แค่ได้ยินเสียงนั้น หัวใจของจันทร์เจ้าก็เต้นระรัวยิ่งกว่าเดิมเพราะความตกใจ หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มกระจายเต็มวงหน้า รอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหลงใหลได้ปลื้ม และหลงคิดไปว่าตนเป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้เพียงคนเดียว
จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพราะเผลอกลั้นหายใจไว้นาน สมองเริ่มสับสนเพราะนึกไม่ออกว่าจะรับมืออย่างไร ทุกอย่างกะทันหันเกินไปเพราะตั้งแต่เลิกรากันเมื่อเจ็ดปีก่อนเธอก็ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเจอเขาอีกครั้ง
ชินดนัย ผู้ชายไม่รู้จักพอ!
"อะไรกัน ทำไมนิ่งไปล่ะ อย่าบอกนะว่าจำพี่ไม่ได้น่ะหนูจันทร์"
น้ำเสียงหยอกเย้าอย่างเป็นกันเองของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้ เธอค้อมศีรษะให้เขาอย่างเป็นการเป็นงานแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"จำได้ค่ะ" เธอหลุบตาลงมองพื้นจึงไม่เห็นว่ารอยยิ้มของชินดนัยนั้นกว้างขึ้นกว่าเดิม
"ห่างเหินจัง เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ คุยกันแบบเดิมดีกว่าไหม"
"คงไม่ดีค่ะ คุณเป็นเจ้านายฉันเป็นลูกจ้าง ใครได้ยินเข้าคงคิดว่าฉันทำตัวตีตนเสมอท่าน" เธอไม่กล้ามองหน้าเขา แม้ว่าขณะที่กำลังพูดนั้นจะพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาให้ได้อย่างเขา แต่ก็รู้ดีว่าคงฝืดเฝื่อนเต็มทน
ชินดนัยลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมายืนอยู่ตรงหน้าจันทร์เจ้าในระยะห่างแค่เอื้อมมือถึง เขาเห็นมือของเธอที่ประสานกันอยู่นั้นบีบเข้าหากันแน่นอย่างลืมตัว และเห็นว่าสายตาคู่นั้นกำลังสอดส่ายมองซ้ายมองขวาภายใต้เปลือกตาสีพีช กิริยาเล็กน้อยของเธอแบบนี้เขามองก็รู้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังประหม่า และคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่
แม้จะปั้นหน้าให้เย็นชาอย่างไร แต่ความเคยชินบางอย่างอันเป็นนิสัยประจำตัวของเธอก็ยังฟ้องออกมาให้เขารู้อยู่ดีว่าลึก ๆ แล้วจันทร์เจ้าไม่ได้เย็นชาอย่างที่เห็น
"ถ้าอย่างนั้นเอาไว้พูดตอนอยู่กันแค่สองคนก็ได้ถ้าจันทร์ไม่อยากถูกคนอื่นเอาไปพูดเสียหาย ได้ไหมหนูจันทร์ พี่ขอ"
"ไม่ได้ค่ะ ฉันขอเรียกว่าท่านประธานเหมือนพนักงานคนอื่นดีกว่า ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ" หญิงสาวค้อมศีรษะให้เขาอีกครั้งแล้วกลับหลังหันเดินไปที่ประตู แต่แล้วเท้าทั้งสองข้างก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของเขา
“พี่หวังว่าจันทร์จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานด้วยการขอลาออกทั้งที่ยังไม่ผ่านโปรหรอกนะ แต่ถ้าจันทร์คิดจะทำอย่างนั้นจริงก็คงไม่ได้แล้วละ เพราะเมื่อวานจันทร์ก็เซ็นสัญญาไปแล้วนี่นา ในสัญญาระบุไว้ว่าจันทร์จะลาออกไม่ได้จนกว่าจะครบสี่เดือน”
จันทร์เจ้ากลอกตามองเพดานอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เพราะหันหลังให้เขาอยู่ชายหนุ่มจึงไม่เห็น เธอเอี้ยวหน้ามามองเขาแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโต้ตอบกลับไปว่า
“ฉันไม่ทำอะไรเด็ก ๆ แบบนั้นหรอกค่ะ งานสมัยนี้หายากจะตายไป ยิ่งงานที่เงินเดือนดีแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งต้องเกาะเอาไว้ให้แน่น แล้วก็เรื่องส่วนตัวที่ท่านประธานพูดถึงนั่น บอกตามตรงนะคะว่าฉันแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอกนะคะว่าฉันจะเก็บเรื่องแบบนั้นมาใส่ใจ ขอตัวนะคะท่าน ต้องการอะไรก็โฟนมาเรียกนะคะ”
จันทร์เจ้าเปิดประตูออกไปจากห้องของท่านประธานด้วยหัวใจที่เต้นจนแทบกระดอนออกมานอกอก คิดแล้วก็นึกขอบคุณความนิ่งและความหน้าตายของตนที่ช่วยกู้หน้าเอาไว้ได้ หาไม่แล้วเธอคงขายขี้หน้าผู้ชายคนนั้นเป็นแน่
เมื่อประตูปิดลง ชินดนัยได้แต่มองบานประตูอยู่อย่างนั้น คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้นอย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาอย่างนี้จากจันทร์เจ้า ไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงที่เรียบร้อยอ่อนหวาน และมองโลกทุกอย่างเป็นสีชมพูในวันวานจะแปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่ดูมั่นใจในตัวเองอย่างล้นเหลือ หนำซ้ำยังโต้ตอบเขาได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย ดูท่าเจ็ดปีที่ผ่านมา กาลเวลาคงบ่มเพาะเขี้ยวเล็บของเธอให้แหลมคมขึ้นไม่น้อย
น่าสนุกชะมัด!
แม้เขาจะคบผู้หญิงมามากหน้าหลายตา แต่คนที่ทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึงได้อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็มีเพียงจันทร์เจ้าคนเดียวเท่านั้น เมื่อครั้งที่คบกันสมัยเป็นนิสิต ตอนที่ถูกเธอจับได้ว่าเขาคบซ้อนกับผู้หญิงอีกคน เขานึกว่าเธอจะฟูมฟายและขอร้องให้เขาเลิกกับคนอื่นแล้วคบกับเธอเพียงคนเดียว แต่จันทร์เจ้ากลับทำในสิ่งที่เขาไม่คิดว่าคนเรียบร้อยอย่างเธอจะกล้า ด้วยการตบหน้าเขาฉาดใหญ่ท่ามกลางสายตาของนิสิตอีกหลายคน ซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้เขาต้องถูกเพื่อนล้อไปยันวันจบการศึกษาเลยทีเดียว
ชายหนุ่มเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ตามเดิม แต่มุมปากกลับยกยิ้มอยู่ตลอดเวลาราวกับเจอของถูกใจ
งานของจันทร์เจ้าไม่ต่างจากที่ทำงานเก่าเท่าไรนัก เพราะแค่ตรวจสอบเอกสารที่มาวางบนโต๊ะก่อนจะนำเข้าไปให้ท่านประธานในห้อง รับโทรศัพท์ทุกสายที่เป็นของชินดนัยแล้วต่อสายเข้าไปให้เขาในห้อง แต่งานที่หนักหนาสำหรับเธอตอนนี้คือการตามล้างตามเช็ดงานที่เลขานุการคนเก่าทำเอาไว้
“เฮ้อ” หญิงสาวถอนหายใจแผ่วอย่างลืมตัวเมื่อรื้อเอกสารทั้งหมดออกมากองบนโต๊ะเพราะมันอยู่อย่างกระจัดกระจาย ไม่ได้เก็บไว้เป็นหมวดหมู่อย่างที่ควรจะเป็น
เธอเหลือบมองเวลา ใกล้เที่ยงแล้วแต่ยังอยากทำตรงนี้ให้เสร็จภายในวันนี้เพราะไม่ชอบให้อะไรค้างคาจึงตัดสินใจว่าจะไม่กินข้าวกลางวัน แต่แล้วความตั้งใจของจันทร์เจ้าก็ต้องถูกตีตกไปเมื่อเสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น
“คุณจันทร์ครับ ฝากซื้อข้าวกลางวันให้ผมด้วยนะ อะไรก็ได้”
หญิงสาวลอบถอนหายใจก่อนตอบกลับไปคำเดียวสั้น ๆ “ค่ะ”
จันทร์เจ้าคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือแล้วกดลิฟต์ลงไปข้างล่าง อีกสิบนาทีจะพักกลางวัน คนในร้านอาหารจึงยังไม่เยอะ หญิงสาวเมียงมองหาร้านอาหารตามสั่งจนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่ร้านร้านหนึ่ง ความทรงจำบางเรื่องที่เธอคิดว่าลืมไปหมดแล้วกลับผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุด
...
“จันทร์อยากกินผัดไทย พี่ชินกินด้วยกันไหมคะ” เธอชี้ไปที่ร้านผัดไทยหอยทอดในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
“ผัดไทยนี่มันใส่ถั่วงอกด้วยใช่ไหม พี่ไม่กินถั่วงอก” เขาทำหน้าแหย
“อ้าว ทำไมไม่กินคะ อร่อยดีออก”
“รูปร่างมันเหมือนหนอนจะตายไป ยิ่งเอามาใส่ในอาหารดูยังไงก็เหมือนมีหนอนยั้วเยี้ยอยู่ในจาน ฮึ่ย! แค่นึกก็ขนลุกแล้วดูสิเนี่ย” เขายกแขนขึ้นมาให้ดูประกอบคำพูดเมื่อครู่ เธอเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาก็มีมุมเด็ก ๆ อย่างนี้เหมือนกัน
...
จันทร์เจ้ายิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ เธอเดินเข้าไปที่ร้านผัดไทยหอยทอดร้านนั้นทันที
“ป้าคะ เอาหอยทอดหนึ่งห่อค่ะ ขอถั่วงอกเยอะ ๆ นะคะ”
ประตูห้องทำงานของประธานบริษัทเปิดผลัวะออกมาอย่างแรงจนบรรดาเลขานุการสาวที่นั่งกันอยู่ต่างพากันสะดุ้งด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นของท่านประธาน ผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามักจะอารมณ์ดีและใจเย็นอยู่ตลอด"หนู...คุณจันทร์!" ชินดนัยหน้าแดงก่ำ สีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นกับอะไรบางอย่าง"คะท่าน" จันทร์เจ้ารีบลุกขึ้นยืนแล้วเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยเช่นเคย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกไปทางสีหน้า แต่มุมปากก็เอาแต่จะยกยิ้มอยู่เรื่อยจึงเม้มปากเอาไว้เพื่อกลั้นยิ้ม แต่ถ้ามองจากสายตาของเพื่อนร่วมงาน กลับมองว่าหญิงสาวกำลังหวาดกลัวกับน้ำเสียงและท่าทางกราดเกรี้ยวของผู้เป็นนาย ทุกคนจึงอดเห็นใจไม่ได้"คุณซื้อหอยทอดให้ผม" เขาชี้เข้าไปในห้อง จันทร์เจ้าทำทีเป็นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะพยักหน้าอย่างใสซื่อ"ใช่ค่ะ ก็ท่านประธานบอกว่าซื้ออะไรก็ได้ ฉันก็เลยซื้อหอยทอดมาให้เพราะร้านอื่นต้องรอคิวนานน่ะค่ะ เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ามีสิ่งแปลกปลอมในอาหาร""มันมีถั่วงอก!" เขาเค้นเสียงราวกับกัดฟันพูด ทำเอาจันทร์เจ้าต้องกลั้นขำอีกครั้งด้วยการใช้เล็บจิกมือตัวเอง
จันทร์เจ้าหันขวับไปมองเขาทันที แต่เพราะเขาก็ก้มตัวลงมาจึงทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้จนแทบหายใจรดกัน หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าไปทางอื่นแล้วเอนตัวออกห่างจากเขา แต่มือยังคงถูกเขากุมเอาไว้อยู่"ขอโทษที พี่ก็แค่ทำไปตามความเคยชิน"ชินดนัยยิ้มพลางปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ เห็นหญิงสาวรีบคาดเข็มขัดแล้วปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็พอรู้ว่าเธอคงไม่ค่อยพอใจจึงเลิกแกล้ง ปิดประตูรถให้เธอแล้วเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับแค่เสี้ยววินาทีที่ใกล้กันเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่วมกันไม่ได้ จันทร์เจ้าในตอนนั้นคือสาวน้อยอ่อนเดียงสาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาพาเธอไปเที่ยวทะเลแล้วป้อนคำหวานสารพัดจนเธอยอมใจอ่อนมอบกายให้ เขาจำได้ว่าตนตื่นเต้นมากเพราะเพิ่งเคยเปิดซิงผู้หญิงเป็นครั้งแรก เนื่องจากสาว ๆ ของเขาแต่ละคนที่เคยคบมาล้วนแล้วแต่เจนสังเวียนมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงนั้นเขาเห่อเธออยู่พักใหญ่เพราะจันทร์เจ้าเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาใช้เวลานานที่สุดกว่าจะได้มาขึ้นเตียงแต่ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนหนุ่มที่อารมณ์พลุ่งพล่าน เวลาที่มีผู้หญิงอื่นเข้าหาหรือเสนอให้ ถ้าเขาถูกใจก็จะไม
“แต่พี่ไม่รีบ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ขนาดพอดีคำยื่นไปใกล้กับปากของจันทร์เจ้า“กินไก่ราดครีมมายองเนสนี่สิ อร่อยดีนะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ กำลังดี”เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้...จันทร์เจ้าได้แต่บ่นเขาอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉย มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์"อย่าอารมณ์เสียสิ เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ พี่เห็นจันทร์ดูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ทำงานที่นี่ทุกอย่างต้องเป๊ะก็จริง แต่ทุกสิ่งเรายืดหยุ่นกันได้ เรื่องเอกสารที่เลขาฯ คนเก่าเขาทำไว้ยุ่งเหยิงก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่มันเป็นงานที่ผ่านไปแล้ว เก็บเฉพาะที่จำเป็นก็พอ อีกอย่างนะ เอกสารพวกนั้นเราจะเก็บไฟล์ในรูปแบบพีดีเอฟเอาไว้อยู่แล้ว เข้าไปดูที่เซิร์ฟเวอร์เอาก็ได้ คุณเอมคงสอนเรื่องการเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์แล้วใช่ไหม""สอนแล้วค่ะ" พอเห็นเขาพูดเป็นการเป็นงานจันทร์เจ้าก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเอมิกาบอกว่าตั้งแต่ชินดนัยมาบริหารแทนบิดา เขาก็ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ลดการใช้กระดาษ และลดขั้น
ทันทีที่ชินดนัยก้าวเข้าไปในฮอลล์ขนาดใหญ่ เสียงเพลงสากลจังหวะเร้าใจก็ดังกระหึ่ม เบื้องหน้าของเขาเป็นโต๊ะกลมวางตั้งเรียงรายแต่ไม่ชิดติดกันเกินไปเหมือนผับบางที่ โดยแต่ละโต๊ะมีผู้นั่งจับจองอยู่ก่อนแล้ว ถัดไปเป็นเวทีขนาดใหญ่ มีสาวสวยระดับนางแบบหลายสิบชีวิตนุ่งน้อยห่มน้อยเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงอย่างมีชั้นเชิงชายหนุ่มละสายตามาจากหน้าเวทีแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองอย่างคุ้นเคย เพราะบริเวณชั้นสองกั้นเป็นห้องวีไอพีที่แยกกันเป็นสัดส่วน สามารถมองเห็นโชว์จากหน้าเวทีได้โดยไม่ต้องมีใครมาบดบังทัศนียภาพ ทั้งยังมีกระต่ายสาวแสนเซ็กซี่มาคอยบริการเครื่องดื่มให้อีกด้วยเขาเดินตรงไปยังห้องที่เพื่อนสนิททั้งสองคนนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไปถึงก็เห็นบันนี่เกิร์ลแสนสวยสี่นางนั่งประกบเพื่อนเขาฝั่งละคน เขาจึงหย่อนตัวนั่งบนโซฟาที่ว่างอยู่อีกตัว"โถ...เพื่อนกู กว่าจะเสด็จมาได้ เหล้าพร่องไปครึ่งขวดแล้วเนี่ย" ภาวิน นักบินหนุ่มรูปหล่อแซะเพื่อนทันทีที่เห็นอีกฝ่าย"ถ้ามึงไม่ขู่ว่าจะตัดเพื่อนมันก็คงไม่มาหรอก เดี๋ยวนี้มันเป็นคนดีแล้วมึงยังไม่ชินอีกหรือวะ ตั้งแต่กลับจากเมืองนอกมานี่ ถ้าไม่ติดว่ามันยังจำเพื่อนฝูง
และคำตอบที่เขามีให้ตัวเองก็คือ...เขาพอใจแล้ว และเขาควรจะหยุดได้แล้วสี่ปีเต็มกับการทำตัวเหลวแหลกทำให้เขารู้สึกเต็มกลืนกับวิถีเพลย์บอย ดังนั้นเขาจึงเลิกทุกอย่างแบบหักดิบ แล้วตั้งหน้าตั้งตาฝึกงานเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตอีกสองปีก่อนจะบินกลับเมืองไทยมารับช่วงดูแลบริษัทต่อจากบิดา“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมมึงไม่เอาเลยวะ” ภาวินยังคงถามต่ออย่างสงสัย“กูก็บอกไม่ถูกว่ะไอ้วิน พูดไปมึงก็คงไม่เข้าใจหรอก แต่กูเชื่อว่าสักวันเมื่อถึงเวลามึงจะเข้าใจเองนั่นแหละ”ชินดนัยตบบ่าเพื่อน ขณะที่ภาวินได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะลุกกลับไปนั่งที่เดิม ปล่อยให้เพื่อนผู้ปลงแล้วนั่งละเลียดสุราชั้นดีเคล้าเสียงดนตรีโดยไร้สาวสวยเนื้อนุ่มมาคลอเคลียข้างกายต่อไปหลังจากที่จอดรถเข้าซองเสร็จเรียบร้อยจันทร์เจ้าก็ดับเครื่องแล้วเปิดประตูลงจากรถ ปิดประตูแล้วกดรีโมตล็อกรถแล้วหมุนตัวไปอีกด้านเพื่อเดินเข้าอาคาร เธอก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างสูงสง่าของผู้เป็นเจ้านายยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงรออยู่ใกล้ ๆ จนเธอเกือบเดินชนเขาหญิงสาวลอบถอนห
ชายหนุ่มรีบเก็บสายตากลับมาจากร่างระหงตรงหน้าอย่างแนบเนียนเมื่อได้ยินว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้ ครั้นพอหันไปมองจึงเห็นว่าเป็นนิธิ ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศกำลังเดินเข้ามาในออฟฟิศอย่างอารมณ์ดี"หมดวันลาพักร้อนแล้วหรือ" ชินดนัยเอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายทันที"หมดแล้วสิครับเจ้านาย หรือจะอนุมัติให้ผมลาเพิ่มอีกก็ได้นะ" นิธิยิ้มกว้างตอบผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและญาติด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แต่สายตากลับมองเลยไปที่หญิงสาวหน้าใหม่อย่างสนใจ"แล้วนี่..." นิธิเบนสายตากลับมาที่ญาติผู้พี่โดยที่รอยยิ้มไม่เลือนหายไปจากใบหน้า"คุณจันทร์เจ้า เป็นเลขาฯ คนใหม่ของฉันเอง คุณจันทร์ นี่คุณนิธิ เป็นผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ" ชินดนัยแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน เมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มที่ญาติผู้น้องมองหญิงสาวจึงถลึงตาใส่เพื่อปรามอย่างอดไม่ได้"สวัสดีค่ะ" จันทร์เจ้ายกมือไหว้พร้อมกับยิ้มให้บาง ๆ"สวัสดีครับผม ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ ถ้ามีปัญหาอยากปรึกษาอะไรก็มาถามผมได้ทุกเรื่องเลยนะครับ ผมยินดี"หญิงสาวอมยิ้มและรับคำเบา ๆ ขณะที่นิธิเห็นท่าทีสงบนิ่งและบุคลิกที่ติดจะเย็นชาจากเลขานุก
"จะด่าพี่ว่าสันดานเสียก็ด่ามาตรง ๆ เถอะ พี่ไม่โกรธหรอก" เขาพูดกลั้วหัวเราะ รู้สึกสนุกไม่น้อยที่ได้ต่อปากต่อคำกับเธอ"ฉันยังไม่ได้พูดคำนั้นสักคำเลยนะคะ คุณพูดมาเองทั้งนั้น แล้วตกลงจะคุยเรื่องงานไหมคะ ถ้าไม่คุยฉันจะได้ออกไปทำงานที่ค้างไว้จากเมื่อวาน" เธอตวัดสายตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นแววตายิ้มได้กับสีหน้ารื่นเริงของชายหนุ่มก็รู้สึกหมั่นไส้เสียจนอยากเอากาแฟรดหัวเขา ถ้าไม่ติดว่าคนตรงหน้านี้คือเจ้านาย"ฮ่า ๆ โอเค คุยแล้วครับคุยแล้ว แหมดุจัง กลัวจนใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย" เขายังคงเย้าแหย่ไม่เลิก แล้วรีบเข้าสู่โหมดการทำงานก่อนที่หญิงสาวจะโกรธจนเดินหนีออกจากห้องไปเสียก่อน"เรามาอัปเดตตารางงานกันหน่อย สองเดือนข้างหน้าจะมีงานจิวเวลรี่แอนด์วอตช์ที่ไบเทคบางนา จันทร์ช่วยแจ้งทีมการตลาดและฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้มาประชุมในวันจันทร์หน้าด้วยนะ ตอนสิบโมงครึ่ง พี่อยากรู้ความคืบหน้าว่าฝ่ายการตลาดวางแผนอะไรไว้แล้วบ้าง นี่คือเรื่องที่หนึ่ง" เขาหยุดพูดแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มเพื่อให้เวลาจันทร์เจ้าจดบันทึกได้ทัน"เรื่องที่สอง ตามเรื่องห้างสรรพสินค้าในเครือเอ็มซีกรุ๊ปที่กำลังก่อสร้าง
ชินดนัยลอบมองไปทางจันทร์เจ้า เห็นหญิงสาวกำลังปิดสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่มองหน้าเขาแม้แต่หางตาก็ได้แต่ลอบถอนหายใจด้วยความเสียดายและกลัดกลุ้ม อุตส่าห์ได้โอกาสคุยกับเธอดี ๆ แล้วแต่ก็มีเหตุให้ต้องล้มเหลวอีกจนได้"คุณผู้หญิงจะรับกาแฟไหมคะ" จันทร์เจ้าถามหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างนอบน้อม"ไม่ดีกว่าค่ะ ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ ขอบคุณนะคะ" รมิดายิ้มกว้างพลางเอนหลังพิงพนักโซฟา"รอสักครู่นะคะ" จันทร์เจ้ายิ้มตอบแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเอมิกา เมื่อประตูห้องปิดลงแล้ว ชินดนัยก็หันไปหาคนที่นั่งข้างกายทันที"คุณกำลังทำให้ลูกน้องของผมแตกตื่นนะดาด้า""แหม...ไม่เห็นเป็นอะไรเลยค่ะ ว่าแต่ผู้หญิงที่นั่งกับคุณเมื่อกี้คือใครคะ""คุณจันทร์เจ้า เลขาฯ ใหม่ของผมเองแหละ มาแทนคุณพรีมน่ะ"เขาตอบเสร็จก็ถอนหายใจแผ่วอีกครั้ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าจันทร์เจ้าจะคิดเลยเถิดไปไหนต่อไหนแล้วรมิดาพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ "อืม คนนี้ดูนิ่งดีนะ ท่าทางเป็นมืออาชีพแล้วก็ดูมีรสนิยมดีด้วย"ชินดนัยยิ้มเมื่อได้ยินรมิดาเอ่ยชมจันทร์เจ้า เพราะกับพรีมหรือพริมา เลขานุการคน
"อย่างกับมันอยากคุยกับกูนักนี่ กูชวนคุยก็ถามคำตอบคำ ท่าทางไม่ค่อยชอบหน้ากูเท่าไร คงคิดว่ากูจะไปจีบเด็กมึงละมั้ง เฮ้อ...พูดแล้วก็เสียดายแทนมึงว่ะ ยายนั่นหุ่นโคตรเด็ดเลยนะว่าไหม ผิวแม่งโคตรเนียน"อติวิชญ์เดาะลิ้นพลางส่ายหน้าช้า ๆ มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ ซึ่งในนั้นมียาทิงเจอร์ขาวขวดเล็ก ๆ อยู่ ท่าทางสุภาพบุรุษแบบนักธุรกิจหนุ่มก่อนหน้านี้หายวับไป เพราะถูกแทนที่ด้วยความเสเพลร้ายกาจซึ่งแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตา"มึงใส่ยาไปแค่ไหนวะ ทำไมมันยังมีแรงมาต่อต้านกูได้"บรรพตหันไปถามอติวิชญ์ เพื่อนสนิทที่กินเที่ยวเล่นอยู่ในกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในฐานะนักล่าคอเดียวกัน และเพราะธุรกิจที่ครอบครัวของอติวิชญ์ทำอยู่เป็นสายเดียวกับครอบครัวของเขาที่ทำโครงการบ้านจัดสรร ความสนิทสนมจึงยิ่งแน่นแฟ้น"ใส่ไปนิดเดียวแค่หยดสองหยด ใส่เยอะได้ยังไงเล่าเดี๋ยวคนอื่นเห็นอาการเข้าก็สงสัยกันหมดน่ะสิ ยิ่งกูไปโกหกเด็กเสิร์ฟไว้ว่าจะจีบสาว ให้มันช่วยเอาน้ำแก้วนั้นไปเสิร์ฟใกล้ ๆ ตอนกูให้สัญญาณนั่นอีกล่ะ ถ้าอาการออกเร็วขึ้นมาไอ้เด็กเสิร์ฟคนนั้นสงสัยกูแน่นอน อีกอย่างนะ ก
หญิงสาวถูกพยุงให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินเข้าห้องน้ำหญิงที่เดินอีกแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึง เมื่อเข้ามาด้านในได้ จันทร์เจ้าก็พุ่งตัวเข้าไปทรุดนั่งกับพื้นแล้วโก่งคออาเจียนที่โถชักโครกอย่างหมดสภาพ พนักงานที่ช่วยพยุงมาทั้งสองคนจึงได้แต่เฝ้าดูที่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอย่างเป็นกังวล"เธอไปหาแก้วใส่น้ำให้คุณผู้หญิงใช้บ้วนปากเถอะ ท่าทางจะลุกไม่ไหว เอากระเป๋าของคุณเขามาไว้ที่พี่ละกัน พี่จะถือไว้ให้เอง" พนักงานที่อาวุโสกว่าหันไปบอกกับพนักงานรุ่นน้อง อีกฝ่ายจึงยื่นกระเป๋าถือของจันทร์เจ้าให้แล้วเดินออกจากห้องน้ำไปจันทร์เจ้าทิ้งตัวพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดแรง ร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ ลำคอแห้งผากและร้อนผ่าวราวกับกำลังถูกเผาไหม้ เธอหันไปมองพนักงานที่ยืนอยู่เป็นเพื่อนแล้วขอร้องด้วยน้ำเสียงแหบพร่า"น้ำ ขอน้ำหน่อยค่ะ""รอสักครู่นะคะ ดิฉันกำลังให้น้องเขาไปเอาแก้วมาให้ค่ะ คุณผู้หญิงจะให้ดิฉันช่วยติดต่อญาติมารับไหมคะ แล้วคุณผู้ชายที่อยู่ข้างนอกนั่น..."พนักงานสาวพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะเลือกใช้คำไหนจึงจะเหมาะสมเนื่องจากไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนทั้งคู่จันทร์เจ้าส่ายหน
จันทร์เจ้าเดินออกมานอกห้องประชุมได้ก็พยายามก้าวขาเร็ว ๆ พลางมองหาห้องน้ำ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนจึงหยุดเดินแล้วพยายามหายใจลึก เอาอากาศเข้าปอดให้มากเพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหายใจลำบากจนต้องยกมือขึ้นทาบอก แต่ลมจากในช่องท้องก็ตีรวนขึ้นมาอีก ส่งผลให้เธอต้องเลื่อนมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้อีกครั้งหญิงสาวพยายามสะกดกลั้นอาการคลื่นไส้เอาไว้ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากลับพร่าเบลอจนต้องหลับตาแล้วสะบัดศีรษะสองสามครั้งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ ทว่าการลืมตาขึ้นมาครั้งนี้เธอรู้สึกว่าพื้นที่ยืนอยู่โคลงเคลงจนแทบทรงตัวไม่ได้ ครั้นพอหันมองไปรอบตัวก็เห็นว่ามีทั้งพนักงานและแขกที่มาใช้บริการของทางโรงแรมอยู่ไม่กี่คนกำลังมองมาทางตนและถามด้วยความสงสัย"คุณผู้หญิงคะ เป็นอะไรรึเปล่า"จันทร์เจ้าพยายามครองสติเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากพูดอะไรบางอย่างออกไปแต่อาการคลื่นไส้วิงเวียนก็โจมตีเข้ามาอีกครั้งจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก อีกมือก็จับกระเป๋าถือไว้แน่น พนักงานสาวอีกคนที่เห็นอาการของเธอจึงถามมาอีกครั้ง"คุณผู้หญิงจะไปห้องน้ำไหมคะ ดูเหมือนจะคลื่นไส้อยา
"ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลยค่ะ ไม่ก็คือไม่ ฉันว่าเราต่างคนต่างอยู่และคงสถานะไว้ที่เจ้านายกับลูกน้องก็ดีอยู่แล้ว อีกอย่างนะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คุณบอกฉันเองว่าชีวิตยังอีกยาวไกล จะให้มาคบผู้หญิงคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ และฉันก็จะไม่มีวันเป็นตัวเลือกของใครด้วย"ชายหนุ่มเงียบไปไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ในที่สุดคำพูดร้ายกาจของเขาก็ย้อนกลับมาเล่นงานตัวเองจนได้ เขาไม่โทษเธอที่ใจแข็งและไม่รู้จักให้อภัย แต่เขาโทษตัวเองที่เป็นฝ่ายสร้างบาดแผลไว้ให้เธอมากกว่า"พี่จะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ละกัน แต่พี่บอกไว้เลยนะว่าถ่านไฟเก่าอย่างพี่จะพยายามติดไฟให้ได้"จันทร์เจ้าแค่นยิ้มแล้วมองเขาด้วยหางตาอีกครั้งก่อนพูดว่า"ถ่านไฟเก่าอะไร แค่เถ้าไม้ขีดก็พอมั้งคะ"ชินดนัยทำปากยื่นเหมือนเด็กเวลางอนพลางพึมพำเสียงขุ่น"คนสวยใจดำ!"ทั้งคู่มาถึงงานประมูลในเวลาหกโมงเศษ งานนี้จัดขึ้นที่โรงแรมระดับห้าดาวย่านใจกลางเมือง เมื่อเข้าไปในงาน จันทร์เจ้าก็เดินเข้าไปที่จุดลงทะเบียนเพื่อยื่นบัตรเชิญให้เจ้าหน้าที่ เสร็จเรียบร้อยก็ได้รั
จันทร์เจ้านั่งหันหน้าไปมองข้างทางตลอดเวลา ส่วนชินดนัยก็อาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันไปมองหญิงสาวให้เต็มตาอีกครั้ง วันนี้เธอสวยสง่ามาก ชุดเดรสสีม่วงเปลือกมังคุดช่วยขับผิวพรรณของเธอให้ยิ่งผุดผ่องชวนมอง จันทร์เจ้าไม่ชอบแต่งตัวโชว์เนื้อหนังมากเกินไป แต่ก็ไม่เรียบเสียจนดูไร้รสนิยม อย่างชุดที่เธอใส่วันนี้ก็เป็นเดรสแขนกุดคอกลมธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือช่วงบนตั้งแต่เหนืออกขึ้นเป็นผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีเดียวกับชุด ด้านหลังก็เว้าไม่ลึกมากนัก มองแล้วเรียบง่ายกึ่ง ๆ ทางการแต่ก็แฝงความเซ็กซี่เย้ายวนด้วยเช่นกัน"มีคนบอกรึยังว่าวันนี้จันทร์สวยมาก" เขาพูดทำลายความเงียบ และจงใจขับให้ช้าลงโดยเลือกเส้นทางปกติ ไม่ขึ้นทางด่วนเพราะจะถึงที่หมายเร็วเกินไป"มีแล้วค่ะ" เธอตอบพลางมองเขาด้วยหางตา ทำเอาเขาอดยิ้มออกมาไม่ได้"หนูพราวละสิ ใช่ไหม" ในบ้านของเธอมีกันอยู่แค่สามคน และพราวนภาก็เป็นคนขึ้นไปตามเธอให้ลงมาข้างล่าง หากไม่ใช่หลานสาวตัวน้อยที่เอ่ยปากชมแล้วจะเป็นแมวที่ไหนได้อีกจันทร์เจ้าตวัดสายตาส่งค้อนให้เขาแล้วตอบสั้น ๆ "ค่ะ""หนูพราวนี่ขี้อ้อนจังเนอะ ปากหวานด้วย ตัวแค่นี้เข้าใจช
"กาแฟค่ะท่านประธาน" เสียงหวานแต่ฟังดูแล้วติดจะเย็นชาของเลขานุการสาว กอปรกับการที่เธอไม่ยอมมองหน้าเขาตรง ๆ ทำให้ชินดนัยอดสงสัยไม่ได้ เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจันทร์เจ้าจะตั้งกำแพงระหว่างกันขึ้นสูงมากกว่าเดิม ทั้งที่วันศุกร์ที่แล้วเขาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเริ่มเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากที่ไปกินไอศกรีมด้วยกันเสียอีกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านไปมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอกันแน่ ทำไมคราวนี้จันทร์เจ้าถึงตั้งแง่กับเขามากกว่าตอนเจอหน้ากันครั้งแรกด้วยซ้ำ"จันทร์" เขาเรียกเธอเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดประตูออกไปจากห้อง"คะท่านประธาน" หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย"จันทร์เป็นอะไรรึเปล่า หรือพักนี้มีเรื่องอะไรไม่สบายใจไหม" เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวเธอจะคิดมากเรื่องพราวนภา"ไม่มีค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ ขอตัวก่อนค่ะ" เธอกลับหลังหันไปทางประตูแต่เขาก็เรียกอีก"เดี๋ยวก่อน!"จันทร์เจ้าชะงัก ก่อนจะหันไปหาเขาอีกครั้ง "คะท่านประธาน""พรุ่งนี้พี่จะไปรับจันทร์ที่บ้านตอนห้าโม
"พี่เอาไปเก็บให้ดีกว่าครับเพราะมันหนักมาก น้องจันทร์ถือไม่ไหวหรอก ถึงถือไหวก็จะเจ็บมือเปล่า ๆ ผมขออนุญาตเอาของไปวางบนโต๊ะนะครับคุณน้า" บรรพตหันไปค้อมศีรษะให้เจ้าของบ้าน"เชิญค่ะ" พรรณียิ้มบาง ๆ ก่อนจะเชื้อเชิญให้เจ้าสัวเอนกนั่งในห้องรับแขก ส่วนจันทร์เจ้าก็เดินไปนำน้ำมาเสิร์ฟให้แขกผู้มาเยือน จากนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็คุยเรื่องทั่วไปกันอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดเจ้าสัวก็เริ่มเข้าเรื่อง"คืออย่างนี้นะคุณพรรณี เจ้าพตลูกชายของผมเนี่ย ปีนี้มันก็อายุอานามควรจะเป็นฝั่งเป็นฝาได้แล้ว ผมก็เคยถามมันว่ามีแฟนรึยัง มันก็บอกว่ายังไม่มีแต่มีคนที่ชอบอยู่"เจ้าสัวหยุดพูดแล้วมองไปทางจันทร์เจ้าพร้อมกับยิ้มจนตาหยี ส่วนบรรพตเองก็มองหญิงสาวอยู่เช่นกัน แต่มองด้วยสายตาวาววามราวกับเสือที่รอตะปบเหยื่อ"ผมจะไม่พูดอ้อมค้อมละนะ คนที่เจ้าลูกชายตัวดีของผมมันชอบก็คือหนูจันทร์นี่แหละ ฮ่า ๆ" เจ้าสัวพยายามทำให้บรรยากาศครื้นเครง ขณะที่บรรพตเองก็ได้แต่ยิ้มพลางหลุบตาลงมองพื้นพรรณีฝืนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันมองบุตรสาวที่นั่งอยู่ข้างกายแล้วมองเลยไปยังหลานตัวน้อยที่นั่งเล่นตัวต่ออยู่บนพื้นข้างจันท
วันต่อมาจันทร์เจ้าตื่นแต่เช้ามาเป็นลูกมือช่วยมารดาทำกับข้าวอยู่ในครัว เพราะคุยกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าวันนี้จะไปทำบุญกันที่วัด เนื่องจากเธอไม่ได้ไปร่วมงานศพพร้อมมารดา"จันทร์เอาข้าวไปให้หนูพราวกินก่อนนะคะคุณแม่ ของในครัวคุณแม่ไม่ต้องเก็บนะคะเดี๋ยวจันทร์มาเก็บเองค่ะ"พูดจบก็เดินถือจานข้าวสำหรับเด็กไปวางบนโต๊ะกินข้าว จากนั้นก็เดินไปเรียกเจ้าตัวเล็กที่นั่งดูการ์ตูนอยู่หน้าโทรทัศน์"หนูพราวไปกินข้าวเช้าได้แล้วลูก กินเสร็จจะได้อาบน้ำแต่งตัวไปวัดกัน"เมื่อได้ยินว่าจะได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านพราวนภาก็หันขวับมาหาคนพูดทันที "จะไปเที่ยวหรือคะ""ไปไหว้พระที่วัดค่ะ ธุจ้าไงคะลูก""แล้วเราจะไปกินไอติมกันอีกไหมคะ คุณลุงประธานไปด้วยไหม" เสียงใสถามเจื้อยแจ้วนัยน์ตาเป็นประกาย จันทร์เจ้าเห็นแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจเพราะดูท่าทางหลานสาวจะชอบคนเจ้าเล่ห์คนนั้นไม่น้อยเลย"คุณลุงก็ต้องอยู่บ้านคุณลุงสิคะ ไม่ได้ไปกับเราหรอกค่ะ เพราะคุณลุงเขาก็ต้องพาครอบครัวไปเที่ยวเหมือนกัน"เมื่อวานหลังจากที่กินไอศกรีมกันเสร็จแล้ว พราวนภาก็หนังท้องตึงหนังตาหย่
ไม่พูดเปล่า แต่เอนกยังกระชากผ้านวมของอีกฝ่ายมาทิ้งลงข้างเตียง เผยให้เห็นสภาพเกือบเปลือยของคนที่เพิ่งขยับตัวบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน"อือ...ป๊าจะมาโวยวายเสียงดังทำไมเนี่ย อั๊วจะนอน" บรรพตไม่สนใจผ้านวมที่ถูกแย่งไป เขาพลิกตัวไปอีกด้านแล้วเอาศีรษะซุกไว้ใต้หมอนเพื่อหลับต่อ"มึงนอนตั้งแต่กูออกไปทำงานเมื่อตอนบ่าย จนตอนนี้มันจะสองทุ่มอยู่แล้วก็ยังไม่คิดจะตื่น หรือมึงต้องให้กูถีบถึงจะยอมลุกจากเตียง" เอนกต่อว่าเสียงดังลั่น บรรพตจึงต้องลุกขึ้นมานั่งอย่างเสียไม่ได้เพราะรู้ดีว่าหากบิดาขึ้นมึงขึ้นกูเมื่อไร นั่นหมายความว่าท่านกำลังโกรธจัด"ป๊ามีอะไร" ชายหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ แต่เพราะเมื่อคืนก่อนเขาสนุกสุดเหวี่ยงมากเกินไปหน่อย ผลคือร่างกายอ่อนเพลียจนนอนมาราธอนได้ขนาดนี้"เมื่อวานมึงไปก่อเรื่องอะไรมา มึงอย่ามาโกหกเชียวนะ สารวัตรเขาโทรศัพท์มาเล่าให้กูฟังหมดแล้ว"บรรพตพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ใบหน้ายับยุ่งที่เกิดจากการนอนนั้นจึงยิ่งดูน่ากระทืบเหลือเกินสำหรับคนมอง"ในเมื่อเขาเล่าให้ฟังหมดแล้ว ป๊าจะมาถามอั๊วทำไมเล่า""ไอ้