แชร์

บทที่ 2 พบกันอีกครั้ง - 100%

“แต่พี่ไม่รีบ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ขนาดพอดีคำยื่นไปใกล้กับปากของจันทร์เจ้า

“กินไก่ราดครีมมายองเนสนี่สิ อร่อยดีนะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ กำลังดี”

เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้...จันทร์เจ้าได้แต่บ่นเขาอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉย มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์

"อย่าอารมณ์เสียสิ เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ พี่เห็นจันทร์ดูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ทำงานที่นี่ทุกอย่างต้องเป๊ะก็จริง แต่ทุกสิ่งเรายืดหยุ่นกันได้ เรื่องเอกสารที่เลขาฯ คนเก่าเขาทำไว้ยุ่งเหยิงก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่มันเป็นงานที่ผ่านไปแล้ว เก็บเฉพาะที่จำเป็นก็พอ อีกอย่างนะ เอกสารพวกนั้นเราจะเก็บไฟล์ในรูปแบบพีดีเอฟเอาไว้อยู่แล้ว เข้าไปดูที่เซิร์ฟเวอร์เอาก็ได้ คุณเอมคงสอนเรื่องการเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์แล้วใช่ไหม"

"สอนแล้วค่ะ" พอเห็นเขาพูดเป็นการเป็นงานจันทร์เจ้าก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเอมิกาบอกว่าตั้งแต่ชินดนัยมาบริหารแทนบิดา เขาก็ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ลดการใช้กระดาษ และลดขั้นตอนการทำงานลงไปเยอะ

"อืม ก็อย่างที่บอกไว้นั่นแหละว่าเอกสารบางตัวที่ไม่ใช่งานบัญชีหรือสัญญาต่าง ๆ อยากให้เก็บในรูปแบบของไฟล์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่ากระดาษ เพราะมันช่วยลดความยุ่งยากในการจัดเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม รวมไปถึงการนั่งงมหาเอกสารแต่ละแผ่น พี่เห็นพนักงานบางคนเก็บแต่แผ่นกระดาษเป็นแฟ้ม ๆ เรียงใส่ตู้ เวลาจะหาแต่ละทีก็แทบรื้อทั้งตู้ ใช้เวลาเกือบทั้งวันกับกระดาษแผ่นเดียว พี่ไม่เห็นด้วยเท่าไร และกระดาษพวกนั้นเวลาไม่ใช้แล้วก็ทิ้งกองเป็นตั้ง ๆ กลายเป็นขยะให้พนักงานทำความสะอาดเอาไปชั่งกิโลขาย พี่เลยอยากตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นพวกนั้นทิ้งไป"

เขายิ้มบาง ๆ แล้วตักอาหารใส่จานให้หญิงสาวอีกครั้ง ก่อนพูดต่อ

"เวลามันเดินไปข้างหน้ามันไม่เคยเดินถอยหลัง เพราะฉะนั้นเราควรใช้เวลาแต่ละนาทีให้คุ้มค่าดีกว่า"

จันทร์เจ้าฟังที่เขาพูดก็เห็นด้วย แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังสอนเธอทางอ้อมในเรื่องสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ แต่เธอกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเขาที่มาสั่งสอน เพราะเธอเองก็ยอมรับว่าเสียเวลากับเอกสารเก่าพวกนั้นมากเกินไปจริง ๆ

"ที่ทำงานเก่าชอบให้เก็บเป็นกระดาษจัดใส่แฟ้มไว้ค่ะ เขาบอกว่ามันง่ายต่อการเรียกใช้งานฉันก็เลยติดนิสัยนั้นมาจากที่เก่า" หญิงสาวบอกเขาไปตามตรง

"เจ้านายเป็นคนมีอายุละสิ และพวกหัวหน้าหรือผู้จัดการส่วนใหญ่ก็อายุมากกันทั้งนั้นใช่ไหม" เขาถามยิ้ม ๆ

"ใช่ค่ะ" เจ้านายเก่าของเธออายุห้าสิบกว่าแล้ว และไม่ค่อยสันทัดกับบรรดาเทคโนโลยีในปัจจุบันเท่าไรนัก การทำงานจึงเน้นรูปแบบเดิม ๆ อีกทั้งยังไม่ค่อยยอมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย

"เป็นธรรมดา คนหัวเก่ารุ่นเก่ามักจะไม่ค่อยเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าระบบใหม่มันดีกว่า แต่เพราะความรั้นและความยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ เอะอะอะไรก็บอกว่าเราทำแบบนี้มาตั้งนานแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้ แบบนั้นน่ะจะทำให้บริษัทย่ำอยู่กับที่ และตามบริษัทอื่นเขาไม่ทัน"

เขาหยุดพูดพลางผินหน้ามองทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งกำลังมีเรือโดยสารข้ามฟากบรรทุกผู้โดยสารเต็มลำเรือแล่นตัดแนวขวางของแม่น้ำเพื่อไปเทียบท่าอีกฝั่ง

"ตอนที่พี่กลับมารับช่วงต่องานบริษัทใหม่ ๆ ก็ต้องไฟต์กับบรรดาผู้จัดการรุ่นเก่าเก๋าเกมหลายคนอยู่เหมือนกัน ใครที่ทำใจยอมรับระบบใหม่ได้ก็อยู่ต่อ แต่บางคนรับไม่ได้เพราะทิฐิกับหัวโขนที่สวมอยู่ เขาเห็นว่าพี่อายุยังน้อยแต่ต้องมาเป็นเจ้านายของพวกเขา ก็พากันลาออกไปหลายคน" พูดถึงตรงนี้เขาก็หันมามองหน้าจันทร์เจ้าแล้วพูดว่า

"อีกหน่อยพี่คิดว่าจันทร์คงต้องเจอแรงกดดันจากคนที่พยายามทำตัวเป็นผู้อาวุโสกว่าแน่ ๆ เพราะฉะนั้น งานอะไรที่เป็นหน้าที่หลักของจันทร์ก็ให้ทำไป แต่ถ้างานไหนไม่ใช่ แล้วมีบางคนมายัดเยียดให้ทำนั่นทำนี่ จันทร์ก็ปฏิเสธไปได้เลยไม่ต้องไว้หน้าใคร เพราะถ้ายอมหนึ่งครั้งย่อมต้องมีครั้งต่อไป ถ้าใครทำท่าไม่พอใจก็บอกไปเลยว่าจันทร์มาทำตำแหน่งเลขาฯ ของประธานบริษัท หน้าที่คือมาเป็นผู้ช่วยของท่านประธานเท่านั้น จำเอาไว้นะ"

จันทร์เจ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับคำแต่โดยดี อดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาเตือนเธอแต่เนิ่น ๆ แบบนี้น่าจะเป็นเพราะมีใครบางคนในบริษัทชอบวางอำนาจบาตรใหญ่กับผู้น้อยเป็นแน่ และคน ๆ นั้นคงมีตำแหน่งสูงพอควร หรืออาจเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนกระมัง ชินดนัยจึงไม่สะดวกจะงัดข้อด้วย

ทั้งสองคนกลับถึงออฟฟิศในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ขากลับนี้จันทร์เจ้ารู้สึกว่าตนเริ่มผ่อนคลายกับชินดนัยมากขึ้น เพราะตลอดการรับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันเขาจะคุยแต่เรื่องงานและบริษัทเสียส่วนใหญ่ จึงทำให้เธอเห็นทัศนคติของเขาที่มีต่อองค์กรและคนในปกครองว่าเป็นอย่างไร นั่นจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกวางใจมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ทันทีที่กลับถึงโต๊ะทำงาน ชินดนัยก็เปิดคอมพิวเตอร์แล้วค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของบิดาจันทร์เจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาจำชื่อบริษัทไม่ได้จึงใช้นามสกุลของหญิงสาวเป็นคีย์เวิร์ดในการค้นหาแทน

...ประสิทธิเวช...

แล้วข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนามสกุลนี้ก็ปรากฏออกมาให้เขาคลิกอ่านมากมายจนแทบตาลาย ใบหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคลิกอ่านข่าวแล้วข่าวเล่า

...เอสพีชิปปิ้ง ส่อแววไปไม่รอดหลังจากสินค้ามูลค่านับร้อยล้านถูกไฟไหม้พร้อมเรือบรรทุกจมกลางทะเล...

...ซีอีโอเอสพีชิปปิ้งถูกฟ้องล้มละลาย...

...นายเมฆา ประสิทธิเวช ซีอีโอเอสพีชิปปิ้งยิงตัวตายในคฤหาสน์หรู...

...ทรัพย์สินตระกูลประสิทธิเวชถูกนำขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ ปิดตำนานเอสพีชิปปิ้ง...

ชินดนัยหลับตาลงพลางแหงนศีรษะพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรงหลังจากอ่านข่าวพวกนั้นจนจบ เขานึกถึงใบหน้าเฉยชากับรอยยิ้มไม่สดใสของจันทร์เจ้าแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจ ตอนนั้นเธอเป็นสาวน้อยสดใส เปล่งประกาย แววตามีแต่ความสุข เป็นคุณหนูลูกผู้ดีที่มีมารยาทและกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน เธอมีพร้อมทุกอย่างในชีวิต แต่เพราะเหตุการณ์คราวนั้นกระมัง จึงเปลี่ยนให้ผู้หญิงนุ่มนิ่มคนหนึ่งแข็งแกร่งขึ้นมาขนาดนี้

"เธอผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไงนะหนูจันทร์" เขาอดนับถือเธอไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตมาแบบนั้นแล้วสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง

และยิ่งเธอเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกที่อยากเดินเคียงข้างเธอก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ไม่ใช่เพราะสงสารหรือเวทนา แต่เป็นเพราะว่าเขาอยากเห็นรอยยิ้มและแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขแบบวันวานอีกครั้ง

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status