“ผมหมายถึงคุณน่ะครับ”
“คะ? ?0?” ฉันไม่เข้าใจที่คุณกวินท์พูดเลยแฮะ หมับ!! เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่คนตรงหน้ากลับดึงมือของตัวเองที่ฉันยังคงจับเอาไว้เข้าหาตัว ทำให้ตัวฉันเองก็เซเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน “ที่บอกว่าน่ารัก ผมหมายถึงคุณครับ ไม่ใช่ปลา” ตึกตักๆๆ!! ฉันรู้สึกได้ถึงใจที่เต้นรัวอย่างน่าอายของตัวเอง บวกกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวอย่างกับโดนน้ำร้อนลวกยังไงยังงั้นแหละ “0///0 คือ…” “เอ่อ…ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ” เราสองคนยืนจ้องตากันได้สักพักก่อนจะคุณกวินท์จะเป็นฝ่ายปล่อยมือของฉันไปอีกแล้ว “เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ…” หมับ!! พอเห็นว่าคุณกวินท์เริ่มคลายมือของตัวเองออก สัญชาตญาณที่เห็นแบบนั้นมันเลยสั่งให้ฉันคว้ามือของเขากลับมา ก่อนที่อะไรก็ไมรูมันสัั่งให้ฉันทำเรื่องที่น่าอายออกไปหลังจากนั้น จุ๊บ!! ฉันเขย่งเท้าขึ้นไปยื่นริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสกับริมฝีปากของคนตัวสูงตรงหน้าอย่างลืมตัว “0///0” นี่ฉัน…ทำอะไรลงไปเนี่ย? นี่ฉัน…จุ๊บปากคุณกวินท์เนี่ยนะ บ้าไปแล้วรึไงยัยรินณ์!! “ฉะ…ฉันขอโทษคะคุณกวินท์ ฉัน…ไม่ได้…อุ้บ! ^///^” และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น แทนที่คนตัวสูงตรงหน้าจะตกใจหนี เขากลับคว้าเอวฉันเข้าหาตัวก่อนจะกระชับอ้อมแขนตัวเองให้แน่น แล้วก้มลงมาประกบจูบกับฉันอย่างรวดเร็ว “อื้มมม~” กรณีแบบนี้ความจริงแล้วฉันต้องขัดขืนสิ แต่ร่างกายฉันมันแสดงออกในทางที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากจะไม่ขัดขืนแล้ว ฉันยังส่งมือทั้งสองข้างของตัวเองเข้าไปโอบคอของคนตัวสูง ก่อนจะใช้แรงให้อีกฝ่ายก้มลงมาเพื่อให้จูบกันถนัดมากขึ้น ฉันสัมผัสได้ถึงแรงขบเม้มเบาๆบนริมฝีปากของตัวเอง โดยฝีมือของคนตัวสูง เขาขบเม้มจากริมฝีปากบนไล่ลงมายังริมฝีปากล่างอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อยๆสอดแทรกเรียวลิ้นร้อนของตัวเองเข้ามาเกี่ยวตระหวัดหยอกล้อกับเรียวลิ้นบางของฉันอย่างง่ายดาย “อื้มมม~” ฉันรู้สึกได้ถึงเลือดที่กำลังสูบฉีดอยู่ในร่างกายของตัวเองอย่างเต็มที่ ร่างกายฉันมันร้อนไปทั้งร่างจนฉันต้องระบายมันออกมาผ่านเสียงในลำคออย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งเวลาผ่านไปความร้อนแรงของรสจูบของเราสองคนก็เริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อย เรียวลิ้นของเราสองคนยังคงเกี่ยวตระหวัดช่วงชิมความหวานจากริมฝีปากของกันและกันไม่หยุดไม่หย่อน หมับ!! นอกจากริมฝีปากที่คลอเคลียกันแล้ว มือของคนตัวสูงก็กำลังคลอเคลียกับร่างกายของฉันไม่พักเช่นกัน ทุกๆครั้งที่มือของเขาสัมผัสโดนผิวเนียนของฉันทีไร ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมวนในท้องน้อยไม่ ราวกับมีผีเสื้อหลายสิบตัวกำลังบนวนไปมาอยู่ยังไงยังงั้นเลย ตุบ!! ฉันรู้สึกได้ถึงความหนาวจากแอร์ที่เข้ามาปะทะกับผิวเนียนของฉัน ทันทีที่เสื้อผ้าของตัวเองตกลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย โดยฝีมือของคนตัวสูงตรงหน้า “อื้อ!!” ฉันนึกว่าเขาจะหยุดให้ฉันพักแล้วซะอีก แต่กลับกันเขากลับเพิ่มรสจูบให้ร้อนแรงกว่าตอนไหนๆ พร้อมทั้งกระชับเอวให้แน่นกว่าเดิม แล้วเดินพยุงฉันไปยังโซฟาในห้องที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมาก ตุบ!! ร่างของเราทั้งสองคนล้มลงไปบนโซฟา ก่อนที่คนตัวสูงจะถอนจูบออกมา ฉันเลยได้มีเวลาพักหายใจบ้าง “แฮ่กๆๆ” พรึ่บ!! คนตัวสูงผละตัวออกจากฉัน ในขณะที่สายตาก็ยังคงสอดประสานกับดวงตาของฉันไม่ละไปไหน พลางยื่นมือไปถอดเสื้อฮาวายของตัวเองออกอย่างร้อนรน ตึกตักๆๆ!! ใจฉันเต้นรัวขึ้นมาเพราะท่าทีที่ร้อนแรงของคนตรงหน้า ไม่ว่าจะหน้าตาหรือท่าที แม่กระทั่วคำพูดของเขา มันมีผลกับใจฉันหมดเลย แบบนี้ฉันก็แน่น่ะสิ “ผมควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ช่วยบอกผมทีเถอะครับ คุณรินณ์” เมื่อคนตัวสูงจัดการกับเสื้อผ้าท่อนบนของตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็ก้มลงมากระซิข้างๆหูของฉัน เสียงทุ้มของเขามันทำให้สติที่เหลืออยู่น้อยนิดของฉันขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดีเลยล่ะ “อย่า…หยุดเลยนะคะ อื้ม~” สิ้นเสียงของฉัน คนตัวสูงก็ก้มลงมาประกบจูบกับฉันอีกครั้ง เมื่อช่วงชิมรสหวานจากปากของฉันจนพอใจแล้ว เขาก็เลื่นริมฝีปากของตัวเองลงมาซุกไซร้บริเวณซอกคอขาวเนียนของฉันเบาๆ “อ่าาาา~“ ริมฝีปากที่กำลังขบเม้มไปตามซอกคอของฉัน รวมถึงลมหายใจของคนตัวสูงที่รินรดมาที่ต้นคอ มันทำฉันเสียวซ่านไปทั่วทั้งร่าง จนเผลอครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “อื้อออ!” เสียงครวญครางของตัวเองดังขึ้นกว่าเดิม เมื่อฉันสัมผัสได้ถึงมือหนาของคุณกวินท์กำลังบีบเค้นเนินอกของฉัน ที่เปลือยเปล่าไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ “อ้ะ!” ความรู้สีกเสียวซ่านมันทวีคุณมากขึ้นเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย เพราะสัมผัสที่ร้อนแรงและอ่อนโยนจากคนตรงหน้า พรึ่บ! ฉันเบิกตาโพลงขึ้นมาเมื่อสัมผัสถึงกระโปรงเดรสตัวยาวที่ถูกเลิ่กขึ้น จนเผยในเห็นอันเดอร์แวร์ตัวจิ๋ว ปราการชิ้นสุดท้ายที่ปกปิดส่วนลับของตัวเองอยู่นั่นเอง “อ้ะ! เดี๋ยวค่ะคุณกวินท์ ตรงนั้น…อ้าาาา!0///0” คุณกวินท์ไม่ฟังคำร้องทักของฉันเลย แต่กลับยื่นมือลงไปสัมผัสเนินกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ปราการตัวจิ๋ว และนั่นก็ทำให้ฉันถึงกับร้องลั่นด้วยความเสียวซ่านจวนจะบ้า “อื้อ อ้ะ อึก!” ทุกครั้งที่คุณกวินท์ขยับนิ้วมือวนกลีบกุหลาบของฉัน ตัวฉันก็เปล่งเสียงครวญครางออกมาตามจังหวะ ใบหน้าและร่างกายเองก็บิดเร้าไปมาอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน “อื้อ อ้ะๆๆ คุณ…กวินท์คะ รินณ์ รินณ์ ไม่ไหวแล้ว” กึก!! ในตอนที่ความรู้สึกของฉันกำลังจะถึงขีดสุด แต่จู่ๆมันก็ดิ่งกลับลงมาที่เดิม เมื่อนิ้วที่กำลังเขี่ยวนกลีบหวานดันหยุดชะงักขึ้นมาซะดื้อๆ “คุณกวินท์…แฮ่กๆ หยุด…ทำไมคะ?” พรึ่บ!! คุณกวินท์ไม่ตอบแต่กลับยื่นมือไปถอดกางเกงตัวโคร่งของตัวเองออก เผยให้เห็นความเป็นชายของคนตัวสูงที่ผงาดตัวโตขึ้นมาสู้หน้าฉัน เอื้อกกก!! มัน…ใหญ่เกินไปแล้ว 0[]0!! “รอผมด้วยสิครับคุณรินณ์” ฉึก!! คุณกวินท์ยื่นมือไปหยิบของบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ซึ่งสิ่งๆนั้นเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก…ถุงยาง เขาหยิบถุงยางขึ้นมา ก่อนจะใช้ปากฉีกมันออกมา แล้วสวมใส่เข้าไปให้น้องชายที่แข็งขืนของตัวเองอย่างชำนาญ “พร้อมมั้ยครับ?” “^///^ พะ พร้อมค่ะ” ฉันหลบตาตอบคุณกวินท์เพราะความเขิน สวบ!! ฉันเบิกตาโพลงขึ้นมาเมื่รู้สึกได้ถึงความคับแน่นจากสิ่งใหญ่โตของคุณกวินท์ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาในตัวของฉันอย่างช้าๆ “อึก!!” จึก!! ฉันจิกนิ้วลงบนแผ่นหลังของคนตัวสูงเพื่อระบายความคับเจ็บปวดและคับแน่นที่แกนกลางร่างกลางของตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกของฉัน แต่มันก็นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้มีอะไรกับใคร เพราะงั้น…ครั้งนี้มันถึงได้เจ็บมากไม่แพ้ครั้งแรกเลย “เจ็บเหรอครับ?” “อื้อ ค่ะ” ฉันยังคงหลับตาตอบกลับไป ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นไปมองคนตรงหน้าด้วยซ้ำ “ผมจะทำให้คุณผ่อนคลายเองนะครับ จุ๊บๆ!” สิ้นเสียงของคุณกวินท์ ฉันรู้สึกได้ถึงความนุ่มของริมฝีปากของคนตรงหน้าที่กำลังจูบพรมไปทั่วใบหน้าของฉันอย่างอ่อนโยน “คุณกวินท์~” ฉันเอ่ยเรียกชื่อของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา วินาทีที่ลืมตามามองคนตรงหน้า ความเจ็บและความคับแน่นในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านที่วิ่งแล่นไปทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณแกนกลางสาวที่กระตุกเกร็งซะยิ่งกว่าบริเวณไหนๆ พั่บๆๆ!! คนตัวสูงยังคงพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าของฉัน พลางเริ่มขยับเขยื้อนความใหญ่โตของตัวเองเข้าออกอย่างอ่อนโยน “อื้อ อ้ะๆๆ” แม้ว่าฉันจะพยายามกลั้นเสียงร้องที่น่าอายของตัวเองไว้สักเท่าไร แต่ความเสียวซ่านที่เข้ามารุกรานกลับทำให้ฉันต้องส่งเสียงร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณรินณ์~” “อ้ะๆๆ คุณกวินท์~” เสียงร้องครวญครางของเราทั้งสองดังสู้กันไปมาไม่มีใครยอมใคร ความรู้สึกของเราทั้งสองเริ่มร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดละเลยสักนิด และคืนนั้นทั้งคืนกลายเป็นช่วงเวลาที่ร้อนแรงและน่าหวั่นไหวจนไม่อาจจะลืมเลือนได้ของเราทั้งสองคนเวลา 10.00 น.ณ สุสานแห่งหนึ่งฟึ่บ!! ช่อดอกลิลลี่สีขาวถูกวางไว้ที่หน้าหลุมศพอย่างบรรจง โดยฝีมือของหญิงสาวในชุดเดรสตัวยาวสีขาวคนหนึ่ง“เป็นยังไงบ้างคะแม่?” ฉันเอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ผ่านรูปที่ติดอยู่หน้าป้ายสุสาน“…”“วันนี้รินณ์มาเยี่ยมคนเดียวนะ น้าเรย์อยู่ต่างประเทศเลยมาด้วยไม่ได้น่ะค่ะ”“…”“ช่วงนี้รินณ์ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของรินณ์ แม่อวยพรให้รินณ์ทำได้ดีด้วยนะ อ่า…แค่คิดว่าจะต้องกลับไปเรียนอีกก็เหนื่อยแล้วอ่ะ”“…”“เฮ้อออ! แม่ค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินณ์นะ รินณ์ใช้ชีวิตได้ดีอย่างที่แม่สอนมาโดยตลอดเลยค่ะ เพราะงั้น…แม่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย พักผ่อนให้สบายก็พอ รินณ์…คิดถึงแม่อยู่เสมอเลยนะคะ” รู้มั้ยว่าอะไรที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉัน? สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉันคือ…ความเงียบที่ฉันได้รับเป็นคำตอบหลังจากถามคำถามออกไปไงล่ะ ไม่ว่าจะถามออกไปอีกสักกี่คำถาม ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่ได้มาก็คงจะเป็นเพียงแค่ความเงียบอีกตามเคยอืม…ห้าปีแล้วสินะ ห้าปีแล้วที่ฉันเป็นฝ่ายตื๊อแม่คนเดียวอยู่แบบนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ไม่เคยชินสักทีเลยแฮะณ ป้ายรอรถหลังจากเยี่ยมแม่เสร็จแล้วฉั
หลังจากตกลงว่าวันนี้ฉันจะเป็นไกด์ชั่วคราวให้กับเจ้าของรถได้แล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถกันมาฉันคิดหนักมากว่าจะพาเขาไปเที่ยวที่ไหนดี แต่จากที่ฉันสังเกตบุคลิกท่าทางของเขาแล้ว เขาดูเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย น่าจะชอบทำกิจกรรมพอสมควรเลยนะ เพราะงั้น…ฉันเลยพาเขามาพายเรือที่นี่ไงล่ะ “คุณชอบพายเรือมั้ยคะ?” ฉันหันไปถามคนข้างๆที่เดินมาด้วยกัน หลังจากจอดรถกันเสร็จแล้ว“ก็น่าสนใจนะครับ”“งั้นดีเลยค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบมาทำกิจกรรมกันค่ะ กิจกรรมหลักๆของที่นี่ก็คือการพายเรือวนรอบคลองนี้เลยค่ะ” “ฟังดูน่าสนุกนะครับ”“สนุกแน่นอนค่ะ ฉันรับรองได้ อ้อ! จริงสิ คุณ…ชื่ออะไรเหรอคะ? ฉันณรารินณ์ค่ะ เรียกรินณ์เฉยๆก็ได้” จู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรายังไม่ได้แนะนำตัวเองให้กันเลย พอนึกขึ้นได้แบบนั้นฉันเลยหันไปแนะนำตัวกับคุณเจ้าของรถซะก่อน“ผมกวินท์ครับ” ชื่อกวินท์สินะ ชื่อเขาดูหล่อสมกับหน้าตาเลยนะเนี่ย“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณกวินท์:)”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณรินณ์” “งั้นเราไปซื้อตั๋วกันเลยมั้ยคะ?” “ไปสิครับ”“เอ้ารินณ์! มาได้ยังไงเนี่ย?” ฉันเดินนำคุณกวินท์มาที่จุดขายตั๋ว ซึ่งพอ
เวลา 18.00 น.หลังจากกลับมาจากพายเรือแล้ว ฉันก็พาคุณกวินท์ไปทานข้าวเย็นที่ร้านใกล้ๆแถวนั้น ก่อนจะพาเขามาดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลหลังบ้านตามที่ตกลงกันไว้“นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้วนะคะเนี่ย?” ฉันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พาคุณกวินท์มานั่งบนเก้าอี้ริมหาดหลังบ้าน“นั่นน่ะสิครับ” “เป็นไงบ้างคะ? ทะเลตอนพระอาทิตย์ตกที่หลังบ้านฉัน” “สวยครับ สวยมากเลยครับ”“ใช่มั้ยล่ะคะ?” ฉันหันไปยิ้มให้คุณกวินท์ ก่อนจะหันกลับมามองดูทะเลตรงหน้า แสงของพระอาทิตย์ในตอนเย็นตกกระทบกับผิวของน้ำทะเล ก่อให้เกิดแสงวิบวับขึ้นมา สวยมากเลยล่ะ แถมหาดหลังบ้านฉันยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแน เพราะงั้นเลยไม่มีคนมารบกวนให้รำคาญตา เฮ้อออ! ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ฉันก็ยังชอบบรรยากาศหลังบ้านของตัวเองมาตลอดเลยล่ะ“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?” ระหว่างที่นั่งดูพระอาทิตย์ตก จู่ๆฉันก็นึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา“ได้สิครับ”“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” “ก็…มาดูพระอาทิตย์ตกไงครับ”“ฉันไม่ได้หมายถึงตอนนี้ค่ะ ฉันหมายถึงว่า…คุณมาทำอะไรที่จังหวัดนี้คนเดียวเหรอคะ? คง…ไม่ได้มาเที่ยวจริงๆหรอกใช่มั้ยคะ?”“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ?”“คือ…ฉันสั
“ผมหมายถึงคุณน่ะครับ” “คะ? ?0?” ฉันไม่เข้าใจที่คุณกวินท์พูดเลยแฮะ หมับ!! เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่คนตรงหน้ากลับดึงมือของตัวเองที่ฉันยังคงจับเอาไว้เข้าหาตัว ทำให้ตัวฉันเองก็เซเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน “ที่บอกว่าน่ารัก ผมหมายถึงคุณครับ ไม่ใช่ปลา” ตึกตักๆๆ!! ฉันรู้สึกได้ถึงใจที่เต้นรัวอย่างน่าอายของตัวเอง บวกกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวอย่างกับโดนน้ำร้อนลวกยังไงยังงั้นแหละ “0///0 คือ…” “เอ่อ…ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ” เราสองคนยืนจ้องตากันได้สักพักก่อนจะคุณกวินท์จะเป็นฝ่ายปล่อยมือของฉันไปอีกแล้ว “เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ…” หมับ!! พอเห็นว่าคุณกวินท์เริ่มคลายมือของตัวเองออก สัญชาตญาณที่เห็นแบบนั้นมันเลยสั่งให้ฉันคว้ามือของเขากลับมา ก่อนที่อะไรก็ไมรูมันสัั่งให้ฉันทำเรื่องที่น่าอายออกไปหลังจากนั้น จุ๊บ!! ฉันเขย่งเท้าขึ้นไปยื่นริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสกับริมฝีปากของคนตัวสูงตรงหน้าอย่างลืมตัว “0///0” นี่ฉัน…ทำอะไรลงไปเนี่ย? นี่ฉัน…จุ๊บปากคุณกวินท์เนี่ยนะ บ้าไปแล้วรึไงยัยรินณ์!! “ฉะ…ฉันขอโทษคะคุณกวินท์ ฉัน…ไม่ได้…อุ้บ! ^///^” และสิ่ง
เวลา 18.00 น.หลังจากกลับมาจากพายเรือแล้ว ฉันก็พาคุณกวินท์ไปทานข้าวเย็นที่ร้านใกล้ๆแถวนั้น ก่อนจะพาเขามาดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลหลังบ้านตามที่ตกลงกันไว้“นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้วนะคะเนี่ย?” ฉันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พาคุณกวินท์มานั่งบนเก้าอี้ริมหาดหลังบ้าน“นั่นน่ะสิครับ” “เป็นไงบ้างคะ? ทะเลตอนพระอาทิตย์ตกที่หลังบ้านฉัน” “สวยครับ สวยมากเลยครับ”“ใช่มั้ยล่ะคะ?” ฉันหันไปยิ้มให้คุณกวินท์ ก่อนจะหันกลับมามองดูทะเลตรงหน้า แสงของพระอาทิตย์ในตอนเย็นตกกระทบกับผิวของน้ำทะเล ก่อให้เกิดแสงวิบวับขึ้นมา สวยมากเลยล่ะ แถมหาดหลังบ้านฉันยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแน เพราะงั้นเลยไม่มีคนมารบกวนให้รำคาญตา เฮ้อออ! ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ฉันก็ยังชอบบรรยากาศหลังบ้านของตัวเองมาตลอดเลยล่ะ“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?” ระหว่างที่นั่งดูพระอาทิตย์ตก จู่ๆฉันก็นึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา“ได้สิครับ”“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” “ก็…มาดูพระอาทิตย์ตกไงครับ”“ฉันไม่ได้หมายถึงตอนนี้ค่ะ ฉันหมายถึงว่า…คุณมาทำอะไรที่จังหวัดนี้คนเดียวเหรอคะ? คง…ไม่ได้มาเที่ยวจริงๆหรอกใช่มั้ยคะ?”“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ?”“คือ…ฉันสั
หลังจากตกลงว่าวันนี้ฉันจะเป็นไกด์ชั่วคราวให้กับเจ้าของรถได้แล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถกันมาฉันคิดหนักมากว่าจะพาเขาไปเที่ยวที่ไหนดี แต่จากที่ฉันสังเกตบุคลิกท่าทางของเขาแล้ว เขาดูเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย น่าจะชอบทำกิจกรรมพอสมควรเลยนะ เพราะงั้น…ฉันเลยพาเขามาพายเรือที่นี่ไงล่ะ “คุณชอบพายเรือมั้ยคะ?” ฉันหันไปถามคนข้างๆที่เดินมาด้วยกัน หลังจากจอดรถกันเสร็จแล้ว“ก็น่าสนใจนะครับ”“งั้นดีเลยค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบมาทำกิจกรรมกันค่ะ กิจกรรมหลักๆของที่นี่ก็คือการพายเรือวนรอบคลองนี้เลยค่ะ” “ฟังดูน่าสนุกนะครับ”“สนุกแน่นอนค่ะ ฉันรับรองได้ อ้อ! จริงสิ คุณ…ชื่ออะไรเหรอคะ? ฉันณรารินณ์ค่ะ เรียกรินณ์เฉยๆก็ได้” จู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรายังไม่ได้แนะนำตัวเองให้กันเลย พอนึกขึ้นได้แบบนั้นฉันเลยหันไปแนะนำตัวกับคุณเจ้าของรถซะก่อน“ผมกวินท์ครับ” ชื่อกวินท์สินะ ชื่อเขาดูหล่อสมกับหน้าตาเลยนะเนี่ย“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณกวินท์:)”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณรินณ์” “งั้นเราไปซื้อตั๋วกันเลยมั้ยคะ?” “ไปสิครับ”“เอ้ารินณ์! มาได้ยังไงเนี่ย?” ฉันเดินนำคุณกวินท์มาที่จุดขายตั๋ว ซึ่งพอ
เวลา 10.00 น.ณ สุสานแห่งหนึ่งฟึ่บ!! ช่อดอกลิลลี่สีขาวถูกวางไว้ที่หน้าหลุมศพอย่างบรรจง โดยฝีมือของหญิงสาวในชุดเดรสตัวยาวสีขาวคนหนึ่ง“เป็นยังไงบ้างคะแม่?” ฉันเอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ผ่านรูปที่ติดอยู่หน้าป้ายสุสาน“…”“วันนี้รินณ์มาเยี่ยมคนเดียวนะ น้าเรย์อยู่ต่างประเทศเลยมาด้วยไม่ได้น่ะค่ะ”“…”“ช่วงนี้รินณ์ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของรินณ์ แม่อวยพรให้รินณ์ทำได้ดีด้วยนะ อ่า…แค่คิดว่าจะต้องกลับไปเรียนอีกก็เหนื่อยแล้วอ่ะ”“…”“เฮ้อออ! แม่ค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินณ์นะ รินณ์ใช้ชีวิตได้ดีอย่างที่แม่สอนมาโดยตลอดเลยค่ะ เพราะงั้น…แม่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย พักผ่อนให้สบายก็พอ รินณ์…คิดถึงแม่อยู่เสมอเลยนะคะ” รู้มั้ยว่าอะไรที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉัน? สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉันคือ…ความเงียบที่ฉันได้รับเป็นคำตอบหลังจากถามคำถามออกไปไงล่ะ ไม่ว่าจะถามออกไปอีกสักกี่คำถาม ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่ได้มาก็คงจะเป็นเพียงแค่ความเงียบอีกตามเคยอืม…ห้าปีแล้วสินะ ห้าปีแล้วที่ฉันเป็นฝ่ายตื๊อแม่คนเดียวอยู่แบบนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ไม่เคยชินสักทีเลยแฮะณ ป้ายรอรถหลังจากเยี่ยมแม่เสร็จแล้วฉั