ประตูห้องทำงานของประธานบริษัทเปิดผลัวะออกมาอย่างแรงจนบรรดาเลขานุการสาวที่นั่งกันอยู่ต่างพากันสะดุ้งด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นของท่านประธาน ผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามักจะอารมณ์ดีและใจเย็นอยู่ตลอด
"หนู...คุณจันทร์!" ชินดนัยหน้าแดงก่ำ สีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นกับอะไรบางอย่าง
"คะท่าน" จันทร์เจ้ารีบลุกขึ้นยืนแล้วเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยเช่นเคย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกไปทางสีหน้า แต่มุมปากก็เอาแต่จะยกยิ้มอยู่เรื่อยจึงเม้มปากเอาไว้เพื่อกลั้นยิ้ม แต่ถ้ามองจากสายตาของเพื่อนร่วมงาน กลับมองว่าหญิงสาวกำลังหวาดกลัวกับน้ำเสียงและท่าทางกราดเกรี้ยวของผู้เป็นนาย ทุกคนจึงอดเห็นใจไม่ได้
"คุณซื้อหอยทอดให้ผม" เขาชี้เข้าไปในห้อง จันทร์เจ้าทำทีเป็นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะพยักหน้าอย่างใสซื่อ
"ใช่ค่ะ ก็ท่านประธานบอกว่าซื้ออะไรก็ได้ ฉันก็เลยซื้อหอยทอดมาให้เพราะร้านอื่นต้องรอคิวนานน่ะค่ะ เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ามีสิ่งแปลกปลอมในอาหาร"
"มันมีถั่วงอก!" เขาเค้นเสียงราวกับกัดฟันพูด ทำเอาจันทร์เจ้าต้องกลั้นขำอีกครั้งด้วยการใช้เล็บจิกมือตัวเอง
"ใช่ค่ะ หอยทอดก็ต้องมีถั่วงอกอยู่แล้ว" หญิงสาวแสร้งกะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ พยายามปั้นหน้าตายสุดฤทธิ์ ไม่นำพากับสีหน้าอดกลั้นราวกับอยากกระโดดมาตะปบคอตนของเจ้านายหนุ่ม
"เอ่อ...จันทร์จ๊ะ คือว่าท่านประธานไม่กินถั่วงอกจ้ะ ถือเป็นอาหารต้องห้ามเลย" เอมิกาเดินมาพูดกับเลขาฯ ใหม่ด้วยใบหน้าจืดเจื่อน ก่อนจะหันไปพูดกับประธานหนุ่มหล่อที่ตอนนี้ทำท่าเหมือนกำลังนับหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจ
"น้องเขาไม่รู้ค่ะคุณชิน ดิฉันเองก็ลืมบอกน้องเขาไว้ ต้องขอโทษด้วยค่ะ"
"อ้าว งั้นหรือคะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะท่านประธาน คราวหน้าฉันจะจำไว้ค่ะ"
จันทร์เจ้าทำหน้าสลดพลางยกมือไหว้ขอโทษเขาอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วหลุบตามองพื้น ปากอิ่มเม้มแน่นจนแก้มป่อง ซึ่งอาการอย่างนี้มีหรือที่ชินดนัยจะไม่รู้ว่าเธอแกล้ง
ไอ้การกลั้นขำจนหน้าสั่นนั่นคืออะไร!
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ความจริงแล้วเขาไม่ได้โกรธอะไรเธอมากมาย เพียงแต่เขาเห็นถั่วงอกแล้วรู้สึกขยะแขยงจนขนลุกมากกว่า กอปรกับความโมโหหิวเพราะตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เขาดื่มกาแฟไปแค่ถ้วยเดียว ตอนได้กลิ่นหอมของอาหารที่เธอซื้อมาวางไว้บนโต๊ะให้เขาก็คิดว่าเปิดกล่องออกมาแล้วจะได้กินเลย แต่สิ่งที่อยู่ในกล่องทำเอาเขาถึงกับเบ้หน้า
"ไม่เป็นไร คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด"
เขาเน้นที่คำว่าไม่รู้ เพราะมั่นใจว่าจันทร์เจ้าจำได้แน่นอนว่าเขาไม่กินถั่วงอก และการที่เธอจงใจซื้ออาหารที่ใส่ถั่วงอกเยอะ ๆ มาให้ก็หมายความว่าเธอต้องการแกล้งเขา
"ถ้าอย่างนั้นผมจะลงไปกินเองก็ได้ แต่คุณจันทร์ไปกับผมละกัน จะได้รู้ว่าร้านไหนที่ผมไม่กินบ้าง คุณเพิ่งมาเป็นเลขาฯ ผมวันแรก ยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ"
จันทร์เจ้าเงยหน้ามองเขาตาโต ก่อนจะส่ายหน้าหวือ ปฏิเสธเสียงอ่อน
"เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะท่าน บอกชื่อร้านมาก็ได้ค่ะ คราวหน้าฉันจะได้เลี่ยงไม่ซื้อร้านนั้น"
"ก็ไปด้วยกันนี่แหละ ชื่อร้านอะไรนั่นผมจำไม่ได้หรอก รออยู่นี่แป๊บนะ ผมเข้าไปเอากระเป๋าสตางค์ก่อน" พูดจบเขาก็เดินกลับเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้ง จึงไม่เห็นว่าจันทร์เจ้าอ้าปากค้างพลางมองไปที่เลขาฯ รุ่นพี่อย่างขอความช่วยเหลือ
"พี่เอมคะ จันทร์ไม่อยากไป" หญิงสาวทำหน้าราวกับจะร้องไห้
"ไปเถอะจันทร์ ท่านอุตส่าห์ชวน เรานี่ก็แปลกคน ปกติมีแต่คนอยากไปกินข้าวกับท่านประธานนะ คุณชินน่ะเนื้อหอมจะตาย นี่อะไรกัน ทำหน้าเหมือนเจอเจ้าหนี้อย่างนั้นแหละ" นันทิดาพูดกลั้วหัวเราะ
"นั่นสิ ถ้าเป็นยายเลขาฯ คนเก่านะ ป่านนี้ตีปีกผับ ๆ แล้ว" กชวรรณยิ้มขำเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนกินยาขม
"ไปกันรึยังครับคุณจันทร์เจ้า ผมหิวแล้วนะ" เสียงทุ้มที่ดังมาทำให้สามสาวรุ่นพี่ต้องถอยกลับไปนั่งที่เดิมของตน
"อย่าดุเลขาฯ ใหม่นักนะคะคุณชิน เดี๋ยวน้องเขาใจฝ่อหมด" เอมิกาแกล้งแซวเจ้านายหนุ่ม
"ดุอะไรกัน ถ้าอย่างผมดุ โลกนี้ก็ไม่มีคนใจดีแล้ว" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยก่อนจะเดินนำไปที่ลิฟต์ แต่ขณะที่เดินผ่านจันทร์เจ้า เขาปรายตามองเธอแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างท้าทาย หญิงสาวจึงเชิดหน้าขึ้นแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะเดินตามเขาไปเงียบ ๆ
เมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์ด้วยกันสองคน จันทร์เจ้าเลือกยืนใกล้กับแผงปุ่มกด ขณะที่ชินดนัยยืนเยื้องไปทางด้านหลังเธอเล็กน้อย หญิงสาวกดปุ่มปิดประตูลิฟต์แล้วกดหมายเลขหนึ่ง แต่แล้วจู่ ๆ คนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เอื้อมมากดหมายเลขห้า โดยที่แขนของเขานั้นเฉียดผ่านแขนเธอไปเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอให้หญิงสาวถึงกับต้องกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ
"แสบไม่เบาเลยนะ มาวันแรกก็เล่นพี่ซะแล้ว" เขาพูดเบา ๆ โดยที่สายตายังคงจับจ้องแต่ร่างระหงที่ยืนอยู่ตรงหน้า เห็นศีรษะเธอขยับเล็กน้อยแต่ไม่ยอมหันกลับมามองเขาตรง ๆ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
จนกระทั่งลิฟต์เปิดที่ชั้นห้าซึ่งเป็นชั้นของลานจอดรถชายหนุ่มจึงเดินออกไป จันทร์เจ้ากดปุ่มให้ประตูลิฟต์เปิดค้างไว้แต่ยังคงยืนอยู่ในลิฟต์
"ศูนย์อาหารอยู่ชั้นหนึ่งนี่คะ"
ชินดนัยเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับมาเลิกคิ้วขึ้นอย่างยียวน
"พี่ยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะลงไปกินข้างล่าง พี่แค่พูดว่าจะไปกินเองเท่านั้นนะ ตามมาเถอะน่า เดี๋ยวจะพาไปกินของอร่อย"
จันทร์เจ้าลอบถอนหายใจแต่ก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้ารถยุโรปคันสีดำเพื่อรอให้เธอเดินไปถึง หญิงสาวจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพราะไม่อยากเป็นเป้าสายตาให้เขามอง
เขาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษด้วยการเปิดประตูให้เธอขึ้นไปนั่ง จันทร์เจ้าขอบคุณเขาเบา ๆ แล้วย่อตัวนั่งบนเบาะพลางรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยเอาไว้เพราะไม่อยากให้เขาคาดเข็มขัดให้ และเธอก็เดาได้ไม่ผิดนักเพราะชินดนัยจะคาดเข็มขัดนิรภัยให้จริง ๆ แต่เพราะหญิงสาวคว้าเอาไว้ก่อนแล้ว ผลคือมือใหญ่ของเขาจับหมับที่มือของเธอแทน
จันทร์เจ้าหันขวับไปมองเขาทันที แต่เพราะเขาก็ก้มตัวลงมาจึงทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้จนแทบหายใจรดกัน หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าไปทางอื่นแล้วเอนตัวออกห่างจากเขา แต่มือยังคงถูกเขากุมเอาไว้อยู่"ขอโทษที พี่ก็แค่ทำไปตามความเคยชิน"ชินดนัยยิ้มพลางปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ เห็นหญิงสาวรีบคาดเข็มขัดแล้วปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็พอรู้ว่าเธอคงไม่ค่อยพอใจจึงเลิกแกล้ง ปิดประตูรถให้เธอแล้วเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับแค่เสี้ยววินาทีที่ใกล้กันเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่วมกันไม่ได้ จันทร์เจ้าในตอนนั้นคือสาวน้อยอ่อนเดียงสาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาพาเธอไปเที่ยวทะเลแล้วป้อนคำหวานสารพัดจนเธอยอมใจอ่อนมอบกายให้ เขาจำได้ว่าตนตื่นเต้นมากเพราะเพิ่งเคยเปิดซิงผู้หญิงเป็นครั้งแรก เนื่องจากสาว ๆ ของเขาแต่ละคนที่เคยคบมาล้วนแล้วแต่เจนสังเวียนมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงนั้นเขาเห่อเธออยู่พักใหญ่เพราะจันทร์เจ้าเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาใช้เวลานานที่สุดกว่าจะได้มาขึ้นเตียงแต่ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนหนุ่มที่อารมณ์พลุ่งพล่าน เวลาที่มีผู้หญิงอื่นเข้าหาหรือเสนอให้ ถ้าเขาถูกใจก็จะไม
“แต่พี่ไม่รีบ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ขนาดพอดีคำยื่นไปใกล้กับปากของจันทร์เจ้า“กินไก่ราดครีมมายองเนสนี่สิ อร่อยดีนะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ กำลังดี”เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้...จันทร์เจ้าได้แต่บ่นเขาอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉย มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์"อย่าอารมณ์เสียสิ เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ พี่เห็นจันทร์ดูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ทำงานที่นี่ทุกอย่างต้องเป๊ะก็จริง แต่ทุกสิ่งเรายืดหยุ่นกันได้ เรื่องเอกสารที่เลขาฯ คนเก่าเขาทำไว้ยุ่งเหยิงก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่มันเป็นงานที่ผ่านไปแล้ว เก็บเฉพาะที่จำเป็นก็พอ อีกอย่างนะ เอกสารพวกนั้นเราจะเก็บไฟล์ในรูปแบบพีดีเอฟเอาไว้อยู่แล้ว เข้าไปดูที่เซิร์ฟเวอร์เอาก็ได้ คุณเอมคงสอนเรื่องการเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์แล้วใช่ไหม""สอนแล้วค่ะ" พอเห็นเขาพูดเป็นการเป็นงานจันทร์เจ้าก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเอมิกาบอกว่าตั้งแต่ชินดนัยมาบริหารแทนบิดา เขาก็ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ลดการใช้กระดาษ และลดขั้น
ภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่กำลังพลอดรักกันอยู่ในรถยนต์คันหรูตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอขึ้นทีละนิดเพราะน้ำที่เอ่อรื้นขึ้นกบตา จันทร์เจ้ายืนตัวแข็งอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายทั้งปวดแปลบและอึดอัดราวกับหายใจไม่ออก จุกจนเจ็บไปทั้งใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า แต่กลับไร้เสียงสะอื้น ดูเหมือนคนในรถจะเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนยืนมองอยู่ เพราะฝ่ายหญิงทำหน้าตกใจแล้วรีบติดกระดุมเสื้อนิสิตของตนตามเดิม ขณะที่ฝ่ายชายนั้นเพียงหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นชายหนุ่มหันไปพูดบางอย่างกับคนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ จันทร์เจ้าจำหล่อนได้ ผู้หญิงคนนี้ชื่อสลิลา เรียนปีเดียวกันกับเธอแต่คนละคณะ เธอเรียนบริหารการจัดการ แต่เจ้าหล่อนเรียนเศรษฐศาสตร์ และเป็นดาวคณะที่หนุ่ม ๆ ไม่ว่าจะรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ต่างพากันเข้าคิวจีบเพราะอยากสานสัมพันธ์ด้วยแต่ทั้งที่มีชายหนุ่มมากมายหมายปอง ผู้ชายที่สลิลาเลือกคบหากลับเป็นชินดนัย คนรักของเธอชินดนัยเปิดประตูแล้วก้าวลงมาจากรถ ร่างสูงโปร่งในชุดนิสิตเดินเข้าไปหาจันทร์เจ้าด้วยท่าทีปกติราวกับว่
จันทร์เจ้าแหงนมองอาคารหลังใหญ่ตรงหน้าจากในรถด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของเธอในฐานะเลขานุการของท่านประธานใหญ่บริษัทนำเข้านาฬิกาแบรนด์หรู แม้จะไม่ใช่งานแรกสำหรับการเป็นเลขาฯ แต่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ขนาดนี้เมื่อคืนหญิงสาวตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว โชคดีที่เธอตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ไว้สามช่วงเวลา มิเช่นนั้นวันนี้คงมาสายตั้งแต่ทำงานวันแรกหลังจากแลกบัตรแล้วเข้าไปจอดรถในอาคารเสร็จเรียบร้อย จันทร์เจ้าก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นเก้า เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นชื่อบริษัทเด่นหราอยู่ตรงหน้า หญิงสาวผลักประตูกระจกเดินเข้าไปด้านใน และเพราะยังไม่ถึงเวลาทำงาน คนในออฟฟิศจึงค่อนข้างบางตา เธอเห็นหลายคนมองมาด้วยความสงสัย จึงแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตร“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อจันทร์เจ้า ทำตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธาน วันนี้มาเริ่มงานวันแรกค่ะ” แนะนำตัวเองเสร็จก็เห็นหลายคนมีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งยิ้มให้แล้วชี้ขึ้นไปด้านบน“ห้องท่านประธานอยู่ชั้นสิบครับ ยินดีที่ได้รู้จักและได้ร่วมงานกันนะครับคุณจันทร์เจ้า”“ขอบคุณมากค่ะ” เธอค้อมศีรษะขอ
"ค่ะ" จันทร์เจ้าพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ในใจกลับคิดว่าคงเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนส่งใบสมัครเข้ามามากกว่า เนื่องจากตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทนั้นค่อนข้างเป็นงานที่กดดันพอสมควรที่สำคัญคือเงินเดือนที่เธอเรียกไปค่อนข้างสูง เพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็คงไม่ได้งานนี้แน่ แต่ใครจะคาดคิดว่าเธอกลับถูกเลือก หนำซ้ำทางนี้ยังไม่ต่อรองเงินเดือนที่เรียกไปแม้แต่บาทเดียว"จันทร์ดูเรียบร้อยจังเลยเนอะ ไม่เหมือน..." กชวรรณยังพูดไม่จบ เลขานุการอีกคนก็กระทุ้งแขนเป็นเชิงให้หยุดพูดเสียก่อน"เรียบร้อยแต่ดูแพง แบบนี้แหละเหมาะที่จะเป็นเลขาฯ ท่านประธานที่สุดแล้ว"นันทิดายิ้มอ่อนพลางลอบมองการแต่งกายของเลขานุการคนใหม่อย่างไม่ให้ดูน่าเกลียดและจาบจ้วงเกินไปนักจันทร์เจ้ามาเริ่มงานวันแรกด้วยเดรสเข้ารูปสีกรมท่ายาวคลุมเข่า แขนยาวสี่ส่วน คาดเข็มขัดสีเดียวกับชุด แต่งหน้าอ่อน ๆ รวบผมตึงมัดไว้ด้านหลัง รูปร่างสูงโปร่งของหญิงสาวกับบุคลิกนิ่ง ๆ และเรียบร้อยทำให้เจ้าตัวดูแพงราวกับลูกผู้ดีมีตระกูล อีกทั้งจันทร์เจ้ายังจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี ทุกอย่างจึงดูลงตัวไปหมดแค่นึกภาพตอนจันทร์เจ้าเดินเคียงคู่ไปกับท่านประธานสุดหล่อ คงไม่ม
ตอนเห็นรูปเขาก็แค่รู้สึกว่าคุ้นตา แต่พอเห็นชื่อและนามสกุลเขาก็ยิ้มออกมาทันที และไม่ลังเลเลยที่จะให้รับเธอเข้ามาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของเขาสาวสวยแสนอ่อนหวาน เขาอยากรู้เหลือเกินว่าผ่านมาเจ็ดปีแล้วเธอจะยังคงหวานเหมือนเดิมไหมวันแรกของการทำงานที่ใหม่ของจันทร์เจ้าผ่านพ้นไปด้วยดี หญิงสาวขับรถกลับบ้านย่านชานเมือง และถึงบ้านในเวลาหนึ่งทุ่มเศษ เธอจอดรถหน้าบ้านเดี่ยวขนาดห้าสิบตารางวาเพื่อลงไปเปิดรั้วให้กว้างขึ้นก่อนจะขับรถเข้าไปจอดในบ้าน จากนั้นจึงเดินไปปิดรั้วแล้วล็อกไว้ตามเดิมร่างเล็ก ๆ ของเด็กผู้หญิงวัยห้าขวบคนหนึ่งวิ่งตึกตักออกมาจากบ้าน เมื่อเห็นว่าใครกลับมาถึงบ้านเสียงใส ๆ ก็ตะโกนบอกคนที่กำลังง่วนอยู่ในครัวด้วยความดีใจ"ยายจ๋า แม่จันทร์กลับมาแล้ว" พูดจบก็กางแขนให้อุ้ม จันทร์เจ้าจึงก้มลงอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแล้วหอมแก้มซ้ายขวาของเด็กน้อย"วันนี้หนูพราวหม่ำอะไรเป็นมื้อเย็นคะ" หญิงสาวถามคนในอ้อมแขนพลางเดินไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก"ยายทำข้าวห่อไข่ให้กินค่ะ หนูพราวกินหมดด้วยละ" เจ้าตัวเล็กตอบอย่างภาคภูมิใจ"เก่งมากค่ะ วันนี้แม่จันทร์จะหยอดกระปุกให้หนูสิบบาทเป็นรางวัลที่กินข้าวหมดนะคะ""เย้ อีกหน่อ
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แต่ชีวิตของเธอได้พลิกกลับด้านจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่เคยมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่า เวลานี้ต้องกลายมาเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ ที่ต้องวางแผนการใช้เงินในแต่ละเดือนให้รอบคอบที่สุดเพราะยังมีอีกสองปากท้องที่เธอต้องดูแลแต่จะว่าไปจันทร์เจ้าก็รู้สึกขอบคุณทุกอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาในวันนั้น หาไม่แล้ววันนี้เธอก็คงเป็นเพียงผู้หญิงหัวอ่อนคนหนึ่งที่ไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นเขาคืนนั้นจันทร์เจ้าเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาประวัติของนาฬิกาแบรนด์หรูทั้งสองแบรนด์อีกครั้งเพราะอยากรู้จักกับมันให้มากกว่านี้ เมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจว่าทำไมราคามันถึงแพง รู้แค่ว่ามันสวย และตนก็ชอบเท่านั้น แต่พอได้ทำความรู้จักกับนาฬิกายี่ห้อนี้มากขึ้น หญิงสาวจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมนักสะสมนาฬิกาทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งพระราชินีแห่งอังกฤษจึงนิยมชมชอบและต้องมีไว้ในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งเรือนเสียงเคาะประตูเบา ๆ ทำให้จันทร์เจ้าละสายตาจากหน้าจอแล้วรีบเดินไปเปิดประตูเพราะรู้ว่าใครเป็นคนเคาะ และก็ไม่ผิดจากที่คาดเท่าไรนัก เพราะเมื่อประตูเปิดออกก็มีร่างเล็กจ้อยในชุดนอนสีชมพูหวา
แค่ได้ยินเสียงนั้น หัวใจของจันทร์เจ้าก็เต้นระรัวยิ่งกว่าเดิมเพราะความตกใจ หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มกระจายเต็มวงหน้า รอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหลงใหลได้ปลื้ม และหลงคิดไปว่าตนเป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้เพียงคนเดียวจันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพราะเผลอกลั้นหายใจไว้นาน สมองเริ่มสับสนเพราะนึกไม่ออกว่าจะรับมืออย่างไร ทุกอย่างกะทันหันเกินไปเพราะตั้งแต่เลิกรากันเมื่อเจ็ดปีก่อนเธอก็ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งชินดนัย ผู้ชายไม่รู้จักพอ!"อะไรกัน ทำไมนิ่งไปล่ะ อย่าบอกนะว่าจำพี่ไม่ได้น่ะหนูจันทร์"น้ำเสียงหยอกเย้าอย่างเป็นกันเองของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้ เธอค้อมศีรษะให้เขาอย่างเป็นการเป็นงานแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"จำได้ค่ะ" เธอหลุบตาลงมองพื้นจึงไม่เห็นว่ารอยยิ้มของชินดนัยนั้นกว้างขึ้นกว่าเดิม"ห่างเหินจัง เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ คุยกันแบบเดิมดีกว่าไหม""คงไม่ดีค่ะ คุณเป็นเจ้านายฉันเป็นลูกจ้าง ใครได้ยินเข้าคงคิดว่าฉันทำตัวตีตนเสมอท่าน" เธอไม่กล้ามองหน้าเขา แม้ว