“ท่านพ่อจูจิ้นไม่เห็นเคยได้”“จูจิ้นใช้กับท่านแม่”จูจิ้นหน้าเง้า แป๋มแบ่งส่วนของตัวเองออกครึ่งหนึ่งส่งให้จูจิ้น“ข้าไม่เคยได้ไปไหนซื้ออะไร จูจิ้นเจ้ารับไว้”ยิ้มกว้างสดใสปรากฏที่ริมฝีปาก“พี่สาวจูเจียท่านใจดีแปลกๆช่วงนี้ไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อนหน้านั้น แป๋มยิ้มแหย๋ๆไม่กล้าพูดอะไรจะบอกได้อย่างไรว่าตัวเองไม่ใช่จูเจีย“รีบไปแล้วรีบกลับมา พวกเรารอเจ้าอยู่ที่นี่”เสี่ยวซงประสานมืออีกครั้งแป๋มยิ้มเศร้าๆ สองสามวันหรือว่าจะไปไม่หวนกลับ...คนเร่ร่อนจะรักใครจริง….“พรุ่งนี้เห็นทีจะต้องเก็บเกี่ยวถั่วแดงเสียทีฝักอ่อนไม่เหลือให้เก็บเป็นผักแล้ว คงเหลือแต่ฝักแก่ๆ เก็บมาแล้วนำไปตากสองสองสามแดดก็เอามาเก็บไว้ได้นานแสนนาน อือ ...ฮูหยินจูจิ้นเก็บใบไผ่มาให้เสียมาก แม้ไม่ใช่ไผ่หม่าจูแต่ใบก็สมบูรณ์ไม่น้อยเหมาะกับการห่อบะจ่าง เก็บถั่วแดงแล้วจึงทำบะจ่างกินกัน ไม่ได้กินเสียนาน”ท่านเฉินพูดไปยิ้มไป“เผือกข้างลำธารก็กำลังลงหัวพอดีพรุ่งนี้หากไม่มีอะไรเร่งด่วนข้าจะไปขุดเผือกเตรียมไว้ ส่วนเกาลัดคงต้องให้จูจิ้นกับจูเจี่ยไปเก็บมาจากท้ายไร่ตอนนี้คงร่วงเกือบหมดต้นแล้ว”“เกาลัดหรือคะ”ดวงตากลมโตยิ่งกลมโตยิ่งขึ้น“เกาลัดเพิ่ง
“ไม่ไม่ไม่ ไม่ใช่แค่เพียงบอกลาแต่ข้าจะบอกว่า รับกลับมาเร้วๆหน่อยพวกเราบ้านเฉินจะต้องคิดถึงท่านแน่”เสี่ยวซงหัวใจพองโต“คนในบ้านเฉินคิดถึง แล้วจูเจียคิดถึงข้าหรือไม่”“ไม่นะ ข้าคงไม่คิดถึงท่านหรอกเพราะว่าวันๆข้าต้องใช้แรงงานเก้บผักปลุกผักในแต่ละวันจะมีเวลาที่ไหนมาคิดถึงท่านจะว่าไปหากอยู่เฉยๆไม่แน่อาจจะคิดถึง”เสี่ยวซงยิ้มเศร้าๆ นางไม่มีใจกับเขาหรืออาจจจะเร็วไปเหมือนนางว่า เขาเผลอใจให้นางเร็วไป แต่จะอย่างไรเรื่องของหัวใจห้ามกันได้หรือวังหลวงซงหยวน ก้าวขาเข้าไปในตำหนักฮ่องเต้ จงต้าหมิงคุมเสื้อคลุมมังกรสีน้ำเงินให้ร่างสูงผึ่งผายมิได้ผอมบาง เช่นแต่ก่อน ท่าทีองอาจสง่างามไม่ต่างจากมังกรหนุ่มอีกทั้งใบหน้ายังหล่อเหลาเมื่ออยู่ในอาภรณ์ที่ดีจึงส่งเสริมให้สง่างามเกินกว่าผู้ใด“เสด็จพ่อส่งคนตามข้าใช่หรือไม่ หากคาดไม่ผิด”จงต้าหมิงยิ้มมุมปาก พยักหน้าขึ้นลง“ฝ่าบาทข้าพระองค์ตามหาไท่จือจนทั่วโรงเตี๊ยมกลางป่าแต่ก็ไม่พบ”เสียงเจื้อยแจ้วของทหารองครักษ์ที่ถูกส่งออกไปตามตัวซงหยวนกำลังเล่าเรื่องราวก่อนหน้านั้น“ไหนจงต้าหมิงบอกว่า พบไท่จือที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองกลางป่านั่น เจ้าไร้ความสามรถจึงหาไท่จือไม่พบ”“ซงหย
เสี่ยวซง ก้าวขายาวๆ เข้าไปในตำหนักบูรพาตามหลังด้วย จงต้าหมิงที่ตามอารักขา ตรงหน้าเป็นองค์หญิงอิงเผย ที่มารอรับอยู่ด้านหน้าตำหนัก รอยยิ้มปรากฏเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซงหยวน“อิงเผยถวายพระพรไท่จือ”แววตาเหมือนจะยิ้มได้เมื่อเห็นหน้าซงหยวน“ยินดีที่ได้พบ”“ไท่จือมาเหนื่อยๆ อิงเผยให้ห้องเครื่องตำหนักบูรพา ตุ๋นไก่ใส่หน่อไม้สดที่เพิ่งนำมาส่งเมื่อวาน”ซงหยวนพยักหน้าขึ้นลงนั่งลงบนโต๊ะเสวย นางกำนัลตักข้าวใส่ถ้วย อิงเผยนั่งลงตรงข้ามหยิบตะเกียบส่งให้ซงหยวน เมื่อขันทีชิมอาหารเรียบร้อยแล้ว อิงเผยรับถ้วยข้าวไปก่อนจะค่อยๆ ใช้ตะเกียบคีบ หน่อไม้ใส่ในถ้วยข้าวให้กับซงหยวนก่อนจะคีบส่งใส่ปากเพียงน้อยนิดเหมือนกับจะเอาไปดม ซงหยวนมองท่าทีขออิงเผย ใจพาลคิดไปถึงใครอีกคน ป่านนี้จะกินอะไรอยู่ แล้วจะทำสีหน้าเปี่ยมสุขเพียงใดที่ได้กินของอร่อยรสชาติดี เผลอยิ้ม อิงเผยยิ้มตอบนึกว่าซงหยวนส่งยิ้มให้ตัวเอง"หน่อไม้รสดีเสียจริงไท่จือทรงเสวยเยอะๆนะคะอิงเผยตั้งใจปรุง ให้คัดหน่อไม้ที่สดใหม่มาเลยทีเดียว"ซงหยวนคีบหน่อไม้มาชิม รสชาติจืดชืดเหลือความหวานเพียงน้อยนิดแต่ทว่ายังกรุบกรอบเช่นเดิม แต่ไม่อาจเทียบได้กับหน่อไม้สดๆ หากเป็
เนินหญ้าเขียวชอุ่ม ลาดเอียงลงไปด้านล่างพื้นหญ้าเขียวขจี ด้านล่างมีต้นไม้ ขึ้นเป็นดง แป๋มสุดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ บนพื้นมีผลไม้เปลือกสีเขียวมีหนามคล้ายเงาะร่วงหล่นเต็มพื้นบางลูกก็สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มปนกันไป ข้างในเป็นลูกเกาลัดสีน้ำตาลเข้ม ร่วงเกลื่อนพื้นจูจิ้นวางตะกร้าลงกับพื้นเก็บลูกเกาลัดใส่ลงในตะกร้าแป๋มหยิบเปลือกลูกเกาลัดสีเขียวหนามแหลมขึ้นมาตั้งใจจะถามจูจิ้นว่ามันคืออะไร ดันถูกหนามเกาลัดทิ่มที่มือเลือดไหลรู้สึกเจ็บจี๊ด“อุ๊ย”มือบางถูกคว้าไปดูดอย่างรวดเร็วเสี่ยวซงนั่นเอง แป๋มหันไปสบตาเสี่ยวซง ด้วยตากลมสุกสว่างดีใจที่เห็นเสี่ยวซงกลับมาทั้งๆ ที่คิดว่าเขาจะไม่กลับมาแล้วแปลกใจที่เขากลับมาไวเสียจริง“เจ็บไหม”น้ำเสียงอ่อนโยนไม่ยอมปล่อยมือบางที่ดูดเลือดให้อยู่ในริมฝีปากอุ่น ตาต่อตาสบกันนิ่ง“พี่ชายเสี่ยวซง ข้าคิดถึงพี่เสียจริง”จูจิ้น กอดรอบขาไว้แน่น เสี่ยวซงปล่อยมือแป๋มออกช้าๆ ก้มลงอุ้มจูจิ้นโยนขึ้นเหนือหัว“โอ้โห้พี่ชายเสี่ยวซงแข็งแรงจริงๆ แบบนี้คงอุ้มพี่จูเจี่ยไหวแน่ๆ ”ผีเจาะปากมาพูด ชงชอบชงเสียจนเคยตัว“จูจิ้นหยุดพูดได้แล้ว เก็บเกาลัดต่อไป”ส่งสายตาดุดุแต่ทว่
“เกาลัดคั่วเมื่อไหร่ก็ได้แต่ช่วงเวลาแบบนี้หาได้ยาก”“ช่วงเวลาแบบไหน”“ก็ช่วงเวลา ที่...พี่ชายเสี่ยวซงเขาคิดถึงจูเจี่ยจนมีเรื่องพูดคุยด้วยมากมาย ปกติพี่เสี่ยวซงเขาไม่ค่อยพูด จูเจี่ยไม่อยากคุยกับพี่ชายเสี่ยวซงหรือ”แป๋ม หน้าแดงไปถึงใบหู เสี่ยวซงยิ้มยกมือขึ้นเขย่าหัวจูจิ้นเบาๆ“ดีมาก...อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่ารักกันจริง”จูจิ้นดึงแขนข้างละคนไปที่เนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจี ในร่มไม้ที่ทอดยาวเป็นร่มเงาร่มรื่นเย็นสบาย นั่งลงบนพื้นหญ้าทั้งสามคน จูจิ้นดึงมือเสี่ยวซงให้ไปนั่งข้างๆ แป๋มจากที่จูงแขนคนละข้าง“ว่ามามีเรื่องอะไรจะคุย”อยากจะตบปากตัวเอง ทำไมต้องมีท่าทีดุดันขนาดนั้นไม่อ่อนหวานเอาเสียเลย (รู้ตัวด้วย)“เจ้า...เจ้า...สบายดีไหม สองสามวันมานี้”จูจิ้นเบ้ปาก“สบายดี”“เจ้าผอมลง”แป๋มมองมือกับแขนของตัวเองก็น่าจะจริง“ข้ารู้แล้ว”“แล้ว...แล้วเจ้า…คิด..คิด”“คิดถึงข้าบ้างไหม”เป็นจูจิ้นที่พูดแทรกขึ้นเพราะ รู้สึกว่าเสี่ยวซงช่างไม่ทันใจจูจิ้นเสียจริง แป๋มยกมือขึ้นปิดหน้าขำจนตัวงอเสี่ยวซงเกาหัวแกรกๆ อะไรทำให้เขาเป็นถึงขนาดนี้“ไม่ ไม่คิดถึง”“ทำไม”เสี่ยวซงถามขึ้นทันที“ก็ เจ้าไปแค่ไม่กี่วัน แ
จนป่านนี้เสี่ยวซงเองก็รู้ดียังไม่สามารถหาทางออกสำหรับตัวเองได้เช่นกัน เขาเพียงแค่ทำตามที่หัวใจเรียกร้องคืออยากเห็นหน้าแป๋มอยากอยู่ใกล้ แต่ปัญหาใหญ่หลวงที่เขาแบกรับก็ไม่อาจแก้ไขและหาทางออกได้ในตอนนี้ความรู้สึกทั้งสองคนในขณะที่ลมพัดโชยมาจึงไม่ต่างกันนั้นคือความรู้สึกเศร้าที่ไม่สามรถหาทางออกได้“ข้าก็แค่รู้สึกว่าเราสองคน ไม่สิข้ามีลางสังหรณ์ว่าเราสองคนเฮ้อช่างมันเถอะ...ไม่พูดแล้วแค่จะบอกว่า คิดถึง….”ตัดสินใจพูดไปเสียเป็นงเป็นกันเสี่ยวซงกดริมฝีปากปิดปากบางของแป่มที่พูดยังไม่ทันจบ ยกมมือขึ้นรวบเอวบาง (สาบานว่ามันเริ่มบางแล้ว) ไว้ในอ้อมแขน จูบอ่อนโยน แป๋มตาโตจูบแรก ต๋าย…. จูบแรกกับคนที่หล่อคนที่หน้าตาดีเพียงนี้เชียวหรือ แล้วเขาจูบตอบกันอย่างไรหว่า เสี่ยวซงถอนริมฝีปากออกช้าๆ ขำกับแป๋มที่จูบตอบแบบเงอะๆ งะงะเขินหันหน้าหนีไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนตรงไหน แต่อีกคนกับกอดไม่ปล่อย ยังคงกอดอยู่อย่างนั้น แป๋มเองกลับซบหน้าลงกับอกของเสี่ยวซง อยากเห็นเนื้อในจริงๆ กล้ามคงเป็นมัดๆ ในเมื่อรู้สึกอบอุ่นขนาดนี้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจ รู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด ไม่มีคำพูดหลุดออกจากปากของทั้งแป๋มและเสี่ยวซ
“ต่อไปก็คงยิ้มไม่หุบทั้งวัน ใช่หรือไม่ในเมื่อเสี่ยวซงกลับมาอยู่กับพวกเราเหมือนเดิมแล้ว” ฮูหยินส่งเสริมเต็มที่ แป๋มอายบิดมือไปมา เสี่ยวซงสีหน้าสลดลงทันที“ความจริงข้ากลับมาครั้งนี้ตั้งใจมาลาพวกท่าน”แป๋มหูอื้อตาลายไปเสียแล้ว มาลา แล้วเขาจะมาจูบแป๋มทำไม แล้วยังมาทำเป็นมีทีท่าว่าชอบแป๋มมาให้ความหวังแต่กลับบอกว่าจะมาลาแป๋มก้มหน้านิ่งฮูหยินเฉินเหมือนจะเข้าใจดี“ลา หมายความว่าอย่างไร”“ข้าเดิมอยู่ที่นี่มีความสุขที่สุด แต่ด้วยข้าไม่อาจละทิ้งบุพการีได้ แม้จะหาข้ออ้างอย่างไรก็คงไม่อาจแก้ตัว พวกท่านเองก็คงจะคิดว่าข้าอยากไปอยู่ดี ความจริงเสี่ยวซงอยากอยู่ที่นี่ตรงนี้ไปอีกนานเท่านาน แต่ข้าไม่อาจกระทำ”ท่านเฉินถอนหายใจยาวเหยียด“จูเจี่ย มาช่วยแม่ยกกับข้าวกันดีกว่า”แป๋มลุกพลวดพลาดไปในทันทีไม่ได้เป็นเพราะความหิวแต่เป็นเพราะรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว เสี่ยวซงมองตามร่างที่เริ่มบางไปจนลับสายตา“จูเจี่ย”เมื่อเข้ามาในครัวเพียงลำพังฮูหยินเฉินที่แต่เดิมแป๋มไม่สู้ชอบใจนัก กับกุมมือเย็นชืดของแป๋มไว้“ค่ะท่านแม่”“แม่กำลังคิดว่า เจ้าไม่เหมือนเดิม หลายวันมานี้จูเจี่ยของแม่น่ารักขึ้นกว่าเดิมสวยขึ้นกว่าเดิม จ
แต่ไม่วาย น้ำตาปริ่มขอบตาอยู่ดี“จูเจี่ยท่าน”ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“ไม่ไม่ไม่ข้าแค่รู้สึกว่าอาหาร ของนี้วันอร่อยที่สุด อร่อยจนน้ำตาไหล ไม่ได้เศร้าเสียใจอะไรเลยจริ้งจริงงงง”จูจิ้นทำสีหน้าเศร้าสร้อยดวงจันทร์สว่างสดใส แป๋มนั่งเท้าคางมองเป็นกระต่ายหมายจันทร์จูจิ้นนั่งลงข้างๆ“จูเจี่ยอย่าเสียใจไปเลย”“ไม่ไม่เคยเสียใจอย่างน้อยก็มีความสุขช่วงที่ผ่านมา แม้จะรู้สึกปวดใจอีกไม่นานก็คงหาย”เสี่ยวซงนั่งลงข้างๆแป๋ม“รอข้าได้ไหม หากว่าเจ้าเชื่อใจข้าข้าสัญญาจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วจะกลับมา”“ท่านมีอะไรต้องจัดการ”เสี่ยวซงถอนหายใจ“ไว้ข้าจัดการเรื่องราวต่างๆเสร็จสิ้น ไปแล้วจึงจะเล่าให้เจ้าฟังจะได้ไหม”“พี่ชายเสี่ยวซง ท่านต้องสาบานว่าจะกลับมาที่นี่”“จูจิ้นไม่ใช่เรื่องของเด็ก จะไปฝืนใจพี่เสี่ยวซงเขาทำไมกัน”แป๋มเตือนเบาๆ“ข้าสาบานข้าจะกลับมา หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย”กุมมือแป่มไว้แน่น“เจ้ารอข้า รอจนกว่าข้าจะกลับมา”แป๋มน้ำตาซึม กับคำสัญญา ดวงจันทร์ถูกเมฆหมอกบังอับแสงเหมือนหัวใจของแป๋มตอนนี้ ที่มืดมนไร้ทางออกจหนึ่งอยากเลิกเชื่อในสิ่งที่เสี่ยวซงพูดแต่อีกใจกับบอกว่าเสี่ยวซง ยอมลงทุนสาบาน จะ
“ไม่ต้องห่วงนะข้า ไปศึกษาเคล็ดวิชา เกี่ยวกับ..เอ่ออการอุ่นเตียงที่เจ้าจะต้องติดใจ”รวบร่างบางให้อยู่ใต้ร่างเขาก่อนจะกดริมฝีปากอีกครั้งบรรจงจูบอ่อนหวานปลดแกะอาภรณ์ของตัวเองและของแป๋มออกช้าๆ อ่อนโยนจนแป๋มแทบจะล่องลอยโคมไฟหัวเตียงอ่อนแสงลงเมื่อคนทั้งคู่ กำลังมีความสุขภายใต้แสงไฟสลัว เนิ่นนาน ไม่สนใจเวลาที่หมุนผ่านจนโคมไฟอ่อนแสง (ตัดเข้าโคมไฟอย่าด่าไรท์น้าาา555)สามปีผ่านไป“แค้วนเหนือส่งบรรณาการมาที่แคว้นฉินแทนคำขอบคุณที่ ฝ่าบาทส่งท่านเฉินให้ไปเป็นผู้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาในการปลูกผักและถนอมอาหารบัดนี้แคว้นเหนือรุ่งเรือง เป็นบ้านพี่เมืองน้องฮ่องเต้าต้าปอหลันจึงได้มีบัญชาให้นำเครื่องบรรณาการมาที่นี่แทนคำขอบคุณ”ซงหยวนเอื้อมมือกุมมือแป๋มใต้บัลลังก์บีบมือเบาๆ มองสบตา คม อย่างมีความหมาย“กลยุทธ์ของเจ้า เข้าท่าดีไม่น้อยต่อไปบ้านใกล้เรือนเคียงจึงไม่ทะเลาะเบาะแว้งเแย่งชิง ทรัพยากรและดินแดนกันอีกในเมื่อทุกพื้นที่ล้วน ปลูกผักทำสวน พึ่งพาตัวเอง ท่านพ่อตาเก่งเรื่องทำสวน ช่วยดูแลให้ความรู้ชาวแคว้นเหนือได้ดี แม้อยากกลับก็ไม่ได้กลับ ฮ่องเต้แคว้นเหนือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งราชครูเลยทีเดียว“คิดถึงจูจิ้นเขาไม่อ
พิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่อลังการ จนแป๋มคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นแล้วยังต้องมาสวมอาภรณ์สีแดงด้วยตัวเอง อาการตื่นเต้นจนทำให้ต้องนึกถึงเรื่องที่ผ่อนคลายกว่านี้จะได้ไม่ทำอะไรเงอะงะ ให้ขายหน้าทั้งๆ ที่เมื่อวานวุ่นวายกับการฝึกซ้อมพิธีการแต่….เมื่ออยู่ในห้องสองต่อสองเมื่อวันก่อน แป๋มนำเอาแครอทหั่นฝอยมาทำเป็นส้มตำให้ซงหยวนกินอดจะขำกับเสียงซุดปากที่ขันทียังตกใจเสียไม่ได้ส้มตำไทยรสเด็ดที่แป๋ม ปรุงเองกับมือ ไม่มีมะละกอก็ใช้แครอทซอย เป็นเส้น พริกสดสีแดงจัดจ้านกระเทียมสีม่วงกลีบเล็ก โขลกรวมกัน ใส่กุ้งแห้งที่ตัวใหญ่ไปหน่อย ถั่วลิสงคั่ว มะนาวซีก น้ำผึ้ง และเห็ดหอมสดต้ม ข้าวโพดหวานต้ม ลงไปคลุกเคล้า ตักยื่นส่งตรงหน้าซงหยวนที่ยืนชื่นชม ท่าทีคล่องแคล่วของแป๋ม แต่ก็แอบกลืนน้ำลาย“เจ้าไปนำวิธีการปรุง อาหารจานนี้มาจากไหน”“พูดไปฝ่าบาทก็คงไม่เชื่อแต่จะบอกอะไรให้ อาหารจานนี้จูเจียชอบที่สุด และหากฝ่าบาทได้ชิมจะต้องซี้ดปากด้วยความสะใจ”“ซุ๊ดด ซี็ดเผ็ดมาก แต่อร่อยลิ้น เสียจริงไม่น่าเชื่อแครอทเอามาทำอาหารแบบนี้ได้ วังหลวงของเราไม่เคยมีอาหารรสจัดจ้านเพียงนี้ ข้าเห็นทีจะจัดให้ห้องเครื่องเป้นอาหารที่ทำห้คนนวังหลวงได้ชิม
“เรื่องอัปยศเช่นนี้ข้าก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นเอาเป็นว่าเราทั้งสอง ทำทีเป็นเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน อย่างที่ผ่านมาดีแล้ว”“ท่านก็ยังเหมือนเคย””ตัวท่านเองก็เช่นกัน รักในบัลลังก์มากกว่าสิ่งอื่นใด”ซงหยางยิ้ม“ท่านเองก้คงไม่ปรารถนาให้บุตรีต้องมา ผูกพันกับซงหยวนที่มีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ต้องรับผิดชอบข้ามองไม่เห็นทางว่า หากซงหยวนแต่งกับบุตรีของท่านเหมือนที่ข้ายอมแต่งกับ พี่รองของท่านแล้วจะนำพาแคว้นฉินให้รอดปลอดภัยจากแคว้นอื่นที่ต้องการรุกรานได้อย่างไรในเมื่อซงหยวนมีว่าที่ไท่จือเฟยเป็นองค์หญิงแคว้นใต้”เฉินเจียจิ้นยิ้มบางๆ แม้จะรู้สึกเจ็บแค้นแทนแป๋มเพียงใด แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองชีวิตในวังหลวงล้วนแตกต่างแป๋มจะทนได้หรือซงหยางก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักด้วยสีหน้าแช่มชื่น เฉินเจียจิ้นกลับมาสู่ความเป็นจริงตรงหน้า“ข้ายินดี ให้ฮ่องเต้แต่งบุตรีของท่านเป็นฮองเฮา แม้จะต้องกลับคำพูดจากที่เคยพูดไว้”“กลับคำ”“ในตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าแม้ฮ่องเต้ไม่แต่งองคืหญิงจากแคว้นอื่นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์แต่งฮ่องเต้ก็ทรงนำพาแคว้นฉินให้อยู่รอดปลอดภัย ซงหยวนเก่งกว่าข้าภายใต้ความเก่งกาจของเขา มีตระกูลเฉิน โดยเฉพาะเฉินจูเจี่ยเป็นแรงผลักดัน
เพียงครู่เดียวเหล่าทหารของแคว้นฉิน ก็เข้ามา ล้อมบ้านเฉินไปจนสิ้น“เฉินเจียจิ้นรับราชโองการรร” ท่านรเฉินกับฮูหยิน คุกเข่าลงกับพื้นต้าปอหลันเหลือบตามองด้วยความสงสัย“ตามที่บ้านตระกูลเฉินได้ส่งเกาลัดที่ฝ่าบาทโปรดปรานเป็นอย่างยิ่งเข้าไปในวังหลวงบัดนี้ฝ่าบาทได้ให้ข้ามาแจ้งแก่เฉินเจียจิ้นว่าส่งเกาลัดเข้าไปแต่ไม่ยอมส่งคนคั่วเกาลัดเข้าไปด้วยฝ่าบาทจึงจำต้องมาออกมาที่ตลาดมารับคนคั่วเกาลัดคือแม่นางจูเจียด้วยองค์เองเพื่อเป็นการลงทัณฑ์บ้านเฉิน ที่ยังความลำบากให้กับฝ่าบาทเช่นนั้นจึงได้ มีราชโองการ เชิญท่านเฉินและฮูหยินเฉิน ไปที่วังหลวง พร้อมกันนี้ให้นำผักในไร่ไปปรุงเครื่องเสวยถวายฝ่าบาท ทันที เฉินเจียจิ้น รับราชโองการรรร”“น้อมบัญชาฝ่าบาท”เอื้อมมือรับเอาราชโองการมาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทาหันมองหน้าฮูหยินดวงแววตาตื่นตระหนกแม้ข้อความในราชโองการจะฟังดูแปลกๆ แต่ก็อดหวั่นใจเสียไม่ได้เพราะเพิ่งจะเคยได้รับราชโองการจากฮ่องเต้เป็นครั้งแรก“ท่านลุง หากไม่อยากเข้าไปข้ายินดีปกป้องท่าน”ต้าปอหลันประสานมือกล่าวคำห่วงใย“ฝ่าบาท ข้าน้อย แม้จะกลัวเพียงใดแต่เชื่อว่าจะต้องไม่เกิดอันตรายในเมื่อตอนนี้ จูเจียกับจูจิ้นอยู
“ขอบพระทัยเสี้ยนตี้”“อืม ปลาทอดราดซอสขิงรสชาติดีเสียจริง ข้าคงไม่กวนเจ้าแล้ว แต่รู้สึกคิดถึงจูจิ้นเหลือเกิน ไปคุยกับท่านลุงให้หายคิดถึงจะดีไหมที่ตำหนักของข้ามี ขนมหวานน่ากิน มากมาย”จูจิ้นยิ้มหันมองทั้งแป๋มและซงหยวน ซงหยวนพยักหน้ายิ้มๆ รีบลุกจากแท่นนั่งวิ่งเข้าเกาะแขนเสี้ยนตี้ฮองเฮามองด้วยสายตาอ่อนโยนแป๋มถอนหายใจเหมือนกับโล่งอกเสียเต็มทีซงหยวนอมยิ้ม“คืนนี้ จูจิ้นค้างที่ตำหนักเสี้ยนตี้”“ฝ่าบาทรู้ได้อย่างไร”“ก็เสี้ยนตี้จะต้องเห็นอกเห็นใจลูกชายคนนี้ที่นานปีเพิ่งจะได้ชิดใกล้คนที่เขารัก”“ข้า ...ข้า”“อย่าบอกนะว่าจะขอแยกห้อง”“ก็ฝ่าบาท จะรังแกกัน”“ใครกันเรียกว่ารังแก เรียกว่าทนคิดถึงไม่ไหว”ปลาทอดราดซอล ขิงวันนี้แป๋มรู้สึกว่ามันหวานไปหน่อยจะด้วยสายลมแสงจันทร์หรือว่าคำหวานกับสายตารักใคร่ของคนข้างหน้าไม่อาจทราบได้บ้านเฉิน“ท่านลุง จูเจียถูกจับตัวไป”ท่านเฉินลุกพลวดจากเก้าอี้“ใครกันทำเรื่องแบบนั้น”“ฮ่องเต้แคว้นฉิน”“หา ฮ่องเต้แคว้นฉิน แล้วเขาจะจับจูเจียไปทำไมกัน”“ฝ่าบาทคนของเราพร้อมแล้ว”องครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ ปรากฏตัวออกมาประสานมือตรงหน้า ต้าปอหลันฮ่องเต้ ท่านเฉินกับ ฮูหยินเฉินตาค้างด้
แป๋ม เขย่งเท้าขึ้นจุมพิตที่ปากอุ่นเบาๆ“ขอบคุณที่ทำเพื่อข้า”ซงหยวนกดริมฝีปากกับปากบดขยี้อ่อนหวานก่อนจะถอนริมฝีปากออกช้าๆ“ขอบคุณเช่นกันที่รอข้า”แป๋มยิ้มห้องเครื่องเกาลัดเมล็ดใหญ่ถูกคั่วในเตาด้วยไฟกลาง กลิ่นหอมโชยไปทั่ว ซงหยวนจูงมือแป่มไว้พาเดินเข้าไปในห้องเครื่องขันทีนางกำนัลต่างประสานมือและย่อกายทำความเคารพ“พี่ชายเอ๊ยฝ่าบาท พี่สาวจูเจียข้าคั่วเกาลัดไว้รอพวกท่านกำลังร้อนๆ เนื้อนุ่มหวานอย่าบอกใคร”จูจิ้นวิ่งเข้ามาจับมือข้างที่ว่างของแป๋ม“ปลาสดวันนี้มีมาหรือไม่ ว่าที่ฮองเฮาของข้าตั้งใจจะทำปลาทอดราดซอสขิงทั้งขันทีและนางในห้องเครื่องต่างอมยิ้มกับคำเรียกขานที่ซงหยวนใช้กับแป๋ม“ปลาสดวันนี้ได้มาหลายตัว กระหม่อมทอดเตรียมยกเป็นเครื่องเสวยพอดี”หัวหน้าห้องเครื่องประสานมือพูดขึ้น“ดีมาก ปลาอะไรที่ได้มา”“ปลากะพง สดใหม่จึงทอดเพื่อยกเป็นเครื่องเสวย”“ดีเลย ข้าปรุงซอส ขิงราดคงดีไม่น้อย”ซงหยวนยิ้ม จูงมือ แป๋มให้นั่งลง“แค่เพียงบอกขั้นตอนพวกเขาเจ้าไม่ต้องลงมือให้เปรอะเปื้อน”“ไม่เป็นไรข้าเต็มใจทุกวันก็ทำประจำ”“ไม่ได้ เครื่องเสวยมีหลายสิบตำหนักเจ้าจะต้องเหนื่อยหนักเช่นนั้นนั่งอยู่ข้างข้า คอยสั่งการ
“เสด็จพ่อ บอกกับข้าว่าเสด็จพ่อเคยทำผิดพลาดเมื่อครั้งหนึ่งที่เคยหนีออกไปเช่นข้าแล้วพบหญิงงามจิตใจดีนางหนึ่งแต่เสด็จพ่อก็จากนางมาปล่อยให้นางเป็นของคนอื่นนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นตราบาปในใจของเสด็จพ่อจนถึงทุกวันนี้”“แล้วเสี่ยวซงเล่ากลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นบ้างไหม”“กลัวอย่างที่สุด เช่นนั้นจึงต้องแสดงให้เสด็จพ่อเห็นว่าในใจข้ามีเพียงจูเจียคนเดียวไม่แต่งตั้งฮองเฮาไม่แต่งใครเข้ามาให้วุ่นวายสนมนางในไม่รับเข้ามาเพื่อรอวันนี้”กดริมฝีปากกับปากบางแนบแน่นหวานฉ่ำ แป๋มหัวใจพองโตหากปากไม่โดนปิดไว้ก็คงเผลอยิ้มอย่างลืมตัว“ไหนใครเขาบอกว่าแม่นางจูเจียสองปีมานี่เชี่ยวชาญเรื่อง อาหารและการถนอมอาการ ข้าอยากกินเกาลัดคั่วแล้วอยากกิน พะโล้หน่อไม้ แล้วก็อยากกิน..”จ้องหน้าหน้าหวาน“อยากกินอะไร”“อยากกิน หญิงงามบ้านเฉินคนนี้ ดูทีรึว่าจะหวานเหมือนลูกพลับตากแห้งที่ส่งเข้ามาในวังหลวงหรือไม่”แป๋มหลบตาอมยิ้ม“อือ ตอนนี้ข้าทำได้หลายอย่างฝ่าบาทเคยชิม ปลาทอดราดซอสขิงหรือไม่ ข้าทำอร่อยจริงๆนะท่านแม่ยังชมว่ารสดีกว่าท่านแม่ทำ ท่านพ่องี้ให้ข้าทำให้กินประจำ”เสี่ยวซง ถอนหายใจ“เมื่อไหร่จะรู้ว่าคนที่คิดถึงกันเขาจะต้องทำอะไรก
“เจ้าเล่า คนผู้นั้นเป็นใคร กุมมือกันในตลาดไม่เกรงสายตาใครข้ารึอุตส่าห์ให้คนคอยจับตาจูเจียเห็นว่าไม่เคยมีใคร วันนี้กับเห็นตำตาว่ามีบุรุษรูปงานข้างกาย”“เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย ท่านเองอาจมีหญิงอื่นข้างกายมากมาย”“ถึงเจ้าบอกว่าไม่เป็นแต่ข้า คิดอยู่เสมอว่าเจ้าคือ...คนที่ข้าหมายปอง และจะบอกอะไรให้ข้าไม่เคยมีใครในใจข้ามีแต่เจ้าคนเดียวตลอดเวลาสองปีมานี้”กระซิบเบาๆ ข้างหู“เป็นท่านทีคิดไปเพียงลำพัง ข้าไม่มีทางเชื่อท่านอีกแล้ว ท่านเป็นถึงฮ่องเต้สนมนางในสวยมากมายมีหรือจะไม่ไขว้เขว้กับหญิงใด”“ข้าจะทำให้เจ้าก็ต้องคิดเหมือนข้า และให้เจ้าเข้าไปดูในห้องบรรทมของข้าจะได้รู้ว่าข้าไม่เคยมีใครร่วมแท่นนอน”แป๋ม ถอนหายใจ“พี่ชายเสี่ยวซงท่านจะพาข้ากับพี่สาวจูเจียไปไหนกัน”จูจิ้นถามขึ้นเมื่อเห็นว่าบรรยากาศกำลังจะเสียไป ทางเดินทอดยาวเข้าสู่วังหลวง ช่างยิ่งใหญ่อลังการน่าทัศนามากกว่าจะมาทะเลาะกัน“พี่ชายเสี่ยวซงเป็นฮ่องเต้จูจิ้นน้อยคิดว่าพี่จะพาคนที่พี่รักที่สุดไปที่ไหนกันล่ะ”แป๋มหลบตาคม จูจิ้นอมยิ้มแก้มปริ“ข้าไปด้วย”ขันทีนางใน ล้วนลอบมองแป๋มที่มีมือของซงหยวนเกาะกุมไว้ด้วยความใคร่รู้และปนไปด้วยความอ
“เสด็จพ่อโปรดไตร่ตรอง พี่ใหญ่เที่ยวเล่นสนุกสนานอีกทั้ง ยังลุ่มหลงหญิงงาม พาตัวเองไปอยู่ในไร่ในสวนไม่ยอมกลับวังหลวง”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าซงหยวนอยู่ในไร่”คิ้วของซงหยางขมวดเข้าหากัน“เสด็จพ่อโปรดเมตตา”“บัดซบที่สุด เจ้าทำเรื่องชั่วช้าได้ถึงเพียงนั้นเพียงแค่ตำแหน่งรัชทายาทถึงกับส่งมือสังหาร ไปทำร้ายซงหยวนเชียวหรือ”“เสด็จพ่อ เรื่องแบบนี้ล้วนมีมาแต่โบราณอำนาจและการแย่งชิง”“ข้าไม่เคยคิดว่าซงหลี่ผู้อ่อนน้อมจะกล้าทำเรื่องชั่วช้าเพื่อบัลลังก์ตำหนักบูรพา ทั้งๆที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกันเจ้ากับคิดให้ พี่น้องร่วมสายโลหิตต้องตายเพื่อบัลลังก์ องครักษ์นำตัว ซงหลี่ไปขังไว้ที่คุกหลวงรอการไต่สวนอีกครั้ง”“เสด็จพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้วลูกไม่อยากไปอยู่ในคุกหลวง”ก้มศีรษะลงกับพื้น“สำนึกผิดเมื่อสายไปแล้วหากคนของเจ้า สังหารซงหยวนจนถึงแก่ความตาย รู้หรือไม่ว่าภายในใจของเจ้าจะต้องทนทรมานแบกรับความรู้สึกผิดนี้ไปเนิ่นนานแค่ไหน”“ลูกผิดไปแล้ว”ไปสำนึกผิด ที่สุสานบรรพชนจนกว่าจะเข้าใจความสัมพันธ์พี่น้องว่ายิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด”เค้นเสียงพูดด้วยความาโมโหสุดขีด“ซงหลี่ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”ซลี่ก้มหน้ายอมให้องครักษ์คลุมตัยไปโดยดีซ