ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แต่ชีวิตของเธอได้พลิกกลับด้านจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่เคยมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่า เวลานี้ต้องกลายมาเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ ที่ต้องวางแผนการใช้เงินในแต่ละเดือนให้รอบคอบที่สุดเพราะยังมีอีกสองปากท้องที่เธอต้องดูแล
แต่จะว่าไปจันทร์เจ้าก็รู้สึกขอบคุณทุกอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาในวันนั้น หาไม่แล้ววันนี้เธอก็คงเป็นเพียงผู้หญิงหัวอ่อนคนหนึ่งที่ไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นเขา
คืนนั้นจันทร์เจ้าเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาประวัติของนาฬิกาแบรนด์หรูทั้งสองแบรนด์อีกครั้งเพราะอยากรู้จักกับมันให้มากกว่านี้ เมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจว่าทำไมราคามันถึงแพง รู้แค่ว่ามันสวย และตนก็ชอบเท่านั้น แต่พอได้ทำความรู้จักกับนาฬิกายี่ห้อนี้มากขึ้น หญิงสาวจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมนักสะสมนาฬิกาทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งพระราชินีแห่งอังกฤษจึงนิยมชมชอบและต้องมีไว้ในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งเรือน
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ทำให้จันทร์เจ้าละสายตาจากหน้าจอแล้วรีบเดินไปเปิดประตูเพราะรู้ว่าใครเป็นคนเคาะ และก็ไม่ผิดจากที่คาดเท่าไรนัก เพราะเมื่อประตูเปิดออกก็มีร่างเล็กจ้อยในชุดนอนสีชมพูหวานยืนยิ้มเผล่กอดตุ๊กตาหมูสีชมพูกับผ้าห่มประจำตัวอยู่หน้าห้อง
"หนูพราวอยากนอนกับแม่จันทร์ค่ะ"
"เข้ามาสิคะคนเก่ง" หญิงสาวเบี่ยงตัวให้หลานสาวตัวน้อยเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูไว้ตามเดิม
"ขอแม่จันทร์ปิดคอมก่อนนะคะ หนูพราวขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนเลยลูก" เธอพูดพลางเดินไปปิดโน้ตบุ๊กบนโต๊ะเขียนหนังสือ เสร็จเรียบร้อยก็ปิดไฟจนห้องมืด มีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟตามถนนในหมู่บ้านเท่านั้นที่เล็ดลอดเข้ามา
จันทร์เจ้าคลี่ผ้าห่มให้หลานสาวก่อนจะเอนตัวนอน เธอเห็นพราวนภายังมองมาตาแป๋วอยู่จึงคลี่ยิ้มให้ท่ามกลางความมืด "หนูพราวยังไม่ง่วงหรือคะ"
"ยังค่ะ แม่จันทร์ขา เมื่อไรพ่อที่อยู่บนสวรรค์จะมาหาหนูพราวคะ"
เมื่อได้ยินคำถามจากหลานจันทร์เจ้าก็ได้แต่สะท้านอยู่ในอก สงสารเจ้าตัวเล็กจับใจ เธอยกมือขึ้นลูบศีรษะของหลานสาวพลางพูดปลอบ
"คุณพ่อยังมาตอนนี้ไม่ได้หรอกลูก หนูพราวอยู่กับแม่จันทร์กับยายจ๋าไปก่อนนะคะ ถ้าวันไหนคุณพ่อทำงานเสร็จก็จะมาหาหนูพราวเองค่ะ แต่หนูพราวต้องเป็นเด็กดี และนอนแต่หัววันนะคะ"
"ได้ค่ะ" พูดจบเจ้าตัวก็ปิดเปลือกตาลง
หญิงสาวมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่มีส่วนละม้ายคล้ายเพียงตะวันพี่สาวของเธอด้วยแววตาอ่อนแสง พราวนภาเหมือนพ่อกับแม่อย่างละครึ่ง เพราะลักยิ้มที่ข้างแก้มซ้ายนั้นน่าจะได้มาจากผู้เป็นพ่อ เธอไม่เคยเจอหน้าพ่อของพราวนภา และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใครหรืออยู่ที่ไหน มีเพียงรูปถ่ายที่อยู่ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเพียงตะวันเท่านั้นที่หลงเหลือเอาไว้ ซึ่งพี่สาวของเธอเป็นคนบอกเองว่าผู้ชายคนนี้คือพ่อของหนูพราว
พอพราวนภาเข้าโรงเรียนก็เริ่มถามหาผู้เป็นพ่อ เธอจึงเปิดรูปผู้ชายคนนั้นให้หลานดู โชคดีที่ไม่ได้มีแค่รูปเดียว แต่มีถึงสามสิบกว่ารูป ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นรูปที่ถ่ายกับเพียงตะวันตอนไปต่างประเทศด้วยกัน พี่สาวของเธอทำงานเป็นแอร์โฮสเตส จันทร์เจ้าจึงเดาว่าผู้ชายคนนี้น่าจะทำงานเป็นนักบินสายการบินเดียวกับที่เพียงตะวันทำงานอยู่ แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดไปสืบหาว่าเขาคือใคร เพราะตั้งแต่เพียงตะวันตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดพราวนภาออกมา เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นมาหาพี่สาวเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หญิงสาวปิดเปลือกตาลงตามหลานสาว ในใจได้แต่ภาวนาให้พราวนภาได้พบหน้าพ่อจริง ๆ สักครั้ง
วันต่อมาจันทร์เจ้าขับรถไปทำงานในเวลาเดิม โดยให้มารดาทำหน้าที่ไปรับส่งพราวนภาที่โรงเรียนอนุบาลเพราะอยู่ใกล้บ้าน หญิงสาวไปถึงออฟฟิศก่อนเวลาเข้างานประมาณครึ่งชั่วโมง จึงจอดรถในอาคารแล้วเดินออกจากตึกไปซื้อแซนด์วิชมากินกับกาแฟ โดยเธอไม่มีโอกาสรู้เลยว่าตอนที่กำลังเดินอยู่ริมทางเท้านั้นได้ตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนเข้าแล้ว
"สวยขึ้นนะเนี่ยหนูจันทร์"
นัยน์ตาคมกริบสีนิลจับจ้องร่างระหงในชุดเดรสคลุมเข่าสีเปลือกไข่ไม่วางตา แววตาเป็นประกายระยิบระยับ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยระหว่างที่มองตามหญิงสาวไปแทบทุกฝีก้าว ก่อนจะตัดใจละสายตาจากมาเมื่อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทำให้เขาต้องเหยียบคันเร่งเคลื่อนตามไป จนกระทั่งเลี้ยวเข้าไปในอาคารได้ในที่สุด
จันทร์เจ้าเดินออกจากลิฟต์พร้อมถุงแซนด์วิชที่ซื้อมา เธอวางกระเป๋าสะพายไว้บนโต๊ะทำงานพลางมองไปที่โต๊ะของบรรดาเลขาฯ รุ่นพี่ แต่ดูเหมือนยังไม่มีใครมาถึงจึงเดินไปห้องแคนทีนเพื่อชงกาแฟมาดื่มคู่กับแซนด์วิชเป็นมื้อเช้า
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังนั่งกินแซนด์วิชอยู่นั้น จู่ ๆ ประตูห้องทำงานของท่านประธานก็เปิดออกพร้อมกับเอมิกาเดินคลี่ยิ้มเข้ามาหาที่โต๊ะ
"สวัสดีค่ะพี่เอม แซนด์วิชไหมคะ" เธอชวนอีกฝ่ายให้กินด้วยกัน แต่เอมิกาส่ายหน้าปฏิเสธแล้วพูดว่า
"จันทร์กินเลย แต่กินเสร็จแล้วก็เข้าไปรายงานตัวกับท่านประธานหน่อยนะ ท่านมาแล้วน่ะ"
จันทร์เจ้าเบิกตากว้าง รีบเคี้ยวอาหารในปากแล้วกลืนอย่างรวดเร็วก่อนจะถามเสียงแผ่ว
"กลับมาแล้วหรือคะ ก็ไหนว่ากลับพรุ่งนี้ไง"
"พี่ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมถึงมาวันนี้ได้ เพราะตามตารางมันต้องเป็นพรุ่งนี้"
"ได้ค่ะ งั้นจันทร์จะรีบกินให้เสร็จจะได้เข้าไปรายงานตัว" พูดจบเธอก็กินแซนด์วิชที่เหลืออย่างว่องไว แต่สายตาคนมองอย่างเอมิกานั้นไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เห็นว่าท่ากินอย่างเร่งรีบของจันทร์เจ้าดูเรียบร้อยนุ่มนวลอยู่ดี
จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะยกมือเคาะประตูห้องท่านประธานสามครั้ง รอจนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้องจึงหมุนลูกบิดเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่ช้าไม่เร็วเกินไปนัก โดยที่ตลอดเวลานั้นหญิงสาวหลุบตาลงมองพื้นอยู่ตลอด แม้กระทั่งตอนที่ยกมือไหว้คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เธอก็ยังมองแค่ปกเสื้อของเขาเท่านั้น
"สวัสดีค่ะท่านประธาน ดิฉันจันทร์เจ้า ประสิทธิเวชค่ะ"
เธอรู้สึกว่าหัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้นจนมือสั่นตามไปด้วย จากนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าจะลืมหายใจเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่ทักทายกลับมา
"สวัสดีหนูจันทร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"
แค่ได้ยินเสียงนั้น หัวใจของจันทร์เจ้าก็เต้นระรัวยิ่งกว่าเดิมเพราะความตกใจ หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มกระจายเต็มวงหน้า รอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหลงใหลได้ปลื้ม และหลงคิดไปว่าตนเป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้เพียงคนเดียวจันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพราะเผลอกลั้นหายใจไว้นาน สมองเริ่มสับสนเพราะนึกไม่ออกว่าจะรับมืออย่างไร ทุกอย่างกะทันหันเกินไปเพราะตั้งแต่เลิกรากันเมื่อเจ็ดปีก่อนเธอก็ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งชินดนัย ผู้ชายไม่รู้จักพอ!"อะไรกัน ทำไมนิ่งไปล่ะ อย่าบอกนะว่าจำพี่ไม่ได้น่ะหนูจันทร์"น้ำเสียงหยอกเย้าอย่างเป็นกันเองของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้ เธอค้อมศีรษะให้เขาอย่างเป็นการเป็นงานแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"จำได้ค่ะ" เธอหลุบตาลงมองพื้นจึงไม่เห็นว่ารอยยิ้มของชินดนัยนั้นกว้างขึ้นกว่าเดิม"ห่างเหินจัง เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ คุยกันแบบเดิมดีกว่าไหม""คงไม่ดีค่ะ คุณเป็นเจ้านายฉันเป็นลูกจ้าง ใครได้ยินเข้าคงคิดว่าฉันทำตัวตีตนเสมอท่าน" เธอไม่กล้ามองหน้าเขา แม้ว
ประตูห้องทำงานของประธานบริษัทเปิดผลัวะออกมาอย่างแรงจนบรรดาเลขานุการสาวที่นั่งกันอยู่ต่างพากันสะดุ้งด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นของท่านประธาน ผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามักจะอารมณ์ดีและใจเย็นอยู่ตลอด"หนู...คุณจันทร์!" ชินดนัยหน้าแดงก่ำ สีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นกับอะไรบางอย่าง"คะท่าน" จันทร์เจ้ารีบลุกขึ้นยืนแล้วเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยเช่นเคย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกไปทางสีหน้า แต่มุมปากก็เอาแต่จะยกยิ้มอยู่เรื่อยจึงเม้มปากเอาไว้เพื่อกลั้นยิ้ม แต่ถ้ามองจากสายตาของเพื่อนร่วมงาน กลับมองว่าหญิงสาวกำลังหวาดกลัวกับน้ำเสียงและท่าทางกราดเกรี้ยวของผู้เป็นนาย ทุกคนจึงอดเห็นใจไม่ได้"คุณซื้อหอยทอดให้ผม" เขาชี้เข้าไปในห้อง จันทร์เจ้าทำทีเป็นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะพยักหน้าอย่างใสซื่อ"ใช่ค่ะ ก็ท่านประธานบอกว่าซื้ออะไรก็ได้ ฉันก็เลยซื้อหอยทอดมาให้เพราะร้านอื่นต้องรอคิวนานน่ะค่ะ เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ามีสิ่งแปลกปลอมในอาหาร""มันมีถั่วงอก!" เขาเค้นเสียงราวกับกัดฟันพูด ทำเอาจันทร์เจ้าต้องกลั้นขำอีกครั้งด้วยการใช้เล็บจิกมือตัวเอง
จันทร์เจ้าหันขวับไปมองเขาทันที แต่เพราะเขาก็ก้มตัวลงมาจึงทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้จนแทบหายใจรดกัน หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าไปทางอื่นแล้วเอนตัวออกห่างจากเขา แต่มือยังคงถูกเขากุมเอาไว้อยู่"ขอโทษที พี่ก็แค่ทำไปตามความเคยชิน"ชินดนัยยิ้มพลางปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ เห็นหญิงสาวรีบคาดเข็มขัดแล้วปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็พอรู้ว่าเธอคงไม่ค่อยพอใจจึงเลิกแกล้ง ปิดประตูรถให้เธอแล้วเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับแค่เสี้ยววินาทีที่ใกล้กันเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่วมกันไม่ได้ จันทร์เจ้าในตอนนั้นคือสาวน้อยอ่อนเดียงสาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาพาเธอไปเที่ยวทะเลแล้วป้อนคำหวานสารพัดจนเธอยอมใจอ่อนมอบกายให้ เขาจำได้ว่าตนตื่นเต้นมากเพราะเพิ่งเคยเปิดซิงผู้หญิงเป็นครั้งแรก เนื่องจากสาว ๆ ของเขาแต่ละคนที่เคยคบมาล้วนแล้วแต่เจนสังเวียนมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงนั้นเขาเห่อเธออยู่พักใหญ่เพราะจันทร์เจ้าเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาใช้เวลานานที่สุดกว่าจะได้มาขึ้นเตียงแต่ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนหนุ่มที่อารมณ์พลุ่งพล่าน เวลาที่มีผู้หญิงอื่นเข้าหาหรือเสนอให้ ถ้าเขาถูกใจก็จะไม
“แต่พี่ไม่รีบ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ขนาดพอดีคำยื่นไปใกล้กับปากของจันทร์เจ้า“กินไก่ราดครีมมายองเนสนี่สิ อร่อยดีนะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ กำลังดี”เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้...จันทร์เจ้าได้แต่บ่นเขาอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉย มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์"อย่าอารมณ์เสียสิ เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ พี่เห็นจันทร์ดูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ทำงานที่นี่ทุกอย่างต้องเป๊ะก็จริง แต่ทุกสิ่งเรายืดหยุ่นกันได้ เรื่องเอกสารที่เลขาฯ คนเก่าเขาทำไว้ยุ่งเหยิงก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่มันเป็นงานที่ผ่านไปแล้ว เก็บเฉพาะที่จำเป็นก็พอ อีกอย่างนะ เอกสารพวกนั้นเราจะเก็บไฟล์ในรูปแบบพีดีเอฟเอาไว้อยู่แล้ว เข้าไปดูที่เซิร์ฟเวอร์เอาก็ได้ คุณเอมคงสอนเรื่องการเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์แล้วใช่ไหม""สอนแล้วค่ะ" พอเห็นเขาพูดเป็นการเป็นงานจันทร์เจ้าก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเอมิกาบอกว่าตั้งแต่ชินดนัยมาบริหารแทนบิดา เขาก็ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ลดการใช้กระดาษ และลดขั้น
ทันทีที่ชินดนัยก้าวเข้าไปในฮอลล์ขนาดใหญ่ เสียงเพลงสากลจังหวะเร้าใจก็ดังกระหึ่ม เบื้องหน้าของเขาเป็นโต๊ะกลมวางตั้งเรียงรายแต่ไม่ชิดติดกันเกินไปเหมือนผับบางที่ โดยแต่ละโต๊ะมีผู้นั่งจับจองอยู่ก่อนแล้ว ถัดไปเป็นเวทีขนาดใหญ่ มีสาวสวยระดับนางแบบหลายสิบชีวิตนุ่งน้อยห่มน้อยเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงอย่างมีชั้นเชิงชายหนุ่มละสายตามาจากหน้าเวทีแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองอย่างคุ้นเคย เพราะบริเวณชั้นสองกั้นเป็นห้องวีไอพีที่แยกกันเป็นสัดส่วน สามารถมองเห็นโชว์จากหน้าเวทีได้โดยไม่ต้องมีใครมาบดบังทัศนียภาพ ทั้งยังมีกระต่ายสาวแสนเซ็กซี่มาคอยบริการเครื่องดื่มให้อีกด้วยเขาเดินตรงไปยังห้องที่เพื่อนสนิททั้งสองคนนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไปถึงก็เห็นบันนี่เกิร์ลแสนสวยสี่นางนั่งประกบเพื่อนเขาฝั่งละคน เขาจึงหย่อนตัวนั่งบนโซฟาที่ว่างอยู่อีกตัว"โถ...เพื่อนกู กว่าจะเสด็จมาได้ เหล้าพร่องไปครึ่งขวดแล้วเนี่ย" ภาวิน นักบินหนุ่มรูปหล่อแซะเพื่อนทันทีที่เห็นอีกฝ่าย"ถ้ามึงไม่ขู่ว่าจะตัดเพื่อนมันก็คงไม่มาหรอก เดี๋ยวนี้มันเป็นคนดีแล้วมึงยังไม่ชินอีกหรือวะ ตั้งแต่กลับจากเมืองนอกมานี่ ถ้าไม่ติดว่ามันยังจำเพื่อนฝูง
และคำตอบที่เขามีให้ตัวเองก็คือ...เขาพอใจแล้ว และเขาควรจะหยุดได้แล้วสี่ปีเต็มกับการทำตัวเหลวแหลกทำให้เขารู้สึกเต็มกลืนกับวิถีเพลย์บอย ดังนั้นเขาจึงเลิกทุกอย่างแบบหักดิบ แล้วตั้งหน้าตั้งตาฝึกงานเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตอีกสองปีก่อนจะบินกลับเมืองไทยมารับช่วงดูแลบริษัทต่อจากบิดา“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมมึงไม่เอาเลยวะ” ภาวินยังคงถามต่ออย่างสงสัย“กูก็บอกไม่ถูกว่ะไอ้วิน พูดไปมึงก็คงไม่เข้าใจหรอก แต่กูเชื่อว่าสักวันเมื่อถึงเวลามึงจะเข้าใจเองนั่นแหละ”ชินดนัยตบบ่าเพื่อน ขณะที่ภาวินได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะลุกกลับไปนั่งที่เดิม ปล่อยให้เพื่อนผู้ปลงแล้วนั่งละเลียดสุราชั้นดีเคล้าเสียงดนตรีโดยไร้สาวสวยเนื้อนุ่มมาคลอเคลียข้างกายต่อไปหลังจากที่จอดรถเข้าซองเสร็จเรียบร้อยจันทร์เจ้าก็ดับเครื่องแล้วเปิดประตูลงจากรถ ปิดประตูแล้วกดรีโมตล็อกรถแล้วหมุนตัวไปอีกด้านเพื่อเดินเข้าอาคาร เธอก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างสูงสง่าของผู้เป็นเจ้านายยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงรออยู่ใกล้ ๆ จนเธอเกือบเดินชนเขาหญิงสาวลอบถอนห
ชายหนุ่มรีบเก็บสายตากลับมาจากร่างระหงตรงหน้าอย่างแนบเนียนเมื่อได้ยินว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้ ครั้นพอหันไปมองจึงเห็นว่าเป็นนิธิ ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศกำลังเดินเข้ามาในออฟฟิศอย่างอารมณ์ดี"หมดวันลาพักร้อนแล้วหรือ" ชินดนัยเอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายทันที"หมดแล้วสิครับเจ้านาย หรือจะอนุมัติให้ผมลาเพิ่มอีกก็ได้นะ" นิธิยิ้มกว้างตอบผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและญาติด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แต่สายตากลับมองเลยไปที่หญิงสาวหน้าใหม่อย่างสนใจ"แล้วนี่..." นิธิเบนสายตากลับมาที่ญาติผู้พี่โดยที่รอยยิ้มไม่เลือนหายไปจากใบหน้า"คุณจันทร์เจ้า เป็นเลขาฯ คนใหม่ของฉันเอง คุณจันทร์ นี่คุณนิธิ เป็นผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ" ชินดนัยแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน เมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มที่ญาติผู้น้องมองหญิงสาวจึงถลึงตาใส่เพื่อปรามอย่างอดไม่ได้"สวัสดีค่ะ" จันทร์เจ้ายกมือไหว้พร้อมกับยิ้มให้บาง ๆ"สวัสดีครับผม ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ ถ้ามีปัญหาอยากปรึกษาอะไรก็มาถามผมได้ทุกเรื่องเลยนะครับ ผมยินดี"หญิงสาวอมยิ้มและรับคำเบา ๆ ขณะที่นิธิเห็นท่าทีสงบนิ่งและบุคลิกที่ติดจะเย็นชาจากเลขานุก
"จะด่าพี่ว่าสันดานเสียก็ด่ามาตรง ๆ เถอะ พี่ไม่โกรธหรอก" เขาพูดกลั้วหัวเราะ รู้สึกสนุกไม่น้อยที่ได้ต่อปากต่อคำกับเธอ"ฉันยังไม่ได้พูดคำนั้นสักคำเลยนะคะ คุณพูดมาเองทั้งนั้น แล้วตกลงจะคุยเรื่องงานไหมคะ ถ้าไม่คุยฉันจะได้ออกไปทำงานที่ค้างไว้จากเมื่อวาน" เธอตวัดสายตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นแววตายิ้มได้กับสีหน้ารื่นเริงของชายหนุ่มก็รู้สึกหมั่นไส้เสียจนอยากเอากาแฟรดหัวเขา ถ้าไม่ติดว่าคนตรงหน้านี้คือเจ้านาย"ฮ่า ๆ โอเค คุยแล้วครับคุยแล้ว แหมดุจัง กลัวจนใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย" เขายังคงเย้าแหย่ไม่เลิก แล้วรีบเข้าสู่โหมดการทำงานก่อนที่หญิงสาวจะโกรธจนเดินหนีออกจากห้องไปเสียก่อน"เรามาอัปเดตตารางงานกันหน่อย สองเดือนข้างหน้าจะมีงานจิวเวลรี่แอนด์วอตช์ที่ไบเทคบางนา จันทร์ช่วยแจ้งทีมการตลาดและฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้มาประชุมในวันจันทร์หน้าด้วยนะ ตอนสิบโมงครึ่ง พี่อยากรู้ความคืบหน้าว่าฝ่ายการตลาดวางแผนอะไรไว้แล้วบ้าง นี่คือเรื่องที่หนึ่ง" เขาหยุดพูดแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มเพื่อให้เวลาจันทร์เจ้าจดบันทึกได้ทัน"เรื่องที่สอง ตามเรื่องห้างสรรพสินค้าในเครือเอ็มซีกรุ๊ปที่กำลังก่อสร้าง
"อ้าว แล้วพี่ออกมาก่อนแบบนี้พวกพี่ ๆ เขาไม่ว่ากันหรือคะ""ไม่ว่าหรอกน่า พวกพี่จะนัดกันเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ไม่มีพี่ มันสองคนก็นัดชนแก้วกันเป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างนะ พวกมันก็เข้าใจดีว่าเคสของหนูจันทร์เป็นเคสที่พี่ต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง"ชินดนัยยิ้มพลางหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้หญิงสาวอีกครั้ง จันทร์เจ้าเบิกตากว้างเพราะตนเพิ่งดื่มเข้าไปแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น ไวน์ยังเหลือในแก้วตั้งเยอะแต่เขากลับรินให้จนเลยครึ่งแก้วขึ้นมา"พอแล้วค่ะ จะมอมกันหรือไง พี่ก็รู้ว่าจันทร์ดื่มไม่เก่ง"ชินดนัยมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าว่า"พี่รู้ว่าจันทร์ดื่มไวน์ไม่เก่ง แต่เวลาที่จันทร์เมาจันทร์จะดูดน้ำอย่างอื่นได้เก่งมากเลย เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องมอมสักหน่อย"จันทร์เจ้าหน้าแดงขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรที่จะเป็นการเข้าเนื้อตัวเองอีกชายหนุ่มมองสีหน้าขัดเขินของเธอแล้วก็นึกอยากพรมจูบไปให้ทั่วใบหน้า แต่เพราะเกรงว่าตนอาจจะไม่จบลงแค่จูบจึงได้แต่สะกดกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ พลางหาเรื่องอื่นมา
มือของเขาเลื่อนขึ้นมาจนสัมผัสได้กับเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ของกางเกงชั้นใน จากนั้นเขาก็จับเอวของเธอไว้แล้วผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองภาพความสวยงามที่หาได้ยากแบบนี้ให้เต็มตา"เซ็กซี่มากที่รัก พี่ชอบมากเลย"สายตาร้อนแรงของเขาราวกับจะแผดเผาเธอได้ ยอมรับว่าอายแสนอายจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่ความพรักพร้อมของเขานั้นปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจันทร์เจ้าเอาแขนออกจากคอของชินดนัยแล้วดึงกระโปรงลง จากนั้นก็ใช้นิ้วเกี่ยวหูกางเกงของเขาพลางดึงเบา ๆ แล้วพูดว่า"ไปที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ จันทร์เพิ่งอุ่นเสร็จเมื่อกี้เอง ไวน์ก็เพิ่งเอามาแช่ใหม่ ถ้าไม่ดื่มตอนนี้เดี๋ยวน้ำแข็งจะละลายเสียก่อน"เธอดึงหูกางเกงของเขาเพื่อให้ชายหนุ่มเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ชินดนัยเดินตามอย่างว่าง่ายจนกระทั่งมาถึงโต๊ะจึงกดบ่าของเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้"เดี๋ยวจันทร์รินไวน์ให้นะคะ"หญิงสาวยิ้มหวานให้ก่อนหันหลังให้เขาแล้วเอื้อมหยิบขวดไวน์ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แต่เพราะชุ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน แค่แจ้งชื่อของปกเกล้าก็จะมีพนักงานสาวสวยพาเขาไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ทันที"อ้าว ไอ้ปกยังไม่มาหรือ" ชินดนัยเห็นภาวินนั่งอยู่เพียงลำพังจึงถามถึงเพื่อนอีกคน"คงกำลังมาแหละมั้ง เห็นว่ามีเรื่องด่วนนิดหน่อย...ของพี่คนนี้โซดาอย่างเดียวนะจ๊ะ" ภาวินตอบพลางหันไปบอกกับบันนี่สาวที่มีหน้าที่ผสมเหล้าอยู่ข้างโต๊ะ"เฮ้ย...เรื่องด่วนที่ว่าหมายถึงเรื่องนี้เองหรือวะ" ชินดนัยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางบุ้ยหน้าไปทางชั้นล่าง ภาวินจึงมองลงไปบ้างก็เห็นปกเกล้ากำลังจูงมือหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในคลับด้วยจะว่าไปแล้วน่าจะเรียกว่าฉุดลากกันมากกว่า เพราะดูจากท่าทางไม่เต็มใจของผู้หญิงที่ปกเกล้าพามาด้วยกันนั้นก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายถูกบังคับให้มาที่นี่"น่ารักดีว่ะ อย่างกับเด็กมหาลัย ไอ้ปกไปหามาจากไหนวะเนี่ย"ภาวินอดสงสัยไม่ได้เพราะปกติแล้วเวลานัดสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิท จะไม่มีใครพาผู้หญิงมาด้วยเด็ดขาดเพราะกลัวงานกร่อย และกฎนี้ปกเกล้าก็เป็นคนตั้งขึ้นเองด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวกลับทำผิดกฎเสียเอง"กูว่าคนนี้คงไม่ธรรมดาเว้ย มึงดูสิไอ้ปกเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน ทำอย่างกับจับ
สุดท้ายแล้วจันทร์เจ้าก็ไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้ชินดนัย ดังนั้นหลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงกับภัทรพลเสร็จแล้วเธอจึงกลับขึ้นไปบนออฟฟิศตามเดิม ทว่านั่งทำงานไปได้ไม่เท่าไร หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นทั้งเจ้านายและคนรักในห้องทำงานของเขา"จันทร์ขอลางานครึ่งวันนะคะพี่ชิน คุณแม่ติดธุระก็เลยไปรับหนูพราวที่โรงเรียนไม่ได้ค่ะ จันทร์เลยต้องไปรับแทน""งั้นหรือ...อืม งั้นก็ไปเถอะ ถึงบ้านแล้วโทร. หาพี่ละกัน พี่จะได้ไม่เป็นห่วง" เขายิ้มพลางกางแขนออกกว้าง หญิงสาวจึงอดค้อนให้เขาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังเดินเข้าไปก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วโผไปซุกในอ้อมอกของเขาชินดนัยหอมขมับของเธออย่างแสนรัก หากแต่มือเจ้ากรรมก็ยังไม่วายซุกซน บีบบั้นท้ายของหญิงสาวเล่นอย่างเคยตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือถูกเจ้าของบั้นท้ายหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง"นิสัยไม่ดีตลอดเลยพี่ชินเนี่ย เผลอเป็นไม่ได้"จันทร์เจ้าบ่นให้เขาพลางผละออกห่างแล้วยืนเต็มความสูงตามเดิม จากนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องทำงาน"จันทร์ไปก่อนนะคะ ถึงบ้านแล้วจะโทร. หาค่ะ" พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปจึงไม่ทันเห็นว่าใบ
ชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจมากจนเกินไปอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งปฏิบัติต่อหญิงสาวที่ตนมีใจให้เพราะไม่ต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับเขามากเพราะจันทร์เจ้าพูดกับเขาอย่างที่คุยกับคนรู้จักทั่วไป ไม่มีท่าทีปิดกั้นหรือระแวงจนเขาไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เธอทั้งคู่สั่งกับข้าวมาสามอย่าง หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์ของภัทรพลก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเลขานุการของตนเขาจึงต้องกดรับเพราะหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลขาฯ ของเขาจะไม่โทร. มาในเวลาพักเที่ยงอย่างนี้เป็นแน่"ผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ" เขาพูดกับจันทร์เจ้าแล้วรีบลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ออกจากร้านอาหารทันที จากนั้นก็เดินห่างออกไปจากหน้าร้านโดยเดินไปทางห้องน้ำเพราะตั้งใจจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยชินดนัยเห็นผู้ชายที่อยู่กับแฟนสาวของตนกำลังเดินคุยโทรศัพท์ไปทางห้องน้ำ เขาจึงเดินอ้อมจากอีกด้านตามไปทันทีชายหนุ่มคนนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จก็จัดการทำธุระส่วนตัว ส่วนชินดนัยก็ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเพื่อรออีกฝ่ายอย่างใจเย็น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินมาล้างมือในอ่างท
จันทร์เจ้ากลอกตามองเพดาน ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างหยอกเย้าจากเลขาฯ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้กัน เธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ"ไม่รีบเข้าไป เดี๋ยวท่านประธานก็ออกมาตามด้วยตัวเองอีกหรอก"นันทิดาพูดจบก็หัวเราะคิกคัก เพราะท่านประธานหนุ่มไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่ตนมีต่อเลขาฯ ส่วนตัวคนนี้สักนิด ช่วงแรกที่จันทร์เจ้าคบหากับท่านประธานก็มีเพียงคนกันเองอย่างพวกตนที่เป็นเลขานุการด้วยกันเท่านั้นที่รู้แต่หลังจากที่มีโปรแกรมเมอร์หนุ่มคนใหม่เข้ามาทำงานที่บริษัทแล้วแสดงออกว่าสนใจเลขาฯ ของท่านประธานจนถึงขนาดเอ่ยปากชวนไปเลี้ยงข้าวกลางวัน ซึ่งพอเรื่องนี้เข้าหูผู้เป็นเจ้านายอย่างชินดนัย ท่านประธานหนุ่มก็แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้าทันทีโดยไม่สนใจว่าพนักงานคนอื่นจะมองอย่างไรทั้งเดินจูงมือจันทร์เจ้า บางคราวก็โอบไหล่โอบเอว แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเอ่ยปากเตือนหลายครั้งแต่ท่านประธานก็ยังคงทำตามใจตัวเองเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และพนักงานทุกคนก็รับรู้กันถ้วนหน้าว่าท่านประธานกับเลขาฯ ส่วนตัวนั้นกำลังคบหาดูใจกันอยู่ นานวันเข้าจากที่ทุกคนเคยตื่นเต้นกับเรื่องนี้ก็เร
ในเช้าวันทำงานอันแสนวุ่นวาย จันทร์เจ้าค่อย ๆ เคลื่อนรถไปบนท้องถนนอย่างเชื่องช้าเพราะการจราจรติดขัดอย่างผิดปกติ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายพลางคิดในใจว่าข้างหน้าคงเกิดอุบัติเหตุเป็นแน่ เธอมองเวลาบนแผงคอนโซลหน้ารถ อีกแค่สิบห้านาทีก็จะถึงเวลาเข้างานแล้ว แต่ตอนนี้เธอยังไม่ครึ่งทางเลยด้วยซ้ำจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทร. ไปบอกชายหนุ่มผู้ซึ่งพ่วงทั้งตำแหน่งเจ้านายและชายคนรักว่าตนคงเข้าทำงานสาย"อุ๊ย! แย่จริง" จันทร์เจ้าพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อโทรศัพท์เกิดหลุดมือหล่นไปอยู่ใกล้เท้า เธอมองทางข้างหน้า เห็นว่ารถยังคงเคลื่อนตัวไปได้อย่างเชื่องช้าจึงเหยียบเบรกค้างไว้ครึ่งเดียวเพื่อชะลอความเร็วรถก่อนจะก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือกึก!"อุ๊ยตายแล้ว!" หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าชั่วเสี้ยววินาทีที่ตนละสายตาจากท้องถนนเพื่อก้มเก็บโทรศัพท์นั้นจะส่งผลให้รถของเธอชนเข้ากับรถคันหน้าเข้าจนได้ แม้จะไม่รุนแรงเพราะรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่ต่างจากคลาน แต่อย่างไรเสียก็ถือว่าเธอเป็นฝ่ายผิดที่ไปชนเขาก่อนรถคันหน้าจอดนิ่งพร้อมกับเปิดไฟกะพริบ จากนั้นประตูฝั
จันทร์เจ้าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "ทำไมหรือคะ พี่ชินเจออะไรมาหรือ"ชินดนัยถอนหายใจแผ่วก่อนจะตัดสินใจเล่าให้หญิงสาวฟัง หลังจากเล่าจบเขาก็พูดขึ้นว่า"ตอนแรกพี่ว่าจะไม่บอกจันทร์ เพราะเดี๋ยวจันทร์จะหาว่าพี่ขี้ฟ้อง คิดเล็กคิดน้อยกับเพื่อนของจันทร์ แต่มาคิดดูอีกที เพื่อนแบบนี้ไม่มีเสียยังจะดีกว่า""ช่างเขาเถอะค่ะ จันทร์เลิกใส่ใจเรื่องของวีวี่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ปล่อยให้เขาแข่งไปคนเดียวเถอะ"ชายหนุ่มยิ้มละไมเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องพูดแบบนี้"พรุ่งนี้เจอกันที่จุดนัดพบตรงปั๊มน้ำมันนะ อย่าตื่นสายล่ะ"ชายหนุ่มแกล้งเย้าเพราะรู้อยู่แล้วว่าจันทร์เจ้าไม่ใช่คนตื่นสาย เธอยู่หน้าใส่ชายหนุ่มแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มเขาไม่แรงนักก่อนพูดว่า"บอกตัวเองเถอะค่ะ จันทร์ว่ารถจันทร์ไปถึงก่อนทุกคนแน่นอน"สุดสัปดาห์นี้เป็นวันหยุดยาว ทั้งสามบ้านจึงนัดกันไปเที่ยวทะเลปราณบุรี ต่างคนต่างขับรถไปบ้านใครบ้านมันโดยยึดเอาปั๊มน้ำมันใหญ่ตรงถนนวิภาวดีเป็นจุดนัดพบ"จะรอดูคนขี้คุย โอเคครับพรุ่งนี้เจอกัน"ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปจูบหญิงสาวเป็นการลาเมื่อถึงห
"ฉันยังไม่แจกตอนนี้ รอนังวีวี่มาก่อน นี่ฉันอุตส่าห์บอกมันว่านัดกันตอนหกโมงครึ่งนะเนี่ย แต่นี่ปาไปทุ่มครึ่งแล้วนางยังไม่เสด็จมา ใครก็ได้จุดธูปเรียกมันหน่อยซิ"ทันทีที่ไปรมาพูดจบ ประตูห้องวีไอพีที่จัดเลี้ยงก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างระหงในชุดเดรสรัดรูปสีดำ เจ้าตัวเยื้องย่างเข้ามาในห้องราวกับนางพญาโดยไม่ยอมสบตาใคร เมื่อถึงเก้าอี้ว่างก็วางกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังที่หลายคนรู้ดีว่าราคาไม่ต่ำกว่าสามแสนลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงค่อยกวาดตามองทุกคนทั้งรอยยิ้มเรียวปากสีสดของวรัชยาค่อย ๆ หุบลงเมื่อเห็นชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ ก่อนจะพึมพำอย่างแผ่วเบา"พี่ชิน" สายตาของวรัชยาเบนไปที่หญิงสาวข้างกายเขา "ยายจันทร์""โอ๊ยหล่อน เปิดตัวมาแบบรัชดาลัยเธียเตอร์มาก เขานัดกันหกโมงครึ่งแต่หล่อนเพิ่งมาเอาป่านนี้ โหงพรายที่หล่อนเลี้ยงไว้เพิ่งกระซิบบอกรึไงยะ" เพื่อนที่เป็นสาวประเภทสองคนหนึ่งอดแขวะวรัชยาไม่ได้"ฉันก็ต้องมีติดธุระกันบ้างสิ ฉันไม่ได้ทำงานเป็นพนักงานประจำเหมือนพวกเธอนะ ฉันมีธุรกิจส่วนตัวก็รู้ ๆ กันอยู่"วรัชยาพยายามวางตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะชายห