ก่อนที่เราจะไปเข้าสู่เนื้อหาของเรื่องกัน เราจะมาพูดคุยกันก่อนนะ และเฉพาะในตอนนี้ถ้าหากใครมีคำถามอะไรสามารถถามมาได้เลย ผมจะกลับมาตอบให้จ้า
เรื่องแรกที่อยากให้ทุกคนเข้าใจตรงกันก็คือ วัน-เวลา เนื่องจากผมจะสร้างโลกใบใหม่ที่แตกต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิงเลย สิ่งแรกที่อยากจะทำความเข้าใจก็คือแต่ละวันนั้นจะยาวนานขึ้นสิบเท่า กล่าวคือในแต่ละชั่วยามจะยาวนานกว่า20ชั่วโมง และที่สำคัญก็คือแต่ละปีจะยาวนาน1200วัน(เดือนละ100วัน12เดือน) แต่ก็ยังยังคงแบ่งเป็น4ฤดูตามประเทศจีน และสกุลเงินเองก็เช่นเดียวกัน ส่วนเหตุผลทั้งหมดจะค่อยๆ อธิบายไปในเรื่องจ้า แต่เพื่อไม่ใช้นักอ่านงุนงงสงสัยเกี่ยวกับการเดินเรื่องที่อาจจะแปลกๆ ไปจากที่เคยผ่านตามา แต่รับรองว่าจะไม่งงแน่นอนจ้า
ส่วนรายละเอียดของ เวลา ค่าเงิน และระยะทางก็ตามนี้เลย
เวลา
ในสมัยโบราณ คนจีนจะแบ่งเวลา 1 วันเป็น 12 ชั่วยาม ดังนั้น เมื่อเทียบกับเวลาสากล 1 ชั่วยามจึงเท่ากับ 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มนับชั่วยามแรกตั้งแต่เวลา 00.01-02.00 น. และนับต่อไปเรื่อย ๆ จนครบ 12 ชั่วยาม
ชั่วยาม (时辰:shíchén)
ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.
ยามโฉ่ว (丑:chǒu) คือ 01.00 – 02.59 น.
ยามอิ๋น (寅:yín) คือ 03.00 – 04.59 น.
ยามเหม่า (卯:mǎo) คือ 05.00 – 06.59 น.
ยามเฉิน (辰:chén) คือ 07.00 – 08.59 น.
ยามซื่อ (巳:sì) คือ 09.00 – 10.59 น.
ยามอู่ (午:wǔ) คือ 11.00 – 12.59 น.
ยามเว่ย (未:wèi) คือ 13.00 – 14.59 น.
ยามเซิน (申:shēn) คือ 15.00 – 16.59 น.
ยามโหย่ว (酉:yǒu) คือ 17.00 – 18.59 น.
ยามซวี (戌:xū) คือ 19.00 – 20.59 น.
ยามห้าย (亥:hài) คือ 21.00 – 22.59 น
นอกจากการนับชั่วยามแล้วก็ยังมี เค่อ (刻:kè) นับเวลา 1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณ(สำหรับเรื่องนี้ใช้X10) ตามเวลาสากล ซึ่งในหนึ่งวันมีทั้งหมด 100 เค่อ ในแต่ละชั่วยามมีทั้งหมด 8 เค่อ
**ข้อควรระวัง แอดจะมาเตือนในเรื่องของความสับสนระหว่างการนับ “ชั่วยาม” กับ “ยาม” ซึ่งยามของคนจีนหมายถึงช่วงเวลากลางคืนตั้งแต่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว โดยมีเพียง 5 ยามเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ยามแรก 19.01-21.00 น. ยาม 2 เวลา 21.01-23.00 น. นับทีละ 2 ชั่วโมงไปเรื่อย ๆ จนถึงยาม 5 ที่เวลา 03.01-05.00 น.
ค่าเงินจีนโบราณ
1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน 1 ตำลึงเงิน = 1 ก้วนเหรียญทองแดง 1 ก้วน = 1000 เหวิน (อีแปะ) ซึ่งเป็นเหรียญทองแดงผสม 100อีแปะเท่ากับ1 พวง 10พวงเท่ากับ ก้วน สรุปคือ 1000 เหวิน = 1 ก้วน = 1 ตำลึงเงินประเทศจีนมี 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.) ฤดูร้อน (มิ.ย.-ส.ค.) ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย.-พ.ย.) และฤดูหนาว (ธ.ค.-ก.พ.)
1 ลี้ (里) = 150 จั้ง (丈) = 500 เมตร (米) 2 ลี้ (里) = 1 กิโลเมตร (公里) หรือ 1000 เมตร (米) . 1 จั้ง (丈) = 10 ฉื่อ (尺)
เรื่องที่สอง โลก โลกใบนี้ใหญ่กว่าโลกของเรา1000เท่า แผ่นดินตะวันออก หรือที่เราเรียกว่าแผ่นดินจีนโบราณ ซึ่งยังคงเป็นแผ่นดินคล้ายกับทวีปเอเชียเราแต่มีขนาดใหญ่กว่า มีสภาพภูมิอากาศที่คล้ายกัน แต่จะยังมีกลินไอโบราณมากกว่าโลกของเราไปสัก20000ปี ยังมีพลังสวรรค์และโลกเข้มข้น จนมีสัตว์อสูร เทพเซียน และผู้ฝึกยุทย์เหลืออยู่
เรื่องที่สาม ระดับพลัง
ระดับพลังของผู้คนภายในเรื่องในช่วงแรกของนิยายจะแบ่งเป็น ระดับผู้ฝึกหัดส่วนหลังจากนั้นจะเป็นระดับตั้งแต่1-9ดาว
ระดับของสัตว์อสูรจะแบ่งเป็นสีตั้งแต่สีแดง-สีม่วงตามสีของสายรุ้ง แดงจะอ่อนแอสุดม่วงแข็งแกร่งสุด
คร่าวๆ ที่จะให้เข้าใจตรงกันในช่วงแรกก็มีตามนี้จ้า
แล้วก็ขอแนะนำตัวเองนิดนึงครับ ผมเป็นลูกที่ต้องดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียงด้วยตัวเองคนเดียว และต้องดูแลแม่ที่สติไม่ครบสมบูรณ์อีกคนหนึ่งด้วย มีบางครั้งไรท์อาจจะหายไปบ้าง แต่ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ เรื่องนี้ไรท์จะพยายามให้ดีที่สุดและจะมาให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ3ตอนจ้า(อาทิตย์ พุธ ศุก เวลา20.30)
แล้วก็เผื่อใครสงสัย สามารถตามไปอ่านในลิ๊งค์เฟสบุคนี้จ้า กดกด กดเลย
“...”ร่างเล็กกระพริบตาถี่ๆ ทันทีที่รู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้ตัวว่าตนเองกำลังนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง จึงได้พยายามที่จะลืมตาขึ้นมา แล้วลุกขึ้นนั่งเพื่อสำรวจรอบๆ“ไม่ยักกะเจ็บแฮะ ปกติถ้าตามนิยายที่ไอ้ชามันเอาให้อ่าน ถ้าไม่ปวดหัวเหมือนหัวจะแตก ก็ต้องบาดเจ็บเป็นไข้ใกล้ตายอะไรสักอย่าง แต่นี่ไม่เห็นรู้สึกแปลกๆอะไรเลย...”พูดได้เท่านั้นแหละนางก็ต้องหุบปากเงียบก่อนที่จะพยายามหาที่หลบให้มิดชิด เพราะตอนนี้ได้ยินเสียงเหมือนกับผู้คนจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้ แต่ก็เหมือนว่ามันจะไร้ผลเพราะไม่ว่านางจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดออกจากกำแพงอากาศโปร่งใสที่รายล้อมนางอยู่นี่ได้เสียที ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง“ไอ้เพื่อนเวร ส่งมาทั้งทีทำไมไม่ส่งไปที่ที่ปลอดภัยหน่อยวะ...ห๊ะ” ในตอแรกนางก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงของตัวเองเล็กลงอย่างน่าใจหาย แต่มันกลับหวานใสปานแก้วเนื้อดีไพเราะน่าฟังสมวัย แต่ก่อนที่นางจะทันได้คิดอะไร ก็ต้องหยุดชะงักเพราะในตอนนี้กลุ่มคนแปลกหน้าได้มาหยุดรายลอมนางเอาไว้เสียแล้ว“...” แต่คงเป็นเพราะกำแพงอากาศโปร่งใสนี่ทำให้คนพวกนั้นมองไม่เห็นนาง แล้วยังอยู่เยื้องออกมานิดหน่อย ทำให้
บทที่ 2 ความทรงจำที่ขาดหายหลังจากที่กลุ่มคนจากไปจนหมดไม่เหลือใครเนิ่นนานหลายสิบหลายร้อยลมหายใจ กว่าที่ทิพย์จะหายจากอาการตกใจจนสามารถกลับมามีสติอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพติดตาที่ยังคงชัดเจนหรือว่าเพราะอะไรกันแน่ นางก็สำรอกน้ำย่อยออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กว่าครู่ใหญ่ที่นางจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้“หนี!!”เป็นคำแรกที่หลุดออกมาจากปากของนาง หลังจากที่เหมือนว่านางลืมการพูดจาไปแล้วพักใหญ่ และสิ่งที่นางทำเป็นอย่างแรกก็คือการวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทิศที่คนพวกนั้นเดินจากไปอย่างสุดชีวิต“ทำไมถึงได้แรงเยอะจัง...” เสียงเล็กๆ ที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหญิงบ่งบอกได้ถึงความสงสัยอย่างไม่สามารถปกปิดได้ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าแม้แต่ก่อนหน้าที่นางจะหลุดมายังโลกใบนี้ นางก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ไม่ได้แข็งแรงอะไรมากมาย ซ้ำยังมีโรคข้อเข่าที่เป็นมาตั้งแต่สาวๆ แล้ว ทำให้นางเดินเหินไม่ค่อยจะสดวกนักหรือต่อให้นี่เป็นร่างใหม่ที่เด็กลงมากว่าสมัยก่อนมาก ฟังแค่เสียงก็รู้แล้วว่าเด็กแค่ไหน ที่สำคัญต่อให้นางไม่มีความทรงจำเก่าๆ อยู่เลย แต่ดูจากปฏิกิริยาของชายชราและกลุ่มคนแล้ว ที่คนพวกนั้นบอกว่านางอายุแ
หลายวันผ่านพ้นไป...“เฮ้อ...” ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ร่างเล็กของเย่หัวถอนหายใจออกมาแบบนี้ เนื่องจากในตอนที่ก่อนหน้านี้ที่นางได้หมดสติไปนั้น นางก็ได้รับจดหมายจากเพื่อนเก่าที่ฝากเอาไว้ในห้วงแห่งความฝัน ที่จ่าหน้าซองเอาไว้ว่าถ้าหากนางสามารถรอดพ้นมาได้ก็แสดงว่านางนั้นจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปจริงๆ ได้ ซึ่งในจดหมายฉบับนี้จะมีสิ่งที่นางจะต้องรู้เอาไว้ซึ่งสิ่งที่มันได้เขียนเอาไว้ก็เป็นอะไรที่คนธรรมดาๆ อย่างนางเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ที่พอจะสามารถจับใจความได้คร่าวๆ ก็คือ...อย่างแรกก็คือโลกนี้เป็นโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่ใช่โลกเดิมของนาง เนื่องจากช่วงเวลามันผ่านไปนานหลายภัทรกัปแล้ว และในโลกนี้นั้นเป็นช่วงเวลาขาลงของโลกที่มนุษย์จะมีอายุไขยาวนานราวสองร้อยสิบปี โดยที่แต่ละวันของโลกนี้จะยาวนานกว่าโลกเดิมของเราถึงสิบเท่า ส่วนแต่ละปีนั้นยาวนานกว่าหนึ่งพันสองร้อยวันในตอนที่กวาดสายตาอ่านเจอคำพวกนี้คราวแรกนางก็ออกจะมึนๆ งงอยู่บ้าง แต่พอได้รู้รายละเอียดเรื่องของเวลาในโลกใบนี้นางก็ถึงกับอ้าปากค้างถ้าอย่างนั้นที่นางอายุแปดขวบมันก็เท่ากับเท่าไหร่?...เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจ ซึ่งพอนางลองคำนวณ
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ห่างไกลกับเมืองใหญ่พอสมควร เป็นเพียงแค่หมู่บ้านชายป่าที่มีประชากรรวมกันเพียงแค่ไม่ถึงร้อยครัวเรือน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนนั้นจะอาศัยขึ้นไปหาของป่าที่ทิวเขาไกลออกไปหลายสิบลี้ เพราะว่าดินแดนแถบนี้ไปนั้นค่อนข้างแห้งแล้งและมีดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก ทำให้ไม่ค่อยเหมาะแก่การเพาะปลูกหัวเผือกหัวมันเท่าไรนัก ความเป็นอยู่ของผู้คนจึงลำบากมากพอตัวเลยทีเดียวถึงทิวเขาไกลออกไปหรือถ้าออกจากที่ดินผืนนี้ไปจะสามารถที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ แต่ด้วยสำหรับพวกเขาทั้งหมดที่ดินผืนนี้เป็นที่ที่พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน แม้ว่าจะไม่มีอะไรโดดเด่นมากมาย แต่พวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาอย่างยาวนาน หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้ยังไม่รวมถึงเหล่าชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่ต้องไปทิ้งชีวิตเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้วด้วย สิริรวมแล้วสถานการณ์ของหมู่บ้านที่สุขสงบเช่นนี้ก็เริ่มจะไม่คอยดีมากนักจนกระทั่ง...เมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อนหรือนานกว่านั้น เริ่มมีผู้คนที่เดินขึ้นไปตามลำธารที่แห้งขอด ก็เริ
“คุณหนู วันนี้คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรกันอย่างนั้นหรือ” เสียงร้องตะโกนมาแต่ไกลจากเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่วิ่งนำลิ่วมาแต่ไกล ตามมาด้วยเด็กๆ อายุตั้งแต่หกถึงสิบห้าปีอีกสิบสองสิบสามคนที่ต่างก็พากันวิ่งมารวมตัวกันตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานย้อนความกลับไปเมื่อหลายวันที่แล้ว ด้วยชุดที่เย่หัวสวมใส่อยู่อาจจะเป็นเสื้อผ้าที่ค่อนข้างพิเศษหรือเพราะอะไรก็ตามแต่ แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีเพียงแค่ชุดเดียว แต่ก็เหมือนกับว่าเสื้อผ้าชุดนี้สามารถทำความสะอาดตัวเองได้อย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้เนื้อตัวของนางจะมอมแมมไปบ้างในหลายๆ ครั้งหลายๆ หน แต่นางก็ยังคงมีผิวพรรณที่ขาวสะอาดกับเสื้อผ้าหรูหราเกินกว่าเด็กๆในหมู่บ้านเพราะแบบนั้นเองที่ทำให้ใครสักคนเรียกนางว่า “คุณหนู” แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาเด็กๆ ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เรียกนางว่าคุณหนูตามๆ กันมา ทั้งด้วยความแข็งแกร่งและใจดีของผู้คุ้มกันสี่ขา กับความเอื้อเฟื้ออาหารการกินสุดหรูหราให้กับเด็กๆ และผู้คนในหมู่บ้าน ถึงจะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่เดือนเดียว แต่คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกรักและเอ็นดู “คุณหนู” เพียงหนึ่งเดีย
“คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรหรือเจ้าคะ?” จางหลัวเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็กในหมู่บ้านเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นก่อนใคร ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะนางแข็งแกร่งหรือมีอายุมากกว่าคนอื่น แต่นางเป็นเพียงแค่หนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับจากพี่เบิ้มอย่าง ‘เจ้าสัง’ และเป็นคนริเริ่มเรียกเย่หัวว่า ‘คุณหนู’ “เห็นคุณหนูพูดแบบนี้มาสองสามวันแล้วเจ้าค่ะ”“นั่นสิขอรับ” จางซิวผู้มีอายุมากที่สุดกล่าวเห็นด้วย ส่วนเด็กคนอื่นๆ ต่างก็ลดจังหวะความเร็วในการเคี้ยวลง แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ“ก่อนอื่นข้าอยากฟังเรื่องของพวกเจ้าก่อน ก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยสิ่งที่จะทำต่อไป เพราะข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ข้าอยากจะทำมันจะสำเร็จไหม”“อะไรหรือเจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะได้ยินเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้หมู่บ้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาหารการกินอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้” เย่หัวพยายามทบทวนความคิดของตัวเองหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว “พวกเจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม ทั้งรายละเอียดเรื่องอาหารการกินและภัยแล้งอะไรนั่นที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน”“พี่ใหญ่เป็นคนเล่าให้ฟังดีกว่า พี่ใหญ่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีก
“...?”“...”“...”“ช่วย...ยังไงหรือขอรับ”“ช่วยอย่างไรหรือเจ้าคะ” เด็กๆ ที่ได้ยินต่างก็สงสัยกับคำกล่าวของเย่หัว “ทุกวันนี้คุณหนูก็ได้ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้มากแล้วนะเจ้าคะ”“ใช่แล้วขอรับ ถึงจะไม่มีใครมากล่าวต่อคุณหนูโดยตรง แต่สำหรับพวกเราในหมู่บ้านตระกูลจางต่างก็รู้สึกขอบคุณคุณหนูจากใจ เพราะสำหรับพวกเราแล้วอาหารที่คุณหนูมอบให้มันมากเกินกว่าค่าแรงสำหรับคนจนๆอย่างพวกเราสามารถหาได้ไปไกลโขแล้วขอรับ”“...” เย่หัวมองเด็กๆ ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย“พี่ใหญ่กับหัวหน้าไม่ได้กล่าวผิดไปแม้แต่นิดเดียวขอรับ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเนื้อสัตว์ที่คุณหนูมักจะมอบให้กับผู้คนที่แวะเวียนมาช่วยงาน หรือหัวมันแปลกๆ ที่พวกเราไม่เคยพบเ
“พวกเจ้าเข้ามาช่วยข้ายกนี่หน่อย” หลังจากที่เด็กๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วเย่หัวก็จะเอาห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาให้ทุกคนได้ดู แต่ก็ลืมไปว่าห่อผ้ามันหนักเกินกว่าร่างกายเล็กๆ ของนางจะสามารถยกได้ “ขอคนแข็งแรงสักสี่คนมาช่วยกัน”“ขอรับ”“เจ้าค่ะ”ว่าแล้วจางซิวกับคนอื่นๆ อีกสามคนก็เดินข้ามาในห้องหนึ่ง ที่มีผ้าผืนใหม่ผืนหนึ่งปูเอาไว้ โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะหนักพอควรวางอยู่แล้วมีผ้าอีกผืนคลุมอยู่ “เอ้าๆ ช่วยกันยกออกไปข้างนอกหน่อย”“นี่มันอะไรหรือเจ้าคะ?...เราจะมาต้มมันกันหรือเจ้าคะ” จางหลัวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้กล่าวขึ้นด้วยตาลุกวาว เมื่อเห็นกองมันสองสีกองใหญ่“เปล่า” เย่หัวที่มองเห็นตาที่งอกออกมาอย่างสมบูรณ์ผิดคาดก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “แต่เราจะมาลองปลูกมันพวกนี
บทที่ 78 เลี้ยงส่ง(2)“ก็ตามที่ได้บอกไปก็แล้วกัน เดี๋ยวทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าจะเป็นคนนำฝ่ายผู้ชายไปจัดเตรียมสถานที่ตามที่คุณหนูได้สั่งเอาไว้ ส่วนพวกผู้หญิงก็เดินทางไปหาคุณหนูได้เลย เห็นนางบอกว่า วันนี้นางจะจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดด้วยตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องนำสิ่งใดไปด้วย ถ้าจะเอาไปก็คงจะเป็นพวกอุปกรณ์ จานชาม และสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้ามีอะไรก็เอาไปเท่าที่มี เพราะว่าการที่จะจัดเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านก็คงจะต้องเตรียม หลายอย่างเลยทีเดียว”“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกข้าขอแบ่งออกไปตัดไม้แล้วกันนะหัวหน้า จะพาคนไปด้วยร้อยคนจะได้ช่วยกันหาไม้มาให้ได้มากที่สุด”“ส่วนพวกข้าก็จะไปเตรียมลานกว้างเลยแล้วกันนะ ขอรับ ถ้าจะขยายพื้นที่เพื่อวางโต๊ะ ตามรูปแบบที่นางเซียนน้อยได้กล่าว คงจะต้องเตรียมพื้นที่ให้มากขึ้นอีกหน่อย จะได้เดินเหินสะดวกในงานเลี้ยงขอรับ”“ถ้าอย่างนั้นข้ากับพวกผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ขอแยกย้ายกลับบ้านก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ จะได้ไปบอกเด็กๆให้ไปเล่นที่บ้านของนางเซียนน้อยด้วย หลายวันมานี้ทุกคนตั้งใจเรียนมากเลย ผ่อนคลายสักวันก็คงจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”“ก็ดีนะเจ้าคะ เดี๋ยว
บทที่ 77 เลี้ยงส่ง(1)“วันนี้คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ” จางหลงที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกขุ่นมัวในใจของนางเซียนน้อย ก็ได้เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ออกมาจากเรือน ซึ่งเป็นที่พักของผู้มาใหม่ทั้ง 2 คน “ทำไมวันนี้คุณหนูถึงได้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยขอรับ”“ไม่ได้มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ เพราะว่าวันนี้ข้าตั้งใจจะทำตามความต้องการของตัวเองตั้งแต่แรก คือก็คือการปรุงอาหารให้ทุกคนได้ลองกินดู ไหนๆก็จะเปิดโรงเตี๊ยมอยู่แล้ว แต่ข้ายังไม่เคยได้ทำอาหารจริงๆจังๆเลยสักครั้ง การที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ตั้งแต่เช้า มันก็คงจะทำให้ข้าหงุดหงิดไปบ้าง อย่างไรต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เยว่หัวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะว่าไม่ได้อยากจะให้ใครรู้เรื่องราวของความฝันมากนัก เพราะว่าการที่มีใครรับรู้มันไปมากกว่านี้ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีกไหม และอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่นางพูดไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไปเสียทั้งหมด เพราะว่ากันแล้ววันนี้นางต้องการที่จะลงมือควบคุมการปรุงอาหาร ในการเลี้ยงผู้คนทั้งหมู่บ้านทั้งหมดจริงๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนางอยากจะลองทำอย่างจริงจังดูสักครั้ง“จริงหรือขอรับ ทุกคนคงดีใจมากแน่ๆ”“ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?”“คุณหน
บทที่ 76 หลอมรวม“ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอันตรายพวกท่าน” ในทันทีที่เด็กสาวเข้ามาถึงห้องที่มีผู้ป่วย 2 คนนอนอยู่ หนึ่งในนั้นที่เป็นชายหนุ่มก็ได้ดึงตัวลุกขึ้นเตรียมต่อสู้ในทันที เยว่หัวเลยกล่าวออกไปแบบนั้น พลางหันไปหาจางหลงที่มาด้วยกัน “ไหนท่านบอกว่าพวกเขาหมดสติไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ แล้วไม่ใช่ว่าเข้ามาตามหาข้าหรอกหรือ”“ขออภัยด้วยขอรับ อาจจะเป็นเพราะว่าฤทธิ์ยาที่ทำให้เขามึนงงอยู่บ้าง” จางหลงถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปทางอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก “เป็นท่านเองมิใช่หรือที่มาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา แล้วทำไมถึงได้แสดงท่าทีเป็นอริศัตรูกันแบบนี้เล่า”“ข้าขออภัยด้วย อาจเป็นเพราะว่าตัวข้ายังรู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะถูกตามล่ามา ทำให้แสดงท่าทีเสียมารยาทไปแบบนั้น ข้าขออภัยจริงๆ” แม้อย่าพูดออกมาแบบนั้น แม้จะละท่าทีความหวาดระแวงลง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นความไม่เป็นมิตรในสายตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน“เลิกตั้งป้อมเป็นศัตรูกันเถอะเจ้าค่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็แค่พูดมา เพราะถ้าหากว่าพวกข้าต้องการจะทำอะไรพวกท่านจริง ก็คงจะไม่ปล่อยเอาไว้จนถึงตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ” เยว่หัวที่คร้านจ
บทที่ 75 ผู้มาใหม่“ต้าพัง...ต้าพัง!”เยว่หัวร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งมองภาพรอบๆด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก แต่หลังจากที่นางกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ก็สามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองตื่นขึ้นมาจากความฝันแล้ว“ข้าฝันไปอย่างนั้นสินะ แต่ว่ามันคงจะไม่ใช่ความฝันธรรมดาธรรมดาแน่ เพราะไม่มีทางที่เจ้านั่นจะทำอะไรแบบนี้โดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือทำไมต้าพังถึงไปอยู่ในความฝันนั้นได้ ตกลงว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...”เด็กหญิงพยายามใช้ความคิดของตัวเองหมุนวนอย่างเร็วจี๋ เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงแห่งความฝัน แต่ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอยู่ดี สิ่งที่มันยังจำได้แม่นก็มีเพียงแค่เรื่องของการฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นถัดไปเท่านั้นอีกอย่างหนึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ยิ่งนางใช้ชีวิตในโลกนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ความทรงจำของนางในโลกใบเดิมก็ยิ่งหายไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่นางเคยคิดว่านางสามารถจดจำ เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนเก่าหรือตัวนางเองได้มากแค่ไหน แต่มันก็ราวกับว่านางแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนเหมือนกับจำไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียวแล
บทที่ 74 ซวนซานจุน“เป็นอย่างไรบ้าง การที่ได้เจอนางอีกครั้งแบบนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร”“ก็ยังรู้สึกยินดีแบบเดิมขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่เข้าใจว่าในตอนนี้ข้าเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมข้าถึงยังอยู่ที่นี่ทั้งๆที่ข้าได้ตายไปแล้วหรือขอรับ”“เพราะว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต เจ้าได้ทำการให้ในสิ่งที่ยากที่สุด ก็คือการให้อภัยต่อบิดาผู้เอาชีวิตของเจ้า ทั้งยังตัวเจ้าในตอนนั้นได้ระลึกถึงบุญคุณของนางที่มีต่อเจ้า ต่อผู้คนที่อยู่รอบกายของเจ้า ทำให้เจ้าสามารถพ้นสภาวะจิตความเป็นมนุษย์ แล้วเสวยรูปของการเป็นเทพได้ในตอนนี้”“เทพอย่างนั้นหรือ...”“เพียงแต่ว่าเจ้ายังสั่งสมบุญบารมีมาไม่มากพอ มิได้บรรลุธรรม หรือมิได้สร้างกรรมอันยิ่งใหญ่ จนสามารถรังสรรค์ปราสาทและบริวารของเจ้าได้ เมื่อรวมกับดวงจิตสุดท้ายของเจ้าที่ผูกติดกับสถานที่แห่งนี้ เจ้าก็เลยยังเป็นเทพเบื้องต่ำที่ยังมิได้ไปไหนถึงฟังดูอาจจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังสูง กว่าภพมนุษย์ที่เจ้าจากมามาก”“แล้วหลังจากนี้ข้าควรจะทำอย่างไรต่อไป”“ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ก้าวพ้นห้วงสังสารวัฎ กล่าวคือยังเกิดในภพของมนุษย์ เทพ เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรก เจ้าก็จะย
บทที่ 73 ความฝัน(3)“...กูถามมึงจริงๆเถอะ การที่มึงมาร้องไห้ร่ำไรรำพัน กับการจากไปของเขา มึงคิดว่าถ้าต้าพังยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือยังสามารถรับรู้สิ่งที่มึงทำมึงเป็นอยู่ได้ มึงคิดว่าเด็กคนนั้นจะรู้สึกยังไงกูไม่ได้บอกว่าให้มึงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง กูไม่ได้บอกว่าที่มึงไม่สบายใจที่มึงเสียใจมันผิด แต่มึงแก่แล้วนะถึงเทียบอายุกับโลกนี้ มึงอาจจะยังแค่เด็กน้อยก็เถอะแต่มึงกับกูเคยอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเชื่อมถึงกันหมดทั้งโลก มึงได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งมึงเป็นครีเอเตอร์ดัง มึงก็ต้องพบกับแฟนคลับมากหน้าหลายตา มึงอยู่กับสังคมมามากกว่ากูเยอะอย่างน้อยที่สุดกูอยากให้มึงใช้เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่มึงต้องเรียนรู้ต่อไปในวันข้างหน้า มึงจะต้องจำให้ได้ว่า ความประมาทของมึง ความคิดน้อยของมึง มันอาจจะนำพาความเสียใจมาให้มึงอีกครั้งก็ได้
บทที่ 72 ความฝัน(2)“ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ...” เยว่หัวบ่นกับตัวเอง เบาๆ มันไม่ได้เป็นความเหนื่อยที่ร่างกาย เนื่องจากตลอดวันทั้งวัน นางแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะว่าคนในหมู่บ้านถ้าหากว่าหายใจแทนนางได้ก็คงจะทำไปแล้วสิ่งที่นางทำมากที่สุดในแต่ละวัน สำหรับช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ก็เพียงแค่การเปิดตู้เย็นแล้วเอาสิ่งของออกมาเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นก็ ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่อย่างเดียวส่วนช่วงเวลากลางคืน หลังจากที่นางสามารถฝึกฝนพลัง จนสามารถเปิดจุดลมปราณตามเคล็ดวิชา ขั้นแรกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว นางก็แทบไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนในยามค่ำคืนอีกเลย นางจึงพยายามใช้ทุกวินาทีที่ผ่านพ้น ไปในตอนที่ว่างเว้นจากการอยู่กับคนอื่น เพื่อฝึกฝนทำความเข้าใจเคล็ดวิชาที่เขียนเอาไว้ในความทรงจำของนางแต่ที่น่าแปลก...ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นางเหมือนจะจำได้ว่า ในหนังสือที่นางอ่านไปในตอนนั้นมันเขียนบอกเอาไว้ถึงการฝึกฝนขั้นต่อไปด้วย แต่ในตอนนี้นางจำไม่ได้เสียแล้วว่า จะต้องฝึกอย่างไรต่อ จึงทำได้เพียงแค่เพิ่มการสังเกต การรับรู้ และรวบรวมพลังไปยังจุดที่ชีพจรที่กลางหน้าผาก ให้มากที่สุด เข้มข้นที่สุด แ
หลังจากผ่านมาได้พักใหญ่ ลองกลับไปไล่ดูคอมเม้นของหลายๆ ท่านนะครับ เรื่องนิสัยของเยว่หัวที่มันขัดใจหลายๆ คนเสียจริงๆ ประมานว่า…อายุเดิมก็ปาไปหลายสิบปีแล้วไม่น่าจะคิดแบบนั้นอายุครึ่งร้อยแต่ความคิดเด็กน้อยโลกสวยเกินไปฯลฯสรุปรวมคร่าวๆ หลายๆ คนหมั่นใส่หรือไม่ชอบในความคิดความอ่านของนางเอกพอสมควรเลย หรืออาจจะเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำที่คิดแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมตั้งใจให้เห็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละครับ ซึ่งจริงๆ อยากจะค่อยๆ อธิบายในเนื้อหาไปเรื่อยๆ แต่หากว่ามันช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้กับนักอ่านได้คงจะดีครับ เพราะจริงๆ อยากให้ทุกคนติดตามกันไปเรื่อยๆ เพราะผมตั้งใจวางทุกๆ คนในเรื่องให้เป็นคนจริงๆ ทุกๆ คนที่เติบโตในแบบของตัวเอง และทุกๆ ชีวิตในโลกใบนี้เป็นชีวิตจริงๆ ที่มีความคิดและโชคชะตาในแบบของตนอย่างแรก…และถ้าหากนักอ่านได้ตามอ่านถึงตอนปัจจุบัน คงจะพอเข้าใจแล้วถึงว่าทำไมไรท์ต้องใจดำฆ่าต้าพังที่ดูเหมือนจะมีบทสำคัญมาก ซึ่งความตั้งใจจริงๆ ของไรท์ต้าพังก็เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคนหนึ่งในโลกนี้ เพราะเขาเป็นคนที่สร้างบาดแผลให้เยว่หัวได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างที่สอง เรื่องนิสัยของเยว่หัว อย่างแรกที
บทที่ 71 ความฝัน(1)“ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับคุณหนู หากคุณหนูพร้อมพรุ่งนี้เราสามารถเปิดทำการโรงเตี๊ยมจันทราอัสดง ได้อย่างเป็นทางการเลยขอรับ”“ขอบคุณท่านหัวหน้าและทุกๆคนมากเลยนะเจ้าคะ ถ้าหากไม่มีทุกคนข้าก็ไม่รู้ว่า ความฝันเล็กๆน้อยๆ ของข้าจะสำเร็จเมื่อไร”“ไม่เป็นไรเลยขอรับ อันที่จริงเป็นพวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณหนูมาก ถ้าหากว่าคุณหนูไม่ได้มาที่นี่แล้วละก็ พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรบ้าง”“ใช่แล้วล่ะขอรับ ลำพังสิ่งที่คุณหนูมอบให้กับพวกเราแล้ว ต่อให้พวกเราใช้ทั้งชีวิตนี้มอบให้กับคุณหนูก็คงจะไม่เพียงพอด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่การทำอะไรเล็กๆน้อยๆ พวกนี้เลย”“ใช่ใช่ อีกอย่างคุณหนูก็ยังได้มอบทั้งอาหารทั้งเครื่องดื่ม ที่สุดแสนวิเศษให้กับพวกเราไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยความสามารถ เล็กๆน้อยๆของพวก