หลังเลิกงาน ชินดนัยขับรถถึงบ้านในเวลาหนึ่งทุ่มเล็กน้อย ชายหนุ่มเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางฮัมเพลงเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดี ก่อนเสียงเพลงจะหยุดลงเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"ตาชิน กลับมาแล้วหรือลูก"
"มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับคุณแม่" เขาถามท่านกลับไป ในใจเริ่มกังวลถึงอาการป่วยของน้องสาวเพราะมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้คนในบ้านต่างพากันเป็นห่วง
"ยายนุชน่ะสิ ปิดประตูเงียบอยู่แต่ในห้องตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน แม่เรียกลงมากินข้าวเย็นก็บอกว่ายังไม่หิว นี่พ่อเราก็กำลังเกลี้ยกล่อมให้ออกมานั่งเล่นข้างนอกบ้าง ไม่อยากให้อยู่ในห้องคนเดียวนานนัก เพราะกลัวว่าจะ..."
ท่านหยุดพูดไว้เพียงแค่นั้น เขาจึงยื่นมือไปบีบมือท่านเบา ๆ อย่างปลุกปลอบ
"เดี๋ยวผมคุยกับน้องเองครับคุณแม่" พูดจบเขาก็เดินขึ้นบันไดไป
หน้าห้องนอนของชญานุชซึ่งอยู่เยื้องกับห้องนอนของเขา มีร่างสูงโปร่งของบิดายืนนิ่งอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าอมทุกข์ ครั้นพอเห็นเขาเดินเข้าไปใกล้ ท่านจึงหันมามองพลางถอนหายใจแผ่ว
"คุณพ่อไปพักผ่อนเถอะครับ ให้ผมคุยกับยายนุชเองดีกว่า" เขารู้ว่าบิดารักและเป็นห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวมากแค่ไหน ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านเลี้ยงดูทะนุถนอมบุตรสาวราวกับไข่ในหิน
"พ่อฝากหน่อยนะตาชิน" ผู้เป็นบิดาพูดเสียงแผ่ว ก่อนจะหันหน้าเข้าหาประตูอีกครั้ง
"นุชเอ๊ย...พ่อจะนั่งดูทีวีรอหนูอยู่ข้างล่างนะลูก ถ้าหนูยังไม่อยากนอนก็ลงมานั่งดูหนังกับพ่อนะ"
พูดจบท่านก็เดินคอตกกลับไป ชินดนัยมองตามแผ่นหลังของบิดาแล้วก็อดเป็นห่วงสุขภาพของท่านไม่ได้ แม้ภายนอกจะดูเหมือนท่านแข็งแรงดี แต่ความจริงแล้วสารพัดโรคภัยกำลังรุมเร้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ ความดันสูง และเบาหวาน ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานหนัก และละเลยสุขภาพมาตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม
ชินดนัยยกมือเคาะประตูห้องของน้องสาวไม่ดังนัก เขารู้ว่าชญานุชได้ยิน แต่เจ้าตัวจะมาเปิดประตูให้เมื่อไรนั้นไม่อาจรู้ได้ เขาทำได้แค่ยืนรออยู่หน้าห้องอย่างใจเย็น
"นุช พี่ชินเองนะ เปิดให้พี่เข้าไปหน่อยได้ไหมคะ พี่มีเรื่องอยากปรึกษานุชหน่อยน่ะ เป็นเรื่อง...เอ่อ...ปัญหาหัวใจ พี่ไม่รู้จะปรึกษาใครก็เลยคิดถึงนุชเป็นคนแรกเลย นุชช่วยพี่หน่อยได้ไหม"
เขาจำเป็นต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาอ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องหัวใจนั้นเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาคนอื่นเพราะค่อนข้างมั่นใจว่าตนเอาอยู่ สำหรับจันทร์เจ้าแล้ว เธอต้องเห็นหน้าเขาทุกวัน หากเขาหมั่นเติมเชื้อไฟบ่อย ๆ วันละนิดละหน่อย เขาเชื่อว่าไม่ช้าถ่านไฟเก่าก็จะคุขึ้นมาได้ไม่ยาก อีกทั้งเขาในตอนนี้ก็เลิกนิสัยกินทิ้งกินขว้างแบบเมื่อก่อนแล้ว ถ้าเขาแสดงความจริงใจให้เธอเห็น จันทร์เจ้าก็คงเปิดโอกาสให้เขาเข้าไปนั่งในใจเธออีกครั้ง
ชายหนุ่มยืนรออยู่นานจนคิดว่าจะลองเคาะประตูอีกครั้ง แต่แล้วเสียงจากด้านในก็ดังขึ้นแผ่วเบา
"นุชน่ะหรือคะจะช่วยพี่ได้"
"ได้สิคะ นุชเป็นน้องสาวของพี่นี่นา ถ้าพี่ไม่ปรึกษานุชแล้วจะให้พี่ไปปรึกษาใคร นุชเปิดประตูให้พี่เข้าไปหน่อยนะ"
เขารีบพูดเอาใจให้น้องสาวเห็นว่าเธอเป็นคนสำคัญตามที่รมิดาเคยให้คำแนะนำเอาไว้ ว่าพยายามพูดให้กำลังใจ และทำให้อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองมีค่า และเป็นที่ต้องการของทุกคนในครอบครัว
เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งสำหรับชินดนัยแล้วรู้สึกราวกับเป็นเสียงสวรรค์ เขาคลี่ยิ้มกว้าง สายตาอ่อนโยนที่มองคนตรงหน้ามีแต่ความเอื้อเอ็นดู
ชายหนุ่มรีบก้าวเท้าเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูไว้ให้ตามเดิม โดยที่รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา เขาพยายามมองข้ามใบหน้าซีดเซียวหม่นหมองของเจ้าของห้อง แม้ว่าลึก ๆ แล้วจะอดสะท้อนในใจไม่ได้ ชญานุชจัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยและดูดีที่สุดคนหนึ่ง สมัยที่น้องสาวของเขายังเรียนมหาวิทยาลัย เจ้าตัวเคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ในงานฟุตบอลประเพณีด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นเขาอยู่ต่างประเทศ จึงไม่ค่อยได้รับรู้ความความเคลื่อนไหวและความเป็นไปของน้องสาวเท่าไรนัก จะรู้แค่เพียงที่เจ้าตัวบอกเล่าให้ฟังตอนแชต หรือโทรศัพท์คุยกันเท่านั้น เขาจึงไม่รู้ว่าชญานุชมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่
"ขอบคุณค่ะที่เปิดประตูให้พี่ แปลว่านุชยินดีจะเป็นศิราณีให้พี่แล้วใช่ไหมคะ"
ชญานุชยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาเบดที่อยู่ปลายเตียง ชายหนุ่มจึงเดินตามไปนั่งข้างน้องสาวพลางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก คราแรกเขานึกว่าเมื่อประตูเปิดออกมาแล้วจะเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของน้องสาวเหมือนครั้งก่อน
"ฮอตปรอทแตกอย่างพี่ชินยังต้องการที่ปรึกษาด้วยหรือคะ ไม่น่าเชื่อ" ชญานุชกระเซ้าพี่ชาย
"ฮอตอะไรกัน นั่นมันอดีตไปแล้ว ตอนนี้มีแต่ผู้ชายธรรมดาที่กำลังพยายามจุดถ่านไฟเก่าให้ติดอยู่ แต่ยังไม่สำเร็จ"
เขาเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องของตัวเองก่อน ทั้งที่เมื่อก่อนเรื่องส่วนตัวแบบนี้เขาไม่เคยนำมาพูดกับน้องสาวเลยสักครั้ง ชญานุชก็เช่นกัน ไม่เคยนำเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพี่ชายอย่างเขาแม้แต่ครั้งเดียว
คิดแล้วก็น่าแปลก เป็นพี่น้องคลานตามกันมาแท้ ๆ ยามที่คนภายนอกมองมาล้วนมีแต่คนพูดว่าเขากับน้องสาวรักใคร่สนิทสนมกันดี แต่ความจริงแล้วต่างคนต่างมีโลกส่วนตัวของตัวเอง และต่างคนต่างสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน เขาไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของน้องสาว กลุ่มเพื่อนสนิทของชญานุชมีใครบ้างเขาก็จำชื่อไม่เคยได้ เธอคบหากับผู้ชายคนไหนบ้างเขาก็ไม่เคยรู้ ชญานุชเองก็เช่นกันที่ไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของเขาเลย เพื่อนสนิทของเขาเสียอีกที่ดูจะรู้มากกว่าน้องสาวแท้ ๆ อย่างเธอด้วยซ้ำ
แต่วันนี้เขาจะพยายามทำลายกำแพงนั้นลงเสีย เขาต้องทำให้ชญานุชไว้เนื้อเชื่อใจเขาในฐานะพี่ชายร่วมสายเลือดให้ได้ก่อนที่อะไร ๆ จะแย่ไปกว่านี้
"อย่าบอกนะคะว่าตอนนี้พี่โสดอยู่ เป็นไปได้หรือ" เธอหันมามองเขาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
"พี่โสดมาตั้งนานแล้วค่ะ ตั้งแต่กลับจากเมืองนอกพี่ก็ไม่เคยคบใครเลย นี่คือเรื่องจริง ทุกวันนี้พี่ทำแต่งาน ไปดื่มสังสรรค์พบปะเพื่อนฝูงบ้างนาน ๆ ที นอกนั้นก็กลับมาอยู่บ้าน นุชก็เห็นนี่คะ"
ชญานุชทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ จากนั้นก็หันมาถามเขาต่อ
"แล้วถ่านไฟเก่าที่ว่านี่ล่ะคะ คบกันตอนที่พี่ไปเรียนเมืองนอกหรือ"
ชินดนัยส่ายหน้าก่อนตอบ "ไม่ใช่ค่ะ พี่เคยคบกับเขาตอนเรียนมหา'ลัยน่ะ แต่ก็คบได้ไม่นานก็เลิกกันไปแล้วพี่ก็ไปเรียนต่อพอดี ตอนนี้เขามาทำงานเป็นเลขาฯ ของพี่ พี่ก็พยายามจะรื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ กับเขาอยู่แต่ยังไม่สำเร็จ""แปลว่าจบไม่สวยเท่าไรใช่ไหมคะ" เมื่อถูกน้องสาวถามจี้ใจดำ เขาก็ได้แต่ทำหน้าประดักประเดิดเพราะเป็นเรื่องจริง ก่อนจะพยักหน้ายอมรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง"พี่ไม่ดีเองแหละ ช่วงนั้นมั่นใจในความหล่อของตัวเองมากไปหน่อย"เขาพยายามใช้คำพูดที่ฟังติดตลก เพราะความจริงแล้วการที่เขาควงสาวไม่ซ้ำหน้า คบผู้หญิงซ้อนกันหลายคนในช่วงนั้นเป็นเพราะฮอร์โมนความเป็นชายมันพลุ่งพล่าน โดยเฉพาะการได้ลากสาวสวยมาเล่นสนุกกันบนเตียงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเขาเหลือเกิน ยิ่งเขาสามารถปิดบังบรรดาสาว ๆ ที่คบอยู่ และให้เจ้าหล่อนเชื่อว่าเขาคบเธอแค่คนเดียวได้นานเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากเท่านั้น"แล้วทำไมพี่ชินถึงอยากกลับมาคบกับคนนี้อีกครั้งล่ะคะ"ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่ว มีมากมายหลายสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรให้คนฟังเข้าใจสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่ แต่ส
“มาแล้วครับผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงแล้วเดินเข้ามาวางขวดน้ำไว้บนโต๊ะและยื่นแก้วนมให้น้องสาว เธอรับแก้วไปถือไว้ เขาจึงเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง เปิดลิ้นชักหยิบยาต้านเศร้าที่ต้องกินก่อนนอนออกมาทั้งแผง จากนั้นก็มานั่งที่เดิมเขารอจนเธอดื่มนมหมดแก้วจึงแกะยาจากแผงยื่นให้หนึ่งเม็ดพร้อมรอยยิ้ม เธอมองยาเม็ดเล็ก ๆ สีขาวในมือเขาครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกมารับแต่ยังไม่ยอมกิน เขาจึงแกะออกมาอีกเม็ดแล้วพูดว่า“ถ้านุชไม่อยากกินยาคนเดียวเดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ” พูดจบเขาก็โยนยาเม็ดนั้นเข้าปากแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทั้งขวด ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของน้องสาว“พี่ชิน! กินเข้าไปได้ยังไงคะ” หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ากินยาเหมือนตน“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย พี่ก็แค่อยากกินยาเป็นเพื่อนนุช คราวนี้ถึงตานุชต้องกินยาบ้างแล้วนะคะ” เขายิ้มราวกับการกินยาต้านเศร้าทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครั้นพอเห็นน้องสาวกินยาแล้วดื่มน้ำตาม ชินดนัยก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะโทรศัพท์ไปถามรมิดาเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาสำหรับคนที่
"พี่โทร. ไปบอกผู้จัดการสาขาแล้วละว่าเราจะเข้าไปที่นั่น ที่พี่จะให้จันทร์ไปวันนี้ก็เพราะอีกหน่อยจันทร์จะต้องไปติดต่อกับที่นี่บ่อย ๆ และอีกอย่างคือหลายคนรู้แค่ว่าพี่เปลี่ยนเลขาฯ แล้วแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ถือเสียว่าไปแนะนำตัวเองละกัน""ค่ะ สิบโมงครึ่งใช่ไหมคะ""อืม เดินไปนะ เดินบนทางลอยฟ้านี่แหละ และถ้าจันทร์ไม่มีงานด่วน หรืองานไหนที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จภายในวันนี้พี่ก็จะพาเราไปที่ศูนย์บริการด้วย ไปดูขั้นตอนการทำงานจริงเวลาที่มีสินค้าส่งซ่อม จะได้รู้ว่าเขาทำกันยังไงบ้าง"จันทร์เจ้าทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจได้"คิดว่าไม่มีนะคะ ไปวันนี้เลยก็ได้"ชินดนัยยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้าให้ "งั้นก็ตามนั้น สิบโมงครึ่งเข้ามาเตือนพี่อีกทีละกัน เผื่อพี่มัวแต่ทำนั่นทำนี่จนลืมเวลา""ค่ะ ขอตัวนะคะ" พูดจบจันทร์เจ้าก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นนายมองตามหลังไปตลอดจนกระทั่งประตูปิดลงเขาจึงละสายตาออกมาชินดนัยยิ้มกว้างเมื่อในที่สุดกวางน้อยก็ตกหลุมที่เขาดักไว้จนได้"ไว้ไปวันหลังละกันนะหนูจันทร์ ศูนย์บริการน่ะ"
ชินดนัยกับจันทร์เจ้าเดินเคียงกันไปบนทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมตั้งแต่แยกราชประสงค์จนถึงย่านสยามสแควร์ อันเป็นที่ตั้งของบรรดาห้างสรรพสินค้าใหญ่ซึ่งมีสินค้าแฟชั่นหลากหลายแบรนด์ชั้นนำไปจนถึงโชว์รูมรถหรูชายหนุ่มมีรอยยิ้มที่มุมปากตลอดเวลา เหตุผลหนึ่งที่เขาพาหญิงสาวมาเดินบนทางเดินลอยฟ้าตรงนี้ก็เพื่อระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขากับเธอเจอกันครั้งแรกตอนนั้นเธอเป็นน้องปีหนึ่ง เขาเป็นพี่ปีสาม เขาเพิ่งเสร็จจากเตะบอลกับเพื่อน จึงนั่งจักรยานยนต์รับจ้างแถวหน้ามหาวิทยาลัยมาลงที่รถไฟฟ้าแล้วขึ้นมาบนทางเดินตรงนี้เพื่อจะเข้าไปที่บริษัทเพราะจอดรถไว้ที่นั่น เขาเห็นจันทร์เจ้ามาแต่ไกล ณ เวลานั้นเขาสนใจเธอขึ้นมาทันทีตามประสาผู้ชายรักสนุกเมื่อเห็นสาวสวยถูกใจ เธออยู่ในชุดนิสิตกระโปรงพลีตคลุมเข่าเดินหิ้วถุงของห้างสรรพสินค้าพะรุงพะรังเต็มสองมือและไม่รู้เพราะโชคเข้าข้างเขาหรือเพราะอะไร จู่ ๆ ก็มีลมแรงพัดมาจนผมของเธอปลิวมาปิดหน้าปิดตา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระโปรงที่เธอสวมอยู่ก็ถูกลมพัดจนเลิกขึ้นเกือบเห็นกางเกงใน หญิงสาวดูตกใจมากแต่ก็นับว่ามีสติและแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เพราะเธอรีบ
ชินดนัยรู้ตัวว่าจันทร์เจ้าว่ากระทบเขาเรื่องการซ่อมถนนหรือทางเท้าของกรุงเทพฯ ซี่งเขาเองก็ไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ไม่แปลกที่หญิงสาวยังยึดติดว่าเขาเป็นเพลย์บอยจอมเจ้าชู้คนนั้นอยู่ อีกทั้งเขาก็สร้างความเจ็บช้ำให้เธอไว้ไม่น้อย เธอจะตั้งแง่กับเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เขาก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป จันทร์เจ้าจะเข้าใจและเริ่มมองเขาที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่หนุ่มเสเพลเมื่อเจ็ดปีก่อนคนนั้นอีกทั้งคู่มาถึงโชว์รูมนาฬิกาที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและนอบน้อม พนักงานสาวในชุดสูทสีดำที่ไม่ได้กำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ต่างยกมือไหว้ทำความเคารพชินดนัย ขณะที่จันทร์เจ้าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นมิตรบนหน้าตลอดเวลาจันทร์เจ้ากวาดตามองโชว์รูมนาฬิกาที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูดูมีรสนิยมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตาเป็นประกายเมื่อเห็นนาฬิกาที่ราคาเป็นแสนเป็นล้าน สำหรับเธอแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย มีก็ดีไม่มีก็ได้ เพราะตนก็ไม่ใช่นั
เขาไม่กล้าละลาบละล้วงถามเรื่องครอบครัวของเธอ เพราะไม่อยากให้จันทร์เจ้ามองว่าตนไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเรื่องครอบครัวล้มละลายแบบนี้หญิงสาวคงไม่ต้องการพูดถึงเท่าไรนัก"รุ่นนี้พวกดาราหรือไฮโซแถวหน้าของเมืองไทยฮิตกันมาก แต่เวลามีคนใส่ชนกันกลับไม่ดูเกร่อ ถ้าเปรียบเป็นกระเป๋าก็คงเหมือนชาแนลหรือแอร์เมสนะคะ""ใช่ เพราะนาฬิกาของเราไม่เคยลดราคา มีแต่ขึ้นราคา ถ้ามีตำหนิหรือข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทางผู้ผลิตจะทำใหม่ทันที ยิ่งบางรุ่นที่ไม่ผลิตแล้วก็ยิ่งแพง ราคามีแต่ทะยานขึ้น เขาถึงได้บอกไงว่าเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลานได้"เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ในห้องรับรอง"เห็นลูกค้าคนนั้นไหม เขามารับนาฬิกาที่สั่งไว้ซึ่งนับเป็นเรือนที่หกแล้วที่ซื้อไปจากที่นี่ เขาบอกว่าชอบสะสมนาฬิกาเพราะกะจะเอาไว้เป็นทรัพย์สินในมรดกด้วย"จันทร์เจ้าพยักหน้ารับรู้เพราะเข้าใจดี ตอนที่บ้านของเธอต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ เฉพาะนาฬิกาสะสมของบิดาก็ขายได้มากถึงสิบกว่าล้าน ส่วนนาฬิกาของเธอกับพี่สาวนั้นขายได้ล้านกว่า
"วันนี้พี่ขอตัวกลับก่อนนะ มีธุระกับที่บ้านน่ะ ถ้าจันทร์มีปัญหาอะไรก็โทร. หาพี่ได้ตลอดเวลาไม่ต้องเกรงใจ หรือไม่มีปัญหาอะไรก็โทร. มาได้ ถ้าเป็นสายจากจันทร์ พี่แสตนด์บายรอเสมอ""ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ขอตัวนะคะ" หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนเดินออกจากห้อง เธอรู้ว่าเขายังคงมองตามหลังมาอยู่จึงพยายามไม่เบนสายตาไปทางนั้น ครั้นพอออกมานอกห้องก็เจอกับกิตติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดซึ่งดูแลไปถึงฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ด้วย จันทร์เจ้าจึงค้อมศีรษะให้เขาในฐานะที่ตนตำแหน่งต่ำกว่า"คุณชินอยู่ในห้องใช่ไหม" กิตติกรถามพลางชี้เข้าไปในห้อง"อยู่ค่ะ แต่เห็นท่านประธานบอกว่าจะขอตัวกลับบ้านก่อน คุณกิตติกรจะคุยกับท่านเรื่องกระทู้ในเว็บบอร์ดใช่ไหมคะ"หญิงสาวลองถามเขาดูเพราะคิดว่าชินดนัยคงส่งอีเมลถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คาดเดานักเพราะกิตติกรพยักหน้าให้แทนการตอบรับ"งั้นหรือ ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้ผมค่อยมาคุยอีกทีก็แล้วกัน" กิตติกรยิ้มให้เลขาฯ คนใหม่ก่อนจะเดินกลับห้องทำงานของตัวเองคล้อยหลังผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประตูห้องทำงานของชินดนัยก็เปิดออก ชายหนุ่มเลิกคิ้วข
จันทร์เจ้าเปลี่ยนจากชุดทำงานมาใส่ชุดลำลองแล้วลงมารับประทานมื้อเย็น เธอเห็นมารดากำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในครัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางยกมือทาบอกไปด้วยก็อดสงสัยไม่ได้"แม่จันทร์จ๋า" เสียงใส ๆ จากพราวนภาส่งเสียงเรียกมาจากห้องนั่งเล่น หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหา"จ๋าหนูพราว วันนี้หนูหม่ำข้าวหมดจานไหมคะ" เธอก้มตัวอุ้มเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มทั้งซ้ายขวา พราวนภาจึงหอมกลับไปบ้าง"หนูพราวกินไม่หมด ยายจ๋าทำข้าวมีแคเหลาะ หนูพราวไม่ชอบ"จันทร์เจ้ายิ้มอย่างเอ็นดูพลางทรุดตัวนั่งบนโซฟาแล้วให้หลานตัวน้อยนั่งบนตัก"แคร์รอตค่ะลูก ไม่ใช่แคเหลาะนะ ไหนลองพูดซิ...แคร์รอต" หญิงสาวเน้นสองคำหลังช้า ๆ เพื่อให้พราวนภาพูดตาม"แคร์-รอต" เด็กน้อยพูดตามชัดถ้อยชัดคำ"ถูกต้อง ลูกสาวใครน้อ เก่งที่สุดในโลกเลย" จันทร์เจ้าหอมแก้มยุ้ย ๆ ทั้งสองข้างอีกครั้ง"ลูกสาวแม่จันทร์เจ้ากับแม่ตะวันค่า" พราวนภาฉีกยิ้มกว้างจนลักยิ้มที่แก้มซ้ายบุ๋มลงไป หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปลูบเบา ๆ เพราะหลานสาวตัวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน"แคร์รอตกินแล้วดีนะคะหน
"อ้าว แล้วพี่ออกมาก่อนแบบนี้พวกพี่ ๆ เขาไม่ว่ากันหรือคะ""ไม่ว่าหรอกน่า พวกพี่จะนัดกันเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ไม่มีพี่ มันสองคนก็นัดชนแก้วกันเป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างนะ พวกมันก็เข้าใจดีว่าเคสของหนูจันทร์เป็นเคสที่พี่ต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง"ชินดนัยยิ้มพลางหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้หญิงสาวอีกครั้ง จันทร์เจ้าเบิกตากว้างเพราะตนเพิ่งดื่มเข้าไปแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น ไวน์ยังเหลือในแก้วตั้งเยอะแต่เขากลับรินให้จนเลยครึ่งแก้วขึ้นมา"พอแล้วค่ะ จะมอมกันหรือไง พี่ก็รู้ว่าจันทร์ดื่มไม่เก่ง"ชินดนัยมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าว่า"พี่รู้ว่าจันทร์ดื่มไวน์ไม่เก่ง แต่เวลาที่จันทร์เมาจันทร์จะดูดน้ำอย่างอื่นได้เก่งมากเลย เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องมอมสักหน่อย"จันทร์เจ้าหน้าแดงขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรที่จะเป็นการเข้าเนื้อตัวเองอีกชายหนุ่มมองสีหน้าขัดเขินของเธอแล้วก็นึกอยากพรมจูบไปให้ทั่วใบหน้า แต่เพราะเกรงว่าตนอาจจะไม่จบลงแค่จูบจึงได้แต่สะกดกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ พลางหาเรื่องอื่นมา
มือของเขาเลื่อนขึ้นมาจนสัมผัสได้กับเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ของกางเกงชั้นใน จากนั้นเขาก็จับเอวของเธอไว้แล้วผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองภาพความสวยงามที่หาได้ยากแบบนี้ให้เต็มตา"เซ็กซี่มากที่รัก พี่ชอบมากเลย"สายตาร้อนแรงของเขาราวกับจะแผดเผาเธอได้ ยอมรับว่าอายแสนอายจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่ความพรักพร้อมของเขานั้นปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจันทร์เจ้าเอาแขนออกจากคอของชินดนัยแล้วดึงกระโปรงลง จากนั้นก็ใช้นิ้วเกี่ยวหูกางเกงของเขาพลางดึงเบา ๆ แล้วพูดว่า"ไปที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ จันทร์เพิ่งอุ่นเสร็จเมื่อกี้เอง ไวน์ก็เพิ่งเอามาแช่ใหม่ ถ้าไม่ดื่มตอนนี้เดี๋ยวน้ำแข็งจะละลายเสียก่อน"เธอดึงหูกางเกงของเขาเพื่อให้ชายหนุ่มเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ชินดนัยเดินตามอย่างว่าง่ายจนกระทั่งมาถึงโต๊ะจึงกดบ่าของเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้"เดี๋ยวจันทร์รินไวน์ให้นะคะ"หญิงสาวยิ้มหวานให้ก่อนหันหลังให้เขาแล้วเอื้อมหยิบขวดไวน์ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แต่เพราะชุ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน แค่แจ้งชื่อของปกเกล้าก็จะมีพนักงานสาวสวยพาเขาไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ทันที"อ้าว ไอ้ปกยังไม่มาหรือ" ชินดนัยเห็นภาวินนั่งอยู่เพียงลำพังจึงถามถึงเพื่อนอีกคน"คงกำลังมาแหละมั้ง เห็นว่ามีเรื่องด่วนนิดหน่อย...ของพี่คนนี้โซดาอย่างเดียวนะจ๊ะ" ภาวินตอบพลางหันไปบอกกับบันนี่สาวที่มีหน้าที่ผสมเหล้าอยู่ข้างโต๊ะ"เฮ้ย...เรื่องด่วนที่ว่าหมายถึงเรื่องนี้เองหรือวะ" ชินดนัยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางบุ้ยหน้าไปทางชั้นล่าง ภาวินจึงมองลงไปบ้างก็เห็นปกเกล้ากำลังจูงมือหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในคลับด้วยจะว่าไปแล้วน่าจะเรียกว่าฉุดลากกันมากกว่า เพราะดูจากท่าทางไม่เต็มใจของผู้หญิงที่ปกเกล้าพามาด้วยกันนั้นก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายถูกบังคับให้มาที่นี่"น่ารักดีว่ะ อย่างกับเด็กมหาลัย ไอ้ปกไปหามาจากไหนวะเนี่ย"ภาวินอดสงสัยไม่ได้เพราะปกติแล้วเวลานัดสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิท จะไม่มีใครพาผู้หญิงมาด้วยเด็ดขาดเพราะกลัวงานกร่อย และกฎนี้ปกเกล้าก็เป็นคนตั้งขึ้นเองด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวกลับทำผิดกฎเสียเอง"กูว่าคนนี้คงไม่ธรรมดาเว้ย มึงดูสิไอ้ปกเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน ทำอย่างกับจับ
สุดท้ายแล้วจันทร์เจ้าก็ไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้ชินดนัย ดังนั้นหลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงกับภัทรพลเสร็จแล้วเธอจึงกลับขึ้นไปบนออฟฟิศตามเดิม ทว่านั่งทำงานไปได้ไม่เท่าไร หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นทั้งเจ้านายและคนรักในห้องทำงานของเขา"จันทร์ขอลางานครึ่งวันนะคะพี่ชิน คุณแม่ติดธุระก็เลยไปรับหนูพราวที่โรงเรียนไม่ได้ค่ะ จันทร์เลยต้องไปรับแทน""งั้นหรือ...อืม งั้นก็ไปเถอะ ถึงบ้านแล้วโทร. หาพี่ละกัน พี่จะได้ไม่เป็นห่วง" เขายิ้มพลางกางแขนออกกว้าง หญิงสาวจึงอดค้อนให้เขาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังเดินเข้าไปก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วโผไปซุกในอ้อมอกของเขาชินดนัยหอมขมับของเธออย่างแสนรัก หากแต่มือเจ้ากรรมก็ยังไม่วายซุกซน บีบบั้นท้ายของหญิงสาวเล่นอย่างเคยตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือถูกเจ้าของบั้นท้ายหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง"นิสัยไม่ดีตลอดเลยพี่ชินเนี่ย เผลอเป็นไม่ได้"จันทร์เจ้าบ่นให้เขาพลางผละออกห่างแล้วยืนเต็มความสูงตามเดิม จากนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องทำงาน"จันทร์ไปก่อนนะคะ ถึงบ้านแล้วจะโทร. หาค่ะ" พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปจึงไม่ทันเห็นว่าใบ
ชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจมากจนเกินไปอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งปฏิบัติต่อหญิงสาวที่ตนมีใจให้เพราะไม่ต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับเขามากเพราะจันทร์เจ้าพูดกับเขาอย่างที่คุยกับคนรู้จักทั่วไป ไม่มีท่าทีปิดกั้นหรือระแวงจนเขาไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เธอทั้งคู่สั่งกับข้าวมาสามอย่าง หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์ของภัทรพลก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเลขานุการของตนเขาจึงต้องกดรับเพราะหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลขาฯ ของเขาจะไม่โทร. มาในเวลาพักเที่ยงอย่างนี้เป็นแน่"ผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ" เขาพูดกับจันทร์เจ้าแล้วรีบลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ออกจากร้านอาหารทันที จากนั้นก็เดินห่างออกไปจากหน้าร้านโดยเดินไปทางห้องน้ำเพราะตั้งใจจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยชินดนัยเห็นผู้ชายที่อยู่กับแฟนสาวของตนกำลังเดินคุยโทรศัพท์ไปทางห้องน้ำ เขาจึงเดินอ้อมจากอีกด้านตามไปทันทีชายหนุ่มคนนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จก็จัดการทำธุระส่วนตัว ส่วนชินดนัยก็ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเพื่อรออีกฝ่ายอย่างใจเย็น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินมาล้างมือในอ่างท
จันทร์เจ้ากลอกตามองเพดาน ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างหยอกเย้าจากเลขาฯ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้กัน เธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ"ไม่รีบเข้าไป เดี๋ยวท่านประธานก็ออกมาตามด้วยตัวเองอีกหรอก"นันทิดาพูดจบก็หัวเราะคิกคัก เพราะท่านประธานหนุ่มไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่ตนมีต่อเลขาฯ ส่วนตัวคนนี้สักนิด ช่วงแรกที่จันทร์เจ้าคบหากับท่านประธานก็มีเพียงคนกันเองอย่างพวกตนที่เป็นเลขานุการด้วยกันเท่านั้นที่รู้แต่หลังจากที่มีโปรแกรมเมอร์หนุ่มคนใหม่เข้ามาทำงานที่บริษัทแล้วแสดงออกว่าสนใจเลขาฯ ของท่านประธานจนถึงขนาดเอ่ยปากชวนไปเลี้ยงข้าวกลางวัน ซึ่งพอเรื่องนี้เข้าหูผู้เป็นเจ้านายอย่างชินดนัย ท่านประธานหนุ่มก็แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้าทันทีโดยไม่สนใจว่าพนักงานคนอื่นจะมองอย่างไรทั้งเดินจูงมือจันทร์เจ้า บางคราวก็โอบไหล่โอบเอว แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเอ่ยปากเตือนหลายครั้งแต่ท่านประธานก็ยังคงทำตามใจตัวเองเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และพนักงานทุกคนก็รับรู้กันถ้วนหน้าว่าท่านประธานกับเลขาฯ ส่วนตัวนั้นกำลังคบหาดูใจกันอยู่ นานวันเข้าจากที่ทุกคนเคยตื่นเต้นกับเรื่องนี้ก็เร
ในเช้าวันทำงานอันแสนวุ่นวาย จันทร์เจ้าค่อย ๆ เคลื่อนรถไปบนท้องถนนอย่างเชื่องช้าเพราะการจราจรติดขัดอย่างผิดปกติ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายพลางคิดในใจว่าข้างหน้าคงเกิดอุบัติเหตุเป็นแน่ เธอมองเวลาบนแผงคอนโซลหน้ารถ อีกแค่สิบห้านาทีก็จะถึงเวลาเข้างานแล้ว แต่ตอนนี้เธอยังไม่ครึ่งทางเลยด้วยซ้ำจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทร. ไปบอกชายหนุ่มผู้ซึ่งพ่วงทั้งตำแหน่งเจ้านายและชายคนรักว่าตนคงเข้าทำงานสาย"อุ๊ย! แย่จริง" จันทร์เจ้าพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อโทรศัพท์เกิดหลุดมือหล่นไปอยู่ใกล้เท้า เธอมองทางข้างหน้า เห็นว่ารถยังคงเคลื่อนตัวไปได้อย่างเชื่องช้าจึงเหยียบเบรกค้างไว้ครึ่งเดียวเพื่อชะลอความเร็วรถก่อนจะก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือกึก!"อุ๊ยตายแล้ว!" หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าชั่วเสี้ยววินาทีที่ตนละสายตาจากท้องถนนเพื่อก้มเก็บโทรศัพท์นั้นจะส่งผลให้รถของเธอชนเข้ากับรถคันหน้าเข้าจนได้ แม้จะไม่รุนแรงเพราะรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่ต่างจากคลาน แต่อย่างไรเสียก็ถือว่าเธอเป็นฝ่ายผิดที่ไปชนเขาก่อนรถคันหน้าจอดนิ่งพร้อมกับเปิดไฟกะพริบ จากนั้นประตูฝั
จันทร์เจ้าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "ทำไมหรือคะ พี่ชินเจออะไรมาหรือ"ชินดนัยถอนหายใจแผ่วก่อนจะตัดสินใจเล่าให้หญิงสาวฟัง หลังจากเล่าจบเขาก็พูดขึ้นว่า"ตอนแรกพี่ว่าจะไม่บอกจันทร์ เพราะเดี๋ยวจันทร์จะหาว่าพี่ขี้ฟ้อง คิดเล็กคิดน้อยกับเพื่อนของจันทร์ แต่มาคิดดูอีกที เพื่อนแบบนี้ไม่มีเสียยังจะดีกว่า""ช่างเขาเถอะค่ะ จันทร์เลิกใส่ใจเรื่องของวีวี่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ปล่อยให้เขาแข่งไปคนเดียวเถอะ"ชายหนุ่มยิ้มละไมเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องพูดแบบนี้"พรุ่งนี้เจอกันที่จุดนัดพบตรงปั๊มน้ำมันนะ อย่าตื่นสายล่ะ"ชายหนุ่มแกล้งเย้าเพราะรู้อยู่แล้วว่าจันทร์เจ้าไม่ใช่คนตื่นสาย เธอยู่หน้าใส่ชายหนุ่มแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มเขาไม่แรงนักก่อนพูดว่า"บอกตัวเองเถอะค่ะ จันทร์ว่ารถจันทร์ไปถึงก่อนทุกคนแน่นอน"สุดสัปดาห์นี้เป็นวันหยุดยาว ทั้งสามบ้านจึงนัดกันไปเที่ยวทะเลปราณบุรี ต่างคนต่างขับรถไปบ้านใครบ้านมันโดยยึดเอาปั๊มน้ำมันใหญ่ตรงถนนวิภาวดีเป็นจุดนัดพบ"จะรอดูคนขี้คุย โอเคครับพรุ่งนี้เจอกัน"ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปจูบหญิงสาวเป็นการลาเมื่อถึงห
"ฉันยังไม่แจกตอนนี้ รอนังวีวี่มาก่อน นี่ฉันอุตส่าห์บอกมันว่านัดกันตอนหกโมงครึ่งนะเนี่ย แต่นี่ปาไปทุ่มครึ่งแล้วนางยังไม่เสด็จมา ใครก็ได้จุดธูปเรียกมันหน่อยซิ"ทันทีที่ไปรมาพูดจบ ประตูห้องวีไอพีที่จัดเลี้ยงก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างระหงในชุดเดรสรัดรูปสีดำ เจ้าตัวเยื้องย่างเข้ามาในห้องราวกับนางพญาโดยไม่ยอมสบตาใคร เมื่อถึงเก้าอี้ว่างก็วางกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังที่หลายคนรู้ดีว่าราคาไม่ต่ำกว่าสามแสนลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงค่อยกวาดตามองทุกคนทั้งรอยยิ้มเรียวปากสีสดของวรัชยาค่อย ๆ หุบลงเมื่อเห็นชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ ก่อนจะพึมพำอย่างแผ่วเบา"พี่ชิน" สายตาของวรัชยาเบนไปที่หญิงสาวข้างกายเขา "ยายจันทร์""โอ๊ยหล่อน เปิดตัวมาแบบรัชดาลัยเธียเตอร์มาก เขานัดกันหกโมงครึ่งแต่หล่อนเพิ่งมาเอาป่านนี้ โหงพรายที่หล่อนเลี้ยงไว้เพิ่งกระซิบบอกรึไงยะ" เพื่อนที่เป็นสาวประเภทสองคนหนึ่งอดแขวะวรัชยาไม่ได้"ฉันก็ต้องมีติดธุระกันบ้างสิ ฉันไม่ได้ทำงานเป็นพนักงานประจำเหมือนพวกเธอนะ ฉันมีธุรกิจส่วนตัวก็รู้ ๆ กันอยู่"วรัชยาพยายามวางตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะชายห