หลังจากตกลงว่าวันนี้ฉันจะเป็นไกด์ชั่วคราวให้กับเจ้าของรถได้แล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถกันมาฉันคิดหนักมากว่าจะพาเขาไปเที่ยวที่ไหนดี แต่จากที่ฉันสังเกตบุคลิกท่าทางของเขาแล้ว เขาดูเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย น่าจะชอบทำกิจกรรมพอสมควรเลยนะ
เพราะงั้น…ฉันเลยพาเขามาพายเรือที่นี่ไงล่ะ “คุณชอบพายเรือมั้ยคะ?” ฉันหันไปถามคนข้างๆที่เดินมาด้วยกัน หลังจากจอดรถกันเสร็จแล้ว “ก็น่าสนใจนะครับ” “งั้นดีเลยค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบมาทำกิจกรรมกันค่ะ กิจกรรมหลักๆของที่นี่ก็คือการพายเรือวนรอบคลองนี้เลยค่ะ” “ฟังดูน่าสนุกนะครับ” “สนุกแน่นอนค่ะ ฉันรับรองได้ อ้อ! จริงสิ คุณ…ชื่ออะไรเหรอคะ? ฉันณรารินณ์ค่ะ เรียกรินณ์เฉยๆก็ได้” จู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรายังไม่ได้แนะนำตัวเองให้กันเลย พอนึกขึ้นได้แบบนั้นฉันเลยหันไปแนะนำตัวกับคุณเจ้าของรถซะก่อน “ผมกวินท์ครับ” ชื่อกวินท์สินะ ชื่อเขาดูหล่อสมกับหน้าตาเลยนะเนี่ย “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณกวินท์:)” “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณรินณ์” “งั้นเราไปซื้อตั๋วกันเลยมั้ยคะ?” “ไปสิครับ” “เอ้ารินณ์! มาได้ยังไงเนี่ย?” ฉันเดินนำคุณกวินท์มาที่จุดขายตั๋ว ซึ่งพอมาถึงก็ได้เจอกับพี่นิด เจ้าของของที่นี่พอดี “สวัสดีค่ะพี่นิด พอดีรินณ์พา เอ่อ…เพื่อน? มาเที่ยวน่ะค่ะ” ตอแรก็ไม่กล้าแนะนำคุณกวินท์ว่าเป็นเพื่อนเหมือนกัน แต่ก่อนจะเอ่ย ฉันหันไปมองคุณกวินท์พลางส่งสายตาประมาณว่า ขออนุญาติเรียกว่าเพื่อนนะคะ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร ฉันเลยแนะนำไปแบบนั้น “สวัสดีครับ” คุณกวินท์หันไปยิ้มทักทายกับพี่นิด “สวัสดีค่ะ แล้วนี่จะซื้อตั๋วกี่ที่ดีล่ะ?” “ที่เดียวค่ะ/สองที่ครับ” ฉันและคุณกวินท์พูดขึ้นมาพร้อมกัน แต่ต่างคนต่างพูดคนละประโยคกัน ก่อนที่เราทั้งสองคนจะหันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ “ทำไมที่เดียวล่ะครับ?” คุณกวินท์เอ่ยถามขึ้นมา “ก็…ตั๋วสำหรับคุณกวินท์คนเดียวไงคะ อ้อถ้าคุณไม่กล้าพายคนเดียวที่นี่เขาสามารถขอไกด์พายให้ได้ด้วยนะคะ” “แล้วคุณรินณ์ล่ะ? ไม่ไปด้วยกันเหรอครับ?” “ฉะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ”รินณ์เขาว่ายน้ำไม่เป็นน่ะค่ะ มากี่ครั้งๆก็ไม่เคยพายหรอก” พี่นิดเป็นคนเอ่ยปากพูดบอกออกไป ความจริวฉันไม่ค่อยอยากจะพูดเหตุผลออกไปสักเท่าไรหรอก เพราะมันออกจะน่าอายนิดหน่อย “คุณพาผมมาที่นี่แท้ๆ แต่กลับจะให้ผมขึ้นเรือคนเดียวเนี่ยนะครับ” มันก็ถูกอย่างที่เขาว่านั่นแหละ ฉันพาเขามาพายเรือ แต่กลับทิ้งเขาไว้คนเดียวซะงั้นอ่ะ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็ฉันว่ายน้ำไม่เป็นนี่นา “คือว่าฉัน…” “ขอตั๋วสองที่ให้ผมกับคุณรินณ์ด้วยครับ” “คะ?” ฉันเบิกตาโพลงกับสิ่งที่คุณกวินท์พูดออกไป “ฮ่ะๆ ได้เลยค่ะ” ฟึ่บ!! พี่นิดยิ้มหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ก่อนจะฉีกตั๋วสองใบยื่นให้คุณกวินท์ “ดะ เดี๋ยวสิคะคุณกวินท์ คือฉัน…” “ไปกันครับคุณรินณ์” หมับ!! ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรออกไป ฉันกลับต้องเบิกตาโพลงออกมาด้วยความตกใจเมื่อคุณกวินท์ยื่นมือตัวเองมาคว้าข้อมือฉันเอาไว้ ก่อนจะเดินนำฉันไปยังท่าเรือคายัคที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ “ขอเสื้อชูชีพด้วยครับ” พอมาถึงที่ท่าเรือคุณกวินท์ก็หัจหันไปของเสื้อชูชีพกับเจ้าหน้าที่ที่ยืนรออยู่ตรงนั้น ส่วนพี่เขาก็เดินไปหยิบเสื้อชูชีพมาสองตัวอย่างว่าง่าย เดี๋ยวสิ! นี่เขาไม่คิดจะฟังฉันเลยรึไง “คุณกวินท์ค่ะ ฉันว่าคุณขึ้นไปคนเดียวเถอะค่ะ ฉะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” ฉันปฏิเสธออกไปด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก ก่อนจะพยายามยื่นเสื้อชูชีพที่คุณกวินท์ยัดเยียดมาให้คืนไป “กลัวเหรอครับ?” “มะ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ…ฉันว่ายน้ำไม่เป็น” จริงๆก็…กลัวนั่นแหละ เพราะว่ายน้ำไม่เป็นก็เลยกลัว “ตอนมหาลัยผมเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาลัยด้วยนะครับ แถมตอนไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ ผมก็ออกไปพายเรือเล่นที่ทะเลคนเดียวบ่อยๆ” “คะ?” เขา…เล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟังทำไมเนี่ย? “อยู่กับผม คุณไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอะไรหรอกนะครับ ผมจะดูแลคุณเอง” ตึกตักๆๆ!! วินาทีที่ฉันจ้องมองไปที่คุณกวินท์ สายตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเขา บวกกับคำพูดที่เขาเอ่ยออกมา มันทำใจฉันเต้นรัวขึ้นมาซะดื้อๆ “ไว้ใจผมนะครับ” รอยยิ้มของคุณกวินท์ทำให้ความกลัวที่เคยมีในตอกแรกของฉัน แปรเปลี่ยนเป็นความสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “เอ่อ…ก็ได้ค่ะ” สุดท้ายฉันก็ยอมตกลงขึ้นเรือกับคุณกวินท์ไปจนได้ แต่ระหว่างทางที่ขึ้นเรือไปก็มีแต่คุณกวินท์คนเดียวเท่านั้นที่นั่งพายเรือ ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ กอดเสื้อชูชีพไว้แน่น ไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหนทั้งนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามองทางข้างหน้าด้วยซ้ำ “คุณรินณ์อยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วครับ?” ระหว่างที่นั่งเกร็งอยู่นั้น จู่ๆคุณกวินท์ที่นั่งพายเรืออยู่ข้างหลังก็เอ่ยถามขึ้นมา “คะ? เอ่อ…ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่สิบขวบแล้วล่ะค่ะ” “ได้อยู่ในเมืองท่องเที่ยวแบบนี้ คงจะได้เที่ยวบ่อยน่าดูเลยนะครับ” “ใช่ที่ไหนล่ะคะ? ความจริงแล้ว…ฉันไม่ค่อยชอบเที่ยวสักเท่าไรหรอกค่ะ นานๆทีจะออกมาเที่ยว” ถึงจะอยู่ในเมืองท่องเที่ยว แต่พออยู่มานานแล้ว ก็ไม่ค่อยอยากจะเที่ยวสักเท่าไรเลยน่ะ “มิน่าล่ะ คุณถึงว่ายน้ำไม่เป็น ฮึๆ” พรึ่บ!! ฉันเผลอลืมตาออกมาก่อนจะเหลือบไปมองคนที่นั่งขำอยู่ข้างหลัง นี่เขา…กำลังล้อฉันอยู่เหรอเนี่ย? “0///0 มะ ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อยนะคะ ที่ฉันว่ายน้ำไม่เป็นเพราะฉัน…ไม่มีเวลาต่างหากล่ะ บ้านฉันน่ะอยู่ริมทะเลเลยนะคะ ถ้าจะว่ายฉันก็ว่ายได้ตั้งนานแล้วล่ะค่ะ แค่…ไม่มีเวลา” อ่า น่าอายชะมัด เขาคงจะมองว่าฉัน เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เอาไหนแน่ๆเลยสินะ “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อยนี่ครับ” “อะไรนะคะ? 0_0” “ว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยนี่ครับ คนเรามีความถนัดไม่เหมือนกัน จะถนัดแบบไหนก็ไม่ผิดหรอกครับ” ตึกตักๆๆ! คำพูดของคุณกวินท์ส่งผลให้ใจของฉันเต้นรัวขึ้นมาอีกแล้ว คำพูดที่คุณกวินท์พูดออกมาเมื่อกี้ทำให้ฉันหวนนึกถึงใครบางคนขึ้นมาซะได้ “คุณกวินท์พูดเหมือนแม่ฉันเลยค่ะ” “แม่คุณเหรอครับ?” “ใช่ค่ะ แม่เคยพูดกับฉันว่าคนเรามีสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ถนัดไม่เหมือนกัน ต่อให้คนทั้งโลกจะว่ายน้ำเป็น แล้วมีแค่ฉันคนเดียวที่ว่ายน้ำไม่เป็น มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนผิดสักหน่อย แต่เราแค่…แตกต่างจากพวกเขาแค่นั้นเอง” “ฮึ! แม่คุณคงจะเป็นคนที่นิสัยดีมากเลยนะครับ” “อืม…ก็ดีค่ะ แต่…ขี้บ่นไปหน่อย แฮ่ๆ” “ฮึๆ จริงสิครับ เมื่อกี้คุณบอกว่าบ้านคุณอยู่ติดทะเลด้วยเหรอครับ?” “อ่อ ใช่ค่ะ ทะเลอยู่ติดกับหลังบ้านฉันเองค่ะ” “ดีจังเลยนะครับ คงได้เห็นทะเลทุกวัน” “ก็ดีค่ะ คุณกวินท์รู้มั้ยคะว่าทะเลตอนไหนสวยที่สุด” “ตอนไหนครับ?” “ตอนเย็นค่ะ ตอนที่พระอาทิตย์ตก ทะเลตอนนั้น…สวยที่สุดเลยค่ะ” “เหรอครับ? ผมชักอยากจะเห็นทะเลหลังบ้านคุณแล้วสิ” “จริงสิ! งั้น…เย็นนี้ไปบ้านฉันมั้ยคะ?” “ครับ?” โอ๊ะ! นี่ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย? “เอ่อ…มะ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันหมายถึงว่า…เย็นนี้คุณไปดูพระอาทิตย์ตกที่หลังบ้านฉันมั้ยคะ? ที่…ทะเลหลังบ้านฉันน่ะค่ะ” ฉันรีบแก้ตัว ไม่สิ! อธิบายออกไม่ให้คุณคุณกวินท์เข้าใจผิดไปมากกว่านี้ แต่ท่าทีตะกุกตะกักของตัวเองอาจจะทำให้มันดูแย่ลงรึเปล่านะ? “ฮ่าๆๆ เอาสิครับ ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน ทะเลบ้านคุณน่ะ” ตึกตักๆๆ!! วันนี้ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย? ใจฉันเต้นรัวขึ้นมาดื้อๆอีกแล้ว และทุกครั้งที่คุณกวินท์เอ่ยคำพูดที่น่าประทับใจเหล่านั้นออกมา ใจฉันมันก็เต้นรัวไม่มีทีท่าจะสงบเลยทุกที ฉันต้อง…บ้าไปแล้วแน่ๆ!!เวลา 18.00 น.หลังจากกลับมาจากพายเรือแล้ว ฉันก็พาคุณกวินท์ไปทานข้าวเย็นที่ร้านใกล้ๆแถวนั้น ก่อนจะพาเขามาดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลหลังบ้านตามที่ตกลงกันไว้“นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้วนะคะเนี่ย?” ฉันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พาคุณกวินท์มานั่งบนเก้าอี้ริมหาดหลังบ้าน“นั่นน่ะสิครับ” “เป็นไงบ้างคะ? ทะเลตอนพระอาทิตย์ตกที่หลังบ้านฉัน” “สวยครับ สวยมากเลยครับ”“ใช่มั้ยล่ะคะ?” ฉันหันไปยิ้มให้คุณกวินท์ ก่อนจะหันกลับมามองดูทะเลตรงหน้า แสงของพระอาทิตย์ในตอนเย็นตกกระทบกับผิวของน้ำทะเล ก่อให้เกิดแสงวิบวับขึ้นมา สวยมากเลยล่ะ แถมหาดหลังบ้านฉันยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแน เพราะงั้นเลยไม่มีคนมารบกวนให้รำคาญตา เฮ้อออ! ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ฉันก็ยังชอบบรรยากาศหลังบ้านของตัวเองมาตลอดเลยล่ะ“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?” ระหว่างที่นั่งดูพระอาทิตย์ตก จู่ๆฉันก็นึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา“ได้สิครับ”“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” “ก็…มาดูพระอาทิตย์ตกไงครับ”“ฉันไม่ได้หมายถึงตอนนี้ค่ะ ฉันหมายถึงว่า…คุณมาทำอะไรที่จังหวัดนี้คนเดียวเหรอคะ? คง…ไม่ได้มาเที่ยวจริงๆหรอกใช่มั้ยคะ?”“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ?”“คือ…ฉันสั
“ผมหมายถึงคุณน่ะครับ” “คะ? ?0?” ฉันไม่เข้าใจที่คุณกวินท์พูดเลยแฮะ หมับ!! เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่คนตรงหน้ากลับดึงมือของตัวเองที่ฉันยังคงจับเอาไว้เข้าหาตัว ทำให้ตัวฉันเองก็เซเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน “ที่บอกว่าน่ารัก ผมหมายถึงคุณครับ ไม่ใช่ปลา” ตึกตักๆๆ!! ฉันรู้สึกได้ถึงใจที่เต้นรัวอย่างน่าอายของตัวเอง บวกกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวอย่างกับโดนน้ำร้อนลวกยังไงยังงั้นแหละ “0///0 คือ…” “เอ่อ…ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ” เราสองคนยืนจ้องตากันได้สักพักก่อนจะคุณกวินท์จะเป็นฝ่ายปล่อยมือของฉันไปอีกแล้ว “เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ…” หมับ!! พอเห็นว่าคุณกวินท์เริ่มคลายมือของตัวเองออก สัญชาตญาณที่เห็นแบบนั้นมันเลยสั่งให้ฉันคว้ามือของเขากลับมา ก่อนที่อะไรก็ไมรูมันสัั่งให้ฉันทำเรื่องที่น่าอายออกไปหลังจากนั้น จุ๊บ!! ฉันเขย่งเท้าขึ้นไปยื่นริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสกับริมฝีปากของคนตัวสูงตรงหน้าอย่างลืมตัว “0///0” นี่ฉัน…ทำอะไรลงไปเนี่ย? นี่ฉัน…จุ๊บปากคุณกวินท์เนี่ยนะ บ้าไปแล้วรึไงยัยรินณ์!! “ฉะ…ฉันขอโทษคะคุณกวินท์ ฉัน…ไม่ได้…อุ้บ! ^///^” และสิ่ง
เวลา 10.00 น.ณ สุสานแห่งหนึ่งฟึ่บ!! ช่อดอกลิลลี่สีขาวถูกวางไว้ที่หน้าหลุมศพอย่างบรรจง โดยฝีมือของหญิงสาวในชุดเดรสตัวยาวสีขาวคนหนึ่ง“เป็นยังไงบ้างคะแม่?” ฉันเอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ผ่านรูปที่ติดอยู่หน้าป้ายสุสาน“…”“วันนี้รินณ์มาเยี่ยมคนเดียวนะ น้าเรย์อยู่ต่างประเทศเลยมาด้วยไม่ได้น่ะค่ะ”“…”“ช่วงนี้รินณ์ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของรินณ์ แม่อวยพรให้รินณ์ทำได้ดีด้วยนะ อ่า…แค่คิดว่าจะต้องกลับไปเรียนอีกก็เหนื่อยแล้วอ่ะ”“…”“เฮ้อออ! แม่ค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินณ์นะ รินณ์ใช้ชีวิตได้ดีอย่างที่แม่สอนมาโดยตลอดเลยค่ะ เพราะงั้น…แม่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย พักผ่อนให้สบายก็พอ รินณ์…คิดถึงแม่อยู่เสมอเลยนะคะ” รู้มั้ยว่าอะไรที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉัน? สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉันคือ…ความเงียบที่ฉันได้รับเป็นคำตอบหลังจากถามคำถามออกไปไงล่ะ ไม่ว่าจะถามออกไปอีกสักกี่คำถาม ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่ได้มาก็คงจะเป็นเพียงแค่ความเงียบอีกตามเคยอืม…ห้าปีแล้วสินะ ห้าปีแล้วที่ฉันเป็นฝ่ายตื๊อแม่คนเดียวอยู่แบบนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ไม่เคยชินสักทีเลยแฮะณ ป้ายรอรถหลังจากเยี่ยมแม่เสร็จแล้วฉั
“ผมหมายถึงคุณน่ะครับ” “คะ? ?0?” ฉันไม่เข้าใจที่คุณกวินท์พูดเลยแฮะ หมับ!! เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่คนตรงหน้ากลับดึงมือของตัวเองที่ฉันยังคงจับเอาไว้เข้าหาตัว ทำให้ตัวฉันเองก็เซเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน “ที่บอกว่าน่ารัก ผมหมายถึงคุณครับ ไม่ใช่ปลา” ตึกตักๆๆ!! ฉันรู้สึกได้ถึงใจที่เต้นรัวอย่างน่าอายของตัวเอง บวกกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวอย่างกับโดนน้ำร้อนลวกยังไงยังงั้นแหละ “0///0 คือ…” “เอ่อ…ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ” เราสองคนยืนจ้องตากันได้สักพักก่อนจะคุณกวินท์จะเป็นฝ่ายปล่อยมือของฉันไปอีกแล้ว “เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ…” หมับ!! พอเห็นว่าคุณกวินท์เริ่มคลายมือของตัวเองออก สัญชาตญาณที่เห็นแบบนั้นมันเลยสั่งให้ฉันคว้ามือของเขากลับมา ก่อนที่อะไรก็ไมรูมันสัั่งให้ฉันทำเรื่องที่น่าอายออกไปหลังจากนั้น จุ๊บ!! ฉันเขย่งเท้าขึ้นไปยื่นริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสกับริมฝีปากของคนตัวสูงตรงหน้าอย่างลืมตัว “0///0” นี่ฉัน…ทำอะไรลงไปเนี่ย? นี่ฉัน…จุ๊บปากคุณกวินท์เนี่ยนะ บ้าไปแล้วรึไงยัยรินณ์!! “ฉะ…ฉันขอโทษคะคุณกวินท์ ฉัน…ไม่ได้…อุ้บ! ^///^” และสิ่ง
เวลา 18.00 น.หลังจากกลับมาจากพายเรือแล้ว ฉันก็พาคุณกวินท์ไปทานข้าวเย็นที่ร้านใกล้ๆแถวนั้น ก่อนจะพาเขามาดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลหลังบ้านตามที่ตกลงกันไว้“นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้วนะคะเนี่ย?” ฉันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พาคุณกวินท์มานั่งบนเก้าอี้ริมหาดหลังบ้าน“นั่นน่ะสิครับ” “เป็นไงบ้างคะ? ทะเลตอนพระอาทิตย์ตกที่หลังบ้านฉัน” “สวยครับ สวยมากเลยครับ”“ใช่มั้ยล่ะคะ?” ฉันหันไปยิ้มให้คุณกวินท์ ก่อนจะหันกลับมามองดูทะเลตรงหน้า แสงของพระอาทิตย์ในตอนเย็นตกกระทบกับผิวของน้ำทะเล ก่อให้เกิดแสงวิบวับขึ้นมา สวยมากเลยล่ะ แถมหาดหลังบ้านฉันยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแน เพราะงั้นเลยไม่มีคนมารบกวนให้รำคาญตา เฮ้อออ! ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ฉันก็ยังชอบบรรยากาศหลังบ้านของตัวเองมาตลอดเลยล่ะ“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?” ระหว่างที่นั่งดูพระอาทิตย์ตก จู่ๆฉันก็นึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา“ได้สิครับ”“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” “ก็…มาดูพระอาทิตย์ตกไงครับ”“ฉันไม่ได้หมายถึงตอนนี้ค่ะ ฉันหมายถึงว่า…คุณมาทำอะไรที่จังหวัดนี้คนเดียวเหรอคะ? คง…ไม่ได้มาเที่ยวจริงๆหรอกใช่มั้ยคะ?”“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ?”“คือ…ฉันสั
หลังจากตกลงว่าวันนี้ฉันจะเป็นไกด์ชั่วคราวให้กับเจ้าของรถได้แล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถกันมาฉันคิดหนักมากว่าจะพาเขาไปเที่ยวที่ไหนดี แต่จากที่ฉันสังเกตบุคลิกท่าทางของเขาแล้ว เขาดูเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย น่าจะชอบทำกิจกรรมพอสมควรเลยนะ เพราะงั้น…ฉันเลยพาเขามาพายเรือที่นี่ไงล่ะ “คุณชอบพายเรือมั้ยคะ?” ฉันหันไปถามคนข้างๆที่เดินมาด้วยกัน หลังจากจอดรถกันเสร็จแล้ว“ก็น่าสนใจนะครับ”“งั้นดีเลยค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบมาทำกิจกรรมกันค่ะ กิจกรรมหลักๆของที่นี่ก็คือการพายเรือวนรอบคลองนี้เลยค่ะ” “ฟังดูน่าสนุกนะครับ”“สนุกแน่นอนค่ะ ฉันรับรองได้ อ้อ! จริงสิ คุณ…ชื่ออะไรเหรอคะ? ฉันณรารินณ์ค่ะ เรียกรินณ์เฉยๆก็ได้” จู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรายังไม่ได้แนะนำตัวเองให้กันเลย พอนึกขึ้นได้แบบนั้นฉันเลยหันไปแนะนำตัวกับคุณเจ้าของรถซะก่อน“ผมกวินท์ครับ” ชื่อกวินท์สินะ ชื่อเขาดูหล่อสมกับหน้าตาเลยนะเนี่ย“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณกวินท์:)”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณรินณ์” “งั้นเราไปซื้อตั๋วกันเลยมั้ยคะ?” “ไปสิครับ”“เอ้ารินณ์! มาได้ยังไงเนี่ย?” ฉันเดินนำคุณกวินท์มาที่จุดขายตั๋ว ซึ่งพอ
เวลา 10.00 น.ณ สุสานแห่งหนึ่งฟึ่บ!! ช่อดอกลิลลี่สีขาวถูกวางไว้ที่หน้าหลุมศพอย่างบรรจง โดยฝีมือของหญิงสาวในชุดเดรสตัวยาวสีขาวคนหนึ่ง“เป็นยังไงบ้างคะแม่?” ฉันเอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ผ่านรูปที่ติดอยู่หน้าป้ายสุสาน“…”“วันนี้รินณ์มาเยี่ยมคนเดียวนะ น้าเรย์อยู่ต่างประเทศเลยมาด้วยไม่ได้น่ะค่ะ”“…”“ช่วงนี้รินณ์ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของรินณ์ แม่อวยพรให้รินณ์ทำได้ดีด้วยนะ อ่า…แค่คิดว่าจะต้องกลับไปเรียนอีกก็เหนื่อยแล้วอ่ะ”“…”“เฮ้อออ! แม่ค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินณ์นะ รินณ์ใช้ชีวิตได้ดีอย่างที่แม่สอนมาโดยตลอดเลยค่ะ เพราะงั้น…แม่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย พักผ่อนให้สบายก็พอ รินณ์…คิดถึงแม่อยู่เสมอเลยนะคะ” รู้มั้ยว่าอะไรที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉัน? สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉันคือ…ความเงียบที่ฉันได้รับเป็นคำตอบหลังจากถามคำถามออกไปไงล่ะ ไม่ว่าจะถามออกไปอีกสักกี่คำถาม ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่ได้มาก็คงจะเป็นเพียงแค่ความเงียบอีกตามเคยอืม…ห้าปีแล้วสินะ ห้าปีแล้วที่ฉันเป็นฝ่ายตื๊อแม่คนเดียวอยู่แบบนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ไม่เคยชินสักทีเลยแฮะณ ป้ายรอรถหลังจากเยี่ยมแม่เสร็จแล้วฉั