"ค่ะ" จันทร์เจ้าพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ในใจกลับคิดว่าคงเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนส่งใบสมัครเข้ามามากกว่า เนื่องจากตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทนั้นค่อนข้างเป็นงานที่กดดันพอสมควร
ที่สำคัญคือเงินเดือนที่เธอเรียกไปค่อนข้างสูง เพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็คงไม่ได้งานนี้แน่ แต่ใครจะคาดคิดว่าเธอกลับถูกเลือก หนำซ้ำทางนี้ยังไม่ต่อรองเงินเดือนที่เรียกไปแม้แต่บาทเดียว
"จันทร์ดูเรียบร้อยจังเลยเนอะ ไม่เหมือน..." กชวรรณยังพูดไม่จบ เลขานุการอีกคนก็กระทุ้งแขนเป็นเชิงให้หยุดพูดเสียก่อน
"เรียบร้อยแต่ดูแพง แบบนี้แหละเหมาะที่จะเป็นเลขาฯ ท่านประธานที่สุดแล้ว"
นันทิดายิ้มอ่อนพลางลอบมองการแต่งกายของเลขานุการคนใหม่อย่างไม่ให้ดูน่าเกลียดและจาบจ้วงเกินไปนัก
จันทร์เจ้ามาเริ่มงานวันแรกด้วยเดรสเข้ารูปสีกรมท่ายาวคลุมเข่า แขนยาวสี่ส่วน คาดเข็มขัดสีเดียวกับชุด แต่งหน้าอ่อน ๆ รวบผมตึงมัดไว้ด้านหลัง รูปร่างสูงโปร่งของหญิงสาวกับบุคลิกนิ่ง ๆ และเรียบร้อยทำให้เจ้าตัวดูแพงราวกับลูกผู้ดีมีตระกูล อีกทั้งจันทร์เจ้ายังจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี ทุกอย่างจึงดูลงตัวไปหมด
แค่นึกภาพตอนจันทร์เจ้าเดินเคียงคู่ไปกับท่านประธานสุดหล่อ คงไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแค่เลขานุการแน่นอน
"ท่านประธาน...เอ่อ...ดุไหมคะ" จันทร์เจ้ายิ้มเจื่อน ได้แต่ภาวนาอย่าให้เจ้านายคนใหม่เป็นเหมือนคนเก่าเลย
สามสาวมองหน้ากันแล้วยิ้ม แต่ก็ไม่อยากตอบตามความจริงให้อีกฝ่ายต้องเสียขวัญตั้งแต่วันแรก
"ไม่ดุหรอก แต่ชอบงานเนี้ยบ ๆ น่ะ" เอมิกาตอบแบบอ้อม ๆ แต่ดูเหมือนคนฟังจะเข้าใจดี เพราะรอยยิ้มของจันทร์เจ้าจางลงทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
"ค่ะ เข้าใจแล้ว" เธอยิ้มให้ทั้งสามคนพลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อให้กำลังใจตนเอง
เอาเถอะ ขอแค่ไม่ปากจัด พูดคำด่าคำเหมือนเจ้านายเก่าเธอก็พอใจแล้ว
แฟ้มหนังสีน้ำตาลเข้มแฟ้มหนึ่งวางลงตรงหน้าจันทร์เจ้าโดยมีเอมิกาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จันทร์เจ้าเปิดแฟ้มดูอย่างสนใจ จึงเห็นว่าด้านในเป็นรูปนาฬิกาที่ทางบริษัทนำเข้ามาในฐานะตัวแทนจำหน่าย รวมถึงมีรายละเอียด และลักษณะเฉพาะตัว หรือความพิเศษของแต่ละรุ่นบอกเอาไว้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
"พี่คิดว่าจันทร์น่าจะทำการบ้านเกี่ยวกับนาฬิกาที่บริษัทเราเป็นตัวแทนจำหน่ายมาบ้างแล้ว อย่างที่รู้คือเรารับเข้ามาทั้งหมดสองแบรนด์ ซึ่งเป็นแบรนด์จากสวิสเซอร์แลนด์ทั้งหมด และราคาก็มีตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลายสิบล้าน"
เอมิกาอธิบายสินค้าของบริษัทให้จันทร์เจ้าฟังโดยละเอียด ซึ่งหญิงสาวก็นั่งฟังอย่างตั้งใจแม้ว่าก่อนมาทำงานที่นี่เธอจะศึกษามาพอสมควรแล้ว
"บริษัทของเราจะมีสองชั้น ชั้นเก้าที่จันทร์เพิ่งไปมาเมื่อกี้จะเป็นพนักงานทั่วไปในแผนกต่าง ๆ ทั้งบัญชี จัดซื้อ ฝ่ายขายอะไรพวกนี้ ส่วนชั้นสิบที่เรากำลังอยู่นี่จะเป็นชั้นสำหรับผู้บริหารโดยเฉพาะ ก็บรรดาผู้จัดการทั้งหลายนั่นแหละ ส่วนห้องท่านประธานก็อยู่ด้านในสุด แต่จันทร์ไม่ต้องไปนั่งหน้าห้องเหมือนที่อื่นนะ จันทร์ก็นั่งรวมกับพวกพี่ตรงนี้แหละ เวลาท่านประธานจะเอาอะไร เขาจะโฟนมาบอกทางอินเตอร์คอมเอง"
"ดีค่ะ" จันทร์เจ้าได้ฟังก็ยิ้มกว้าง คิดในใจว่าตนช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้มาทำงานที่นี่ หญิงสาวก้มลงมองภาพนาฬิกาหรูตรงหน้า ซึ่งเห็นสนนราคาร่วมเจ็ดหลักแล้วก็อดยกมือขึ้นลูบเบา ๆ ไม่ได้ เมื่อไม่กี่ปีก่อนตนเคยได้สัมผัสของจริงด้วยซ้ำ แต่ ณ เวลานี้คงได้แค่มองจากตู้โชว์ หรือหน้ากระดาษ ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของมันอีกแล้ว
"คุณไม่ได้ซื้อแค่นาฬิกา แต่คุณซื้อความภาคภูมิใจ"
จันทร์เจ้าท่องสโลแกนของแบรนด์ออกมาเบา ๆ เอมิกาจึงพูดเสริมขึ้นมา
"ใช่แล้ว เพราะนาฬิกาแต่ละเรือนใช้แรงคนในการประดิษฐ์ทุกขั้นตอน กลไกและฟันเฟืองต่าง ๆ ในตัวเรือนก็ทำขึ้นใหม่ทั้งหมด บางรุ่นใช้เวลาเป็นปีในการทำ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่แค่นาฬิกาที่ใช้ดูเวลา แต่เหมาะที่จะเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย เพราะนาฬิกายี่ห้อนี้ไม่มีคำว่าตกรุ่น"
จันทร์เจ้ายิ้มบาง ๆ ครอบครัวของเธอก็ชอบนาฬิกายี่ห้อนี้กันมาก เมื่อก่อนตนกับพี่สาวและมารดาก็เคยมีคนละเรือน ส่วนบิดามีหลายเรือนหลายยี่ห้อเพราะท่านชอบสะสม แต่บัดนี้ทุกอย่างถูกแปลงเป็นเงินหมดแล้วเพื่อความอยู่รอด
หญิงสาวปัดเรื่องอดีตออกจากหัวเพราะป่วยการจะไปนึกถึง แล้วก้มหน้าก้มตาศึกษางานตรงหน้าอย่างตั้งใจโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเอมิกานั้นกำลังลอบสังเกตตนอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของเอมิกาดังขึ้น เจ้าตัวจึงลุกไปที่โต๊ะของตัวเอง
"จันทร์นั่งดูไปก่อนนะ พี่ขอตัวไปทำงานของพี่ก่อน"
"ค่ะพี่เอม ขอบคุณนะคะ" จันทร์เจ้าเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ก่อนจะก้มลงสนใจงานของตนต่อ แต่แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่รู้ชื่อของผู้เป็นเจ้านายเลยว่าท่านประธานนั้นชื่ออะไร เธอเงยหน้ามองไปทางเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ก็เห็นแต่ละคนกำลังวุ่นวายกับงานของตัวเองอยู่จึงไม่กล้าเอ่ยปากถาม ตั้งใจไว้ว่าตอนพักกลางวันค่อยถามทีเดียว
เอมิกาเห็นชื่อคนโทรศัพท์เข้ามาก็อดลอบมองไปทางเลขาฯ คนใหม่ไม่ได้ เธอกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปไม่ดังนัก
"ค่ะท่านประธาน"
"เป็นยังไงบ้างคุณเอม ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม"
"เรียบร้อยค่ะท่าน ตอนนี้กำลังให้น้องเขาศึกษาผลิตภัณฑ์ของบริษัทเราอยู่"
"อืม ผมฝากด้วยนะ แล้วก็รบกวนอีกอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าคุณบอกชื่อผมให้เขารู้รึยัง ถ้ายังไม่บอกแล้วเขาถามว่าผมชื่ออะไร คุณบอกไปว่าชินดนัย สุธรรมฤกษ์ละกัน นามสกุลแม่ผมน่ะ"
"ดะ...ได้ค่ะท่าน" เอมิกายิ้มเจื่อนเพราะไม่เข้าใจว่าเจ้านายคิดจะทำอะไร แต่ในใจเริ่มสงสัยแล้วว่าท่านประธานกับจันทร์เจ้าน่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน
"อ้อ อย่าลืมให้เขาเซ็นสัญญาการทำงานด้วยนะ ทดลองงานสี่เดือน ห้ามลาออกไม่ว่ากรณีใด ๆ"
เอมิกาเลิกคิ้วทำตาโตพลางพยักหน้าตอบรับ "ค่ะท่าน"
ท่านประธานวางสายไปแล้ว เอมิกาจึงค้นหาไฟล์เอกสารสัญญาการจ้างงานเพื่อนำมาปรับปรุงข้อความบางส่วนเสียใหม่ตามความต้องการของผู้เป็นนาย
...ทดลองงานสี่เดือน ห้ามลาออกไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น...
ทางด้านคนปลายสาย หลังจากวางหูแล้วก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง ชินดนัยยืนกอดอกมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย แต่ความคิดกลับล่องลอยไปหาใครบางคนที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมากว่าเจ็ดปี
หากวันนั้นเขาไม่บังเอิญหยิบแฟ้มใบสมัครงานในตำแหน่งเลขานุการมาดู เขาก็คงไม่ได้เห็นว่าจันทร์เจ้าก็เป็นหนึ่งในผู้สมัครงานนั้นด้วย
ตอนเห็นรูปเขาก็แค่รู้สึกว่าคุ้นตา แต่พอเห็นชื่อและนามสกุลเขาก็ยิ้มออกมาทันที และไม่ลังเลเลยที่จะให้รับเธอเข้ามาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของเขาสาวสวยแสนอ่อนหวาน เขาอยากรู้เหลือเกินว่าผ่านมาเจ็ดปีแล้วเธอจะยังคงหวานเหมือนเดิมไหมวันแรกของการทำงานที่ใหม่ของจันทร์เจ้าผ่านพ้นไปด้วยดี หญิงสาวขับรถกลับบ้านย่านชานเมือง และถึงบ้านในเวลาหนึ่งทุ่มเศษ เธอจอดรถหน้าบ้านเดี่ยวขนาดห้าสิบตารางวาเพื่อลงไปเปิดรั้วให้กว้างขึ้นก่อนจะขับรถเข้าไปจอดในบ้าน จากนั้นจึงเดินไปปิดรั้วแล้วล็อกไว้ตามเดิมร่างเล็ก ๆ ของเด็กผู้หญิงวัยห้าขวบคนหนึ่งวิ่งตึกตักออกมาจากบ้าน เมื่อเห็นว่าใครกลับมาถึงบ้านเสียงใส ๆ ก็ตะโกนบอกคนที่กำลังง่วนอยู่ในครัวด้วยความดีใจ"ยายจ๋า แม่จันทร์กลับมาแล้ว" พูดจบก็กางแขนให้อุ้ม จันทร์เจ้าจึงก้มลงอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแล้วหอมแก้มซ้ายขวาของเด็กน้อย"วันนี้หนูพราวหม่ำอะไรเป็นมื้อเย็นคะ" หญิงสาวถามคนในอ้อมแขนพลางเดินไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก"ยายทำข้าวห่อไข่ให้กินค่ะ หนูพราวกินหมดด้วยละ" เจ้าตัวเล็กตอบอย่างภาคภูมิใจ"เก่งมากค่ะ วันนี้แม่จันทร์จะหยอดกระปุกให้หนูสิบบาทเป็นรางวัลที่กินข้าวหมดนะคะ""เย้ อีกหน่อ
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แต่ชีวิตของเธอได้พลิกกลับด้านจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่เคยมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่า เวลานี้ต้องกลายมาเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ ที่ต้องวางแผนการใช้เงินในแต่ละเดือนให้รอบคอบที่สุดเพราะยังมีอีกสองปากท้องที่เธอต้องดูแลแต่จะว่าไปจันทร์เจ้าก็รู้สึกขอบคุณทุกอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาในวันนั้น หาไม่แล้ววันนี้เธอก็คงเป็นเพียงผู้หญิงหัวอ่อนคนหนึ่งที่ไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นเขาคืนนั้นจันทร์เจ้าเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาประวัติของนาฬิกาแบรนด์หรูทั้งสองแบรนด์อีกครั้งเพราะอยากรู้จักกับมันให้มากกว่านี้ เมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจว่าทำไมราคามันถึงแพง รู้แค่ว่ามันสวย และตนก็ชอบเท่านั้น แต่พอได้ทำความรู้จักกับนาฬิกายี่ห้อนี้มากขึ้น หญิงสาวจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมนักสะสมนาฬิกาทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งพระราชินีแห่งอังกฤษจึงนิยมชมชอบและต้องมีไว้ในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งเรือนเสียงเคาะประตูเบา ๆ ทำให้จันทร์เจ้าละสายตาจากหน้าจอแล้วรีบเดินไปเปิดประตูเพราะรู้ว่าใครเป็นคนเคาะ และก็ไม่ผิดจากที่คาดเท่าไรนัก เพราะเมื่อประตูเปิดออกก็มีร่างเล็กจ้อยในชุดนอนสีชมพูหวา
แค่ได้ยินเสียงนั้น หัวใจของจันทร์เจ้าก็เต้นระรัวยิ่งกว่าเดิมเพราะความตกใจ หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มกระจายเต็มวงหน้า รอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหลงใหลได้ปลื้ม และหลงคิดไปว่าตนเป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้เพียงคนเดียวจันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพราะเผลอกลั้นหายใจไว้นาน สมองเริ่มสับสนเพราะนึกไม่ออกว่าจะรับมืออย่างไร ทุกอย่างกะทันหันเกินไปเพราะตั้งแต่เลิกรากันเมื่อเจ็ดปีก่อนเธอก็ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งชินดนัย ผู้ชายไม่รู้จักพอ!"อะไรกัน ทำไมนิ่งไปล่ะ อย่าบอกนะว่าจำพี่ไม่ได้น่ะหนูจันทร์"น้ำเสียงหยอกเย้าอย่างเป็นกันเองของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้ เธอค้อมศีรษะให้เขาอย่างเป็นการเป็นงานแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"จำได้ค่ะ" เธอหลุบตาลงมองพื้นจึงไม่เห็นว่ารอยยิ้มของชินดนัยนั้นกว้างขึ้นกว่าเดิม"ห่างเหินจัง เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ คุยกันแบบเดิมดีกว่าไหม""คงไม่ดีค่ะ คุณเป็นเจ้านายฉันเป็นลูกจ้าง ใครได้ยินเข้าคงคิดว่าฉันทำตัวตีตนเสมอท่าน" เธอไม่กล้ามองหน้าเขา แม้ว
ประตูห้องทำงานของประธานบริษัทเปิดผลัวะออกมาอย่างแรงจนบรรดาเลขานุการสาวที่นั่งกันอยู่ต่างพากันสะดุ้งด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นของท่านประธาน ผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามักจะอารมณ์ดีและใจเย็นอยู่ตลอด"หนู...คุณจันทร์!" ชินดนัยหน้าแดงก่ำ สีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นกับอะไรบางอย่าง"คะท่าน" จันทร์เจ้ารีบลุกขึ้นยืนแล้วเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยเช่นเคย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกไปทางสีหน้า แต่มุมปากก็เอาแต่จะยกยิ้มอยู่เรื่อยจึงเม้มปากเอาไว้เพื่อกลั้นยิ้ม แต่ถ้ามองจากสายตาของเพื่อนร่วมงาน กลับมองว่าหญิงสาวกำลังหวาดกลัวกับน้ำเสียงและท่าทางกราดเกรี้ยวของผู้เป็นนาย ทุกคนจึงอดเห็นใจไม่ได้"คุณซื้อหอยทอดให้ผม" เขาชี้เข้าไปในห้อง จันทร์เจ้าทำทีเป็นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะพยักหน้าอย่างใสซื่อ"ใช่ค่ะ ก็ท่านประธานบอกว่าซื้ออะไรก็ได้ ฉันก็เลยซื้อหอยทอดมาให้เพราะร้านอื่นต้องรอคิวนานน่ะค่ะ เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ามีสิ่งแปลกปลอมในอาหาร""มันมีถั่วงอก!" เขาเค้นเสียงราวกับกัดฟันพูด ทำเอาจันทร์เจ้าต้องกลั้นขำอีกครั้งด้วยการใช้เล็บจิกมือตัวเอง
จันทร์เจ้าหันขวับไปมองเขาทันที แต่เพราะเขาก็ก้มตัวลงมาจึงทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้จนแทบหายใจรดกัน หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าไปทางอื่นแล้วเอนตัวออกห่างจากเขา แต่มือยังคงถูกเขากุมเอาไว้อยู่"ขอโทษที พี่ก็แค่ทำไปตามความเคยชิน"ชินดนัยยิ้มพลางปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ เห็นหญิงสาวรีบคาดเข็มขัดแล้วปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็พอรู้ว่าเธอคงไม่ค่อยพอใจจึงเลิกแกล้ง ปิดประตูรถให้เธอแล้วเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับแค่เสี้ยววินาทีที่ใกล้กันเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่วมกันไม่ได้ จันทร์เจ้าในตอนนั้นคือสาวน้อยอ่อนเดียงสาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาพาเธอไปเที่ยวทะเลแล้วป้อนคำหวานสารพัดจนเธอยอมใจอ่อนมอบกายให้ เขาจำได้ว่าตนตื่นเต้นมากเพราะเพิ่งเคยเปิดซิงผู้หญิงเป็นครั้งแรก เนื่องจากสาว ๆ ของเขาแต่ละคนที่เคยคบมาล้วนแล้วแต่เจนสังเวียนมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงนั้นเขาเห่อเธออยู่พักใหญ่เพราะจันทร์เจ้าเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาใช้เวลานานที่สุดกว่าจะได้มาขึ้นเตียงแต่ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนหนุ่มที่อารมณ์พลุ่งพล่าน เวลาที่มีผู้หญิงอื่นเข้าหาหรือเสนอให้ ถ้าเขาถูกใจก็จะไม
“แต่พี่ไม่รีบ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ขนาดพอดีคำยื่นไปใกล้กับปากของจันทร์เจ้า“กินไก่ราดครีมมายองเนสนี่สิ อร่อยดีนะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ กำลังดี”เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้...จันทร์เจ้าได้แต่บ่นเขาอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉย มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์"อย่าอารมณ์เสียสิ เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ พี่เห็นจันทร์ดูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ทำงานที่นี่ทุกอย่างต้องเป๊ะก็จริง แต่ทุกสิ่งเรายืดหยุ่นกันได้ เรื่องเอกสารที่เลขาฯ คนเก่าเขาทำไว้ยุ่งเหยิงก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่มันเป็นงานที่ผ่านไปแล้ว เก็บเฉพาะที่จำเป็นก็พอ อีกอย่างนะ เอกสารพวกนั้นเราจะเก็บไฟล์ในรูปแบบพีดีเอฟเอาไว้อยู่แล้ว เข้าไปดูที่เซิร์ฟเวอร์เอาก็ได้ คุณเอมคงสอนเรื่องการเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์แล้วใช่ไหม""สอนแล้วค่ะ" พอเห็นเขาพูดเป็นการเป็นงานจันทร์เจ้าก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเอมิกาบอกว่าตั้งแต่ชินดนัยมาบริหารแทนบิดา เขาก็ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ลดการใช้กระดาษ และลดขั้น
ภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่กำลังพลอดรักกันอยู่ในรถยนต์คันหรูตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอขึ้นทีละนิดเพราะน้ำที่เอ่อรื้นขึ้นกบตา จันทร์เจ้ายืนตัวแข็งอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายทั้งปวดแปลบและอึดอัดราวกับหายใจไม่ออก จุกจนเจ็บไปทั้งใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า แต่กลับไร้เสียงสะอื้น ดูเหมือนคนในรถจะเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนยืนมองอยู่ เพราะฝ่ายหญิงทำหน้าตกใจแล้วรีบติดกระดุมเสื้อนิสิตของตนตามเดิม ขณะที่ฝ่ายชายนั้นเพียงหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นชายหนุ่มหันไปพูดบางอย่างกับคนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ จันทร์เจ้าจำหล่อนได้ ผู้หญิงคนนี้ชื่อสลิลา เรียนปีเดียวกันกับเธอแต่คนละคณะ เธอเรียนบริหารการจัดการ แต่เจ้าหล่อนเรียนเศรษฐศาสตร์ และเป็นดาวคณะที่หนุ่ม ๆ ไม่ว่าจะรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ต่างพากันเข้าคิวจีบเพราะอยากสานสัมพันธ์ด้วยแต่ทั้งที่มีชายหนุ่มมากมายหมายปอง ผู้ชายที่สลิลาเลือกคบหากลับเป็นชินดนัย คนรักของเธอชินดนัยเปิดประตูแล้วก้าวลงมาจากรถ ร่างสูงโปร่งในชุดนิสิตเดินเข้าไปหาจันทร์เจ้าด้วยท่าทีปกติราวกับว่
จันทร์เจ้าแหงนมองอาคารหลังใหญ่ตรงหน้าจากในรถด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของเธอในฐานะเลขานุการของท่านประธานใหญ่บริษัทนำเข้านาฬิกาแบรนด์หรู แม้จะไม่ใช่งานแรกสำหรับการเป็นเลขาฯ แต่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ขนาดนี้เมื่อคืนหญิงสาวตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว โชคดีที่เธอตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ไว้สามช่วงเวลา มิเช่นนั้นวันนี้คงมาสายตั้งแต่ทำงานวันแรกหลังจากแลกบัตรแล้วเข้าไปจอดรถในอาคารเสร็จเรียบร้อย จันทร์เจ้าก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นเก้า เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นชื่อบริษัทเด่นหราอยู่ตรงหน้า หญิงสาวผลักประตูกระจกเดินเข้าไปด้านใน และเพราะยังไม่ถึงเวลาทำงาน คนในออฟฟิศจึงค่อนข้างบางตา เธอเห็นหลายคนมองมาด้วยความสงสัย จึงแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตร“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อจันทร์เจ้า ทำตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธาน วันนี้มาเริ่มงานวันแรกค่ะ” แนะนำตัวเองเสร็จก็เห็นหลายคนมีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งยิ้มให้แล้วชี้ขึ้นไปด้านบน“ห้องท่านประธานอยู่ชั้นสิบครับ ยินดีที่ได้รู้จักและได้ร่วมงานกันนะครับคุณจันทร์เจ้า”“ขอบคุณมากค่ะ” เธอค้อมศีรษะขอ