เจียงอวี้เหิงได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น สายตาจ้องมาที่ใบหน้าของฉัน ไม่ต้องมองฉันก็รู้ว่าสีหน้าของฉันแย่มากแค่ไหน“ไม่สบายเหรอ?” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยฉันเดินไปที่หน้าโต๊ะทำงานของเขาอย่างเงียบ ๆ และกล้ำกลืนความขมขื่นในลำคอ “ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับฉัน ฉันกลับไปบอกคุณแม่เจียงก็ได้”รอยย่นระหว่างคิ้วของเจียงอวี้เหิงลึกกว่าเดิม เขารู้ว่าฉันได้ยินบทสนทนาของเขากับเซี่ยเซียวในลำคอของฉันฝาดเฝื่อน “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตอนนี้จะกลายเป็นคนจืดชืด เจียงอวี้...”“ในสายตาของทุกคน พวกเราเป็นสามีภรรยากันตั้งนานแล้ว” เจียงอวี้เหิงขัดจังหวะเสียงพูดของฉันแล้วยังไงล่ะ?เขาจะแต่งงานกับฉันเพื่อทุกคนเหรอ?ฉันคิดว่าเป็นเพราะเขารักฉัน จึงอยากแต่งงานกับฉันและอยู่กับฉันไปทั้งชีวิตเจียงอวี้เหิงปิดปากกาในมือเสียงดังเป๊าะ สายตาตกลงมาที่ทะเบียนบ้านในมือของฉัน “วันพุธหน้าพวกเราจะไปจดทะเบียนสมรสกัน”คำพูดนี้คือสิ่งที่ฉันต้องการ แต่ตอนนี้กลับทำให้ฉันลำบากใจมาก อึดอัดมาก...ฉันก้มหน้า ส่ายหัวเบา ๆ “เจียงอวี้เหิง คุณไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองหรอก ฉันก็ไม่ได้ต้องการความเห็นใจแบบนี้จากคุณ”“เฉียวซาน!” เขาเรียกชื่อของฉันด
ทั้งวันฉันคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ จนกระทั่งเขามาเรียกฉันตอนบ่าย ฉันยังไม่มีคำตอบ แต่ก็ยังเดินตามเขาไปความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ช่วงเวลาสิบปี ทำให้ฉันเคยชินกับเขาแล้ว ทั้งยังเคยชินกับการต้องกลับไปตระกูลเจียงหลังเลิกงานด้วย“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ?” ระหว่างทางกลับไป เจียงอวี้เหิงคงจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ดีของฉัน จึงเป็นฝ่ายถามฉันก่อนฉันเงียบไปหลายวินาที “เจียงอวี้เหิง หรือว่าพวกเรา...”ประโยคหลังฉันยังไม่ทันพูดออกมา โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เบอร์ที่แสดงบนหน้าจอไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้ แต่ฉันมองออกอย่างชัดเจนว่ามือของเจียงอวี้เหิงกำที่พวงมาลัยแน่นขึ้นเขากังวล ซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนักฉันมองใบหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็รีบปิดการรับสายจากรถ เปลี่ยนไปเป็นบลูทูธ “ฮัลโหล...ได้ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”คุยโทรศัพท์เพียงสั้น ๆ เขาก็วางสายไปและมองมาทางฉัน “ซานซาน ผมมีธุระด่วนนิดหน่อยต้องไปจัดการ คงไปส่งคุณที่บ้านไม่ได้”ความจริงต่อให้เขาไม่พูด ฉันก็รู้ว่าเขาจะทิ้งฉันไว้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกทว่าก่อนที่เขาจะพูด ฉันก็ยังจินตนาการอยู่เลยว่าเขาจะไปส่งฉันก่อนส่วนลึกของหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดขึ้นม
ชีวิตนี้ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเข้าคุกข้อหาอนาจารฉันล้มใส่เด็กวัยรุ่นที่เพิ่งอายุสิบเจ็ดปีซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ เขายืนกรานว่าฉันมีเจตนาที่ไม่ดีต่อเขาแม้ฉันจะปฏิเสธ แต่เขาก็ยังยืนกรานว่าฉันลูบคลำเขา“เธอลูบนายตรงไหน?” ตำรวจซักถามอย่างละเอียดมากเด็กหนุ่มชื่อโจวเหย่ เขามองฉัน และชี้ไปที่หน้าอกตัวเอง รวมถึงเอวของตัวเองด้วย “ตรงนี้กับตรงนี้...เธอลูบหมดเลยครับ”พูดบ้าอะไรเนี่ย!ฉันเกือบจะด่าออกมา เจียงอวี้เหิงเป็นผู้ชายที่หล่อขนาดนั้นฉันยังไม่เคยแตะต้องเลย เขาที่เป็นแค่เด็กหน้าเหม็นยังไม่โตเต็มที่ ฉันจะไปแตะต้องเขาทำไม?ตำรวจมองฉันอีกครั้ง ไม่รอให้เขาถามฉันก็ปฏิเสธออกไปก่อน “ฉันไม่ได้แตะต้องเขา แค่บังเอิญชนเขาเท่านั้นค่ะ”“คุณดื่มเหล้ามาเหรอ?” ตำรวจมองฉันด้วยแววตาแฝงความนัยในสังคมนี้ ผู้ชายจะเมาแค่ไหนก็เป็นเรื่องปกติ แต่แค่ผู้หญิงดื่มนิดหน่อยก็ล้วนถูกมองว่าไม่ได้ความแล้วฉันพยักหน้า “ดื่มค่ะ”“ดื่มมากแค่ไหน?” ตำรวจถามคำถามนี้ ซึ่งฉันไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องตอนนี้ทว่าฉันก็ยังตอบไปตามตรง “เบียร์หนึ่งขวดค่ะ”ตำรวจเผยแววตาไม่เชื่อออกมา ฉันนึกถึงเพื่อนสนิทขอ
มือของฉันซึ่งถูกจับไว้รู้สึกเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธอยู่นี่คือหึงกันเหรอ?เสียงในใจของฉันเพิ่งแวบขึ้นมา เจียงอวี้เหิงก็ปล่อยมือของฉัน ขณะที่มีสายตาเย็นชา “เฉียวซาน เพราะคำพูดแค่ประโยคเดียวของผม คุณถึงกับต้องโต้ตอบผมแบบนี้เลยเหรอ?”ฉันชะงักไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดแบบนี้“ไม่ใช่นะ ฉัน...” คำอธิบายของฉันยังไม่ทันจบก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน“คุณไปแตะต้องเขาตรงไหน? ไปแตะต้องเขาตรงนั้นจริงเหรอ?” เจียงอวี้เหิงกัดกรามแน่น แววตาดุดันราวกับจะกินคนเขาเป็นแบบนี้อย่างหาได้ยาก คงจะหึงจริง ๆทันใดนั้น ความทุกข์ที่ก้นบึ้งในใจฉันก็หายไปมาก ดูเหมือนเขาจะยังใส่ใจฉันอยู่ถ้าคิดว่าฉันเป็นเพียงน้องสาวหรือเพื่อน คงไม่สนใจที่ฉันไปแตะต้องผู้ชายคนอื่น“เปล่า” ฉันปฏิเสธอีกครั้งพูดจบ โจวเหย่ที่ออกมาจากด้านในก็พ่นคำพูดใส่ฉัน “ยัยโรคจิต มายุ่งอะไรกับพี่เขยฉัน?”คนพาลย่อมไม่อาจพูดคำพูดดี ๆ ออกมาได้ คำพูดนี้ไม่เกินจริงเลยสักนิดเห็นโจวเหย่มองฉันด้วยท่าทางพาลหาเรื่อง ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าเคยไปเป็นศัตรูกับเขาเมื่อชาติปางไหน?เห็นพี่สาวน้องชายเดินมาหาฉัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทางที่เหมือนแสงจันทร์ขาวของโจวถง
โจวถงปลอดภัย เด็กก็ได้รับการช่วยเหลือแล้ว เธอจึงกลับมาที่ห้องผู้ป่วยสีหน้าของเธอซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ กอปรกับรูปลักษณ์แสงจันทร์ขาวของเธอ ทำให้ดูอ่อนแอน่าสงสารจริง ๆ“คุณไม่ต้องคิดมาก เด็กไม่เป็นไรแล้ว” เจียงอวี้เหิงปลอบใจ“อวี้เหิง ฉันกลัวมากเลย” โจงถงน้ำตาไหลออกมาเจียงอวี้เหิงหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้เธอ โจวถงรับทิชชู่ไป ทั้งยังจับมือเขาไว้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาอิงอยู่บนหลังมือของเขาแม้เธอจะน่าสงสาร แต่เพราะน่าสงสารแล้วจะมาทำเหมือนคู่หมั้นของคนอื่นเป็นผู้ชายของตัวเองได้หรือ?ฉันเดินเข้าไป “พี่สะใภ้ หมอบอกว่าอารมณ์แปรปรวนของหญิงตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อเด็กด้วย คุณรักษาเด็กเอาไว้ได้อย่างยากลำบาก ถ้าร้องไห้แบบนี้อาจจะเกิดปัญหาขึ้นอีกก็ได้”ฉันพูดพลางยื่นมือออกไปจับเธอ และดึงเธอออกเงียบ ๆเพียงแต่เมื่อเห็นน้ำตาบนหลังมือของเจียงอวี้เหิง ในใจก็ยังรู้สึกไม่สบายใจนัก และมักจะรู้สึกว่าของของตัวเองถูกคนอื่นทำให้แปดเปื้อนฉันเป็นคนรักความสะอาด ทั้งการใช้ชีวิต และความรู้สึกก็ด้วยโจวถงราวกับคิดไม่ถึงว่าฉันจะเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ สีหน้าแข็งค้างไปอย่างเห็นได้ชัด แต่เพียงพริบตาเดีย
แม้ตอนนี้ฉันจะไม่ได้หวั่นไหวจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้หากเขารับโทรศัพท์หรือออกไป ฉันย่อมรู้สึกอับอายลูกกระเดือกของเขาขยับ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาตัดสายทิ้ง แล้วจูบลงบนคอกับกระดูกไหปลาร้าของฉันต่อ...ทว่าโทรศัพท์ก็ยังดังต่ออีกครู่หนึ่ง ฉันรู้ว่าหากไม่รับสายนี้ เกรงว่าฉันกับเจียงอวี้เหิงคงไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขฉันหันไปพูดว่า “คุณรับสายเถอะ”เจียงอวี้เหิงมีสีหน้าไม่สบายใจเล็กน้อย ก่อนจะดึงผ้าห่มด้านข้างมาคลุมฉันไว้ และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนเดินไปทางระเบียงแม้เขาจะปิดประตูเลื่อนของระเบียงแล้ว แต่เสียงทุ้มต่ำของเขาก็ยังดังมาถึงฉัน“ผมไม่ไปแล้ว ให้พยาบาลช่วยดูแลคุณเถอะ”“ผมไม่ได้บอกว่าไม่สนใจคุณ... ผมรู้ว่าเป็นความผิดของผม... ได้ คุณอย่าร้องไห้เลย ผมจะไป จะไปตอนนี้เลย...”หลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้ยินเสียงพูดอีก ได้ยินเพียงเสียงจุดไฟแช็กเท่านั้นเจียงอวี้เหิงสูบบุหรี่เป็นครั้งแรกที่สูบบุหรี่ในบ้านประมาณสิบนาทีเจียงอวี้เหิงจึงจะกลับมา พร้อมกับกลิ่นบุหรี่ที่อบอวลอยู่ในอากาศเขามองฉันด้วยแววตาไม่สบายใจ “คือ...ผมต้องออกไปหน่อย โจวถง เธออยู่โรงพยาบาลไม่มีคนดูแล...”หาได้ยากที่เขาจ
“พี่ซาน ประธานเจียงโทรหาพี่”หยวนเสี่ยวไต้เดินตามฉันมา ยกโทรศัพท์ไว้ตรงหน้าฉันฉันประเมินความพยายามของเจียงอวี้เหิงต่ำเกินไป ในสถานการณ์แบบนี้ฉันทำได้เพียงรับโทรศัพท์ และพูดอย่างเป็นทางการมากว่า “ประธานเจียง มีอะไรจะสั่งเหรอคะ?”“ซานซาน” น้ำเสียงของเจียงอวี้เหิงแหบต่ำ และแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน “วันนี้ทำไมคุณถึงออกไปเร็วขนาดนี้ล่ะ ผมกลับมาบ้านไม่ทันรับคุณเลย”ฟังออกว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องงาน ฉันจึงเดินออกมาไกลขึ้นเล็กน้อย “ออกมากินข้าวเช้า”“ขอโทษนะ ผม เมื่อคืน...ปลีกตัวไปไม่ได้จริง ๆ ก็เลยไม่ได้กลับไป”หัวใจของฉันเย็นเฉียบ มุมปากหัวเราะเย้ยหยันออกมา “ทำไมถึงปลีกตัวออกมาไม่ได้ล่ะ?”เจียงอวี้เหิง “...”ฉันกลั้นหายใจ ก่อนจะช่วยเขาพูด “หาพยาบาลดูแลไม่ได้เหรอ?”“...ใช่”ฉันไม่ได้พูดอะไรอีก เจียงอวี้เหิงเอ่ยว่า “ซานซาน คุณจะเสร็จธุระทางนั้นเมื่อไหร่ ผมจะไปรับคุณ ตอนเที่ยงพวกเราไปกินข้าวด้วยกันดีไหม?”ฉันไม่ได้กินข้าวกับเขามานานมากแล้ว จากที่โจวเหย่พูดเมื่อคืน เขามักจะไปอยู่กับโจวถงเสมอวันนี้จู่ ๆ ก็นัดกินข้าวกับฉัน เป็นเพราะจะชดเชยที่หยุดกลางคันเมื่อคืน หรือจู่ ๆ ก็มีจิ
“กินด้วยกันสิ!”เจียงอวี้เหิงไม่ได้ถามความเห็นของฉันก็ตอบรับไปแล้วโจวถงนั่งลง มองอาหารตรงหน้าด้วยสีหน้าอยากกิน “ปลาเผาเหรอ ช่วงนี้ฉันกำลังอยากกินอยู่พอดี”“ถ้างั้นสั่งฟัวกราส์อีกชิ้นให้คุณดีไหม?” ท่าทางที่เจียงอวี้เหิงถามดูเป็นธรรมชาติมาก“เพิ่มของหวานด้วย เอาเป็นไอศกรีมโยเกิร์ตราดซอสสตรอว์เบอร์รี น้ำผลไม้ฉันดื่มน้ำส้ม” โจวถงพูดจบก็ยังมองมาทางฉันด้วย “เฉียวซาน คุณอยากดื่มน้ำส้มสักแก้วไหม?”“ไม่ต้องหรอก ฉันจะดื่มน้ำเปล่า” พูดจบ ฉันก็เอาฟัวกราส์บนส้อมใส่เข้าปากนุ่มละเอียด ทั้งยังมีกลิ่นหอมจางๆ...“อาเหิง ฟัวกราส์ที่คุณเอามาให้ฉันหลายครั้งก่อนหน้านี้ก็มาจากร้านนี้ใช่ไหม?” คำพูดของโจวถงทำให้ฉันหยุดเคี้ยวฟัวกราส์ฉันมองเขา ก็เห็นเขามีท่าทีไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “...อืม”มิน่าล่ะ เขาถึงได้รู้ว่าฟัวกราส์ร้านนี้อร่อย ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาเคยซื้อให้คนอื่นหลายครั้งแล้ว แต่วันนี้เพิ่งเป็นครั้งแรกของฉันหรือเขาต้องการชดเชยความรู้สึกผิดในใจในชั่วพริบตาเดียว ฟัวกราส์ในปากของฉันก็รสชาติเปลี่ยนไป ถึงขั้นที่ทำให้ฉันกลืนไม่ลง“มิน่าล่ะ ตอนที่ฉันผ่านร้านนี้ถึงได้กลิ่นฟัวกราส์ที่คุ้นเคยมาก”
ฉันเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าที่มีเหลี่ยมมุมของฉินโม่ที่ชัดเจนเขาไม่ใช่แค่พยุงฉันไว้ แต่ยังรับแตงโมในมือฉันไว้ได้อีกด้วยภาพที่ดูเหมือนฝันเช่นนี้เป็นสิ่งที่ได้จากการจงใจถ่ายทางโทรทัศน์เท่านั้น แต่ตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับฉันจริงๆเขาพยุงฉันให้ยืนตัวตรง คลายมือที่จับไว้ แต่ทันทีที่ฉันเคลื่อนไหว ฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนโดนเข็มทิ่มที่ข้อเท้าฉันคว้าแขนของเขาไว้แล้วพูดว่า “เจ็บ…”เขามองไปตามสายตาของฉัน เห็นข้อเท้าขาวบางของฉันกลายเป็นสีแดง "ข้อเท้าพลิกเหรอ?"ฉินโม่อยู่ใกล้ฉันมาก เสียงทุ้มต่ำของเขามันช่างน่าฟังมากเป็นพิเศษฉันตอบอืม วินาทีต่อมาเขาก็ยัดแตงโมใส่มาในมือฉันแล้วอุ้มฉันขึ้นมาฉันกับเจียงอวี้เหิงคบกันมาหลายปี แต่เขาไม่เคยอุ้มฉันแบบนี้เลย ในตอนนี้ ฉินโม่กลับอุ้มฉันในท่าเจ้าหญิง มันทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้น ถึงขั้นมีเหงื่อซึมออกมาที่ปีกจมูก...ฉันเป็นแบบนี้แหละ เวลาตื่นเต้นหรือประหม่า เหงื่อจะออกปลายจมูกในตอนนี้ ฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ เป็นเสียงจากคนในละแวกนั้นและผู้คนที่เดินผ่านไปมาอาจเป็นเพราะมณฑลเล็กๆ เช่นนี้ ผู้คนคงยังไม่ชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงฉิ
ฉันหยิบแก้วแปรงสีฟันขึ้นมา เติมน้ำแล้วแปรงฟัน ตลอดเวลาที่แปรงฟัน ฉันไม่ได้มองที่ยัยหมูสามชั้นเลย แต่สายตาของเธอไม่เคยละไปจากฉันแม้แต่วินาทีเดียว เธอมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็จากปลายเท้าขึ้นไปถึงศีรษะ“เสี่ยวเฉียวเฉียว นี่คือหมูสามชั้น” คุณยายแนะนำเธอฉันอมยาสีฟันไว้ในปากแล้วพยักหน้าไปทางยัยหมูสามชั้นเธอมีใบหน้ากลม แต่ไม่ถึงกับอ้วน เธอสวมชุดเดรสลายดอกไม้และแต่งหน้า เห็นได้ชัดว่าเธอแต่งตัวมาอย่างจริงจัง“หมูสามชั้น นี่คือเสี่ยวเฉียวเฉียวที่เธออยากเจอ ฉันพูดถูกไหม ดูสิว่าผิวเธอนุ่มลื่มชุ่มชื้นแค่ไหน” คุณยายกำลังซักผ้าอยู่ ซักด้วยมือเปล่าเมื่อหมูสามชั้นกับฉันสบตากัน เธอมีความไม่มั่นใจฉายแวบขึ้นในดวงตาเมื่อถูกเปรียบเทียบกับฉัน แต่ปากกลับไม่ยอมรับ “เธอยังเด็ก ผิวก็ต้องนุ่มชุ่มชื้นอยู่แล้ว ตอนฉันอายุเท่าเธอก็ประมาณนี้แหละ”คุณยายเบะปาก หมูสามชั้นก็กลอกตามองบน การต่อสู้แบบเงียบๆ ระหว่างทั้งสองทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังดูโชว์ตลกอยู่เมื่อฉันแปรงฟันเสร็จ หมูสามชั้นก็พูดขึ้นมาว่า “คุณเฉียว มาที่นี่เพื่อเยี่ยมญาติหรือมาเที่ยวเล่น?”“มาเที่ยวเล่น” ฉันเปิดก๊อกน้ำและล้างแก้วแปรงสีฟัน“ม
คืนนี้ฉันนอนหลับสนิทจนกระทั่งได้ยินเสียงหนวกหูดังมาจากด้านนอกไม่ใช่ฉินโม่ที่กำลังพูด แต่เป็นผู้หญิงที่พูดติดสำเนียงท้องถิ่นฟังจากเสียงของเธอแล้ว เธอไม่ใช่เด็กเสียงของเด็กผู้หญิงจะนุ่มนวลและสดใส ในขณะที่เสียงของผู้หญิงโดยทั่วไปแล้วจะทุ้มและหยาบกว่าฉันเป็นคนที่สามารถแยกคนได้จากเสียง แต่กลับไม่สามารถแยกได้ว่าชายที่ฉันรักมาเป็นสิบปีนั้นเป็นไอ้ผู้ชายเจ้าชู้สารเลวเขาว่ากันว่าการลืมใครสักคนคือการไม่คิดถึงเขาบ่อยๆ ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะทำไม่ได้ฉันยังคิดถึงเจียงอวี้เหิงโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ถึงจะไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงความรู้สึกโกรธแค้น ฉันก็ยังคิดถึงเขาอยู่เป็นครั้งคราวฉันไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง เพียงแต่เงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอก“คุณยาย ฉินโม่ล่ะคะ?” หญิงคนนั้นถาม“ออกไปแล้ว ตั้งแต่เช้าก็ออกไปแล้ว” คุณยายดูเหมือนกำลังล้างอะไรบางอย่างอยู่ มีเสียงน้ำดังเข้ามา“ไปแล้วหรอ ฉันก็นึกว่าเขายังไม่ตื่น” เสียงของหญิงสาวมีความตลกขบขันแทรกอยู่“ยัยหมูสามชั้น เสี่ยวฉินจะตื่นหรือไม่ตื่นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ เขาไม่ได้ชอบเธอ เธอก็อย่าคิดให้รกสมองเปล่าๆ เลย” คุณยายพูดออกมาตรงๆคนปก
ฉันตอบอืมไปเบาๆ “เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย ฉันจะเก็บไปพิจารณาดู”“ต้องคิดแบบจริงจังนะ” เวินเหลียงพูดจบก็ชะงักไปชั่วขณะ “ซานซาน วิธีที่จะลืมใครสักคนกับความรักที่ดีที่สุดก็คือการหาใครสักคนมาแทน แล้วก็รีบเริ่มต้นความรักใหม่โดยเร็ว”“โอเคค่ะอาจารย์เวิน ฉันเข้าใจแล้ว” หลังจากวางสาย ฉันก็นอนลงบนเตียงอย่างเหม่อลอยฝีเท้าของฉินโม่ข้างนอกดังเข้ามา ฉันรู้ได้ในทันที มันทั้งหนักแน่นและทรงพลังผ่านไปสักพักก็มีเสียงก๊อกน้ำดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงบ่นพึมพำของคุณยายเจ้าของบ้าน "ทำไมมีแค่นายคนเดียว? เสี่ยวเฉียวเฉียวล่ะ?"ฉันไม่ได้ยินคำตอบของฉินโม่ ได้ยินเพียงแค่ที่เขาพูดว่า "อย่าใส่ผักชีในซุปปลา"เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็หัวเราะ หัวเราะไปหัวเราะมาก็น้ำตาไหลออกมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ตระกูลเจียง ฉันกินผักชี แต่ในอดีตตอนที่อยู่กับพ่อแม่ ฉันไม่เคยกินเลยมีสำนวนที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แม้ว่าตอนนั้นฉันจะย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลเจียงในฐานะคู่หมั้นของเจียงอวี้เหิง คุณแม่เจียงก็บอกว่าฉันเป็นลูกสาวของเธอ แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นคนในครอบครัวตระกูลเจียงอยู่ดี ฉันรู้ดีอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แก่ใจในเรื
ในชีวิตนี้ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายที่ฉันเคยพบหน้าเพียงสองครั้งจะอยากจดทะเบียนแต่งงานกับฉันแต่ผู้ชายที่คบกับฉันมาสิบปีกลับไปมีชู้ลับหลังฉันหลังจากตกใจไปชั่วขณะ ฉันก็เม้มริมฝีปากและยิ้ม "คุณฉินคะ นี่มันกะทันหันเกินไปหน่อยไหม?"สีหน้าของฉินโม่ยังเหมือนเดิม ดูค่อนข้างจริงจัง “คนเราคบกันก็เพื่อแต่งงานกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อคุณไม่อยากคบ งั้นก็แต่งงานเลย”คำพูดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแต่คนที่พูดดูเหมือนว่าจะมีปัญหา คนปกติจู่ๆ จะมาแต่งงานกับคนแปลกหน้าไหมล่ะ?นิยายสมัยนี้นิยมโครงเรื่องแบบนี้ แต่มันก็เป็นแค่นิยายเท่านั้นคิ้วของฉันขมวด มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะ "คุณฉินตรงไปตรงมาขนาดนี้กับคู่นัดดูตัวทุกคนเลยเหรอคะ?"ขณะนี้ พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าส่องแสงมาที่ตัวของพวกเราพอดี เงาของฉินโม่ปกคลุมฉันไว้ “คุณเป็นคนแรก” ฉันรู้สึกคันคอ “เรา…แทบจะไม่รู้จักกันเลย”ฉินโม่ไม่ได้พูดอะไรอีก เรายืนหันหน้าเข้าหากัน ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทั่วทั้งร่างกายของฉันร้อนผ่าวเล็กน้อย แม้แต่ปลายจมูกก็มีเหงื่อซึมออกมาในขณะที่ฉันกำลังขูดกำแพงที่อยู่ด้านหลังฉัน คิดว่าจะพูดอะไร
เมื่อได้ยินเสียง ฉันจึงโยนโทรศัพท์ทิ้ง “เรียบร้อยแล้วค่ะ”พูดจบ ฉันก็ถอดรองเท้า เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วเปิดประตู จากนั้นก็เห็นฉินโม่กำลังตักน้ำอยู่ในลานบ้านถังน้ำสีขาวหลายใบวางเรียงกันเป็นแถว ไม่นานน้ำก็เต็มถัง เขายกถังขึ้นมา กล้ามเนื้อที่ไหล่แนบกับเสื้อผ้าจนสามารถมองเห็นได้กล้ามเนื้อกับพละกำลังนั้นเป็นของคู่กันจริงๆ“ตักน้ำมาเยอะขนาดนี้ทำไม น้ำจะไม่ไหลเหรอ?” ฉันเดินไปถามสายตาของคุณยายมองไปที่รองเท้าแตะของฉัน และกลอกตาอย่างเงียบๆฉินโม่ไม่ได้ตอบอะไร คุณยายพูดแทน "เผื่อโดนตัดน้ำจ้ะ"พูดจบ เธอก็ตีฉินโม่ “เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะทำซุปปลาให้นะ พวกเธอช่วยไปซื้อปลากะพงมาหน่อย ขอสดๆนะ แล้วก็ซื้อผักชีกับกระเทียมมาด้วย”นี่เป็นการไปซื้อของที่ไหนกันล่ะ มันคือการให้เราสองคนออกไปคุยกันชัดๆเพียงแต่ฉันใส่รองเท้าแตะขนาดใหญ่อยู่ จึงไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่การจะเข้าไปเปลี่ยนในบ้านก็ดูไม่เหมาะสมเช่นกัน“ไปเปลี่ยนรองเท้า” ฉินโม่พูดเช่นนั้นในเวลาแบบนี้ ถ้าให้ฉันไปเปลี่ยนรองเท้า มันจะยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอับอายมากขึ้น ดังนั้นฉันจึงยิ้มเยาะ “ไม่ต้องหรอก”ฉินโม่ไม่พูดอะไรอีก เขายกขาขึ้นเตรียมจะเดินออกไ
ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าคุณยายจะบอกว่าจะเป็นแม่สื่อให้ฉัน ใบหน้าที่เย็นชาแข็งกระด้างของฉินโม่แวบผ่านหน้าฉันขึ้นมาเมื่อนึกถึงความตรงไปตรงมาและเย็นชาของเขาที่ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนห้องกับฉัน จู่ๆ ฉันก็รู้สึกอยากเล่นสนุกขึ้นมา และตอบกลับไปอย่างเบิกบานสำราญใจไปสองคำว่า "ได้เลยค่ะ"ถึงฉันจะตกลง แต่มันก็เป็นเพียงคำพูดที่พูดไปเรื่อยที่ฉันไม่ได้เก็บมาใส่ใจหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉันก็ยืมจักรยานในบ้านคุณยายมาคันหนึ่งและปั่นไปรอบๆ มณฑลเล็กๆ แห่งนี้เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ฉันมีสิ่งที่ต่างจากตอนที่ออกไปในตอนเช้า ซึ่งก็คือมีกระดานวาดภาพเพิ่มมาฉันรักการวาดภาพ ก่อนที่พ่อแม่ของฉันจะเสีย พวกเขาให้ฉันไปสมัครเรียนคลาสเต้น คลาสวาดภาพ และการเขียนพู่กันจีน อีกทั้งยังให้ฉันเรียนกู่เจิงด้วยแต่สิ่งเหล่านี้ล้วนจบลงหลังจากที่พวกเขาจากโลกไป แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่จบลงก็คือการวาดภาพ เพราะมันง่ายมาก เพียงแค่มีปากกาหนึ่งด้ามและกระดาษหนึ่งแผ่นก็เพียงพอแล้วทั้งวันวันนี้ที่ฉันออกไปข้างนอก นอกจากการมองชมวิวรอบๆ แล้ว ฉันก็ได้วาดรูปมารูปหนึ่ง ก็คือรูปเขตชิงผิงใหม่ความปรารถนาสูงสุดของพ่อแม่ของฉันค
แต่เมื่อฉันนอนลงบนเตียงแข็งๆ ภาพตรงหน้าก็ยุ่งเหยิงและว่างเปล่า ฉันจึงนอนไม่หลับในที่สุด ฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์ เห็นข้อความที่ส่งมาจากหยวนเสี่ยวไต้และเกาหย่วนหยวนเสี่ยวไต้ “พี่ซาน วันนี้ฉันยุ่งจนหัวหมุนทั้งวันเลย แต่งานที่พี่ฝากให้ทำฉันทำเสร็จแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องเอาขนมมงคลสมรสมาให้ฉันเป็นรางวัลด้วยนะ พี่ซาน สุขสันต์วันแต่งงาน ขอให้มีความสุขมากๆ ตลอดชีวิตไปจนแก่เลยนะ”เมื่อเห็นข้อความนี้ ฉันก็กระตุกมุมปากเย้ยหยัน แต่ไม่ได้ตอบกลับเกาหย่วน “ผู้ช่วยเฉียว อย่าเข้าใจประธานเจียงผิดนะ อย่าไปมีเรื่องอะไรกับประธานเจียงเด็ดขาด ไม่งั้นความผิดผมได้ใหญ่มหันต์แน่”ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรเช่นกัน เพียงแต่เปิดอินสตาแกรมขึ้นมา แล้วก็เจอรูปเงาที่ฉันถ่ายที่สวนสนุกในอัลบั้ม จากนั้นก็โพสต์ไปข้อความหนึ่งว่า ‘สุขสันต์วันขึ้นปีใหม่!’หลังจากโพสต์แล้ว ฉันก็ลบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเจียงอวี้เหิงออกจากอินสตาแกรมของฉันสิ่งที่ฉันทำก็มันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่พวกดาราชอบทำในตอนหย่าหรือไม่ก็เลิกกับแฟนเมื่อไม่ได้เป็นคู่รักกัน แล้วก็เป็นคนรักกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการลบทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับความรักไปก็คงจะดีท
“เสี่ยวโม่ นี่คือผู้หญิงที่ฉันบอกเธอว่าอยากเปลี่ยนบ้าน พวกเธอลองคุยกันดูไหม?”คุณยายเจ้าของบ้านพูดขึ้น ทำลายช่วงเวลาการสบสายตาระหว่างฉันกับชายคนนั้นลงฉันเดินเข้าไป “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเฉียวซาน ห้องที่คุณอยู่ห้องนั้น ฉันขอเปลี่ยนได้ไหมคะ?”“ไม่ครับ” การปฏิเสธของเขาเด็ดขาดเหมือนกับตอนที่สระผมเมื่อครู่นี้มุมปากของฉันขยับเล็กน้อย ความรู้สึกไม่พอใจผุดขึ้นในใจเล็กน้อย อีกทั้งความดื้อรั้นก็แสดงออกมา “ทำไมล่ะ?”ชายคนนั้นมองมาที่ฉัน ไม่ได้พูดอะไร เขาเอาผ้าขนหนูสีเขียวลายทหารพาดไหล่แล้วเดินผ่านฉันไปทั้งแบบนั้นไอความเย็นที่แผ่ซ่านมาจากน้ำทำให้ฉันสั่นสะท้านอย่างไม่มีสาเหตุ“เสี่ยว...เสี่ยวเฉียวสินะ?” คุณยายเจ้าของบ้านเดินเข้ามา “อย่าโกรธเลยนะ ฉินโม่น่ะง้อผู้หญิงไม่เป็น เดี๋ยวฉันจะกลับไปคุยกับเขาทีหลัง”ฉันก็อารมณ์ขึ้นเช่นกัน จึงจงใจพูดเสียงดัง “ไม่ต้องหรอกค่ะ อยู่ห้องนั้นก็ไม่ทำให้สูงส่งได้หรอกค่ะ ใครอยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ”พูดจบ คุณยายเจ้าของบ้านก็ดึงฉันไว้แล้วพูดว่า “อย่าดุแบบนี้สิ เขาเคยเป็นทหารที่ผ่านการฝึกหนักมานะ ถ้าเขาโกรธขึ้นมา เขาสามารถแบกเธอขึ้นมาแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ข้างนอกได้เลยน