เวลา 18.00 น.
หลังจากกลับมาจากพายเรือแล้ว ฉันก็พาคุณกวินท์ไปทานข้าวเย็นที่ร้านใกล้ๆแถวนั้น ก่อนจะพาเขามาดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลหลังบ้านตามที่ตกลงกันไว้ “นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้วนะคะเนี่ย?” ฉันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พาคุณกวินท์มานั่งบนเก้าอี้ริมหาดหลังบ้าน “นั่นน่ะสิครับ” “เป็นไงบ้างคะ? ทะเลตอนพระอาทิตย์ตกที่หลังบ้านฉัน” “สวยครับ สวยมากเลยครับ” “ใช่มั้ยล่ะคะ?” ฉันหันไปยิ้มให้คุณกวินท์ ก่อนจะหันกลับมามองดูทะเลตรงหน้า แสงของพระอาทิตย์ในตอนเย็นตกกระทบกับผิวของน้ำทะเล ก่อให้เกิดแสงวิบวับขึ้นมา สวยมากเลยล่ะ แถมหาดหลังบ้านฉันยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแน เพราะงั้นเลยไม่มีคนมารบกวนให้รำคาญตา เฮ้อออ! ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ฉันก็ยังชอบบรรยากาศหลังบ้านของตัวเองมาตลอดเลยล่ะ “ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?” ระหว่างที่นั่งดูพระอาทิตย์ตก จู่ๆฉันก็นึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา “ได้สิครับ” “คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” “ก็…มาดูพระอาทิตย์ตกไงครับ” “ฉันไม่ได้หมายถึงตอนนี้ค่ะ ฉันหมายถึงว่า…คุณมาทำอะไรที่จังหวัดนี้คนเดียวเหรอคะ? คง…ไม่ได้มาเที่ยวจริงๆหรอกใช่มั้ยคะ?” “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ?” “คือ…ฉันสังเกตเห็นว่าในรถคุณมีข้าวของเยอะแยะเต็มไปหมดเลยค่ะ เยอะเกินไปสำหรับคนที่มาเที่ยวแค่วันเดียวน่ะค่ะ” “หึ คุณนี่ก็ช่างสังเกตเหมือนกันนะครับ” เอ่อ…เขาชมฉันใช่มั้ย? ทำไมฟังดูแปลกๆแฮะ “ถ้าไม่สะดวกใจที่จะเล่าก็ไม่เป็นไรค่ะ” “ผมโดนพ่อไล่ออกจากบ้านน่ะครับ!” “คะ?” คำตอบของคุณกวินท์ทำเอาฉันอึ้งถึงกับอ้าปากค้าง “ล้อเล่นครับ!” “แฮ่ๆ ใช่มั้ยล่ะคะ? ฮ่าๆ คุณทำฉันใจหายหมดเลย” “ผมโดนพ่อสั่งย้ายให้มาทำงานที่นี่น่ะครับ ผมเพิ่งมาถึงวันนี้ เลยว่าจะเที่ยวให้เต็มที่ ก่อนที่พรุ่งนี้จะต้องกลับไปทำงานน่ะครับ” “อ่อ แต่คุณกลับต้องมาเสียเวลาเที่ยวเพราะฉันเลยนะคะ” คิดแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้จริงๆ เพราะความโงของตัวเองแท้ๆทำให้คุณกวินท์ต้องเสียเวลาเที่ยวไปตั้งครึ่งวันแน่ะ ฟืบบบ!! ความรู้สึกผิดในใจก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ เมื่อคนข้างๆพลันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน ใกล้ซะจนได้ยินลมหายใจของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ “0///0” “ใครบอกว่าเสียเวลาล่ะครับ ออกจะคุ้มค่าซะอีก” ตึกตักๆๆ!! คำพูดของคนตรงหน้าทำใจฉันเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว ที่เขาพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงกันนะ? คุ้มค่างั้นเหรอ? “ตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้ว ผมว่าได้เวลาที่ผมต้องไปแล้วล่ะครับ” ในตอนที่หัวฉันสับสนคิดอะไรมากมาย คุณกวินท์ก็เป็นฝ่ายถอยออกไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันมาพูดกับฉันต่อ “นะ นั่นสิค่ะ” ฉันสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัว ก่อนจะลุกขึ้ไปยืนข้างๆคุณกวินท์ “ขอบคุณสำหรับทริปวันนี้มากเลยนะครับ คุณรินณ์” “ยินดีมากเลยค่ะ คุณกวินท์” “งั้น…ผมไปก่อนนะครับ” “คะ? อ่อ ค่ะ” ขวับ!! ไม่รู้ทำไมแต่ทันทีที่คุณกวินท์หันหลังกลับไปฉันถึงได้รู้สึกใจหายยังไฃก็ไม่รู้แฮะ ในหัวมันเอาแต่คิด ว่าถ้าปล่อยเขาไปแล้ว…เราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกมั้ยนะ? ถ้าได้เจอกันอีกก็ดีสิ แต่ถ้าต่อไปฉันไม่ไม่โอกาสได้เจอกับเขาอีก ฉันคงจะต้องรู้สึกไม่ดีเอามากแน่ๆ ทำยังไงดีๆๆ? “คุณกวินท์คะ” ฉันตัดสินใจวิ่งตามคุณกวินท์ที่กำลังจะเปิดประตูรถไปอย่างไว “ครับ” “ไหนๆก็มาถึงบ้านฉันแล้ว คุณ…สนใจจะเข้าไปดื่มกาแฟในบ้านฉันสักแก้วมั้ยคะ?” โอ้ยยย! ไม่รู้แล้ว เลือกทำอะไรซักอย่างดีกว่าต้องเสียใจทีหลังเอานะ “หึ! ถ้าคุณอนุญาต ผมก็ยินดีครับ” ฉันไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ตัวเองทำในตอนนี้จะถูกต้องมั้ย? แต่ที่รู้ๆถ้าฉันปล่อยเขาไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ฉันคงต้องเสียใจทีหลังแน่ๆ เวลา 19.30 น. กริ๊ก!! ฉันวางแก้วกาแฟที่ชงมาลงตรงหน้าคุณกวินท์ ในที่สุดฉันก็พาคุณกวินท์เข้ามาในบ้านจนได้ ตอนนี้เราสองคนกำลังนั่งอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน สองต่อสองด้วย รู้สึก…แปลกๆแฮะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันพาผู้ชายเข้าบ้าน “ขอบคุณครับ” “ฉันชงกาแฟไม่ค่อยเก่งเท่าไร ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณมั้ยนะคะ?” “ผมกินได้หมดเลยครับ” “ค่ะ” สิ้นเสียงพูดของเราทั้งสองก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เข้ามาครอบคลุมบรรยากาศภายในบ้าน อึดอัด…จังแฮะ ยิ่งเงียบก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ทำอะไรต่อดีนะ? “คุณอยู่คนเดียวเหรอครับ?” และแล้วความเงียบนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยคำถามจากคุณกวินท์ “ใช่ค่ะ” “แล้วคุณพ่อคุณล่ะครับ?” “พ่อฉันแยกทางกับแม่ตั้งแต่ฉันสิบขวบแล้วล่ะค่ะ” “ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ มัน…ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดสักหน่อยนี่ค่ะ” “เก่งจังเลยนะครับ” “คะ?” “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ การอยู่คนเดียวน่ะ” ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองรึเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่าตอนที่คุณกวินท์พูดสีหน้าของเขาดูเศร้าๆยังไงก็ไม่รู้แฮะ “ใช่ค่ะ อยู่คนเดียวน่ะยากมากๆเลย แต่รู้มั้ยคะว่าอะไรที่ยากกว่าการอยู่คนเดียว?” “อะไรเหรอครับ?” “การฝืนค่ะ” “ฝืนเหรอครับ?” “ใช่ค่ะ ข้อดีของการอยู่คนเดียวคือการได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาคอยตัดสิน แต่การฝืนเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น หรือทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ยากยิ่งกว่าอีกค่ะ ยิ่งฝืน…ก็ยิ่งเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจเลยค่ะ” “ฮึ! ก็จริงอย่างที่คุณว่านะครับ” “แต่การอยู่คนเดียวก็มีข้อเสียเหมือนกันนะคะ” “ข้อเสียคืออะไรล่ะครับ?” “เหงาค่ะ!” “ฮึ ฮ่าๆๆๆ!!” จู่ๆคุณกวินท์ก็หัวเราะออกมาซะดังลั่น เอาซะฉันงงเลยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป “เหงาจริงๆนะคะ เพราะงั้นเราเลยต้องหาวิธีมาช่วยแก้เหงาไงคะ” “ถ้างั้น…ตัวช่วยแก้เหงาของคุณคืออะไรล่ะครับ?” “ตามมานี่สิค่ะ เดี๋ยวฉันพาไปดูเพื่อนฉันค่ะ” หมับ!! ฉันติดนิสัยอย่างหนึ่ง พอได้พูดแล้ว ขอแค่อีกฝ่ายคอยเปิดประเด็นถาม ฉันก็จะพูดต่อได้ไม่หยุดเลยล่ะ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน คุณกวินท์ชวนฉันคุยเพลินจนฉันลืมตัว เผลอลุกขึ้นไปคว้ามือของคุณกวินท์ให้เดินตามฉันมาซะได้ “นี่ไงค่ะ เพื่อนของฉัน” ฉันพาคุณกวินท์เข้ามาในห้องใต้บันได ซึ่งเป็นห้องที่ฉันเอาไว้เลี้ยงปลา ในห้องนี้มีตู้ปลาหลายตู้เลยล่ะ แต่ละตู้ก็เลี้ยงปลาแต่ละชนิดไม่ซ้ำกันเลย เวลาที่ฉันเหงา ก็มีเจ้าปลาพวกนี้เนี่ยแหละที่คอยอยู่เป็นเพื่อน “คุณเลี้ยงปลาได้เยอะเลยนะครับ” “ความจริงพวกมันเป็นปลาที่แม่ฉันเลี้ยงไว้น่ะค่ะ พอแม่เสียฉันเลยต้องดูแลพวกมันต่อ แต่พวกมันก็เป็นเพื่อนแก้เหงาให้ฉันได้ดีเลยล่ะค่ะ” “น่ารักจังนะครับ” “น่ารักตรงไหนล่ะคะ? เจ้าปลาพวกนี้มันตามันเหมือนเอเลี่ยนจะตายไป ว่ามั้ยคะ?” “ผมหมายถึงคุณน่ะครับ”“ผมหมายถึงคุณน่ะครับ” “คะ? ?0?” ฉันไม่เข้าใจที่คุณกวินท์พูดเลยแฮะ หมับ!! เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่คนตรงหน้ากลับดึงมือของตัวเองที่ฉันยังคงจับเอาไว้เข้าหาตัว ทำให้ตัวฉันเองก็เซเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน “ที่บอกว่าน่ารัก ผมหมายถึงคุณครับ ไม่ใช่ปลา” ตึกตักๆๆ!! ฉันรู้สึกได้ถึงใจที่เต้นรัวอย่างน่าอายของตัวเอง บวกกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวอย่างกับโดนน้ำร้อนลวกยังไงยังงั้นแหละ “0///0 คือ…” “เอ่อ…ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ” เราสองคนยืนจ้องตากันได้สักพักก่อนจะคุณกวินท์จะเป็นฝ่ายปล่อยมือของฉันไปอีกแล้ว “เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ…” หมับ!! พอเห็นว่าคุณกวินท์เริ่มคลายมือของตัวเองออก สัญชาตญาณที่เห็นแบบนั้นมันเลยสั่งให้ฉันคว้ามือของเขากลับมา ก่อนที่อะไรก็ไมรูมันสัั่งให้ฉันทำเรื่องที่น่าอายออกไปหลังจากนั้น จุ๊บ!! ฉันเขย่งเท้าขึ้นไปยื่นริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสกับริมฝีปากของคนตัวสูงตรงหน้าอย่างลืมตัว “0///0” นี่ฉัน…ทำอะไรลงไปเนี่ย? นี่ฉัน…จุ๊บปากคุณกวินท์เนี่ยนะ บ้าไปแล้วรึไงยัยรินณ์!! “ฉะ…ฉันขอโทษคะคุณกวินท์ ฉัน…ไม่ได้…อุ้บ! ^///^” และสิ่ง
เวลา 10.00 น.ณ สุสานแห่งหนึ่งฟึ่บ!! ช่อดอกลิลลี่สีขาวถูกวางไว้ที่หน้าหลุมศพอย่างบรรจง โดยฝีมือของหญิงสาวในชุดเดรสตัวยาวสีขาวคนหนึ่ง“เป็นยังไงบ้างคะแม่?” ฉันเอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ผ่านรูปที่ติดอยู่หน้าป้ายสุสาน“…”“วันนี้รินณ์มาเยี่ยมคนเดียวนะ น้าเรย์อยู่ต่างประเทศเลยมาด้วยไม่ได้น่ะค่ะ”“…”“ช่วงนี้รินณ์ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของรินณ์ แม่อวยพรให้รินณ์ทำได้ดีด้วยนะ อ่า…แค่คิดว่าจะต้องกลับไปเรียนอีกก็เหนื่อยแล้วอ่ะ”“…”“เฮ้อออ! แม่ค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินณ์นะ รินณ์ใช้ชีวิตได้ดีอย่างที่แม่สอนมาโดยตลอดเลยค่ะ เพราะงั้น…แม่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย พักผ่อนให้สบายก็พอ รินณ์…คิดถึงแม่อยู่เสมอเลยนะคะ” รู้มั้ยว่าอะไรที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉัน? สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉันคือ…ความเงียบที่ฉันได้รับเป็นคำตอบหลังจากถามคำถามออกไปไงล่ะ ไม่ว่าจะถามออกไปอีกสักกี่คำถาม ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่ได้มาก็คงจะเป็นเพียงแค่ความเงียบอีกตามเคยอืม…ห้าปีแล้วสินะ ห้าปีแล้วที่ฉันเป็นฝ่ายตื๊อแม่คนเดียวอยู่แบบนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ไม่เคยชินสักทีเลยแฮะณ ป้ายรอรถหลังจากเยี่ยมแม่เสร็จแล้วฉั
หลังจากตกลงว่าวันนี้ฉันจะเป็นไกด์ชั่วคราวให้กับเจ้าของรถได้แล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถกันมาฉันคิดหนักมากว่าจะพาเขาไปเที่ยวที่ไหนดี แต่จากที่ฉันสังเกตบุคลิกท่าทางของเขาแล้ว เขาดูเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย น่าจะชอบทำกิจกรรมพอสมควรเลยนะ เพราะงั้น…ฉันเลยพาเขามาพายเรือที่นี่ไงล่ะ “คุณชอบพายเรือมั้ยคะ?” ฉันหันไปถามคนข้างๆที่เดินมาด้วยกัน หลังจากจอดรถกันเสร็จแล้ว“ก็น่าสนใจนะครับ”“งั้นดีเลยค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบมาทำกิจกรรมกันค่ะ กิจกรรมหลักๆของที่นี่ก็คือการพายเรือวนรอบคลองนี้เลยค่ะ” “ฟังดูน่าสนุกนะครับ”“สนุกแน่นอนค่ะ ฉันรับรองได้ อ้อ! จริงสิ คุณ…ชื่ออะไรเหรอคะ? ฉันณรารินณ์ค่ะ เรียกรินณ์เฉยๆก็ได้” จู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรายังไม่ได้แนะนำตัวเองให้กันเลย พอนึกขึ้นได้แบบนั้นฉันเลยหันไปแนะนำตัวกับคุณเจ้าของรถซะก่อน“ผมกวินท์ครับ” ชื่อกวินท์สินะ ชื่อเขาดูหล่อสมกับหน้าตาเลยนะเนี่ย“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณกวินท์:)”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณรินณ์” “งั้นเราไปซื้อตั๋วกันเลยมั้ยคะ?” “ไปสิครับ”“เอ้ารินณ์! มาได้ยังไงเนี่ย?” ฉันเดินนำคุณกวินท์มาที่จุดขายตั๋ว ซึ่งพอ
“ผมหมายถึงคุณน่ะครับ” “คะ? ?0?” ฉันไม่เข้าใจที่คุณกวินท์พูดเลยแฮะ หมับ!! เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่คนตรงหน้ากลับดึงมือของตัวเองที่ฉันยังคงจับเอาไว้เข้าหาตัว ทำให้ตัวฉันเองก็เซเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน “ที่บอกว่าน่ารัก ผมหมายถึงคุณครับ ไม่ใช่ปลา” ตึกตักๆๆ!! ฉันรู้สึกได้ถึงใจที่เต้นรัวอย่างน่าอายของตัวเอง บวกกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวอย่างกับโดนน้ำร้อนลวกยังไงยังงั้นแหละ “0///0 คือ…” “เอ่อ…ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ” เราสองคนยืนจ้องตากันได้สักพักก่อนจะคุณกวินท์จะเป็นฝ่ายปล่อยมือของฉันไปอีกแล้ว “เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ…” หมับ!! พอเห็นว่าคุณกวินท์เริ่มคลายมือของตัวเองออก สัญชาตญาณที่เห็นแบบนั้นมันเลยสั่งให้ฉันคว้ามือของเขากลับมา ก่อนที่อะไรก็ไมรูมันสัั่งให้ฉันทำเรื่องที่น่าอายออกไปหลังจากนั้น จุ๊บ!! ฉันเขย่งเท้าขึ้นไปยื่นริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสกับริมฝีปากของคนตัวสูงตรงหน้าอย่างลืมตัว “0///0” นี่ฉัน…ทำอะไรลงไปเนี่ย? นี่ฉัน…จุ๊บปากคุณกวินท์เนี่ยนะ บ้าไปแล้วรึไงยัยรินณ์!! “ฉะ…ฉันขอโทษคะคุณกวินท์ ฉัน…ไม่ได้…อุ้บ! ^///^” และสิ่ง
เวลา 18.00 น.หลังจากกลับมาจากพายเรือแล้ว ฉันก็พาคุณกวินท์ไปทานข้าวเย็นที่ร้านใกล้ๆแถวนั้น ก่อนจะพาเขามาดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลหลังบ้านตามที่ตกลงกันไว้“นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้วนะคะเนี่ย?” ฉันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พาคุณกวินท์มานั่งบนเก้าอี้ริมหาดหลังบ้าน“นั่นน่ะสิครับ” “เป็นไงบ้างคะ? ทะเลตอนพระอาทิตย์ตกที่หลังบ้านฉัน” “สวยครับ สวยมากเลยครับ”“ใช่มั้ยล่ะคะ?” ฉันหันไปยิ้มให้คุณกวินท์ ก่อนจะหันกลับมามองดูทะเลตรงหน้า แสงของพระอาทิตย์ในตอนเย็นตกกระทบกับผิวของน้ำทะเล ก่อให้เกิดแสงวิบวับขึ้นมา สวยมากเลยล่ะ แถมหาดหลังบ้านฉันยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแน เพราะงั้นเลยไม่มีคนมารบกวนให้รำคาญตา เฮ้อออ! ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ฉันก็ยังชอบบรรยากาศหลังบ้านของตัวเองมาตลอดเลยล่ะ“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?” ระหว่างที่นั่งดูพระอาทิตย์ตก จู่ๆฉันก็นึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา“ได้สิครับ”“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” “ก็…มาดูพระอาทิตย์ตกไงครับ”“ฉันไม่ได้หมายถึงตอนนี้ค่ะ ฉันหมายถึงว่า…คุณมาทำอะไรที่จังหวัดนี้คนเดียวเหรอคะ? คง…ไม่ได้มาเที่ยวจริงๆหรอกใช่มั้ยคะ?”“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ?”“คือ…ฉันสั
หลังจากตกลงว่าวันนี้ฉันจะเป็นไกด์ชั่วคราวให้กับเจ้าของรถได้แล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถกันมาฉันคิดหนักมากว่าจะพาเขาไปเที่ยวที่ไหนดี แต่จากที่ฉันสังเกตบุคลิกท่าทางของเขาแล้ว เขาดูเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย น่าจะชอบทำกิจกรรมพอสมควรเลยนะ เพราะงั้น…ฉันเลยพาเขามาพายเรือที่นี่ไงล่ะ “คุณชอบพายเรือมั้ยคะ?” ฉันหันไปถามคนข้างๆที่เดินมาด้วยกัน หลังจากจอดรถกันเสร็จแล้ว“ก็น่าสนใจนะครับ”“งั้นดีเลยค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบมาทำกิจกรรมกันค่ะ กิจกรรมหลักๆของที่นี่ก็คือการพายเรือวนรอบคลองนี้เลยค่ะ” “ฟังดูน่าสนุกนะครับ”“สนุกแน่นอนค่ะ ฉันรับรองได้ อ้อ! จริงสิ คุณ…ชื่ออะไรเหรอคะ? ฉันณรารินณ์ค่ะ เรียกรินณ์เฉยๆก็ได้” จู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรายังไม่ได้แนะนำตัวเองให้กันเลย พอนึกขึ้นได้แบบนั้นฉันเลยหันไปแนะนำตัวกับคุณเจ้าของรถซะก่อน“ผมกวินท์ครับ” ชื่อกวินท์สินะ ชื่อเขาดูหล่อสมกับหน้าตาเลยนะเนี่ย“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณกวินท์:)”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณรินณ์” “งั้นเราไปซื้อตั๋วกันเลยมั้ยคะ?” “ไปสิครับ”“เอ้ารินณ์! มาได้ยังไงเนี่ย?” ฉันเดินนำคุณกวินท์มาที่จุดขายตั๋ว ซึ่งพอ
เวลา 10.00 น.ณ สุสานแห่งหนึ่งฟึ่บ!! ช่อดอกลิลลี่สีขาวถูกวางไว้ที่หน้าหลุมศพอย่างบรรจง โดยฝีมือของหญิงสาวในชุดเดรสตัวยาวสีขาวคนหนึ่ง“เป็นยังไงบ้างคะแม่?” ฉันเอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ผ่านรูปที่ติดอยู่หน้าป้ายสุสาน“…”“วันนี้รินณ์มาเยี่ยมคนเดียวนะ น้าเรย์อยู่ต่างประเทศเลยมาด้วยไม่ได้น่ะค่ะ”“…”“ช่วงนี้รินณ์ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของรินณ์ แม่อวยพรให้รินณ์ทำได้ดีด้วยนะ อ่า…แค่คิดว่าจะต้องกลับไปเรียนอีกก็เหนื่อยแล้วอ่ะ”“…”“เฮ้อออ! แม่ค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินณ์นะ รินณ์ใช้ชีวิตได้ดีอย่างที่แม่สอนมาโดยตลอดเลยค่ะ เพราะงั้น…แม่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย พักผ่อนให้สบายก็พอ รินณ์…คิดถึงแม่อยู่เสมอเลยนะคะ” รู้มั้ยว่าอะไรที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉัน? สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉันคือ…ความเงียบที่ฉันได้รับเป็นคำตอบหลังจากถามคำถามออกไปไงล่ะ ไม่ว่าจะถามออกไปอีกสักกี่คำถาม ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่ได้มาก็คงจะเป็นเพียงแค่ความเงียบอีกตามเคยอืม…ห้าปีแล้วสินะ ห้าปีแล้วที่ฉันเป็นฝ่ายตื๊อแม่คนเดียวอยู่แบบนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ไม่เคยชินสักทีเลยแฮะณ ป้ายรอรถหลังจากเยี่ยมแม่เสร็จแล้วฉั