาถึงบ้านเมื่อวานพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจิดจ้าไปให้"สวัสดีค่ะหนูพราว วันนี้แต่งตัวน่ารักจัง มีหูกระต่ายที่ไหล่ด้วยหรือคะ"ชินดนัยทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางเดินเข้าไปยืนใกล้กับจันทร์เจ้าจนไหล่แทบชนกัน หญิงสาวจึงเบี่ยงตัวไปอีกด้านเพื่อเว้นระยะห่างจากเขา เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเธอห่างออกไปแล้วเขาจึงย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กหญิงตัวน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า"วันนี้เราไปหม่ำไอติมกันไหมคะ ลุงอยากกินจังเลยแต่ไม่มีเพื่อนไปกิน หนูพราวไปเป็นเพื่อนลุงหน่อยได้ไหมเอ่ย"พราวนภายิ้มพร้อ
เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างกันอดหมั่นไส้ไม่ได้ ภาวินปรายตามองเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอื้อมไปเร่งเสียงเพลงในรถให้ดังขึ้นพร้อมกับพูดว่า"กูจะฟังเพลง กูไม่ได้อยากฟังเสียงมึง"ชินดนัยยิ้มกว้างแล้วกดปุ่มลดเสียงจากพวงมาลัยที่จับอยู่แล้วจงใจพูดยั่วเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด"แต่นี่มันรถกู เพราะฉะนั้นกูจะร้องดังแค่ไหนก็ได้" พูดจบก็ร้องท่อนฮุคของเพลงเสียงดังลั่นรถ ก่อนจะตบท้ายด้วยการหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรัก"จะเครียดไปทำไมวะไอ้วิน หรือเสียใจที่จู่ ๆ ก็มีลูกสาวโผล่มาคนหนึ่ง กูว่าหนูพราวน่ารักน่าเอ็นดูจะตายไป นี่ถ้าพ่อกับแม่มึงรู้ว่ามีหลานสาวน่ารัก ๆ อย่างนี้สงสัยตื่นเต้นกันน่าดู"ภาวินถอนหายใจเสียงดังก่อนพูด "จะไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ ท่าทางคุณจันทร์คงไม่มีทางปล่อยหนูพราวแน่""ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อยสิ เขาก็ไม่ได้หนีไปไหนกันนี่หว่า มึงอยากไปหาเมื่อไรก็ได้หนูจันทร์เขาก็บอกไว้แล้วนี่ เขาไม่ได้กีดกันหรือห้ามไม่ให้มึงไปหาลูกสักหน่อย""มึงก็พูดง่ายสิ
ทั้งสองหนุ่มเองก็เงียบไปเช่นกัน ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปครู่หนึ่ง"ช่วงนั้นพวกเราสามคนแม่ลูกแทบจะทำอะไรกันไม่ถูกเพราะทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ยังดีที่มีญาติสนิทบางคน และเพื่อนของคุณแม่ที่ช่วยเหลือและแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่าง กว่าจะผ่านจุดนั้นกันมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พี่ตะวันเองก็เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้อง พูดคุยน้อยลง ไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อน พี่เขาตัดการติดต่อกับเพื่อนทุกคน จันทร์กับคุณแม่ก็คิดว่าพี่ตะวันคงกำลังปรับตัวจึงไม่ได้สงสัยอะไร และช่วงนั้นจันทร์ก็มัวแต่ยุ่งกับการหางานทำด้วย คุณแม่ก็ต้องอบขนมทำเค้กไปให้ร้านต่าง ๆ ลองชิมรสชาติ ถ้าถูกปากก็จะได้สั่งไปขาย"จันทร์เจ้าเล่าไปเรื่อย ๆ จนลืมตัวเผลอใช้ชื่อตนแทนคำเรียกขาน และคนฟังก็ไม่ได้สะดุดหูกับตรงนี้เช่นกันเพราะต่างคนต่างอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง"เราสามคนก็ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายอย่างนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งพี่ตะวันคลอด หลังจากคลอดแล้วพี่เขาดูเหมือนจะยิ่งเก็บตัวและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม ปกติคนที่เพิ่งคลอดลูกมามักจะอวบขึ้นแต่พี่ตะวันกลับซูบผอมลงไปมาก จากคนที
"หมาเห็นปลากระป๋อง ได้แต่มองไม่มีสิทธิ์แ..." คำสุดท้ายภาวินพูดโดยไม่ออกเสียงแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนคนที่ถูกนำไปเปรียบกับสุนัขได้แต่ชูนิ้วกลางให้เพื่อน จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องรับแขกจนกระทั่งจันทร์เจ้าพาพราวนภาเดินเข้ามาในห้องหญิงสาวเห็นสองหนุ่มพากันนั่งตัวตรงจึงก้มตัวลงไปบอกหลานตัวน้อย"หนูพราว หนูนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ ขอแม่คุยกับคุณลุงเขาก่อน""แม่จันทร์จะไปไหนคะ หนูพราวไปด้วย" พราวนภาเงยหน้าถามเสียงอ่อยด้วยสายตาออดอ้อน"แม่ไม่ได้ไปไหนค่ะ แม่จะนั่งคุยตรงโต๊ะกินข้าวนี่เอง หนูพราวนั่งดูการ์ตูนไปก่อนนะลูก" พูดจบก็เดินจะไปหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดช่องการ์ตูน แต่รีโมตนั้นกลับวางอยู่บนเบาะข้างชินดนัย เธอมองหน้าเขา เห็นเขายิ้มกริ่มมองตอบกลับมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วพูดว่า"หนูพราวคะ เวลาจะขอสิ่งของ หรือขอให้ผู้ใหญ่หยิบของให้ เราควรจะพูดยังไงเอ่ย""พูดว่าหยิบของให้หนูพราวหน่อยได้ไหมคะ" พราวนภาตอบอย่างพาซื่อ"แล้วถ้า..." ชินดนัยหยุดพูดพลางมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ
ชินดนัยก้าวมายืนด้านหน้าบรรพตอย่างเอาเรื่อง ขณะที่ภาวินก็เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดอย่างไม่พอใจเช่นกัน"แถวบ้านกูเขาเรียกปากหมานะเนี่ย จัดสักดอกดีไหมวะไอ้ชิน""เฮ้ย! พวกมึงจะหมาหมู่หรือวะ คิดว่ากูกลัวรึไง ถุย!"บรรพตถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มทั้งคู่แล้วพูดอย่างอาฆาต"ฝากไว้ก่อนเถอะพวกมึงน่ะ อย่าให้กูเจอที่อื่นนะจะให้คนกระทืบแม่งให้ตายคาตีนเลย""ตายคาตีนกูก่อนดีไหม ปากดีฉิบหาย" ชินดนัยปรี่เข้าไปทันที บรรพตจึงรีบถอยกรูดไปที่รถของตัวเองพร้อมกับเปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างลนลาน เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้ารีบไขกุญแจเปิดประตูรั้วออกมาแล้วร้องห้ามเสียงสั่น"หยุดเดี๋ยวนี้นะ! อย่ามาต่อยตีกันหน้าบ้านฉันนะ" สิ้นเสียงของหญิงสาว เสียงล้อบดถนนจากการเร่งเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มพร้อมกับที่รถสปอร์ตของบรรพตวิ่งฉิวผ่านหน้าไปจนเกือบชนจักรยานที่พนักงานรักษาความปลอดภัยขี่ตรวจตราภายในหมู่บ้านคล้อยหลังรถเจ้าปัญหา จันทร์เจ้าก็หันมามองหน้าชายหนุ่มสองคนแล้วถามอย่างเอาเรื่อง"แล้วพวกคุณสองคนมาทำไม"ภาวินทำหน้าอิหลักอิเห
จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสะกดความกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจ บรรพตเป็นบุตรชายของเจ้าสัวเอนก เพื่อนในทางธุรกิจของบิดาผู้ล่วงลับ ตอนที่บ้านของเธอยังไม่ถูกฟ้องล้มละลาย เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อเธออยู่หลายครั้ง บางทีก็เข้าหาทางบิดา ทำทีเป็นว่าให้ผู้ใหญ่พูดคุยตกลงเพื่อเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่พอบ้านของเธอไม่เหลืออะไร ผู้ชายคนนี้กลับยื่นข้อเสนอให้เธอไปเป็นเมียเก็บของเขา เพื่อแลกกับเงินเดือนละหนึ่งแสนบาท ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่เคยปริปากบอกมารดาให้ท่านทราบจนกระทั่งวันนี้ใครยอมก็โง่เต็มที!"คุณบรรพตมีธุระอะไรรึเปล่าคะถึงได้มาเวลานี้"หญิงสาวพยายามเก็บความหวาดหวั่นเอาไว้ในใจ แล้วแสดงออกมาแต่ความสงบเยือกเย็นผ่านทางสีหน้าเช่นเคย และเพราะรู้ตัวว่าตนอาจเผลอแสดงความรังเกียจออกไปทางสายตา จึงพยายามกลอกตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น ตอนนี้เธออยู่บ้านกับเด็กเล็กแค่สองคน หากผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาดี เขาอาจลงมือทำอะไรก็ได้"แหม...น้องจันทร์นี่ละก็ พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม มันฟังดูห่างเหินเกินไปเหมือนเราไม่ใช่คนกันเองอย่างนั้นแหละ" บรรพตยิ้มพร
"ช่วงที่กูได้งานเป็นนักบินใหม่ ๆ กูเคยคบกับแอร์สายการบินเดียวกันอยู่คนหนึ่งชื่อตะวัน คบได้ปีกว่าก็เลิกไป และตะวันก็น่าจะเป็นพี่สาวของเลขาฯ มึงนั่นแหละ ถึงว่าสิ ตอนเห็นหน้าคุณจันทร์ครั้งแรกกูถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก เพราะสองพี่น้องนี่หน้าตาคล้าย ๆ กันนี่เอง" ภาวินก้มดูรูปในโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง"ทำไมถึงเลิกวะ บอกได้ไหม" ชินดนัยอดถามไม่ได้ เพราะหากพราวนภาเป็นลูกของภาวินจริง ๆ ก็หมายความว่าพี่สาวของจันทร์เจ้าตั้งครรภ์อยู่ตอนที่เลิกรากับเพื่อนเขาภาวินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา แหงนคอพาดไว้กับพนักแล้วหลับตานิ่งก่อนจะตอบเบา ๆ"เขาบอกว่าเขาท้องกับคนอื่น"ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็เป็นภาวินที่เปิดปากพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน"ตอนแรกก็ยังดี ๆ อยู่ ตอนบินไปปารีสก็ยังไปเที่ยวด้วยกันอยู่เลย แต่หลังจากกลับมาถึงเมืองไทยได้สักวันสองวัน จู่ ๆ ตะวันก็โทร. มาบอกเลิกกู เขาบอกว่าคบผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยไม่ได้คบกูคนเดียว เขาท้อง และลูกในท้องก็เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น เฮ้อ...บอกตามตรงเลยว่าตอนนั้นกูโคตรโกรธเลย วันไหนไม่มีบิน ก