"พี่โทร. ไปบอกผู้จัดการสาขาแล้วละว่าเราจะเข้าไปที่นั่น ที่พี่จะให้จันทร์ไปวันนี้ก็เพราะอีกหน่อยจันทร์จะต้องไปติดต่อกับที่นี่บ่อย ๆ และอีกอย่างคือหลายคนรู้แค่ว่าพี่เปลี่ยนเลขาฯ แล้วแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ถือเสียว่าไปแนะนำตัวเองละกัน"
"ค่ะ สิบโมงครึ่งใช่ไหมคะ"
"อืม เดินไปนะ เดินบนทางลอยฟ้านี่แหละ และถ้าจันทร์ไม่มีงานด่วน หรืองานไหนที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จภายในวันนี้พี่ก็จะพาเราไปที่ศูนย์บริการด้วย ไปดูขั้นตอนการทำงานจริงเวลาที่มีสินค้าส่งซ่อม จะได้รู้ว่าเขาทำกันยังไงบ้าง"
จันทร์เจ้าทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจได้
"คิดว่าไม่มีนะคะ ไปวันนี้เลยก็ได้"
ชินดนัยยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้าให้ "งั้นก็ตามนั้น สิบโมงครึ่งเข้ามาเตือนพี่อีกทีละกัน เผื่อพี่มัวแต่ทำนั่นทำนี่จนลืมเวลา"
"ค่ะ ขอตัวนะคะ" พูดจบจันทร์เจ้าก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นนายมองตามหลังไปตลอดจนกระทั่งประตูปิดลงเขาจึงละสายตาออกมา
ชินดนัยยิ้มกว้างเมื่อในที่สุดกวางน้อยก็ตกหลุมที่เขาดักไว้จนได้
"ไว้ไปวันหลังละกันนะหนูจันทร์ ศูนย์บริการน่ะ"
เรื่องอะไรเขาจะไปวันเดียวกันหมด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีโอกาสได้อยู่กับเธอแค่สองคน ฉะนั้นเขาจึงต้องทยอยพาจันทร์เจ้าไปตรงนั้นตรงนี้วันละที่ก็พอ
เขาไม่เคยพาเลขานุการส่วนตัวไปแนะนำตัวเองกับผู้จัดการสาขาอย่างที่กำลังจะพาจันทร์เจ้าไปวันนี้ เพราะตามหลักแล้วไม่ใช่หน้าที่ของผู้บริหารอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย เลขาฯ คนเก่าอย่างพริมา เขาก็เซ็นเอกสารแนะนำตัวให้แค่นั้น แล้วให้เจ้าตัวเดินทางไปเอง แต่เพราะนี่คือจันทร์เจ้า แม้จะมีเวลาแค่เล็กน้อยเขาก็ต้องการใช้กับเธอให้คุ้มค่าที่สุด
เมื่อถึงเวลานัดจันทร์เจ้าก็เดินไปเคาะห้องท่านประธานตามคำสั่งของเขา ครั้นพอได้ยินเสียงเจ้าของห้องอนุญาตเธอจึงเปิดประตูเข้าไป แต่ก็พบว่าเขายืนตรงหน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว
"พร้อมแล้วใช่ไหม งั้นเราไปกันเถอะ" เสียงทุ้มของเขาฟังดูก็รู้ว่ากำลังอารมณ์ดีอย่างที่สุด
"ค่ะ" หญิงสาวรับคำสั้น ๆ ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะของตัวเองเพื่อหยิบกระเป๋าสะพาย จากนั้นจึงเดินตามเขาไปหน้าลิฟต์ เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก ตามมาด้วยผู้หญิงวัยกลางคนในชุดทำงานดูภูมิฐานคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมหญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างดีในชุดเดรสเข้ารูปสีดำ
"อุ๊ย! เจอพี่ชินพอดีเลยค่ะคุณแม่ พี่ชินคะสวัสดีค่ะ"
หญิงสาวคนนั้นฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือไหว้ชินดนัย แววตาที่มองชายหนุ่มเต็มไปด้วยความชื่นชอบหลงใหล ซึ่งจันทร์เจ้าเห็นแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คงแอบรักเจ้านายตนอยู่แน่
"สวัสดีครับคุณน้า สวัสดีครับน้องเกรซ" ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้อาวุโสก่อน จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้คนอ่อนวัยกว่า
"อ้าวตาชิน จะไปไหนล่ะ วันนี้น้าพาน้องเกรซมาคุยกับเราด้วยนะเรื่องตำแหน่งเลขาฯ ส่วนตัวของเราที่ยังว่างอยู่ ดูสิเนี่ย พอลูกสาวน้ารู้ว่าเรากำลังหาเลขาฯ คนใหม่ น้องก็รีบบินกลับจากทริปทัวร์ยุโรปกับเพื่อนเพื่อมาสมัครงานกับเราทันทีเลย"
หญิงวัยกลางคนคนนั้นปรายตามองจันทร์เจ้าเพียงเล็กน้อยแล้วก็ไม่สนใจอีก แต่หญิงสาวที่มาด้วยกันกลับจ้องจันทร์เจ้าเขม็งด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด คราแรกจันทร์เจ้างุนงงไม่น้อยเพราะมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักอีกฝ่ายมาก่อน ทว่าพอสังเกตดี ๆ แล้วก็เข้าใจทันทีว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงชักสีหน้าใส่ตน
"ผมต้องขอโทษคุณน้าด้วยนะครับเพราะผมรับเลขาฯ ใหม่มาแล้ว"
ชินดนัยหันไปหาหญิงสาวที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังตนเล็กน้อยแล้วแนะนำเธอให้ทั้งสองคนได้รู้จัก
"นี่จันทร์เจ้าครับ เลขาฯ คนใหม่ของผม คุณจันทร์ครับ นี่คือคุณรัมภา เคยทำงานที่นี่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชีสมัยที่คุณพ่อผมยังบริหารอยู่น่ะ ส่วนนี่คุณระรินดา หรือคุณเกรซ เป็นลูกสาวของคุณรัมภา"
ชินดนัยแนะนำทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นทางการ เขาจงใจไม่บอกจันทร์เจ้าว่ารัมภากับระรินดาเป็นญาติห่าง ๆ ของเขาเพราะไม่อยากให้เธอเกรงใจสองคนนั้นมากเกินไป และจันทร์เจ้าก็ทำได้ดี เพราะเธอแค่ยกมือไหว้ทั้งคู่ตามมารยาทเท่านั้น ไม่ได้มีท่าทีนอบน้อมให้อีกฝ่ายแต่ก็ไม่ดูเย่อหยิ่งจองหองจนเกินไป
เขาไม่ค่อยชอบสองแม่ลูกคู่นี้เท่าไรนัก ตอนที่รัมภายังทำงานกับบิดาของเขาก็ชอบทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง ในหนึ่งอาทิตย์มาทำงานแค่วันสองวัน ชอบชี้นิ้วสั่งพนักงานคนอื่นให้ทำงานส่วนตัว หรือเรื่องอื่นที่นอกเหนือไปจากงานที่รับผิดชอบอยู่เป็นประจำโดยถือตัวว่าตนเป็นญาติกับเจ้าของบริษัท ขณะที่บิดาของเขาก็น้ำท่วมปากพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
พอเขามารับหน้าที่แทนบิดา เขาจึงหาทางบีบให้อีกฝ่ายเกษียณตัวเองออกไปด้วยการนำระบบบัญชีสมัยใหม่เข้ามาใช้กับบริษัท รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขององค์กรใหม่ทั้งหมดเพื่อลดขั้นตอนยุ่งยากของระบบเก่าที่ล้าหลังเป็นเต่าล้านปี ซึ่งแน่นอนว่ารัมภารับกับระบบใหม่ไม่ได้จึงลาออกจากบริษัทไปด้วยตัวเอง
แต่ดูเหมือนรัมภาจะยังไม่ยอมวางมือจากบริษัทนี้เสียทีเดียว เพราะเจ้าตัวพยายามยัดเยียดบุตรสาวมาให้เขาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเขาไม่ชอบเอาเสียเลย
"อะไรกัน จะรับเลขาฯ ทั้งคนทำไมไม่ปรึกษาน้าก่อนล่ะตาชิน เดี๋ยวก็ไปคว้าใครที่ไหนมาก็ไม่รู้เหมือนคราวที่แล้วอีก ทำงานไม่ได้เรื่องได้ราว ดีแต่แต่งตัวโป๊ส่งสายตายั่วยวนผู้ชายไปทั่ว"
"ผมเป็นผู้บริหารของที่นี่นะครับคุณน้า ดูแลพนักงานตั้งหลายสิบชีวิต แค่เรื่องเลือกเลขาฯ ผมทำเองได้ครับไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณน้าเลย เลขาฯ คนเก่าผมไม่ได้เป็นคนเลือก ฝ่ายบุคคลเขาเลือกมาให้ผม แต่สำหรับคุณจันทร์เจ้า ผมเป็นคนคัดเลือกด้วยตัวเองครับ เพราะฉะนั้นผมค่อนข้างมั่นใจสายตาของผมว่าเลือกคนไม่ผิด"
พูดจบเขาก็หันไปมองหน้าเลขานุการส่วนตัวด้วยหวังว่าหญิงสาวจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ครั้นพอหันไปมองสองแม่ลูกคู่นั้นอีกครั้ง จึงเห็นว่ารัมภาชักสีหน้าไม่พอใจที่ถูกเขาตอกกลับนิ่ม ๆ อย่างเห็นได้ชัด ส่วนระรินดานั้นเอาแต่จ้องเขม็งไปทางจันทร์เจ้าราวกับโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน
"ผมกับเลขาฯ มีธุระด่วนต้องไปข้างนอก ขอตัวก่อนนะครับเดี๋ยวจะไปไม่ทัน"
ชายหนุ่มกดปุ่มเรียกลิฟต์ทันทีโดยไม่สนใจว่าสองคนนั้นจะทำหน้าอย่างไร เมื่อลิฟต์เปิดออกเขาจึงเบี่ยงตัวให้จันทร์เจ้าเดินเข้าไปก่อน จากนั้นตัวเองค่อยตามเข้าไปทีหลังแล้วกดปุ่มปิดลิฟต์
เมื่อได้อยู่ตามลำพังชินดนัยก็ถามจันทร์เจ้าถึงเรื่องที่เขาสงสัยทันที
"หนูจันทร์รู้จักเกรซมาก่อนหรือ"
"เปล่าค่ะ ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกันเลยด้วยซ้ำ" เธอหันมาตอบเขา
"อ้าว แล้วทำไม..." เขาอดสงสัยไม่ได้ ถ้าไม่เคยรู้จักกันแล้วทำไมระรินดาถึงได้ทำกิริยาอย่างนั้นใส่เธอ และดูเหมือนจันทร์เจ้าก็เข้าใจว่าเขาสงสัยเรื่องไหน เธอจึงเฉลยให้เขารู้
"วันนี้ฉันกับคุณเกรซใส่ชุดเหมือนกัน ยี่ห้อเดียวกันค่ะ ต่างแค่สีเท่านั้นเอง" เธอตอบพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ขณะที่คนฟังอย่างเขาได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
"พวกผู้หญิงนี่บางทีก็มีเรื่องเขม่นกันแปลก ๆ เนอะ"
ชินดนัยกับจันทร์เจ้าเดินเคียงกันไปบนทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมตั้งแต่แยกราชประสงค์จนถึงย่านสยามสแควร์ อันเป็นที่ตั้งของบรรดาห้างสรรพสินค้าใหญ่ซึ่งมีสินค้าแฟชั่นหลากหลายแบรนด์ชั้นนำไปจนถึงโชว์รูมรถหรูชายหนุ่มมีรอยยิ้มที่มุมปากตลอดเวลา เหตุผลหนึ่งที่เขาพาหญิงสาวมาเดินบนทางเดินลอยฟ้าตรงนี้ก็เพื่อระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขากับเธอเจอกันครั้งแรกตอนนั้นเธอเป็นน้องปีหนึ่ง เขาเป็นพี่ปีสาม เขาเพิ่งเสร็จจากเตะบอลกับเพื่อน จึงนั่งจักรยานยนต์รับจ้างแถวหน้ามหาวิทยาลัยมาลงที่รถไฟฟ้าแล้วขึ้นมาบนทางเดินตรงนี้เพื่อจะเข้าไปที่บริษัทเพราะจอดรถไว้ที่นั่น เขาเห็นจันทร์เจ้ามาแต่ไกล ณ เวลานั้นเขาสนใจเธอขึ้นมาทันทีตามประสาผู้ชายรักสนุกเมื่อเห็นสาวสวยถูกใจ เธออยู่ในชุดนิสิตกระโปรงพลีตคลุมเข่าเดินหิ้วถุงของห้างสรรพสินค้าพะรุงพะรังเต็มสองมือและไม่รู้เพราะโชคเข้าข้างเขาหรือเพราะอะไร จู่ ๆ ก็มีลมแรงพัดมาจนผมของเธอปลิวมาปิดหน้าปิดตา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระโปรงที่เธอสวมอยู่ก็ถูกลมพัดจนเลิกขึ้นเกือบเห็นกางเกงใน หญิงสาวดูตกใจมากแต่ก็นับว่ามีสติและแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เพราะเธอรีบ
ชินดนัยรู้ตัวว่าจันทร์เจ้าว่ากระทบเขาเรื่องการซ่อมถนนหรือทางเท้าของกรุงเทพฯ ซี่งเขาเองก็ไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ไม่แปลกที่หญิงสาวยังยึดติดว่าเขาเป็นเพลย์บอยจอมเจ้าชู้คนนั้นอยู่ อีกทั้งเขาก็สร้างความเจ็บช้ำให้เธอไว้ไม่น้อย เธอจะตั้งแง่กับเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เขาก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป จันทร์เจ้าจะเข้าใจและเริ่มมองเขาที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่หนุ่มเสเพลเมื่อเจ็ดปีก่อนคนนั้นอีกทั้งคู่มาถึงโชว์รูมนาฬิกาที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและนอบน้อม พนักงานสาวในชุดสูทสีดำที่ไม่ได้กำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ต่างยกมือไหว้ทำความเคารพชินดนัย ขณะที่จันทร์เจ้าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นมิตรบนหน้าตลอดเวลาจันทร์เจ้ากวาดตามองโชว์รูมนาฬิกาที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูดูมีรสนิยมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตาเป็นประกายเมื่อเห็นนาฬิกาที่ราคาเป็นแสนเป็นล้าน สำหรับเธอแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย มีก็ดีไม่มีก็ได้ เพราะตนก็ไม่ใช่นั
เขาไม่กล้าละลาบละล้วงถามเรื่องครอบครัวของเธอ เพราะไม่อยากให้จันทร์เจ้ามองว่าตนไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเรื่องครอบครัวล้มละลายแบบนี้หญิงสาวคงไม่ต้องการพูดถึงเท่าไรนัก"รุ่นนี้พวกดาราหรือไฮโซแถวหน้าของเมืองไทยฮิตกันมาก แต่เวลามีคนใส่ชนกันกลับไม่ดูเกร่อ ถ้าเปรียบเป็นกระเป๋าก็คงเหมือนชาแนลหรือแอร์เมสนะคะ""ใช่ เพราะนาฬิกาของเราไม่เคยลดราคา มีแต่ขึ้นราคา ถ้ามีตำหนิหรือข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทางผู้ผลิตจะทำใหม่ทันที ยิ่งบางรุ่นที่ไม่ผลิตแล้วก็ยิ่งแพง ราคามีแต่ทะยานขึ้น เขาถึงได้บอกไงว่าเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลานได้"เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ในห้องรับรอง"เห็นลูกค้าคนนั้นไหม เขามารับนาฬิกาที่สั่งไว้ซึ่งนับเป็นเรือนที่หกแล้วที่ซื้อไปจากที่นี่ เขาบอกว่าชอบสะสมนาฬิกาเพราะกะจะเอาไว้เป็นทรัพย์สินในมรดกด้วย"จันทร์เจ้าพยักหน้ารับรู้เพราะเข้าใจดี ตอนที่บ้านของเธอต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ เฉพาะนาฬิกาสะสมของบิดาก็ขายได้มากถึงสิบกว่าล้าน ส่วนนาฬิกาของเธอกับพี่สาวนั้นขายได้ล้านกว่า
"วันนี้พี่ขอตัวกลับก่อนนะ มีธุระกับที่บ้านน่ะ ถ้าจันทร์มีปัญหาอะไรก็โทร. หาพี่ได้ตลอดเวลาไม่ต้องเกรงใจ หรือไม่มีปัญหาอะไรก็โทร. มาได้ ถ้าเป็นสายจากจันทร์ พี่แสตนด์บายรอเสมอ""ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ขอตัวนะคะ" หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนเดินออกจากห้อง เธอรู้ว่าเขายังคงมองตามหลังมาอยู่จึงพยายามไม่เบนสายตาไปทางนั้น ครั้นพอออกมานอกห้องก็เจอกับกิตติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดซึ่งดูแลไปถึงฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ด้วย จันทร์เจ้าจึงค้อมศีรษะให้เขาในฐานะที่ตนตำแหน่งต่ำกว่า"คุณชินอยู่ในห้องใช่ไหม" กิตติกรถามพลางชี้เข้าไปในห้อง"อยู่ค่ะ แต่เห็นท่านประธานบอกว่าจะขอตัวกลับบ้านก่อน คุณกิตติกรจะคุยกับท่านเรื่องกระทู้ในเว็บบอร์ดใช่ไหมคะ"หญิงสาวลองถามเขาดูเพราะคิดว่าชินดนัยคงส่งอีเมลถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คาดเดานักเพราะกิตติกรพยักหน้าให้แทนการตอบรับ"งั้นหรือ ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้ผมค่อยมาคุยอีกทีก็แล้วกัน" กิตติกรยิ้มให้เลขาฯ คนใหม่ก่อนจะเดินกลับห้องทำงานของตัวเองคล้อยหลังผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประตูห้องทำงานของชินดนัยก็เปิดออก ชายหนุ่มเลิกคิ้วข
จันทร์เจ้าเปลี่ยนจากชุดทำงานมาใส่ชุดลำลองแล้วลงมารับประทานมื้อเย็น เธอเห็นมารดากำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในครัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางยกมือทาบอกไปด้วยก็อดสงสัยไม่ได้"แม่จันทร์จ๋า" เสียงใส ๆ จากพราวนภาส่งเสียงเรียกมาจากห้องนั่งเล่น หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหา"จ๋าหนูพราว วันนี้หนูหม่ำข้าวหมดจานไหมคะ" เธอก้มตัวอุ้มเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มทั้งซ้ายขวา พราวนภาจึงหอมกลับไปบ้าง"หนูพราวกินไม่หมด ยายจ๋าทำข้าวมีแคเหลาะ หนูพราวไม่ชอบ"จันทร์เจ้ายิ้มอย่างเอ็นดูพลางทรุดตัวนั่งบนโซฟาแล้วให้หลานตัวน้อยนั่งบนตัก"แคร์รอตค่ะลูก ไม่ใช่แคเหลาะนะ ไหนลองพูดซิ...แคร์รอต" หญิงสาวเน้นสองคำหลังช้า ๆ เพื่อให้พราวนภาพูดตาม"แคร์-รอต" เด็กน้อยพูดตามชัดถ้อยชัดคำ"ถูกต้อง ลูกสาวใครน้อ เก่งที่สุดในโลกเลย" จันทร์เจ้าหอมแก้มยุ้ย ๆ ทั้งสองข้างอีกครั้ง"ลูกสาวแม่จันทร์เจ้ากับแม่ตะวันค่า" พราวนภาฉีกยิ้มกว้างจนลักยิ้มที่แก้มซ้ายบุ๋มลงไป หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปลูบเบา ๆ เพราะหลานสาวตัวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน"แคร์รอตกินแล้วดีนะคะหน
เช้าวันถัดมา จันทร์เจ้านำของใช้ที่จำเป็นสำหรับพราวนภาไปไว้บนรถ ทั้งเสื้อผ้า ผ้าห่มผืนโปรด เบาะรองนอนแบบพับได้ รวมไปถึงอาหารและนมกล่อง เพราะจะได้ไม่ต้องลงไปซื้อที่มินิมาร์ตด้านล่างอาคารให้เสียเวลา"หนูพราวสวัสดีคุณยายก่อนลูก วันนี้คุณยายต้องไปต่างจังหวัดนะคะ คืนนี้คงไม่ได้นอนกับหนูพราว" จันทร์เจ้าบอกหลานสาว พราวนภาจึงกอดตุ๊กตาตัวโปรดไว้แนบอกแล้วกระพุ่มมือไหว้ผู้เป็นยายก่อนจะเดินเข้าไปกอดขาอย่างออดอ้อน"ยายจ๋าจะไปเที่ยว ทำไมไม่ให้หนูพราวไปด้วยคะ"พรรณีลูบศีรษะเล็ก ๆ ของหลานตัวน้อยอย่างเอ็นดู "ยายไม่ได้ไปเที่ยวนะลูก ยายไปทำงานค่ะ หนูพราวไปกับยายไม่ได้หรอก แต่ยายไปแค่ไม่กี่วันก็กลับแล้ว หนูพราวอยู่กับคุณแม่ต้องเป็นเด็กดีนะคะ" พูดกับหลานเสร็จก็หันไปพูดกับบุตรสาว"กุญแจบ้านเอาไปรึยัง ลืมไม่ได้เชียวนะไม่อย่างนั้นเข้าบ้านกันไม่ได้""อยู่ในกระเป๋าแล้วค่ะคุณแม่ไม่ต้องห่วง คุณแม่เองก็ขับรถดี ๆ นะคะ""อืม รีบไปกันเถอะ สายไปกว่านี้แล้วรถมันจะติด แม่เองก็คงออกจากบ้านสักประมาณสิบโมงนั่นแหละ""ค่ะ...เราขึ้นรถกันดีกว่าค่ะหนูพราว เดี๋ย
"ตามปกติ ต่อให้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่เด็กก็มักใช้นามสกุลของพ่อไม่ใช่หรือวะ" เขารู้สึกสะกิดใจตรงนี้ที่สุด และสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขาอีกเรื่องก็คือพราวนภามีใบหน้าละม้ายคล้ายใครบางคนที่เขารู้จัก แต่เขากลับนึกไม่ออกว่าใครเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะทำงานดังขึ้นปลุกให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขาหยิบขึ้นมากดรับสายทันทีที่เห็นชื่อคนที่โทร. เข้ามา"เออว่าไง" เขากรอกเสียงลงไปด้วยคำทักทายที่เป็นกันเองเพราะคนที่โทรศัพท์เข้ามาคือภาวิน"บ่ายนี้มึงอยู่ออฟฟิศรึเปล่า""อยู่ แต่ไม่ยุ่งเท่าไร ถามทำไม" ชินดนัยถามกลับเพราะคิดว่าเพื่อนสนิทน่าจะชวนออกไปข้างนอก"ไม่ยุ่งก็ดี งั้นสักบ่ายครึ่งกูจะเข้าไปหา มีอะไรจะปรึกษาหน่อย""โอเค แล้วไอ้ปกล่ะจะมาด้วยรึเปล่า" เขาถามถึงปกเกล้า เพื่อนสนิทอีกคน"เห็นว่าไปดูทำเลเปิดสาขาใหม่ที่บุรีรัมย์""อ้อ...สนามแข่งรถที่นั่นกำลังบูมเลยนี่" เขาเห็นด้วยที่ปกเกล้าจะไปเปิดร้านขายอุปกรณ์แต่งรถสำหรับซูเปอร์คาร์ที่บุรีรัมย์เพราะเคยคุยกันมาหลายครั้งแล้วว่าที่นั่นน่าสนใจ"ใช่ เอาเป็นว่าเจอกันช่วงบ่ายละกันเพื่อน แค่น
"พ่อมาหาหนูพราวแล้ว" พราวนภายิ้มเขิน สองแขนแกว่งไกวไปมาราวกับกำลังดีใจอย่างที่สุด แววตาไร้เดียงสาเป็นประกายสดใสมองคนตัวโตตรงหน้าตาแทบไม่กะพริบ"หืม...พ่อหรือ"ภาวินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจพลางยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเองอย่างลืมตัว กำลังจะพูดปฏิเสธออกไปว่าตนไม่ใช่บิดาของเด็กน้อย แต่พอเห็นดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ที่มองมาอย่างคาดหวังเขาก็พูดไม่ออก เพราะเกรงว่าคำพูดของตนจะไปทำร้ายจิตใจเด็กหญิงตัวน้อยเข้าแต่เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ามีความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างกำลังคืบคลานเข้าสู่หัวใจอย่างช้า ๆ และความรู้สึกนั้นก็พิเศษจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เขารู้สึกผูกพันและถูกชะตากับเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างน่าประหลาดทั้งที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก และที่สำคัญคือจู่ ๆ เขาก็รู้สึกอยากกอดเด็กคนนี้แน่น ๆ แนบอกตราบนานเท่านานทันใดนั้นสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับรอยบุ๋มเล็ก ๆ น่ารักที่ข้างแก้มใสอมชมพูของเด็กน้อยตรงหน้าทันที"โอ๊ะ! เรามีลักยิ้มเหมือนกันเลยค่ะ" ภาวินชี้ลักยิ้มที่แก้มซ้ายของตัวเองก่อนจะใช้นิ้วจิ้มเบา ๆ ที่ลักยิ้มบนแก้มของพราวนภา
"อ้าว แล้วพี่ออกมาก่อนแบบนี้พวกพี่ ๆ เขาไม่ว่ากันหรือคะ""ไม่ว่าหรอกน่า พวกพี่จะนัดกันเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ไม่มีพี่ มันสองคนก็นัดชนแก้วกันเป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างนะ พวกมันก็เข้าใจดีว่าเคสของหนูจันทร์เป็นเคสที่พี่ต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง"ชินดนัยยิ้มพลางหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้หญิงสาวอีกครั้ง จันทร์เจ้าเบิกตากว้างเพราะตนเพิ่งดื่มเข้าไปแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น ไวน์ยังเหลือในแก้วตั้งเยอะแต่เขากลับรินให้จนเลยครึ่งแก้วขึ้นมา"พอแล้วค่ะ จะมอมกันหรือไง พี่ก็รู้ว่าจันทร์ดื่มไม่เก่ง"ชินดนัยมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าว่า"พี่รู้ว่าจันทร์ดื่มไวน์ไม่เก่ง แต่เวลาที่จันทร์เมาจันทร์จะดูดน้ำอย่างอื่นได้เก่งมากเลย เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องมอมสักหน่อย"จันทร์เจ้าหน้าแดงขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรที่จะเป็นการเข้าเนื้อตัวเองอีกชายหนุ่มมองสีหน้าขัดเขินของเธอแล้วก็นึกอยากพรมจูบไปให้ทั่วใบหน้า แต่เพราะเกรงว่าตนอาจจะไม่จบลงแค่จูบจึงได้แต่สะกดกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ พลางหาเรื่องอื่นมา
มือของเขาเลื่อนขึ้นมาจนสัมผัสได้กับเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ของกางเกงชั้นใน จากนั้นเขาก็จับเอวของเธอไว้แล้วผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองภาพความสวยงามที่หาได้ยากแบบนี้ให้เต็มตา"เซ็กซี่มากที่รัก พี่ชอบมากเลย"สายตาร้อนแรงของเขาราวกับจะแผดเผาเธอได้ ยอมรับว่าอายแสนอายจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่ความพรักพร้อมของเขานั้นปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจันทร์เจ้าเอาแขนออกจากคอของชินดนัยแล้วดึงกระโปรงลง จากนั้นก็ใช้นิ้วเกี่ยวหูกางเกงของเขาพลางดึงเบา ๆ แล้วพูดว่า"ไปที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ จันทร์เพิ่งอุ่นเสร็จเมื่อกี้เอง ไวน์ก็เพิ่งเอามาแช่ใหม่ ถ้าไม่ดื่มตอนนี้เดี๋ยวน้ำแข็งจะละลายเสียก่อน"เธอดึงหูกางเกงของเขาเพื่อให้ชายหนุ่มเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ชินดนัยเดินตามอย่างว่าง่ายจนกระทั่งมาถึงโต๊ะจึงกดบ่าของเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้"เดี๋ยวจันทร์รินไวน์ให้นะคะ"หญิงสาวยิ้มหวานให้ก่อนหันหลังให้เขาแล้วเอื้อมหยิบขวดไวน์ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แต่เพราะชุ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน แค่แจ้งชื่อของปกเกล้าก็จะมีพนักงานสาวสวยพาเขาไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ทันที"อ้าว ไอ้ปกยังไม่มาหรือ" ชินดนัยเห็นภาวินนั่งอยู่เพียงลำพังจึงถามถึงเพื่อนอีกคน"คงกำลังมาแหละมั้ง เห็นว่ามีเรื่องด่วนนิดหน่อย...ของพี่คนนี้โซดาอย่างเดียวนะจ๊ะ" ภาวินตอบพลางหันไปบอกกับบันนี่สาวที่มีหน้าที่ผสมเหล้าอยู่ข้างโต๊ะ"เฮ้ย...เรื่องด่วนที่ว่าหมายถึงเรื่องนี้เองหรือวะ" ชินดนัยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางบุ้ยหน้าไปทางชั้นล่าง ภาวินจึงมองลงไปบ้างก็เห็นปกเกล้ากำลังจูงมือหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในคลับด้วยจะว่าไปแล้วน่าจะเรียกว่าฉุดลากกันมากกว่า เพราะดูจากท่าทางไม่เต็มใจของผู้หญิงที่ปกเกล้าพามาด้วยกันนั้นก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายถูกบังคับให้มาที่นี่"น่ารักดีว่ะ อย่างกับเด็กมหาลัย ไอ้ปกไปหามาจากไหนวะเนี่ย"ภาวินอดสงสัยไม่ได้เพราะปกติแล้วเวลานัดสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิท จะไม่มีใครพาผู้หญิงมาด้วยเด็ดขาดเพราะกลัวงานกร่อย และกฎนี้ปกเกล้าก็เป็นคนตั้งขึ้นเองด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวกลับทำผิดกฎเสียเอง"กูว่าคนนี้คงไม่ธรรมดาเว้ย มึงดูสิไอ้ปกเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน ทำอย่างกับจับ
สุดท้ายแล้วจันทร์เจ้าก็ไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้ชินดนัย ดังนั้นหลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงกับภัทรพลเสร็จแล้วเธอจึงกลับขึ้นไปบนออฟฟิศตามเดิม ทว่านั่งทำงานไปได้ไม่เท่าไร หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นทั้งเจ้านายและคนรักในห้องทำงานของเขา"จันทร์ขอลางานครึ่งวันนะคะพี่ชิน คุณแม่ติดธุระก็เลยไปรับหนูพราวที่โรงเรียนไม่ได้ค่ะ จันทร์เลยต้องไปรับแทน""งั้นหรือ...อืม งั้นก็ไปเถอะ ถึงบ้านแล้วโทร. หาพี่ละกัน พี่จะได้ไม่เป็นห่วง" เขายิ้มพลางกางแขนออกกว้าง หญิงสาวจึงอดค้อนให้เขาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังเดินเข้าไปก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วโผไปซุกในอ้อมอกของเขาชินดนัยหอมขมับของเธออย่างแสนรัก หากแต่มือเจ้ากรรมก็ยังไม่วายซุกซน บีบบั้นท้ายของหญิงสาวเล่นอย่างเคยตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือถูกเจ้าของบั้นท้ายหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง"นิสัยไม่ดีตลอดเลยพี่ชินเนี่ย เผลอเป็นไม่ได้"จันทร์เจ้าบ่นให้เขาพลางผละออกห่างแล้วยืนเต็มความสูงตามเดิม จากนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องทำงาน"จันทร์ไปก่อนนะคะ ถึงบ้านแล้วจะโทร. หาค่ะ" พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปจึงไม่ทันเห็นว่าใบ
ชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจมากจนเกินไปอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งปฏิบัติต่อหญิงสาวที่ตนมีใจให้เพราะไม่ต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับเขามากเพราะจันทร์เจ้าพูดกับเขาอย่างที่คุยกับคนรู้จักทั่วไป ไม่มีท่าทีปิดกั้นหรือระแวงจนเขาไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เธอทั้งคู่สั่งกับข้าวมาสามอย่าง หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์ของภัทรพลก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเลขานุการของตนเขาจึงต้องกดรับเพราะหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลขาฯ ของเขาจะไม่โทร. มาในเวลาพักเที่ยงอย่างนี้เป็นแน่"ผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ" เขาพูดกับจันทร์เจ้าแล้วรีบลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ออกจากร้านอาหารทันที จากนั้นก็เดินห่างออกไปจากหน้าร้านโดยเดินไปทางห้องน้ำเพราะตั้งใจจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยชินดนัยเห็นผู้ชายที่อยู่กับแฟนสาวของตนกำลังเดินคุยโทรศัพท์ไปทางห้องน้ำ เขาจึงเดินอ้อมจากอีกด้านตามไปทันทีชายหนุ่มคนนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จก็จัดการทำธุระส่วนตัว ส่วนชินดนัยก็ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเพื่อรออีกฝ่ายอย่างใจเย็น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินมาล้างมือในอ่างท
จันทร์เจ้ากลอกตามองเพดาน ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างหยอกเย้าจากเลขาฯ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้กัน เธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ"ไม่รีบเข้าไป เดี๋ยวท่านประธานก็ออกมาตามด้วยตัวเองอีกหรอก"นันทิดาพูดจบก็หัวเราะคิกคัก เพราะท่านประธานหนุ่มไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่ตนมีต่อเลขาฯ ส่วนตัวคนนี้สักนิด ช่วงแรกที่จันทร์เจ้าคบหากับท่านประธานก็มีเพียงคนกันเองอย่างพวกตนที่เป็นเลขานุการด้วยกันเท่านั้นที่รู้แต่หลังจากที่มีโปรแกรมเมอร์หนุ่มคนใหม่เข้ามาทำงานที่บริษัทแล้วแสดงออกว่าสนใจเลขาฯ ของท่านประธานจนถึงขนาดเอ่ยปากชวนไปเลี้ยงข้าวกลางวัน ซึ่งพอเรื่องนี้เข้าหูผู้เป็นเจ้านายอย่างชินดนัย ท่านประธานหนุ่มก็แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้าทันทีโดยไม่สนใจว่าพนักงานคนอื่นจะมองอย่างไรทั้งเดินจูงมือจันทร์เจ้า บางคราวก็โอบไหล่โอบเอว แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเอ่ยปากเตือนหลายครั้งแต่ท่านประธานก็ยังคงทำตามใจตัวเองเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และพนักงานทุกคนก็รับรู้กันถ้วนหน้าว่าท่านประธานกับเลขาฯ ส่วนตัวนั้นกำลังคบหาดูใจกันอยู่ นานวันเข้าจากที่ทุกคนเคยตื่นเต้นกับเรื่องนี้ก็เร
ในเช้าวันทำงานอันแสนวุ่นวาย จันทร์เจ้าค่อย ๆ เคลื่อนรถไปบนท้องถนนอย่างเชื่องช้าเพราะการจราจรติดขัดอย่างผิดปกติ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายพลางคิดในใจว่าข้างหน้าคงเกิดอุบัติเหตุเป็นแน่ เธอมองเวลาบนแผงคอนโซลหน้ารถ อีกแค่สิบห้านาทีก็จะถึงเวลาเข้างานแล้ว แต่ตอนนี้เธอยังไม่ครึ่งทางเลยด้วยซ้ำจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทร. ไปบอกชายหนุ่มผู้ซึ่งพ่วงทั้งตำแหน่งเจ้านายและชายคนรักว่าตนคงเข้าทำงานสาย"อุ๊ย! แย่จริง" จันทร์เจ้าพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อโทรศัพท์เกิดหลุดมือหล่นไปอยู่ใกล้เท้า เธอมองทางข้างหน้า เห็นว่ารถยังคงเคลื่อนตัวไปได้อย่างเชื่องช้าจึงเหยียบเบรกค้างไว้ครึ่งเดียวเพื่อชะลอความเร็วรถก่อนจะก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือกึก!"อุ๊ยตายแล้ว!" หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าชั่วเสี้ยววินาทีที่ตนละสายตาจากท้องถนนเพื่อก้มเก็บโทรศัพท์นั้นจะส่งผลให้รถของเธอชนเข้ากับรถคันหน้าเข้าจนได้ แม้จะไม่รุนแรงเพราะรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่ต่างจากคลาน แต่อย่างไรเสียก็ถือว่าเธอเป็นฝ่ายผิดที่ไปชนเขาก่อนรถคันหน้าจอดนิ่งพร้อมกับเปิดไฟกะพริบ จากนั้นประตูฝั
จันทร์เจ้าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "ทำไมหรือคะ พี่ชินเจออะไรมาหรือ"ชินดนัยถอนหายใจแผ่วก่อนจะตัดสินใจเล่าให้หญิงสาวฟัง หลังจากเล่าจบเขาก็พูดขึ้นว่า"ตอนแรกพี่ว่าจะไม่บอกจันทร์ เพราะเดี๋ยวจันทร์จะหาว่าพี่ขี้ฟ้อง คิดเล็กคิดน้อยกับเพื่อนของจันทร์ แต่มาคิดดูอีกที เพื่อนแบบนี้ไม่มีเสียยังจะดีกว่า""ช่างเขาเถอะค่ะ จันทร์เลิกใส่ใจเรื่องของวีวี่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ปล่อยให้เขาแข่งไปคนเดียวเถอะ"ชายหนุ่มยิ้มละไมเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องพูดแบบนี้"พรุ่งนี้เจอกันที่จุดนัดพบตรงปั๊มน้ำมันนะ อย่าตื่นสายล่ะ"ชายหนุ่มแกล้งเย้าเพราะรู้อยู่แล้วว่าจันทร์เจ้าไม่ใช่คนตื่นสาย เธอยู่หน้าใส่ชายหนุ่มแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มเขาไม่แรงนักก่อนพูดว่า"บอกตัวเองเถอะค่ะ จันทร์ว่ารถจันทร์ไปถึงก่อนทุกคนแน่นอน"สุดสัปดาห์นี้เป็นวันหยุดยาว ทั้งสามบ้านจึงนัดกันไปเที่ยวทะเลปราณบุรี ต่างคนต่างขับรถไปบ้านใครบ้านมันโดยยึดเอาปั๊มน้ำมันใหญ่ตรงถนนวิภาวดีเป็นจุดนัดพบ"จะรอดูคนขี้คุย โอเคครับพรุ่งนี้เจอกัน"ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปจูบหญิงสาวเป็นการลาเมื่อถึงห
"ฉันยังไม่แจกตอนนี้ รอนังวีวี่มาก่อน นี่ฉันอุตส่าห์บอกมันว่านัดกันตอนหกโมงครึ่งนะเนี่ย แต่นี่ปาไปทุ่มครึ่งแล้วนางยังไม่เสด็จมา ใครก็ได้จุดธูปเรียกมันหน่อยซิ"ทันทีที่ไปรมาพูดจบ ประตูห้องวีไอพีที่จัดเลี้ยงก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างระหงในชุดเดรสรัดรูปสีดำ เจ้าตัวเยื้องย่างเข้ามาในห้องราวกับนางพญาโดยไม่ยอมสบตาใคร เมื่อถึงเก้าอี้ว่างก็วางกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังที่หลายคนรู้ดีว่าราคาไม่ต่ำกว่าสามแสนลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงค่อยกวาดตามองทุกคนทั้งรอยยิ้มเรียวปากสีสดของวรัชยาค่อย ๆ หุบลงเมื่อเห็นชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ ก่อนจะพึมพำอย่างแผ่วเบา"พี่ชิน" สายตาของวรัชยาเบนไปที่หญิงสาวข้างกายเขา "ยายจันทร์""โอ๊ยหล่อน เปิดตัวมาแบบรัชดาลัยเธียเตอร์มาก เขานัดกันหกโมงครึ่งแต่หล่อนเพิ่งมาเอาป่านนี้ โหงพรายที่หล่อนเลี้ยงไว้เพิ่งกระซิบบอกรึไงยะ" เพื่อนที่เป็นสาวประเภทสองคนหนึ่งอดแขวะวรัชยาไม่ได้"ฉันก็ต้องมีติดธุระกันบ้างสิ ฉันไม่ได้ทำงานเป็นพนักงานประจำเหมือนพวกเธอนะ ฉันมีธุรกิจส่วนตัวก็รู้ ๆ กันอยู่"วรัชยาพยายามวางตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะชายห