ทันทีที่ชินดนัยก้าวเข้าไปในฮอลล์ขนาดใหญ่ เสียงเพลงสากลจังหวะเร้าใจก็ดังกระหึ่ม เบื้องหน้าของเขาเป็นโต๊ะกลมวางตั้งเรียงรายแต่ไม่ชิดติดกันเกินไปเหมือนผับบางที่ โดยแต่ละโต๊ะมีผู้นั่งจับจองอยู่ก่อนแล้ว ถัดไปเป็นเวทีขนาดใหญ่ มีสาวสวยระดับนางแบบหลายสิบชีวิตนุ่งน้อยห่มน้อยเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงอย่างมีชั้นเชิง
ชายหนุ่มละสายตามาจากหน้าเวทีแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองอย่างคุ้นเคย เพราะบริเวณชั้นสองกั้นเป็นห้องวีไอพีที่แยกกันเป็นสัดส่วน สามารถมองเห็นโชว์จากหน้าเวทีได้โดยไม่ต้องมีใครมาบดบังทัศนียภาพ ทั้งยังมีกระต่ายสาวแสนเซ็กซี่มาคอยบริการเครื่องดื่มให้อีกด้วย
เขาเดินตรงไปยังห้องที่เพื่อนสนิททั้งสองคนนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไปถึงก็เห็นบันนี่เกิร์ลแสนสวยสี่นางนั่งประกบเพื่อนเขาฝั่งละคน เขาจึงหย่อนตัวนั่งบนโซฟาที่ว่างอยู่อีกตัว
"โถ...เพื่อนกู กว่าจะเสด็จมาได้ เหล้าพร่องไปครึ่งขวดแล้วเนี่ย" ภาวิน นักบินหนุ่มรูปหล่อแซะเพื่อนทันทีที่เห็นอีกฝ่าย
"ถ้ามึงไม่ขู่ว่าจะตัดเพื่อนมันก็คงไม่มาหรอก เดี๋ยวนี้มันเป็นคนดีแล้วมึงยังไม่ชินอีกหรือวะ ตั้งแต่กลับจากเมืองนอกมานี่ ถ้าไม่ติดว่ามันยังจำเพื่อนฝูงได้กูคงนึกว่าเป็นไอ้ชินตัวปลอม" ปกเกล้า นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของร้านขายอุปกรณ์แต่งรถซูเปอร์คาร์พูดขึ้นบ้าง ก่อนจะหันไปบอกสาวสวยข้างกายให้เรียกบันนี่เกิร์ลมาเพิ่มอีกสองคนสำหรับชินดนัย
“เฮ้ย! เอามาทำไมเยอะแยะ เรียกมาคนเดียวก็พอ หรือไม่ต้องเรียกมาก็ได้” ชินดนัยบอกปกเกล้าเมื่อได้ยินอีกฝ่ายให้กระต่ายสาวเรียกเพื่อนมาอีกสองคน
ภาวินหัวเราะแบบไม่มีเสียงพลางหันไปพยักหน้ากับปกเกล้าเป็นเชิงบอกว่า ‘กูว่าแล้ว’
“มึงจะบวชรึไงวะไอ้ชิน ก่อนไปนอกก็บวชแล้วนี่หว่า ปกติเรื่องสาวสวยมึงไม่เคยปฏิเสธเลยนี่” ภาวินพูดพลางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบสองสาวทั้งซ้ายและขวา
“นั่นสิ ตั้งแต่กลับมาเมืองไทยมึงแทบหายหน้าหายตาไปจากกลุ่มเลยนะ ช่วงสองสามเดือนแรกพวกกูก็เข้าใจว่ามึงยุ่งอยู่กับการรับช่วงดูแลบริษัทต่อจากพ่อ แต่นี่ปาเข้าไปหนึ่งปีแล้วนะเว้ย ในหนึ่งปีที่มึงกลับมา นี่เป็นครั้งที่หกที่มึงมากินเหล้ากับพวกกูตามนัด เฉลี่ยสองเดือนครั้ง ทั้งที่เมื่อก่อนแทบทุกอาทิตย์” พูดจบปกเกล้าก็ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
“ไม่ได้เป็นอะไร กูก็แค่เบื่อ ๆ เท่านั้นเอง” ชินดนัยตอบพลางเอื้อมหยิบแก้วสุราที่บันนี่สาวชงไว้ให้ขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง ไม่มีท่าทีสนใจกระต่ายสาวเซ็กซี่ในชุดบอดี้สูทรัดรูปสีดำที่เว้าตรงโคนขาขึ้นสูงจนดูเหมือนชุดว่ายน้ำ แม้แต่เรียวขาขาวได้รูปของเจ้าหล่อน เขาก็แค่มองผ่าน ๆ ไม่ได้มองด้วยสายตาวาววามเหมือนเมื่อก่อน
“จะเบื่ออะไรนักหนาวะเพื่อน กูอุตส่าห์ชวนมาคลุกวงในกับสาว ๆ ที่นี่ มึงรู้ไหมว่ากูเสียค่าสมาชิกปีละห้าหมื่นเชียวนะเว้ย เพราะฉะนั้นพวกมึงต้องมากับกูบ่อย ๆ อย่าให้กูเสียเงินฟรี” ปกเกล้าชี้หน้าเพื่อนทั้งสองคนอย่างหมายมาด ขณะที่ชินดนัยส่ายหน้าให้พร้อมกับแค่นยิ้ม
“แค่ห้าหมื่นมาทำเสียดาย ทีคราวก่อนมึงเลี้ยงดริงก์สาว ๆ หมดเป็นแสนในคืนเดียวไม่เห็นบ่น”
ปกเกล้ายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเบนสายตามองไปที่หน้าเวทีครู่หนึ่งแล้วหันมาคุยกับเพื่อนต่อ
“คืนนี้พวกมึงจะไปต่อกันรึเปล่า” ปกเกล้าพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางสาวข้างกาย ซึ่งชินดนัยกับภาวินนั้นเข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร ภาวินนั้นยิ้มพราย แววตาระยิบระยับ ถามเพื่อนกลับอย่างสนใจ
“คุยแล้วหรือวะ น้องเขาโอเคหรือ”
คนถูกถามยกแขนขึ้นโอบไหล่กระต่ายสาวข้างตัวทั้งสองคนแล้วหันไปถามเจ้าหล่อน
“น้องแอมมี่กับน้องกระแตตอบพี่เขาให้ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะว่าโอเครึเปล่า”
สองสาวพยักหน้าแล้วพากันหัวเราะคิกคัก ขณะที่ปกเกล้านั้นมองไปทางชินดนัยแล้วยักคิ้วให้ทีหนึ่งอย่างท้าทาย
“แล้วมึงล่ะไอ้ชินเอาด้วยรึเปล่า กล้ารึเปล่ามึงน่ะ เกิดเป็นเสือก็ต้องอยู่อย่างเสือสิวะ จะมาสิ้นลายตอนนี้ได้ยังไง เสียชื่อเพลย์บอยนักรักหมด”
คนถูกท้าทายแค่นหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ สายตามองเลยไปที่หน้าเวทีเมื่อเริ่มมีการแสดงดนตรีสดจากนักร้องชื่อดัง ส่วนเพื่อนทั้งสองคนนั้นได้แต่หันมองหน้ากัน สุดท้ายก็เป็นภาวินที่ลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือบอกหญิงสาวที่นั่งประกบชินดนัยให้ถอยออกไป จากนั้นก็นั่งลงแทนที่แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเบา ๆ ข้างหูเพื่อน
“กูถามจริง ๆ เหอะวะไอ้ชิน ที่มึงเลี่ยงไม่ไปสนุกกับสาว ๆ เลยตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกนี่เป็นเพราะน้องชายมึงไม่แข็งใช่ไหมวะเพื่อน เฮ้ย เรื่องแบบนี้มันต้องปรึกษาหมอนะเว้ย ปล่อยไว้ไม่ได้”
“ส้นตีนเหอะไอ้วิน มึงคิดได้ไงวะเนี่ย ไม่ใช่เว้ย!” ชินดนัยทั้งขำทั้งฉุนที่ถูกเพื่อนกล่าวหาว่าเป็นเพราะอาวุธประจำตัวของเขาอ่อนปวกเปียกเป็นมะเขือเผาจึงไม่ยอมลากสาวขึ้นเตียงอย่างที่เคยทำทุกครั้งเวลามาท่องราตรี
จะว่าไปแล้ว การที่เพื่อนทั้งสองคนจะสงสัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่เขาจะไปเรียนต่อต่างประเทศ เขากับเพื่อนกลุ่มนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักล่าสาว ๆ เลยก็ว่าได้ พวกเขาท่องราตรีกันทุกอาทิตย์ และทุกครั้งก็จะหิ้วสาวมาเล่นสนุกตลอด บางวันแค่ไปกินข้าวหรือเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า เขาก็ได้เบอร์โทรศัพท์ของนิสิตสาวต่างสถาบันมาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนัดเจอกันเพื่อกินข้าวดูหนัง ตอนท้ายก็ต้องไปจบที่เตียงทุกรายไป
วิถีเพลย์บอยของพวกเขาเป็นอย่างนี้เสมอ แม้กระทั่งตอนที่เขาไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ เขาก็ยังทำตัวแบบนั้นอยู่ ยิ่งอยู่ต่างบ้านต่างเมือง พบเจอหญิงสาวหลากหลายเชื้อชาติเขาก็ยิ่งสนุกสนานกับการวิจัยเรือนร่างของพวกหล่อนว่าสาวชาติไหนลีลาจะเร้าใจที่สุด
แต่นานวันเข้าเขาก็เริ่มเบื่อกับชีวิตประจำวันที่ทำอยู่ ในแต่ละวันของเขามีแค่ตอนเช้าไปเรียน ตกค่ำมีปาร์ตี้ และจบลงด้วยเซ็กซ์กับหญิงสาวมากหน้าหลายตาซึ่งบางคนเขาไม่รู้ชื่อหล่อนด้วยซ้ำ เป็นอย่างนี้แทบทุกวันจนเขาเริ่มถามตัวเองว่าทำไปเพื่ออะไร เขาจะทำตัวล่องลอยไร้หลักแหล่งแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนทั้งที่เรียนจบปริญญาโทตามเป้าหมายแล้วแท้ ๆ เขาพอใจแล้วหรือยังกับจำนวนหญิงสาวมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
และคำตอบที่เขามีให้ตัวเองก็คือ...เขาพอใจแล้ว และเขาควรจะหยุดได้แล้วสี่ปีเต็มกับการทำตัวเหลวแหลกทำให้เขารู้สึกเต็มกลืนกับวิถีเพลย์บอย ดังนั้นเขาจึงเลิกทุกอย่างแบบหักดิบ แล้วตั้งหน้าตั้งตาฝึกงานเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตอีกสองปีก่อนจะบินกลับเมืองไทยมารับช่วงดูแลบริษัทต่อจากบิดา“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมมึงไม่เอาเลยวะ” ภาวินยังคงถามต่ออย่างสงสัย“กูก็บอกไม่ถูกว่ะไอ้วิน พูดไปมึงก็คงไม่เข้าใจหรอก แต่กูเชื่อว่าสักวันเมื่อถึงเวลามึงจะเข้าใจเองนั่นแหละ”ชินดนัยตบบ่าเพื่อน ขณะที่ภาวินได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะลุกกลับไปนั่งที่เดิม ปล่อยให้เพื่อนผู้ปลงแล้วนั่งละเลียดสุราชั้นดีเคล้าเสียงดนตรีโดยไร้สาวสวยเนื้อนุ่มมาคลอเคลียข้างกายต่อไปหลังจากที่จอดรถเข้าซองเสร็จเรียบร้อยจันทร์เจ้าก็ดับเครื่องแล้วเปิดประตูลงจากรถ ปิดประตูแล้วกดรีโมตล็อกรถแล้วหมุนตัวไปอีกด้านเพื่อเดินเข้าอาคาร เธอก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างสูงสง่าของผู้เป็นเจ้านายยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงรออยู่ใกล้ ๆ จนเธอเกือบเดินชนเขาหญิงสาวลอบถอนห
ชายหนุ่มรีบเก็บสายตากลับมาจากร่างระหงตรงหน้าอย่างแนบเนียนเมื่อได้ยินว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้ ครั้นพอหันไปมองจึงเห็นว่าเป็นนิธิ ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศกำลังเดินเข้ามาในออฟฟิศอย่างอารมณ์ดี"หมดวันลาพักร้อนแล้วหรือ" ชินดนัยเอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายทันที"หมดแล้วสิครับเจ้านาย หรือจะอนุมัติให้ผมลาเพิ่มอีกก็ได้นะ" นิธิยิ้มกว้างตอบผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและญาติด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แต่สายตากลับมองเลยไปที่หญิงสาวหน้าใหม่อย่างสนใจ"แล้วนี่..." นิธิเบนสายตากลับมาที่ญาติผู้พี่โดยที่รอยยิ้มไม่เลือนหายไปจากใบหน้า"คุณจันทร์เจ้า เป็นเลขาฯ คนใหม่ของฉันเอง คุณจันทร์ นี่คุณนิธิ เป็นผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ" ชินดนัยแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน เมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มที่ญาติผู้น้องมองหญิงสาวจึงถลึงตาใส่เพื่อปรามอย่างอดไม่ได้"สวัสดีค่ะ" จันทร์เจ้ายกมือไหว้พร้อมกับยิ้มให้บาง ๆ"สวัสดีครับผม ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ ถ้ามีปัญหาอยากปรึกษาอะไรก็มาถามผมได้ทุกเรื่องเลยนะครับ ผมยินดี"หญิงสาวอมยิ้มและรับคำเบา ๆ ขณะที่นิธิเห็นท่าทีสงบนิ่งและบุคลิกที่ติดจะเย็นชาจากเลขานุก
"จะด่าพี่ว่าสันดานเสียก็ด่ามาตรง ๆ เถอะ พี่ไม่โกรธหรอก" เขาพูดกลั้วหัวเราะ รู้สึกสนุกไม่น้อยที่ได้ต่อปากต่อคำกับเธอ"ฉันยังไม่ได้พูดคำนั้นสักคำเลยนะคะ คุณพูดมาเองทั้งนั้น แล้วตกลงจะคุยเรื่องงานไหมคะ ถ้าไม่คุยฉันจะได้ออกไปทำงานที่ค้างไว้จากเมื่อวาน" เธอตวัดสายตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นแววตายิ้มได้กับสีหน้ารื่นเริงของชายหนุ่มก็รู้สึกหมั่นไส้เสียจนอยากเอากาแฟรดหัวเขา ถ้าไม่ติดว่าคนตรงหน้านี้คือเจ้านาย"ฮ่า ๆ โอเค คุยแล้วครับคุยแล้ว แหมดุจัง กลัวจนใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย" เขายังคงเย้าแหย่ไม่เลิก แล้วรีบเข้าสู่โหมดการทำงานก่อนที่หญิงสาวจะโกรธจนเดินหนีออกจากห้องไปเสียก่อน"เรามาอัปเดตตารางงานกันหน่อย สองเดือนข้างหน้าจะมีงานจิวเวลรี่แอนด์วอตช์ที่ไบเทคบางนา จันทร์ช่วยแจ้งทีมการตลาดและฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้มาประชุมในวันจันทร์หน้าด้วยนะ ตอนสิบโมงครึ่ง พี่อยากรู้ความคืบหน้าว่าฝ่ายการตลาดวางแผนอะไรไว้แล้วบ้าง นี่คือเรื่องที่หนึ่ง" เขาหยุดพูดแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มเพื่อให้เวลาจันทร์เจ้าจดบันทึกได้ทัน"เรื่องที่สอง ตามเรื่องห้างสรรพสินค้าในเครือเอ็มซีกรุ๊ปที่กำลังก่อสร้าง
ชินดนัยลอบมองไปทางจันทร์เจ้า เห็นหญิงสาวกำลังปิดสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่มองหน้าเขาแม้แต่หางตาก็ได้แต่ลอบถอนหายใจด้วยความเสียดายและกลัดกลุ้ม อุตส่าห์ได้โอกาสคุยกับเธอดี ๆ แล้วแต่ก็มีเหตุให้ต้องล้มเหลวอีกจนได้"คุณผู้หญิงจะรับกาแฟไหมคะ" จันทร์เจ้าถามหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างนอบน้อม"ไม่ดีกว่าค่ะ ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ ขอบคุณนะคะ" รมิดายิ้มกว้างพลางเอนหลังพิงพนักโซฟา"รอสักครู่นะคะ" จันทร์เจ้ายิ้มตอบแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเอมิกา เมื่อประตูห้องปิดลงแล้ว ชินดนัยก็หันไปหาคนที่นั่งข้างกายทันที"คุณกำลังทำให้ลูกน้องของผมแตกตื่นนะดาด้า""แหม...ไม่เห็นเป็นอะไรเลยค่ะ ว่าแต่ผู้หญิงที่นั่งกับคุณเมื่อกี้คือใครคะ""คุณจันทร์เจ้า เลขาฯ ใหม่ของผมเองแหละ มาแทนคุณพรีมน่ะ"เขาตอบเสร็จก็ถอนหายใจแผ่วอีกครั้ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าจันทร์เจ้าจะคิดเลยเถิดไปไหนต่อไหนแล้วรมิดาพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ "อืม คนนี้ดูนิ่งดีนะ ท่าทางเป็นมืออาชีพแล้วก็ดูมีรสนิยมดีด้วย"ชินดนัยยิ้มเมื่อได้ยินรมิดาเอ่ยชมจันทร์เจ้า เพราะกับพรีมหรือพริมา เลขานุการคน
"ฉันก็ตอบไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับตัวน้องสาวคุณด้วย ตอนนี้อยากให้เธอกินยาตามหมอสั่งมากกว่า น้องคุณต้องรักษาด้วยยาควบคู่ไปกับการเยียวยาทางจิตใจ ทำให้เธอเห็นว่าคุณจะอยู่ข้างเธอเสมอ"ชินดนัยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ "เข้าใจแล้ว จะว่าไปผมกับยายนุชก็เริ่มห่างกันตั้งแต่ผมไปเรียนเมืองนอกนั่นแหละ ผมใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกนานหลายปีเกินไป กลับมาอีกทีผมก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป ตอนแรกนึกว่าน้องสาวก็แค่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่มันไม่ใช่ เขากลายเป็นคนเก็บตัว มีโลกส่วนตัวสูง ผมพยายามจะคุยด้วยหลายครั้งแต่มันก็ไม่เหมือนเดิม กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ตอนที่เขากินยานอนหลับเกินขนาดเพื่อจะฆ่าตัวตายนั่นแหละ นี่ก็ผ่านมาเป็นปีแล้วผมก็ยังไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ยายนุชต้องเป็นโรคซึมเศร้า""คุณต้องรอให้เธอพร้อมที่จะเล่าจริง ๆ อย่าไปคาดคั้นเธอล่ะ" รมิดาเตือนเขาอีกครั้ง"ผมรู้" ชายหนุ่มรับคำพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ขณะที่หญิงสาวดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือก่อนจะลุกขึ้นยืน"ฉันคงต้องไปแล้วค่ะ บ่ายนี้ต้องไปส่งเจสันที่สนามบิน"ชินดนัยลุกขึ้นยืนบ้าง "งั้นผมไปส่งที่รถ ขอบค
จันทร์เจ้าคลี่ยิ้มให้เขาพลางวางบัตรซึ่งเป็นการ์ดแข็งสีดำและปั๊มชื่อของชายหนุ่มเป็นภาษาอังกฤษด้วยสีทองลงตรงหน้าชินดนัย จากนั้นก็กางแผ่นโฆษณาซึ่งมีรูปบันนี่เกิร์ลสุดเซ็กซี่ในชุดเสื้อเอวลอยกับกางเกงขาสั้นรัดรูปสีขาวเด่นหราอยู่ตรงกลาง ในแผ่นนั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการแสดงโชว์ของเดือนล่าสุด รวมไปถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ สำหรับสมาชิกวีไอพีตอนแรกที่เธอเห็นซองจดหมายเรียบหรูสีดำ มีโลโก้ของคลับปั๊มสีทองอยู่ด้านหน้า เธอก็รู้แล้วว่าเป็นที่ไหน เพราะผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่บริษัทเก่าก็เป็นสมาชิกอยู่เช่นกัน เขาพาลูกค้าคนสำคัญไปเลี้ยงที่นั่นบ่อย เธอเองก็เคยเข้าไปที่นั่นหนึ่งครั้งจึงพอรู้ว่าเป็นสถานที่แบบไหน"อะแฮ่ม! เอ่อ...พี่ไม่ได้สมัครเองนะ เพื่อนพี่มันสมัครให้น่ะ ออกเงินให้อีกต่างหาก"ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนพลางหยิบบัตรสมาชิกใบนั้นมาเก็บในกระเป๋าเสื้อ จะทำทีเป็นโยนทิ้งถังขยะให้เธอเห็นแล้วค่อยเก็บคืนมาทีหลังก็กระไรอยู่ เพราะดูเหมือนเป็นการหลอกลวงเสียเปล่า ๆ อย่างไรเสียเขากับเพื่อนสนิทก็ต้องไปพบปะสังสรรค์ที่นั่นกันบ้างอยู่แล้ว อีกทั้งบัตรใบนี้ก็มีมูลค่าถึงห้าหมื่นบาทที่ปกเกล้าต้องจ่
"ไม่ได้เจอมาสองสามเดือนแล้วละ เห็นบอกว่าจะไปทำงานเมืองนอกนี่นา แกถามทำไมหรือ"ไปรมาเบ้ปากพลางคว้าหลอดมาดูดน้ำให้ลื่นคอก่อนพูดว่า"บอกตามตรงเลยนะว่าฉันไม่เชื่อว่ะ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่ายายวีวี่มันเป็นคนยังไง แกเชื่อนางไหม ฉันถามตรง ๆ"จันทร์เจ้ายิ้มเจื่อนไม่ตอบคำถาม แต่การแสดงออกอย่างนั้นของเธอก็ทำให้อีกฝ่ายรู้ทันทีว่าคิดไม่ต่างกัน ไปรมาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่ม"ฉันไม่เข้าใจว่ะว่านางจะโกหกเพื่ออะไรวะ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนะไอ้เรื่องมโนคิดเป็นตุเป็นตะเนี่ย พวกเราจับได้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนก็ยังไม่เข็ด จะเลิกคบก็กระไรอยู่ อุตส่าห์รู้จักกันมาตั้งหลายปี เพราะเรื่องอื่นนางก็ดีเสียแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวนี่แหละ""ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะจะว่าไปแล้วนางก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน" จันทร์เจ้าถอนหายใจแผ่ว"แต่ถ้ามันยังเป็นอย่างนี้ต่อไป สักวันมันต้องโดนคนอื่นเขาแหกอกแน่ ๆ และเมื่อถึงเวลานั้นมันจะถูกเขาหาว่าเป็นพวกต้มตุ๋นน่ะสิแก" ไปรมาหยุดพูดแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้จันทร์เจ้า จากนั้นก็ลดเสียงลงให้ได้ยินกันแค่สองคน"ถ้ามันรู้ว่
หลังเลิกงาน ชินดนัยขับรถถึงบ้านในเวลาหนึ่งทุ่มเล็กน้อย ชายหนุ่มเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางฮัมเพลงเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดี ก่อนเสียงเพลงจะหยุดลงเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก"ตาชิน กลับมาแล้วหรือลูก""มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับคุณแม่" เขาถามท่านกลับไป ในใจเริ่มกังวลถึงอาการป่วยของน้องสาวเพราะมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้คนในบ้านต่างพากันเป็นห่วง"ยายนุชน่ะสิ ปิดประตูเงียบอยู่แต่ในห้องตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน แม่เรียกลงมากินข้าวเย็นก็บอกว่ายังไม่หิว นี่พ่อเราก็กำลังเกลี้ยกล่อมให้ออกมานั่งเล่นข้างนอกบ้าง ไม่อยากให้อยู่ในห้องคนเดียวนานนัก เพราะกลัวว่าจะ..."ท่านหยุดพูดไว้เพียงแค่นั้น เขาจึงยื่นมือไปบีบมือท่านเบา ๆ อย่างปลุกปลอบ"เดี๋ยวผมคุยกับน้องเองครับคุณแม่" พูดจบเขาก็เดินขึ้นบันไดไปหน้าห้องนอนของชญานุชซึ่งอยู่เยื้องกับห้องนอนของเขา มีร่างสูงโปร่งของบิดายืนนิ่งอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าอมทุกข์ ครั้นพอเห็นเขาเดินเข้าไปใกล้ ท่านจึงหันมามองพลางถอนหายใจแผ่ว"คุณพ่อไปพักผ่อนเถอะคร
จันทร์เจ้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง "ค่ะ"หญิงสาวลอบถอนหายใจ เธอเข้าใจดีว่าการที่ชินดนัยให้เธอติดตามไปด้วยก็เพื่อให้ตนไปทำความรู้จักกับบรรดาลูกค้าไฮโซทั้งหลาย และหากเธอสามารถจำชื่อของแต่ละคนได้ก็จะเป็นการดีกับบริษัทด้วย เพราะถือเป็นการให้เกียรติลูกค้าอย่างมาก อีกทั้งจะทำให้ลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกเป็นคนสำคัญที่มีคนจดจำชื่อตนได้ ถือเป็นการสร้างความประทับใจอย่างหนึ่งหวังว่างานนี้จะไม่จะเจอคนรู้จักเพราะชินดนัยบอกว่ามีแต่คนในแวดวงไฮโซ ไม่ใช่กลุ่มนักธุรกิจ ตั้งแต่ครอบครัวถูกฟ้องล้มละลาย เธอกับมารดาก็ปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ โดยไม่ติดต่อกับบรรดาภรรยานักธุรกิจที่เคยรู้จักกันอีก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าก็ทำท่าทางเห็นใจ แต่ลับหลังกลับหัวเราะเยาะเย้ยในชะตากรรมของคนอื่นขณะที่จันทร์เจ้าจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง ชินดนัยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่างานประมูลครั้งนี้ หญิงสาวอาจเจอคนรู้จักก็เป็นได้ และเธอคงกำลังหนักใจอยู่กระมังที่ต้องไปออกงานพร้อมเขา"เอ่อ...พี่ขอโทษทีนะจันทร์ พี่ลืมไปเลยว่างานนี้เราอาจจะเจอคนรู้จักของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าจันทร์ไ
วันต่อมาจันทร์เจ้าจำเป็นต้องพาพราวนภามาเลี้ยงที่ทำงานอีกหนึ่งวัน หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจว่าวันนี้ขอไม่เจอกับภาวินอีก เพราะบอกตามตรงว่ายังหาวิธีรับมือกับเขาไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เธอต้องรีบปรึกษากับมารดาทันทีที่ท่านกลับมาถึงหลังจากปูเบาะเพื่อให้หลานสาวนั่งเล่นด้านหลังโต๊ะทำงานเสร็จเรียบร้อย เมื่อหันกลับมาก็เจอร่างสูงโปร่งของผู้เป็นเจ้านายยืนยิ้มเผล่อยู่เบื้องหน้าพอดี"สวัสดีค่ะคุณลุงประธาน" เสียงใสของพราวนภาเอ่ยทักทายพลางย่อตัวไหว้ทันทีที่เห็นหน้าของคนที่ไปเยี่ยมหาถึงบ้านเมื่อวานพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจิดจ้าไปให้"สวัสดีค่ะหนูพราว วันนี้แต่งตัวน่ารักจัง มีหูกระต่ายที่ไหล่ด้วยหรือคะ"ชินดนัยทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางเดินเข้าไปยืนใกล้กับจันทร์เจ้าจนไหล่แทบชนกัน หญิงสาวจึงเบี่ยงตัวไปอีกด้านเพื่อเว้นระยะห่างจากเขา เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเธอห่างออกไปแล้วเขาจึงย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กหญิงตัวน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า"วันนี้เราไปหม่ำไอติมกันไหมคะ ลุงอยากกินจังเลยแต่ไม่มีเพื่อนไปกิน หนูพราวไปเป็นเพื่อนลุงหน่อยได้ไหมเอ่ย"พราวนภายิ้มพร้อ
เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างกันอดหมั่นไส้ไม่ได้ ภาวินปรายตามองเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอื้อมไปเร่งเสียงเพลงในรถให้ดังขึ้นพร้อมกับพูดว่า"กูจะฟังเพลง กูไม่ได้อยากฟังเสียงมึง"ชินดนัยยิ้มกว้างแล้วกดปุ่มลดเสียงจากพวงมาลัยที่จับอยู่แล้วจงใจพูดยั่วเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด"แต่นี่มันรถกู เพราะฉะนั้นกูจะร้องดังแค่ไหนก็ได้" พูดจบก็ร้องท่อนฮุคของเพลงเสียงดังลั่นรถ ก่อนจะตบท้ายด้วยการหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรัก"จะเครียดไปทำไมวะไอ้วิน หรือเสียใจที่จู่ ๆ ก็มีลูกสาวโผล่มาคนหนึ่ง กูว่าหนูพราวน่ารักน่าเอ็นดูจะตายไป นี่ถ้าพ่อกับแม่มึงรู้ว่ามีหลานสาวน่ารัก ๆ อย่างนี้สงสัยตื่นเต้นกันน่าดู"ภาวินถอนหายใจเสียงดังก่อนพูด "จะไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ ท่าทางคุณจันทร์คงไม่มีทางปล่อยหนูพราวแน่""ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อยสิ เขาก็ไม่ได้หนีไปไหนกันนี่หว่า มึงอยากไปหาเมื่อไรก็ได้หนูจันทร์เขาก็บอกไว้แล้วนี่ เขาไม่ได้กีดกันหรือห้ามไม่ให้มึงไปหาลูกสักหน่อย""มึงก็พูดง่ายสิ
ทั้งสองหนุ่มเองก็เงียบไปเช่นกัน ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปครู่หนึ่ง"ช่วงนั้นพวกเราสามคนแม่ลูกแทบจะทำอะไรกันไม่ถูกเพราะทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ยังดีที่มีญาติสนิทบางคน และเพื่อนของคุณแม่ที่ช่วยเหลือและแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่าง กว่าจะผ่านจุดนั้นกันมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พี่ตะวันเองก็เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้อง พูดคุยน้อยลง ไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อน พี่เขาตัดการติดต่อกับเพื่อนทุกคน จันทร์กับคุณแม่ก็คิดว่าพี่ตะวันคงกำลังปรับตัวจึงไม่ได้สงสัยอะไร และช่วงนั้นจันทร์ก็มัวแต่ยุ่งกับการหางานทำด้วย คุณแม่ก็ต้องอบขนมทำเค้กไปให้ร้านต่าง ๆ ลองชิมรสชาติ ถ้าถูกปากก็จะได้สั่งไปขาย"จันทร์เจ้าเล่าไปเรื่อย ๆ จนลืมตัวเผลอใช้ชื่อตนแทนคำเรียกขาน และคนฟังก็ไม่ได้สะดุดหูกับตรงนี้เช่นกันเพราะต่างคนต่างอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง"เราสามคนก็ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายอย่างนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งพี่ตะวันคลอด หลังจากคลอดแล้วพี่เขาดูเหมือนจะยิ่งเก็บตัวและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม ปกติคนที่เพิ่งคลอดลูกมามักจะอวบขึ้นแต่พี่ตะวันกลับซูบผอมลงไปมาก จากคนที
"หมาเห็นปลากระป๋อง ได้แต่มองไม่มีสิทธิ์แ..." คำสุดท้ายภาวินพูดโดยไม่ออกเสียงแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนคนที่ถูกนำไปเปรียบกับสุนัขได้แต่ชูนิ้วกลางให้เพื่อน จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องรับแขกจนกระทั่งจันทร์เจ้าพาพราวนภาเดินเข้ามาในห้องหญิงสาวเห็นสองหนุ่มพากันนั่งตัวตรงจึงก้มตัวลงไปบอกหลานตัวน้อย"หนูพราว หนูนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ ขอแม่คุยกับคุณลุงเขาก่อน""แม่จันทร์จะไปไหนคะ หนูพราวไปด้วย" พราวนภาเงยหน้าถามเสียงอ่อยด้วยสายตาออดอ้อน"แม่ไม่ได้ไปไหนค่ะ แม่จะนั่งคุยตรงโต๊ะกินข้าวนี่เอง หนูพราวนั่งดูการ์ตูนไปก่อนนะลูก" พูดจบก็เดินจะไปหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดช่องการ์ตูน แต่รีโมตนั้นกลับวางอยู่บนเบาะข้างชินดนัย เธอมองหน้าเขา เห็นเขายิ้มกริ่มมองตอบกลับมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วพูดว่า"หนูพราวคะ เวลาจะขอสิ่งของ หรือขอให้ผู้ใหญ่หยิบของให้ เราควรจะพูดยังไงเอ่ย""พูดว่าหยิบของให้หนูพราวหน่อยได้ไหมคะ" พราวนภาตอบอย่างพาซื่อ"แล้วถ้า..." ชินดนัยหยุดพูดพลางมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ
ชินดนัยก้าวมายืนด้านหน้าบรรพตอย่างเอาเรื่อง ขณะที่ภาวินก็เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดอย่างไม่พอใจเช่นกัน"แถวบ้านกูเขาเรียกปากหมานะเนี่ย จัดสักดอกดีไหมวะไอ้ชิน""เฮ้ย! พวกมึงจะหมาหมู่หรือวะ คิดว่ากูกลัวรึไง ถุย!"บรรพตถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มทั้งคู่แล้วพูดอย่างอาฆาต"ฝากไว้ก่อนเถอะพวกมึงน่ะ อย่าให้กูเจอที่อื่นนะจะให้คนกระทืบแม่งให้ตายคาตีนเลย""ตายคาตีนกูก่อนดีไหม ปากดีฉิบหาย" ชินดนัยปรี่เข้าไปทันที บรรพตจึงรีบถอยกรูดไปที่รถของตัวเองพร้อมกับเปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างลนลาน เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้ารีบไขกุญแจเปิดประตูรั้วออกมาแล้วร้องห้ามเสียงสั่น"หยุดเดี๋ยวนี้นะ! อย่ามาต่อยตีกันหน้าบ้านฉันนะ" สิ้นเสียงของหญิงสาว เสียงล้อบดถนนจากการเร่งเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มพร้อมกับที่รถสปอร์ตของบรรพตวิ่งฉิวผ่านหน้าไปจนเกือบชนจักรยานที่พนักงานรักษาความปลอดภัยขี่ตรวจตราภายในหมู่บ้านคล้อยหลังรถเจ้าปัญหา จันทร์เจ้าก็หันมามองหน้าชายหนุ่มสองคนแล้วถามอย่างเอาเรื่อง"แล้วพวกคุณสองคนมาทำไม"ภาวินทำหน้าอิหลักอิเห
จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสะกดความกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจ บรรพตเป็นบุตรชายของเจ้าสัวเอนก เพื่อนในทางธุรกิจของบิดาผู้ล่วงลับ ตอนที่บ้านของเธอยังไม่ถูกฟ้องล้มละลาย เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อเธออยู่หลายครั้ง บางทีก็เข้าหาทางบิดา ทำทีเป็นว่าให้ผู้ใหญ่พูดคุยตกลงเพื่อเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่พอบ้านของเธอไม่เหลืออะไร ผู้ชายคนนี้กลับยื่นข้อเสนอให้เธอไปเป็นเมียเก็บของเขา เพื่อแลกกับเงินเดือนละหนึ่งแสนบาท ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่เคยปริปากบอกมารดาให้ท่านทราบจนกระทั่งวันนี้ใครยอมก็โง่เต็มที!"คุณบรรพตมีธุระอะไรรึเปล่าคะถึงได้มาเวลานี้"หญิงสาวพยายามเก็บความหวาดหวั่นเอาไว้ในใจ แล้วแสดงออกมาแต่ความสงบเยือกเย็นผ่านทางสีหน้าเช่นเคย และเพราะรู้ตัวว่าตนอาจเผลอแสดงความรังเกียจออกไปทางสายตา จึงพยายามกลอกตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น ตอนนี้เธออยู่บ้านกับเด็กเล็กแค่สองคน หากผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาดี เขาอาจลงมือทำอะไรก็ได้"แหม...น้องจันทร์นี่ละก็ พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม มันฟังดูห่างเหินเกินไปเหมือนเราไม่ใช่คนกันเองอย่างนั้นแหละ" บรรพตยิ้มพร
"ช่วงที่กูได้งานเป็นนักบินใหม่ ๆ กูเคยคบกับแอร์สายการบินเดียวกันอยู่คนหนึ่งชื่อตะวัน คบได้ปีกว่าก็เลิกไป และตะวันก็น่าจะเป็นพี่สาวของเลขาฯ มึงนั่นแหละ ถึงว่าสิ ตอนเห็นหน้าคุณจันทร์ครั้งแรกกูถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก เพราะสองพี่น้องนี่หน้าตาคล้าย ๆ กันนี่เอง" ภาวินก้มดูรูปในโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง"ทำไมถึงเลิกวะ บอกได้ไหม" ชินดนัยอดถามไม่ได้ เพราะหากพราวนภาเป็นลูกของภาวินจริง ๆ ก็หมายความว่าพี่สาวของจันทร์เจ้าตั้งครรภ์อยู่ตอนที่เลิกรากับเพื่อนเขาภาวินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา แหงนคอพาดไว้กับพนักแล้วหลับตานิ่งก่อนจะตอบเบา ๆ"เขาบอกว่าเขาท้องกับคนอื่น"ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็เป็นภาวินที่เปิดปากพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน"ตอนแรกก็ยังดี ๆ อยู่ ตอนบินไปปารีสก็ยังไปเที่ยวด้วยกันอยู่เลย แต่หลังจากกลับมาถึงเมืองไทยได้สักวันสองวัน จู่ ๆ ตะวันก็โทร. มาบอกเลิกกู เขาบอกว่าคบผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยไม่ได้คบกูคนเดียว เขาท้อง และลูกในท้องก็เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น เฮ้อ...บอกตามตรงเลยว่าตอนนั้นกูโคตรโกรธเลย วันไหนไม่มีบิน ก
"หนูไม่ชอบกินขนมปังหรือคะ" ชายหนุ่มลองถามเด็กน้อยดูเมื่อเห็นเจ้าตัวเอาแต่มองถุงขนมแต่ไม่ยอมรับไป"ชอบกินค่ะ แต่ต้องขอแม่จันทร์ก่อน แม่จันทร์กับยายจ๋าไม่ให้รับของจากคนอื่น" พราวนภาอธิบายเจื้อยแจ้ว ทำเอาคนมองอย่างภาวินรู้สึกเอ็นดูจนอยากรวบตัวเข้ามากอดไว้แนบอก"ถ้าอย่างนั้นรอแม่จันทร์มาก่อนก็ได้ค่ะ แต่ระหว่างรอ เรามาถ่ายรูปด้วยกันดีไหมคะ คุณลุงอยากถ่ายรูปกับหนูพราวจังเลย"ภาวินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้วกดโหมดถ่ายภาพทันทีโดยไม่รอคำตอบ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ พราวนภาจนแก้มเกือบชนกัน"ยิ้มสวย ๆ หน่อยค่ะคนเก่ง คุณลุงจะนับถึงสามนะคะ หนึ่ง...สอง...สาม"เขากดถ่ายไปหลายรูปด้วยความรวดเร็ว เพราะอยากได้รูปที่ชัดที่สุดเพื่อเอาไว้เปรียบเทียบว่าพราวนภามีส่วนใดบนใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเขาบ้าง ซึ่งคนที่จะช่วยเขาดูเรื่องนี้ก็คือบิดามารดาของเขาเองชินดนัยมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก บุตรสาวของจันทร์เจ้าใบหน้าละม้ายคล้ายภาวินอย่างกับแกะ หากเดินด้วยกันเขาเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องมีคนคิดว่าเป็นพ่อลูกกันแน่นอน แต่ปัญหาคือภาวินยืนยันเป