ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แต่ชีวิตของเธอได้พลิกกลับด้านจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่เคยมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่า เวลานี้ต้องกลายมาเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ ที่ต้องวางแผนการใช้เงินในแต่ละเดือนให้รอบคอบที่สุดเพราะยังมีอีกสองปากท้องที่เธอต้องดูแล
แต่จะว่าไปจันทร์เจ้าก็รู้สึกขอบคุณทุกอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาในวันนั้น หาไม่แล้ววันนี้เธอก็คงเป็นเพียงผู้หญิงหัวอ่อนคนหนึ่งที่ไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นเขา
คืนนั้นจันทร์เจ้าเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาประวัติของนาฬิกาแบรนด์หรูทั้งสองแบรนด์อีกครั้งเพราะอยากรู้จักกับมันให้มากกว่านี้ เมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจว่าทำไมราคามันถึงแพง รู้แค่ว่ามันสวย และตนก็ชอบเท่านั้น แต่พอได้ทำความรู้จักกับนาฬิกายี่ห้อนี้มากขึ้น หญิงสาวจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมนักสะสมนาฬิกาทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งพระราชินีแห่งอังกฤษจึงนิยมชมชอบและต้องมีไว้ในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งเรือน
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ทำให้จันทร์เจ้าละสายตาจากหน้าจอแล้วรีบเดินไปเปิดประตูเพราะรู้ว่าใครเป็นคนเคาะ และก็ไม่ผิดจากที่คาดเท่าไรนัก เพราะเมื่อประตูเปิดออกก็มีร่างเล็กจ้อยในชุดนอนสีชมพูหวานยืนยิ้มเผล่กอดตุ๊กตาหมูสีชมพูกับผ้าห่มประจำตัวอยู่หน้าห้อง
"หนูพราวอยากนอนกับแม่จันทร์ค่ะ"
"เข้ามาสิคะคนเก่ง" หญิงสาวเบี่ยงตัวให้หลานสาวตัวน้อยเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูไว้ตามเดิม
"ขอแม่จันทร์ปิดคอมก่อนนะคะ หนูพราวขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนเลยลูก" เธอพูดพลางเดินไปปิดโน้ตบุ๊กบนโต๊ะเขียนหนังสือ เสร็จเรียบร้อยก็ปิดไฟจนห้องมืด มีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟตามถนนในหมู่บ้านเท่านั้นที่เล็ดลอดเข้ามา
จันทร์เจ้าคลี่ผ้าห่มให้หลานสาวก่อนจะเอนตัวนอน เธอเห็นพราวนภายังมองมาตาแป๋วอยู่จึงคลี่ยิ้มให้ท่ามกลางความมืด "หนูพราวยังไม่ง่วงหรือคะ"
"ยังค่ะ แม่จันทร์ขา เมื่อไรพ่อที่อยู่บนสวรรค์จะมาหาหนูพราวคะ"
เมื่อได้ยินคำถามจากหลานจันทร์เจ้าก็ได้แต่สะท้านอยู่ในอก สงสารเจ้าตัวเล็กจับใจ เธอยกมือขึ้นลูบศีรษะของหลานสาวพลางพูดปลอบ
"คุณพ่อยังมาตอนนี้ไม่ได้หรอกลูก หนูพราวอยู่กับแม่จันทร์กับยายจ๋าไปก่อนนะคะ ถ้าวันไหนคุณพ่อทำงานเสร็จก็จะมาหาหนูพราวเองค่ะ แต่หนูพราวต้องเป็นเด็กดี และนอนแต่หัววันนะคะ"
"ได้ค่ะ" พูดจบเจ้าตัวก็ปิดเปลือกตาลง
หญิงสาวมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่มีส่วนละม้ายคล้ายเพียงตะวันพี่สาวของเธอด้วยแววตาอ่อนแสง พราวนภาเหมือนพ่อกับแม่อย่างละครึ่ง เพราะลักยิ้มที่ข้างแก้มซ้ายนั้นน่าจะได้มาจากผู้เป็นพ่อ เธอไม่เคยเจอหน้าพ่อของพราวนภา และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใครหรืออยู่ที่ไหน มีเพียงรูปถ่ายที่อยู่ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเพียงตะวันเท่านั้นที่หลงเหลือเอาไว้ ซึ่งพี่สาวของเธอเป็นคนบอกเองว่าผู้ชายคนนี้คือพ่อของหนูพราว
พอพราวนภาเข้าโรงเรียนก็เริ่มถามหาผู้เป็นพ่อ เธอจึงเปิดรูปผู้ชายคนนั้นให้หลานดู โชคดีที่ไม่ได้มีแค่รูปเดียว แต่มีถึงสามสิบกว่ารูป ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นรูปที่ถ่ายกับเพียงตะวันตอนไปต่างประเทศด้วยกัน พี่สาวของเธอทำงานเป็นแอร์โฮสเตส จันทร์เจ้าจึงเดาว่าผู้ชายคนนี้น่าจะทำงานเป็นนักบินสายการบินเดียวกับที่เพียงตะวันทำงานอยู่ แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดไปสืบหาว่าเขาคือใคร เพราะตั้งแต่เพียงตะวันตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดพราวนภาออกมา เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นมาหาพี่สาวเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หญิงสาวปิดเปลือกตาลงตามหลานสาว ในใจได้แต่ภาวนาให้พราวนภาได้พบหน้าพ่อจริง ๆ สักครั้ง
วันต่อมาจันทร์เจ้าขับรถไปทำงานในเวลาเดิม โดยให้มารดาทำหน้าที่ไปรับส่งพราวนภาที่โรงเรียนอนุบาลเพราะอยู่ใกล้บ้าน หญิงสาวไปถึงออฟฟิศก่อนเวลาเข้างานประมาณครึ่งชั่วโมง จึงจอดรถในอาคารแล้วเดินออกจากตึกไปซื้อแซนด์วิชมากินกับกาแฟ โดยเธอไม่มีโอกาสรู้เลยว่าตอนที่กำลังเดินอยู่ริมทางเท้านั้นได้ตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนเข้าแล้ว
"สวยขึ้นนะเนี่ยหนูจันทร์"
นัยน์ตาคมกริบสีนิลจับจ้องร่างระหงในชุดเดรสคลุมเข่าสีเปลือกไข่ไม่วางตา แววตาเป็นประกายระยิบระยับ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยระหว่างที่มองตามหญิงสาวไปแทบทุกฝีก้าว ก่อนจะตัดใจละสายตาจากมาเมื่อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทำให้เขาต้องเหยียบคันเร่งเคลื่อนตามไป จนกระทั่งเลี้ยวเข้าไปในอาคารได้ในที่สุด
จันทร์เจ้าเดินออกจากลิฟต์พร้อมถุงแซนด์วิชที่ซื้อมา เธอวางกระเป๋าสะพายไว้บนโต๊ะทำงานพลางมองไปที่โต๊ะของบรรดาเลขาฯ รุ่นพี่ แต่ดูเหมือนยังไม่มีใครมาถึงจึงเดินไปห้องแคนทีนเพื่อชงกาแฟมาดื่มคู่กับแซนด์วิชเป็นมื้อเช้า
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังนั่งกินแซนด์วิชอยู่นั้น จู่ ๆ ประตูห้องทำงานของท่านประธานก็เปิดออกพร้อมกับเอมิกาเดินคลี่ยิ้มเข้ามาหาที่โต๊ะ
"สวัสดีค่ะพี่เอม แซนด์วิชไหมคะ" เธอชวนอีกฝ่ายให้กินด้วยกัน แต่เอมิกาส่ายหน้าปฏิเสธแล้วพูดว่า
"จันทร์กินเลย แต่กินเสร็จแล้วก็เข้าไปรายงานตัวกับท่านประธานหน่อยนะ ท่านมาแล้วน่ะ"
จันทร์เจ้าเบิกตากว้าง รีบเคี้ยวอาหารในปากแล้วกลืนอย่างรวดเร็วก่อนจะถามเสียงแผ่ว
"กลับมาแล้วหรือคะ ก็ไหนว่ากลับพรุ่งนี้ไง"
"พี่ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมถึงมาวันนี้ได้ เพราะตามตารางมันต้องเป็นพรุ่งนี้"
"ได้ค่ะ งั้นจันทร์จะรีบกินให้เสร็จจะได้เข้าไปรายงานตัว" พูดจบเธอก็กินแซนด์วิชที่เหลืออย่างว่องไว แต่สายตาคนมองอย่างเอมิกานั้นไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เห็นว่าท่ากินอย่างเร่งรีบของจันทร์เจ้าดูเรียบร้อยนุ่มนวลอยู่ดี
จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะยกมือเคาะประตูห้องท่านประธานสามครั้ง รอจนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้องจึงหมุนลูกบิดเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่ช้าไม่เร็วเกินไปนัก โดยที่ตลอดเวลานั้นหญิงสาวหลุบตาลงมองพื้นอยู่ตลอด แม้กระทั่งตอนที่ยกมือไหว้คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เธอก็ยังมองแค่ปกเสื้อของเขาเท่านั้น
"สวัสดีค่ะท่านประธาน ดิฉันจันทร์เจ้า ประสิทธิเวชค่ะ"
เธอรู้สึกว่าหัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้นจนมือสั่นตามไปด้วย จากนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าจะลืมหายใจเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่ทักทายกลับมา
"สวัสดีหนูจันทร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"
แค่ได้ยินเสียงนั้น หัวใจของจันทร์เจ้าก็เต้นระรัวยิ่งกว่าเดิมเพราะความตกใจ หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มกระจายเต็มวงหน้า รอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหลงใหลได้ปลื้ม และหลงคิดไปว่าตนเป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้เพียงคนเดียวจันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพราะเผลอกลั้นหายใจไว้นาน สมองเริ่มสับสนเพราะนึกไม่ออกว่าจะรับมืออย่างไร ทุกอย่างกะทันหันเกินไปเพราะตั้งแต่เลิกรากันเมื่อเจ็ดปีก่อนเธอก็ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งชินดนัย ผู้ชายไม่รู้จักพอ!"อะไรกัน ทำไมนิ่งไปล่ะ อย่าบอกนะว่าจำพี่ไม่ได้น่ะหนูจันทร์"น้ำเสียงหยอกเย้าอย่างเป็นกันเองของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้ เธอค้อมศีรษะให้เขาอย่างเป็นการเป็นงานแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"จำได้ค่ะ" เธอหลุบตาลงมองพื้นจึงไม่เห็นว่ารอยยิ้มของชินดนัยนั้นกว้างขึ้นกว่าเดิม"ห่างเหินจัง เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ คุยกันแบบเดิมดีกว่าไหม""คงไม่ดีค่ะ คุณเป็นเจ้านายฉันเป็นลูกจ้าง ใครได้ยินเข้าคงคิดว่าฉันทำตัวตีตนเสมอท่าน" เธอไม่กล้ามองหน้าเขา แม้ว
ประตูห้องทำงานของประธานบริษัทเปิดผลัวะออกมาอย่างแรงจนบรรดาเลขานุการสาวที่นั่งกันอยู่ต่างพากันสะดุ้งด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นของท่านประธาน ผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามักจะอารมณ์ดีและใจเย็นอยู่ตลอด"หนู...คุณจันทร์!" ชินดนัยหน้าแดงก่ำ สีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นกับอะไรบางอย่าง"คะท่าน" จันทร์เจ้ารีบลุกขึ้นยืนแล้วเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยเช่นเคย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกไปทางสีหน้า แต่มุมปากก็เอาแต่จะยกยิ้มอยู่เรื่อยจึงเม้มปากเอาไว้เพื่อกลั้นยิ้ม แต่ถ้ามองจากสายตาของเพื่อนร่วมงาน กลับมองว่าหญิงสาวกำลังหวาดกลัวกับน้ำเสียงและท่าทางกราดเกรี้ยวของผู้เป็นนาย ทุกคนจึงอดเห็นใจไม่ได้"คุณซื้อหอยทอดให้ผม" เขาชี้เข้าไปในห้อง จันทร์เจ้าทำทีเป็นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะพยักหน้าอย่างใสซื่อ"ใช่ค่ะ ก็ท่านประธานบอกว่าซื้ออะไรก็ได้ ฉันก็เลยซื้อหอยทอดมาให้เพราะร้านอื่นต้องรอคิวนานน่ะค่ะ เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ามีสิ่งแปลกปลอมในอาหาร""มันมีถั่วงอก!" เขาเค้นเสียงราวกับกัดฟันพูด ทำเอาจันทร์เจ้าต้องกลั้นขำอีกครั้งด้วยการใช้เล็บจิกมือตัวเอง
จันทร์เจ้าหันขวับไปมองเขาทันที แต่เพราะเขาก็ก้มตัวลงมาจึงทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้จนแทบหายใจรดกัน หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าไปทางอื่นแล้วเอนตัวออกห่างจากเขา แต่มือยังคงถูกเขากุมเอาไว้อยู่"ขอโทษที พี่ก็แค่ทำไปตามความเคยชิน"ชินดนัยยิ้มพลางปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ เห็นหญิงสาวรีบคาดเข็มขัดแล้วปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็พอรู้ว่าเธอคงไม่ค่อยพอใจจึงเลิกแกล้ง ปิดประตูรถให้เธอแล้วเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับแค่เสี้ยววินาทีที่ใกล้กันเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่วมกันไม่ได้ จันทร์เจ้าในตอนนั้นคือสาวน้อยอ่อนเดียงสาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาพาเธอไปเที่ยวทะเลแล้วป้อนคำหวานสารพัดจนเธอยอมใจอ่อนมอบกายให้ เขาจำได้ว่าตนตื่นเต้นมากเพราะเพิ่งเคยเปิดซิงผู้หญิงเป็นครั้งแรก เนื่องจากสาว ๆ ของเขาแต่ละคนที่เคยคบมาล้วนแล้วแต่เจนสังเวียนมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงนั้นเขาเห่อเธออยู่พักใหญ่เพราะจันทร์เจ้าเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาใช้เวลานานที่สุดกว่าจะได้มาขึ้นเตียงแต่ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนหนุ่มที่อารมณ์พลุ่งพล่าน เวลาที่มีผู้หญิงอื่นเข้าหาหรือเสนอให้ ถ้าเขาถูกใจก็จะไม
“แต่พี่ไม่รีบ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ขนาดพอดีคำยื่นไปใกล้กับปากของจันทร์เจ้า“กินไก่ราดครีมมายองเนสนี่สิ อร่อยดีนะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ กำลังดี”เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้...จันทร์เจ้าได้แต่บ่นเขาอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉย มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์"อย่าอารมณ์เสียสิ เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ พี่เห็นจันทร์ดูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ทำงานที่นี่ทุกอย่างต้องเป๊ะก็จริง แต่ทุกสิ่งเรายืดหยุ่นกันได้ เรื่องเอกสารที่เลขาฯ คนเก่าเขาทำไว้ยุ่งเหยิงก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่มันเป็นงานที่ผ่านไปแล้ว เก็บเฉพาะที่จำเป็นก็พอ อีกอย่างนะ เอกสารพวกนั้นเราจะเก็บไฟล์ในรูปแบบพีดีเอฟเอาไว้อยู่แล้ว เข้าไปดูที่เซิร์ฟเวอร์เอาก็ได้ คุณเอมคงสอนเรื่องการเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์แล้วใช่ไหม""สอนแล้วค่ะ" พอเห็นเขาพูดเป็นการเป็นงานจันทร์เจ้าก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเอมิกาบอกว่าตั้งแต่ชินดนัยมาบริหารแทนบิดา เขาก็ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ลดการใช้กระดาษ และลดขั้น
ภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่กำลังพลอดรักกันอยู่ในรถยนต์คันหรูตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอขึ้นทีละนิดเพราะน้ำที่เอ่อรื้นขึ้นกบตา จันทร์เจ้ายืนตัวแข็งอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายทั้งปวดแปลบและอึดอัดราวกับหายใจไม่ออก จุกจนเจ็บไปทั้งใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า แต่กลับไร้เสียงสะอื้น ดูเหมือนคนในรถจะเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนยืนมองอยู่ เพราะฝ่ายหญิงทำหน้าตกใจแล้วรีบติดกระดุมเสื้อนิสิตของตนตามเดิม ขณะที่ฝ่ายชายนั้นเพียงหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นชายหนุ่มหันไปพูดบางอย่างกับคนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ จันทร์เจ้าจำหล่อนได้ ผู้หญิงคนนี้ชื่อสลิลา เรียนปีเดียวกันกับเธอแต่คนละคณะ เธอเรียนบริหารการจัดการ แต่เจ้าหล่อนเรียนเศรษฐศาสตร์ และเป็นดาวคณะที่หนุ่ม ๆ ไม่ว่าจะรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ต่างพากันเข้าคิวจีบเพราะอยากสานสัมพันธ์ด้วยแต่ทั้งที่มีชายหนุ่มมากมายหมายปอง ผู้ชายที่สลิลาเลือกคบหากลับเป็นชินดนัย คนรักของเธอชินดนัยเปิดประตูแล้วก้าวลงมาจากรถ ร่างสูงโปร่งในชุดนิสิตเดินเข้าไปหาจันทร์เจ้าด้วยท่าทีปกติราวกับว่
จันทร์เจ้าแหงนมองอาคารหลังใหญ่ตรงหน้าจากในรถด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของเธอในฐานะเลขานุการของท่านประธานใหญ่บริษัทนำเข้านาฬิกาแบรนด์หรู แม้จะไม่ใช่งานแรกสำหรับการเป็นเลขาฯ แต่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ขนาดนี้เมื่อคืนหญิงสาวตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว โชคดีที่เธอตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ไว้สามช่วงเวลา มิเช่นนั้นวันนี้คงมาสายตั้งแต่ทำงานวันแรกหลังจากแลกบัตรแล้วเข้าไปจอดรถในอาคารเสร็จเรียบร้อย จันทร์เจ้าก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นเก้า เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นชื่อบริษัทเด่นหราอยู่ตรงหน้า หญิงสาวผลักประตูกระจกเดินเข้าไปด้านใน และเพราะยังไม่ถึงเวลาทำงาน คนในออฟฟิศจึงค่อนข้างบางตา เธอเห็นหลายคนมองมาด้วยความสงสัย จึงแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตร“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อจันทร์เจ้า ทำตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธาน วันนี้มาเริ่มงานวันแรกค่ะ” แนะนำตัวเองเสร็จก็เห็นหลายคนมีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งยิ้มให้แล้วชี้ขึ้นไปด้านบน“ห้องท่านประธานอยู่ชั้นสิบครับ ยินดีที่ได้รู้จักและได้ร่วมงานกันนะครับคุณจันทร์เจ้า”“ขอบคุณมากค่ะ” เธอค้อมศีรษะขอ
"ค่ะ" จันทร์เจ้าพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ในใจกลับคิดว่าคงเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนส่งใบสมัครเข้ามามากกว่า เนื่องจากตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทนั้นค่อนข้างเป็นงานที่กดดันพอสมควรที่สำคัญคือเงินเดือนที่เธอเรียกไปค่อนข้างสูง เพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็คงไม่ได้งานนี้แน่ แต่ใครจะคาดคิดว่าเธอกลับถูกเลือก หนำซ้ำทางนี้ยังไม่ต่อรองเงินเดือนที่เรียกไปแม้แต่บาทเดียว"จันทร์ดูเรียบร้อยจังเลยเนอะ ไม่เหมือน..." กชวรรณยังพูดไม่จบ เลขานุการอีกคนก็กระทุ้งแขนเป็นเชิงให้หยุดพูดเสียก่อน"เรียบร้อยแต่ดูแพง แบบนี้แหละเหมาะที่จะเป็นเลขาฯ ท่านประธานที่สุดแล้ว"นันทิดายิ้มอ่อนพลางลอบมองการแต่งกายของเลขานุการคนใหม่อย่างไม่ให้ดูน่าเกลียดและจาบจ้วงเกินไปนักจันทร์เจ้ามาเริ่มงานวันแรกด้วยเดรสเข้ารูปสีกรมท่ายาวคลุมเข่า แขนยาวสี่ส่วน คาดเข็มขัดสีเดียวกับชุด แต่งหน้าอ่อน ๆ รวบผมตึงมัดไว้ด้านหลัง รูปร่างสูงโปร่งของหญิงสาวกับบุคลิกนิ่ง ๆ และเรียบร้อยทำให้เจ้าตัวดูแพงราวกับลูกผู้ดีมีตระกูล อีกทั้งจันทร์เจ้ายังจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี ทุกอย่างจึงดูลงตัวไปหมดแค่นึกภาพตอนจันทร์เจ้าเดินเคียงคู่ไปกับท่านประธานสุดหล่อ คงไม่ม
ตอนเห็นรูปเขาก็แค่รู้สึกว่าคุ้นตา แต่พอเห็นชื่อและนามสกุลเขาก็ยิ้มออกมาทันที และไม่ลังเลเลยที่จะให้รับเธอเข้ามาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของเขาสาวสวยแสนอ่อนหวาน เขาอยากรู้เหลือเกินว่าผ่านมาเจ็ดปีแล้วเธอจะยังคงหวานเหมือนเดิมไหมวันแรกของการทำงานที่ใหม่ของจันทร์เจ้าผ่านพ้นไปด้วยดี หญิงสาวขับรถกลับบ้านย่านชานเมือง และถึงบ้านในเวลาหนึ่งทุ่มเศษ เธอจอดรถหน้าบ้านเดี่ยวขนาดห้าสิบตารางวาเพื่อลงไปเปิดรั้วให้กว้างขึ้นก่อนจะขับรถเข้าไปจอดในบ้าน จากนั้นจึงเดินไปปิดรั้วแล้วล็อกไว้ตามเดิมร่างเล็ก ๆ ของเด็กผู้หญิงวัยห้าขวบคนหนึ่งวิ่งตึกตักออกมาจากบ้าน เมื่อเห็นว่าใครกลับมาถึงบ้านเสียงใส ๆ ก็ตะโกนบอกคนที่กำลังง่วนอยู่ในครัวด้วยความดีใจ"ยายจ๋า แม่จันทร์กลับมาแล้ว" พูดจบก็กางแขนให้อุ้ม จันทร์เจ้าจึงก้มลงอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแล้วหอมแก้มซ้ายขวาของเด็กน้อย"วันนี้หนูพราวหม่ำอะไรเป็นมื้อเย็นคะ" หญิงสาวถามคนในอ้อมแขนพลางเดินไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก"ยายทำข้าวห่อไข่ให้กินค่ะ หนูพราวกินหมดด้วยละ" เจ้าตัวเล็กตอบอย่างภาคภูมิใจ"เก่งมากค่ะ วันนี้แม่จันทร์จะหยอดกระปุกให้หนูสิบบาทเป็นรางวัลที่กินข้าวหมดนะคะ""เย้ อีกหน่อ