ตอนเห็นรูปเขาก็แค่รู้สึกว่าคุ้นตา แต่พอเห็นชื่อและนามสกุลเขาก็ยิ้มออกมาทันที และไม่ลังเลเลยที่จะให้รับเธอเข้ามาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของเขา
สาวสวยแสนอ่อนหวาน เขาอยากรู้เหลือเกินว่าผ่านมาเจ็ดปีแล้วเธอจะยังคงหวานเหมือนเดิมไหม
วันแรกของการทำงานที่ใหม่ของจันทร์เจ้าผ่านพ้นไปด้วยดี หญิงสาวขับรถกลับบ้านย่านชานเมือง และถึงบ้านในเวลาหนึ่งทุ่มเศษ เธอจอดรถหน้าบ้านเดี่ยวขนาดห้าสิบตารางวาเพื่อลงไปเปิดรั้วให้กว้างขึ้นก่อนจะขับรถเข้าไปจอดในบ้าน จากนั้นจึงเดินไปปิดรั้วแล้วล็อกไว้ตามเดิม
ร่างเล็ก ๆ ของเด็กผู้หญิงวัยห้าขวบคนหนึ่งวิ่งตึกตักออกมาจากบ้าน เมื่อเห็นว่าใครกลับมาถึงบ้านเสียงใส ๆ ก็ตะโกนบอกคนที่กำลังง่วนอยู่ในครัวด้วยความดีใจ
"ยายจ๋า แม่จันทร์กลับมาแล้ว" พูดจบก็กางแขนให้อุ้ม จันทร์เจ้าจึงก้มลงอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแล้วหอมแก้มซ้ายขวาของเด็กน้อย
"วันนี้หนูพราวหม่ำอะไรเป็นมื้อเย็นคะ" หญิงสาวถามคนในอ้อมแขนพลางเดินไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก
"ยายทำข้าวห่อไข่ให้กินค่ะ หนูพราวกินหมดด้วยละ" เจ้าตัวเล็กตอบอย่างภาคภูมิใจ
"เก่งมากค่ะ วันนี้แม่จันทร์จะหยอดกระปุกให้หนูสิบบาทเป็นรางวัลที่กินข้าวหมดนะคะ"
"เย้ อีกหน่อยหนูพราวจะมีเงินเยอะ ๆ มาให้ยายกับแม่จันทร์ ซื้อตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ๆ ให้เต็มบ้านเลยค่ะ"
เด็กหญิงพราวนภายิ้มกว้างอวดลักยิ้มที่แก้มซ้าย เจ้าตัวกางแขนกว้างเมื่อนึกถึงตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่เคยเห็นในแผนกของเล่นตอนไปห้างสรรพสินค้า
"มีตัวเดียวก็พอ จะซื้อมาทำไมเยอะแยะคะ เปลืองเงิน" จันทร์เจ้ายู่หน้าใส่พลางเอาถูจมูกกับแก้มใสของเด็กน้อย
"หนูพราวให้แม่จันทร์ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนลูก แม่จันทร์กลับมาเหนื่อย ๆ จะได้กินข้าว"
พรรณียกชามแกงจืดจากในครัวมาวางบนโต๊ะกินข้าว จันทร์เจ้าจึงให้เจ้าตัวเล็กลงจากตักแล้วเดินไปหามารดา
"วันนี้มีอะไรกินบ้างคะคุณแม่"
"แกงจืดปลาหมึกยัดไส้กับไก่ผัดพริกแกงน่ะ ขึ้นไปเปลี่ยนชุดเสียสิจะได้ลงมากินข้าว กำลังร้อน ๆ เลย"
"ค่ะ" หญิงสาวรับคำมารดาแล้วเดินขึ้นบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองแล้วลงมาข้างล่างอีกครั้ง เธอเห็นหนูพราวกำลังนั่งระบายสีอยู่กับพื้นในห้องรับแขกจึงเดินไปทางโต๊ะกินข้าวแล้วหยิบจานขึ้นมาคดข้าวใส่ให้มารดาและตัวเอง
"เป็นยังไงบ้างลูกที่ทำงานใหม่" พรรณีถามอย่างเป็นห่วงเพราะเกรงว่าบุตรสาวจะเจอเจ้านายแย่เหมือนที่เก่า
"จัดว่าดีเลยค่ะคุณแม่ เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่อายุมากกว่าจันทร์ และเขาก็เป็นกันเองกับจันทร์มาก ๆ เลยด้วย"
หญิงสาวตอบมารดาด้วยสีหน้าสดใส พรรณีเห็นแล้วจึงวางใจ หันไปมองหลานสาวตัวน้อยในห้องรับแขกก็อดถอนหายใจออกมาเบา ๆ ไม่ได้
"ยายหนูพราวยิ่งโตก็ยิ่งฉอเลาะ เวลาพาไปส่งขนมด้วยกันทีไรก็มีแต่คนเอ็นดูเพราะช่างพูดช่างเจรจาเหลือเกิน เฮ้อ...เสียดายที่ยายตะวันไม่ได้อยู่รับรู้ว่าตัวเองมีลูกสาวน่ารักขนาดไหน"
จันทร์เจ้าเอื้อมไปกุมมือมารดาแล้วพูดเบา ๆ อย่างปลุกปลอบ "จันทร์ว่าพี่ตะวันเขาต้องรับรู้แน่ค่ะคุณแม่ จันทร์เคยสัญญากับพี่ตะวันไว้แล้วว่าจะเลี้ยงดูหนูพราวให้ดีที่สุดเหมือนลูกของตัวเอง จันทร์ก็จะทำตามที่รับปากเอาไว้ค่ะ ต่อให้พี่ตะวันไม่ขอ จันทร์ก็จะทำเพราะยังไงหนูพราวก็คือหลานแท้ ๆ ของจันทร์นี่คะ"
พรรณีพยักหน้าช้า ๆ แล้วเริ่มกินอาหารตรงหน้า จันทร์เจ้าจึงเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปที่เรื่องงานใหม่ของตนเสีย
"เจ้านายใหม่ของจันทร์เป็นผู้ชายค่ะ เห็นพี่ ๆ เขาบอกว่าไม่แก่มาก ยังอายุน้อยอยู่แต่จันทร์ก็ไม่กล้าถามว่าเขาอายุเท่าไร ดูแล้วการทำงานที่นี่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ จันทร์คิดว่าตัวเองชอบที่นี่"
เจ้านายเก่าของเธอเป็นชาวฮ่องกง เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่เจ้าอารมณ์ และชอบฟาดงวงฟาดงากับลูกน้อง เวลาดีก็ดีใจหาย แต่เวลาร้ายขึ้นมาก็ด่าสาดเสียเทเสีย และสรรหาถ้อยคำหยาบคายมาด่าได้สารพัด จันทร์เจ้าทนทำได้แค่สองปีก็ลาออกมาสมัครที่ใหม่ และก็ได้บริษัทนำเข้านาฬิกาที่กำลังทำอยู่ตอนนี้
"ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้ว แม่เชื่อว่าจันทร์ทำได้"
พรรณีมองบุตรสาวด้วยแววตาอ่อนแสง จันทร์เจ้าเป็นคนที่มีความอดทนเป็นเลิศ และไม่ค่อยมีปากมีเสียง ด้วยความที่เป็นคนมีบุคลิกนุ่มนวลเรียบร้อย เวลาเข้าหาผู้ใหญ่จึงมักได้รับความเอ็นดูอยู่เสมอ
"เมื่อตอนกลางวันคุณบรรพตเขาโทร. มาโวยกับแม่ว่าทำไมไม่ให้จันทร์ไปทำงานกับเขา"
จันทร์เจ้าได้ยินที่มารดาเล่าก็เบ้ปากอย่างรังเกียจ "ข่าวไวตลอด เมื่อไรเขาจะเลิกยุ่งกับจันทร์สักทีนะ จันทร์รำคาญเขามากเลยค่ะคุณแม่"
บรรพตเป็นบุตรชายของเจ้าสัวเอนกซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ สมัยที่บิดาของจันทร์เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าสัวมักไปมาหาสู่กับท่านเสมอ หญิงสาวจึงได้รู้จักกับบรรพตตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ เขาตามจีบเธอหลายครั้งแต่เธอไม่เล่นด้วยเพราะไม่ชอบนิสัยคุยโวขี้โอ่ของเขา บรรพตอายุมากกว่าเธอห้าปีแต่กลับยังเที่ยวเตร่อยู่ตามสถานบันเทิงแทบทุกคืน วัน ๆ มัวเมาอยู่แต่กับการหาความสำราญกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา ซึ่งจันทร์เจ้าเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด
เมื่อครั้งที่บ้านของจันทร์เจ้าเกิดเรื่อง เขาก็ยื่นข้อเสนอให้เธอแต่งงานกับเขา แต่โชคดีที่บิดาท่านปฏิเสธไป มิเช่นนั้นจันทร์เจ้าคงไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็น
"เราก็อย่าไปทำอะไรให้เขาแค้นเคืองหรือไม่พอใจขึ้นมาล่ะ เกิดเขานึกทำเรื่องบ้า ๆ ขึ้นมาเราน่ะจะแย่เอา บ้านเราตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยง"
"จันทร์รู้ค่ะคุณแม่ จันทร์ว่าเราอย่าพูดเรื่องเขาดีกว่า เดี๋ยวจะกินข้าวไม่อร่อย คุยเรื่องขนมสูตรใหม่ของคุณแม่ดีกว่าค่ะ" หญิงสาวยิ้มให้ท่านอย่างอ่อนโยนเพราะไม่อยากให้มารดาไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องของตน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย จันทร์เจ้าเก็บจานชามทั้งหมดไปล้าง และทำความสะอาดโต๊ะกินข้าว จากนั้นก็ตรวจเช็กกลอนประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อความปลอดภัย แม้ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้จะไม่เคยมีประวัติเรื่องโจรหรือขโมยมาก่อน แต่อะไรที่ทำแล้วสบายใจ เธอก็ไม่อยากละเลย
หญิงสาวนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่อยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ สมาชิกในบ้านมีกันมากมายรวมถึงแม่บ้านและคนขับรถ แต่พอเกิดเรื่องขึ้นในปีนั้น บรรดาคนรับใช้ก็พากันออกไปหางานทำที่อื่น ส่วนครอบครัวที่เดิมมีกันสี่คนคือบิดามารดา พี่สาว และตัวเธอ ตอนนี้เหลือเพียงตนกับมารดา และสมาชิกใหม่อย่างหนูน้อยพราวนภาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แต่ชีวิตของเธอได้พลิกกลับด้านจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่เคยมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่า เวลานี้ต้องกลายมาเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ ที่ต้องวางแผนการใช้เงินในแต่ละเดือนให้รอบคอบที่สุดเพราะยังมีอีกสองปากท้องที่เธอต้องดูแลแต่จะว่าไปจันทร์เจ้าก็รู้สึกขอบคุณทุกอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาในวันนั้น หาไม่แล้ววันนี้เธอก็คงเป็นเพียงผู้หญิงหัวอ่อนคนหนึ่งที่ไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นเขาคืนนั้นจันทร์เจ้าเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาประวัติของนาฬิกาแบรนด์หรูทั้งสองแบรนด์อีกครั้งเพราะอยากรู้จักกับมันให้มากกว่านี้ เมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจว่าทำไมราคามันถึงแพง รู้แค่ว่ามันสวย และตนก็ชอบเท่านั้น แต่พอได้ทำความรู้จักกับนาฬิกายี่ห้อนี้มากขึ้น หญิงสาวจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมนักสะสมนาฬิกาทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งพระราชินีแห่งอังกฤษจึงนิยมชมชอบและต้องมีไว้ในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งเรือนเสียงเคาะประตูเบา ๆ ทำให้จันทร์เจ้าละสายตาจากหน้าจอแล้วรีบเดินไปเปิดประตูเพราะรู้ว่าใครเป็นคนเคาะ และก็ไม่ผิดจากที่คาดเท่าไรนัก เพราะเมื่อประตูเปิดออกก็มีร่างเล็กจ้อยในชุดนอนสีชมพูหวา
แค่ได้ยินเสียงนั้น หัวใจของจันทร์เจ้าก็เต้นระรัวยิ่งกว่าเดิมเพราะความตกใจ หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มกระจายเต็มวงหน้า รอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหลงใหลได้ปลื้ม และหลงคิดไปว่าตนเป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้เพียงคนเดียวจันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพราะเผลอกลั้นหายใจไว้นาน สมองเริ่มสับสนเพราะนึกไม่ออกว่าจะรับมืออย่างไร ทุกอย่างกะทันหันเกินไปเพราะตั้งแต่เลิกรากันเมื่อเจ็ดปีก่อนเธอก็ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งชินดนัย ผู้ชายไม่รู้จักพอ!"อะไรกัน ทำไมนิ่งไปล่ะ อย่าบอกนะว่าจำพี่ไม่ได้น่ะหนูจันทร์"น้ำเสียงหยอกเย้าอย่างเป็นกันเองของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้ เธอค้อมศีรษะให้เขาอย่างเป็นการเป็นงานแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"จำได้ค่ะ" เธอหลุบตาลงมองพื้นจึงไม่เห็นว่ารอยยิ้มของชินดนัยนั้นกว้างขึ้นกว่าเดิม"ห่างเหินจัง เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ คุยกันแบบเดิมดีกว่าไหม""คงไม่ดีค่ะ คุณเป็นเจ้านายฉันเป็นลูกจ้าง ใครได้ยินเข้าคงคิดว่าฉันทำตัวตีตนเสมอท่าน" เธอไม่กล้ามองหน้าเขา แม้ว
ประตูห้องทำงานของประธานบริษัทเปิดผลัวะออกมาอย่างแรงจนบรรดาเลขานุการสาวที่นั่งกันอยู่ต่างพากันสะดุ้งด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นของท่านประธาน ผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามักจะอารมณ์ดีและใจเย็นอยู่ตลอด"หนู...คุณจันทร์!" ชินดนัยหน้าแดงก่ำ สีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นกับอะไรบางอย่าง"คะท่าน" จันทร์เจ้ารีบลุกขึ้นยืนแล้วเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยเช่นเคย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกไปทางสีหน้า แต่มุมปากก็เอาแต่จะยกยิ้มอยู่เรื่อยจึงเม้มปากเอาไว้เพื่อกลั้นยิ้ม แต่ถ้ามองจากสายตาของเพื่อนร่วมงาน กลับมองว่าหญิงสาวกำลังหวาดกลัวกับน้ำเสียงและท่าทางกราดเกรี้ยวของผู้เป็นนาย ทุกคนจึงอดเห็นใจไม่ได้"คุณซื้อหอยทอดให้ผม" เขาชี้เข้าไปในห้อง จันทร์เจ้าทำทีเป็นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะพยักหน้าอย่างใสซื่อ"ใช่ค่ะ ก็ท่านประธานบอกว่าซื้ออะไรก็ได้ ฉันก็เลยซื้อหอยทอดมาให้เพราะร้านอื่นต้องรอคิวนานน่ะค่ะ เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ามีสิ่งแปลกปลอมในอาหาร""มันมีถั่วงอก!" เขาเค้นเสียงราวกับกัดฟันพูด ทำเอาจันทร์เจ้าต้องกลั้นขำอีกครั้งด้วยการใช้เล็บจิกมือตัวเอง
จันทร์เจ้าหันขวับไปมองเขาทันที แต่เพราะเขาก็ก้มตัวลงมาจึงทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้จนแทบหายใจรดกัน หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าไปทางอื่นแล้วเอนตัวออกห่างจากเขา แต่มือยังคงถูกเขากุมเอาไว้อยู่"ขอโทษที พี่ก็แค่ทำไปตามความเคยชิน"ชินดนัยยิ้มพลางปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ เห็นหญิงสาวรีบคาดเข็มขัดแล้วปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็พอรู้ว่าเธอคงไม่ค่อยพอใจจึงเลิกแกล้ง ปิดประตูรถให้เธอแล้วเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับแค่เสี้ยววินาทีที่ใกล้กันเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่วมกันไม่ได้ จันทร์เจ้าในตอนนั้นคือสาวน้อยอ่อนเดียงสาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาพาเธอไปเที่ยวทะเลแล้วป้อนคำหวานสารพัดจนเธอยอมใจอ่อนมอบกายให้ เขาจำได้ว่าตนตื่นเต้นมากเพราะเพิ่งเคยเปิดซิงผู้หญิงเป็นครั้งแรก เนื่องจากสาว ๆ ของเขาแต่ละคนที่เคยคบมาล้วนแล้วแต่เจนสังเวียนมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงนั้นเขาเห่อเธออยู่พักใหญ่เพราะจันทร์เจ้าเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาใช้เวลานานที่สุดกว่าจะได้มาขึ้นเตียงแต่ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนหนุ่มที่อารมณ์พลุ่งพล่าน เวลาที่มีผู้หญิงอื่นเข้าหาหรือเสนอให้ ถ้าเขาถูกใจก็จะไม
“แต่พี่ไม่รีบ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ขนาดพอดีคำยื่นไปใกล้กับปากของจันทร์เจ้า“กินไก่ราดครีมมายองเนสนี่สิ อร่อยดีนะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ กำลังดี”เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้...จันทร์เจ้าได้แต่บ่นเขาอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉย มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์"อย่าอารมณ์เสียสิ เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ พี่เห็นจันทร์ดูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ทำงานที่นี่ทุกอย่างต้องเป๊ะก็จริง แต่ทุกสิ่งเรายืดหยุ่นกันได้ เรื่องเอกสารที่เลขาฯ คนเก่าเขาทำไว้ยุ่งเหยิงก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่มันเป็นงานที่ผ่านไปแล้ว เก็บเฉพาะที่จำเป็นก็พอ อีกอย่างนะ เอกสารพวกนั้นเราจะเก็บไฟล์ในรูปแบบพีดีเอฟเอาไว้อยู่แล้ว เข้าไปดูที่เซิร์ฟเวอร์เอาก็ได้ คุณเอมคงสอนเรื่องการเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์แล้วใช่ไหม""สอนแล้วค่ะ" พอเห็นเขาพูดเป็นการเป็นงานจันทร์เจ้าก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเอมิกาบอกว่าตั้งแต่ชินดนัยมาบริหารแทนบิดา เขาก็ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ลดการใช้กระดาษ และลดขั้น
ภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่กำลังพลอดรักกันอยู่ในรถยนต์คันหรูตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอขึ้นทีละนิดเพราะน้ำที่เอ่อรื้นขึ้นกบตา จันทร์เจ้ายืนตัวแข็งอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายทั้งปวดแปลบและอึดอัดราวกับหายใจไม่ออก จุกจนเจ็บไปทั้งใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า แต่กลับไร้เสียงสะอื้น ดูเหมือนคนในรถจะเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนยืนมองอยู่ เพราะฝ่ายหญิงทำหน้าตกใจแล้วรีบติดกระดุมเสื้อนิสิตของตนตามเดิม ขณะที่ฝ่ายชายนั้นเพียงหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นชายหนุ่มหันไปพูดบางอย่างกับคนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ จันทร์เจ้าจำหล่อนได้ ผู้หญิงคนนี้ชื่อสลิลา เรียนปีเดียวกันกับเธอแต่คนละคณะ เธอเรียนบริหารการจัดการ แต่เจ้าหล่อนเรียนเศรษฐศาสตร์ และเป็นดาวคณะที่หนุ่ม ๆ ไม่ว่าจะรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ต่างพากันเข้าคิวจีบเพราะอยากสานสัมพันธ์ด้วยแต่ทั้งที่มีชายหนุ่มมากมายหมายปอง ผู้ชายที่สลิลาเลือกคบหากลับเป็นชินดนัย คนรักของเธอชินดนัยเปิดประตูแล้วก้าวลงมาจากรถ ร่างสูงโปร่งในชุดนิสิตเดินเข้าไปหาจันทร์เจ้าด้วยท่าทีปกติราวกับว่
จันทร์เจ้าแหงนมองอาคารหลังใหญ่ตรงหน้าจากในรถด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของเธอในฐานะเลขานุการของท่านประธานใหญ่บริษัทนำเข้านาฬิกาแบรนด์หรู แม้จะไม่ใช่งานแรกสำหรับการเป็นเลขาฯ แต่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ขนาดนี้เมื่อคืนหญิงสาวตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว โชคดีที่เธอตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ไว้สามช่วงเวลา มิเช่นนั้นวันนี้คงมาสายตั้งแต่ทำงานวันแรกหลังจากแลกบัตรแล้วเข้าไปจอดรถในอาคารเสร็จเรียบร้อย จันทร์เจ้าก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นเก้า เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นชื่อบริษัทเด่นหราอยู่ตรงหน้า หญิงสาวผลักประตูกระจกเดินเข้าไปด้านใน และเพราะยังไม่ถึงเวลาทำงาน คนในออฟฟิศจึงค่อนข้างบางตา เธอเห็นหลายคนมองมาด้วยความสงสัย จึงแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตร“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อจันทร์เจ้า ทำตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธาน วันนี้มาเริ่มงานวันแรกค่ะ” แนะนำตัวเองเสร็จก็เห็นหลายคนมีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งยิ้มให้แล้วชี้ขึ้นไปด้านบน“ห้องท่านประธานอยู่ชั้นสิบครับ ยินดีที่ได้รู้จักและได้ร่วมงานกันนะครับคุณจันทร์เจ้า”“ขอบคุณมากค่ะ” เธอค้อมศีรษะขอ
"ค่ะ" จันทร์เจ้าพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ในใจกลับคิดว่าคงเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนส่งใบสมัครเข้ามามากกว่า เนื่องจากตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทนั้นค่อนข้างเป็นงานที่กดดันพอสมควรที่สำคัญคือเงินเดือนที่เธอเรียกไปค่อนข้างสูง เพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็คงไม่ได้งานนี้แน่ แต่ใครจะคาดคิดว่าเธอกลับถูกเลือก หนำซ้ำทางนี้ยังไม่ต่อรองเงินเดือนที่เรียกไปแม้แต่บาทเดียว"จันทร์ดูเรียบร้อยจังเลยเนอะ ไม่เหมือน..." กชวรรณยังพูดไม่จบ เลขานุการอีกคนก็กระทุ้งแขนเป็นเชิงให้หยุดพูดเสียก่อน"เรียบร้อยแต่ดูแพง แบบนี้แหละเหมาะที่จะเป็นเลขาฯ ท่านประธานที่สุดแล้ว"นันทิดายิ้มอ่อนพลางลอบมองการแต่งกายของเลขานุการคนใหม่อย่างไม่ให้ดูน่าเกลียดและจาบจ้วงเกินไปนักจันทร์เจ้ามาเริ่มงานวันแรกด้วยเดรสเข้ารูปสีกรมท่ายาวคลุมเข่า แขนยาวสี่ส่วน คาดเข็มขัดสีเดียวกับชุด แต่งหน้าอ่อน ๆ รวบผมตึงมัดไว้ด้านหลัง รูปร่างสูงโปร่งของหญิงสาวกับบุคลิกนิ่ง ๆ และเรียบร้อยทำให้เจ้าตัวดูแพงราวกับลูกผู้ดีมีตระกูล อีกทั้งจันทร์เจ้ายังจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี ทุกอย่างจึงดูลงตัวไปหมดแค่นึกภาพตอนจันทร์เจ้าเดินเคียงคู่ไปกับท่านประธานสุดหล่อ คงไม่ม