“ฝัน! ไม่กินข้าวก่อนเหรอลูก”
“ไม่อ่าแม่ สายแล้ว เดี๋ยวฝันไปทำงานไม่ทัน”
เหมือนฝันตะโกนตอบคนเป็นแม่พร้อมกับก้าวขาขึ้นค่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจส่วนมือก็ประวิงกับการสวมหมวกกันน็อคสีชมพูหวานก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วบิดออกไป
อนุชชะเง้อมองตามร่างลูกสาวคนเล็กของบ้านแล้วส่ายหัวไปมา
ปีนี้เหมือนฝันอายุ 28 ปีแล้ว ทว่าเจ้าตัวยังกระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลกอยู่เลยแล้วแบบนี้จะได้แต่งงานออกเหย้าออกเรือนเหมือนพี่สาวเมื่อไร
“อ้าว! นังนี่ก็อีกคน ตื่นสายเหมือนกันเหรอ”
บ่นลูกสาวเสร็จอนุชก็หันไปเจอกับหลานสาวซึ่งกำลังเดินย่องลงบันไดบ้านเพื่อไปโรงเรียน
“แฮ ๆ รุ้งไปเรียนก่อนนะป้า” พูดจบทอรุ้งก็วิ่งปรูดออกจากบ้านไปทันที ขืนชักช้ากว่านี้คงถูกคนเป็นป้าบ่นจนหูชาแน่นอน
“พอกันทั้งลูกทั้งหลานก็พากันตื่นสาย”
ทอรุ้งเป็นลูกของน้องสาวเธอซึ่งตายไปตั้งแต่เด็กสาวยังเด็กส่วนพ่อของมันก็ไปมีเมียใหม่ไม่มาดูดำดูดีลูกในใส้เลยสักครั้ง ด้วยความสงสารอนุชจึงรับมาเลี้ยงเพราะถึงอย่างไรแล้วก็เป็นสายเลือดเดียวกัน
บ้านหลังนี้เมื่อก่อนอยู่กันสี่คนซึ่งล้วนเป็นผู้หญิงทั้งหมด ทว่าลูกสาวคนโตของเธอได้แต่งงานไปเมื่อสองปีที่แล้ว ยามนี้บ้านหลังเล็กจึงเหลือกันแค่สามคนเท่านั้น
เช้าวันจันทร์ในเมืองหลวงย่อมเป็นวันที่แสนวุ่นวาย รถราติดกันยาวหลายกิโลเมตรแทบไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเหมือนฝันเพราะรถมอเตอร์ไซค์ของเธอสามารถลัดเลาะซอกซอยมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ทำงานเส้นยาแดงผ่าแปดแบบเฉียดฉิว
“โฮ...สภาพเหรอเนี่ย ไอ้ฝัน!”
พี่กุ๊กหัวหน้าทีมคอลเซ็นเตอร์ทีมสามเอ่ยทักลูกน้องในแผนกพลางส่ายหัวไปมา
ใบหน้ากลมโล้นไร้เครื่องสำอาง ผมยาวสะยายถึงกลางหลังชี้ฟูไม่เป็นทรง หากเดาไม่ผิดคงเพิ่งผ่านการสระมาแต่มันยังไม่แห้งดีเลยอาศัยลมธรรมชาติขณะแว้นมาทำงานเป่าให้แห้ง
“ยังไม่ชินอีกเหรอพี่กุ๊ก” พี่สมรเพื่อนร่วมงานในทีมเดินมาจากด้านหลังเอ่ยแซวก่อนจะเดินเลยไปนั่งประจำที่ของตัวเอง
“ใครมันจะไปชิน เมื่อไรแกจะมาทำงานด้วยใบหน้าสวย ๆ สักที”
คุยกับพี่สมรเสร็จก็หันมาบ่นร่างอวบที่กำลังรื้อลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อควานเอาเครื่องสำอางออกมาแต่งแต้มใบหน้าให้มีสีสันต์
“ก็มันตื่นไม่ทันอ่าพี่กุ๊ก”
เหมือนฝันหันมายิ้มแป้นพลางยกดินสอขึ้นมาเขียนคิ้ว
“ก็เลิกดูซีรี่ส์เกาหลีจนดึกดื่นสักทีสิ แล้วนอนให้มันเร็ว ๆ จะได้ตื่นแต่เช้าได้”
สองมือเท้าสะเอวบ่นอุบลูกน้องสมกับเป็นวัยทองอายุย่างเข้า
ห้าสิบปี
“จ้า รู้แล้วค่ะ เลิกบ่นสักทีเถอะพี่กุ๊ก ดูสิตีนกาขึ้นแล้วเนี่ย”
“นี่ เธอว่าฉันแก่เหรอ”
“เปล่าสักหน่อย ฝันยังไม่ได้พูดนั้นเลยนะ”
“เถียงคำไม่ตกฟากเดี๋ยวแม่จะหักเงินเดือนให้หมด”
พี่กุ๊กประชดแกมหยอก ทว่าคนตัวกลมกลับเบิกตากว้าง
“อย่านะพี่กุ๊ก ขนาดไม่หักยังแทบไม่พอกิน ถ้าถูกหักมีหวังได้ขุดหญ้ามากินแทนข้าวแน่เลย”
น้ำเสียงออดอ้อนดวงตากลมคู่สวยกระพริบถี่ทำเอาหญิงเลยวัยกลางคนหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วไล่ทุกคนกลับไปทำงาน
4 ปีแล้วสำหรับการทำงานที่นี่นับจากวันที่เรียนจบ มันผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่เธอก็มีความสุขดี เพื่อนร่วมงานก็น่ารักมากต่างช่วยเหลือกันเมื่อมีเหตุจำเป็นเสมอ
บริษัท Wind Thai จำกัดเป็นบริษัทเอ้าซอร์สอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ มีพาร์ทเนอร์นับร้อยบริษัทมาจ้างให้ที่นี่ทำงานแทนเพราะเห็นว่าทำงานรวดเร็วและมีคุณภาพแถมการบริการยังเข้าถึงง่ายอีกด้วย
เหมือนฝันสมัครเข้ามาทำงานแผนกคอลเซ็นเตอร์เพราะเห็นว่าฐานเงินเดือนค่อนข้างเยอะ สวัสดิการก็เลิศ ดูแลค่ารักษาพยาบาลแบบครอบคลุมและที่สำคัญโบนัสแต่ละปีก็ได้หลายเท่าตัวของเงินเดือน
หลังจากจัดการกับผมเผ้าและหน้าตาเรียบร้อยแล้วเหมือนฝันหันกลับไปเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์และจัดการเตรียมสวมเฮดเซ็ทเพื่อเปิดระบบรับสายจากลูกค้า
แผนกคอลเซ็นเตอร์ของบริษัทมีหลายทีมแต่ละทีมก็ทำงานแตกต่างกันออกไป บางแผนกคอยรับสายร้องเรียนการให้บริการจากลูกค้า บางแผนกก็รับสายการโยกย้ายหรือสั่งสินค้า
สำหรับทีมที่เหมือนฝันประจำอยู่เป็นแผนกคอลเซ็นเตอร์ของประกันรถยนต์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งจะคอยรับสายจากลูกค้าที่เกิดประสบอุบัติเหตุรถชนแล้วต้องการเรียกประกันเพื่อไปประเมินความเสียหาย
ห้องทำงานของแผนกนี้แยกออกมาเป็นส่วนตัวอยู่ด้านในสุดมีพนักงานประจำอยู่ทั้งหมดห้าสิบกว่าคน แบ่งทำงานเป็นสามกะด้วยกันเพื่อสลับสับเปลี่ยนกันทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
อาชีพคอลเซ็นเตอร์ใคร ๆ ก็ว่าสบาย มันก็จริงที่อาจจะเป็นงานไม่หนักอะไรอย่างมากก็จำข้อมูลของกรมธรรม์เพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบและคอยรับเรื่องประสานงานก็เท่านั้น
ทว่าเบื้องลึกกลับเป็นงานค่อนข้างเครียดจากการถูกลูกค้าบางคนด่าทอโดยใช้ถ้อยคำรุนแรงซึ่งพนักงานได้แต่นั่งเงียบฟังเท่านั้นไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย หลังจากวางสายค่อยลุกออกไปร้องไห้หรือสงบสติเพื่อปรับอารมณ์แล้วกลับเข้ามาประจำที่เพื่อรอรับสายใหม่
ซึ่งก็เหมือนกับลูกค้าสายนี้
“บริษัท K.P.I ประกันภัยสวัสดีค่ะ...ลูกค้าเกิดอุบัติเหตุที่ไหนคะ”
เสียงหวานของเหมือนฝันซึ่งตรงข้ามกันกับหน้าตาเอ่ยถามลูกค้าคนแรกของวันด้วยความเป็นห่วง ก่อนใบหน้าสวยจะหุบยิ้มลงทันควันเมื่อถูกตะคอกกลับเสียงดังจนต้องยกเฮดเซ็ทออกจากหู
เมื่อวางสายนั้นเสร็จเหมือนฝันถึงกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เข้าใจได้แหละว่าคงตกใจกับอุบัติเหตุแต่เช้าแล้วทำไมต้องมาลงหรือโวยวายกับพนักงานด้วยแทนที่จะพูดคุยกันดี ๆ
เธอไม่ใช่คู่กรณีเสียหน่อย...
เวลาเลื่อนเคลื่อนไปจนเกือบเที่ยงพนักงานอีกกะหนึ่งก็เริ่มทยอยเข้ามาประจำโต๊ะทำงานเพื่อสับเปลี่ยนให้อีกทีมไปกินข้าว ระหว่างนั้นพี่กุ๊กก็เคาะโต๊ะเรียกประชุมเพื่อแจ้งข่าวจากฝ่ายHR
“HR เพิ่งแจ้งข่าวเรื่องงานประจำปีของบริษัทพี่มาเมื่อกี้ ปีนี้เขาจะจัดตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมนะ ซึ่งตรงกับวันคริสต์มาส ทางบริษัทจัดรวมกันกับงานปีใหม่ทีเดียวเลย”
พี่กุ๊กยกโพสต์อิสในมือขึ้นอ่านรายละเอียดอีกครั้งก่อนจะนึกขึ้นได้
“อ้อ พี่ลืมบอกว่าประธานบริษัทคนใหม่จะมาร่วมงานนี้ด้วยนะ”
“โฮ มาได้สักทีนะเห็นว่าขึ้นรับตำแหน่งแทนพ่อตั้งนานแล้ว”
พี่ดาหรือนิดาเพื่อนสนิทของพี่สมรเอ่ยขึ้นพร้อมกับนิ่วหน้าส่ายไป
ส่ายมา
เหมือนฝันยืนงงเป็นไก่ตาแตกพลางย่นคิ้ว ประธานบริษัทคนใหม่อย่างนั้นเหรอบริษัทเราเปลี่ยนตอนไหนทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลย หญิงสาวขยับตัวเองไปใกล้รุ่นพี่แผนกพลางสะกิดไหล่เบา ๆ
“พี่มร ๆ”
“อะไรยัยฝันสะกิดอยู่ได้”
สมรยักไหล่ขึ้นแล้วหันไปทำเสียงดุใส่เหมือนฝันซึ่งกำลังทำตาแป๋วเหมือนลูกแมว
“อย่าเพิ่งดุสิพี่มร ฝันแค่จะถามเอง”
“ถามอะไร”
“บริษัทเราเปลี่ยนประธานตอนไหนเหรอ ทำไมฝันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ประโยคคำถามทำเอาสมรกับนิดาหันมองหน้าคิ้วเลิกขึ้นสูง
พร้อมกัน ไม่คิดเลยว่าในบริษัทจะมีคนไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ
“อย่าบอกว่าแกไม่รู้เรื่องนี้”
เหมือนฝันเม้มปากเข้าหากันแล้วพยักหน้างึก ๆ
“ตายแล้วยัยฝัน แกไปอยู่ที่ไหนมาเขารู้เรื่องนี้กันสองปีแล้วแม่คุณ”นิดายกมือทาบอก
“สองปีแล้วเหรอ? แล้ว...ทำไมฝันไม่เคยเห็นเขามาทำงานเลยล่ะหรือว่ามาแล้วแต่ฝันไม่รู้ เขาหล่อไหม? หรือว่าเป็นผู้หญิง”
เหมือนฝันแทบไม่สนใจในสิ่งที่พี่กุ๊กประชุมอยู่เสียด้วยซ้ำแต่กลับสนใจเรื่องประธานบริษัทคนใหม่เสียมากกว่า
“เป็นผู้ชายจ้ะ เห็นว่าหล่อมากและไม่แปลกใจหรอกถ้าแกไม่เห็นเพราะพนักงานบริษัทเราก็ยังไม่มีใครเห็น”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“เห็นว่าท่านไปเรียนต่ออเมริกาแต่ก็มีคนลืออีกนั่นแหละว่าไปเพราะอกหักจากผู้หญิงที่ชอบหนีไปแต่งงาน” เหมือนฝันพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยถามต่อ
“แล้วแบบนี้ใครเป็นคนบริหารงานล่ะคะ”
“ก็คุณชินมัยยังไง ซึ่งมีสถานะเป็นทั้งเพื่อนและมือขวา”
พี่นิดาเล่าละเอียดยิบสมกับเป็นประชาสัมพันธ์ภายในบริษัท อยากรู้เรื่องไหนขอแค่ไปสะกิดถามพร้อมกับกาแฟสักแก้วก็จะได้คำตอบทันที
“เอ้า ๆ ตรงนั้นคุยอะไรกันได้ยินเรื่องที่ฉันประชุมหรือเปล่า”
พี่กุ๊กตะโกนขึ้นทำเอาสะดุ้งกันทั้งแทบ
“ฟังจ้า ฟังอยู่” พี่สมรตอบเสียงเบา
“ถ้าฟังเมื่อกี้ฉันพูดเรื่องอะไร”
ทั้งสามคนหันมองหน้ากันแล้วยิ้มแหยๆ ออกมา สุดท้ายแล้วพี่กุ๊กก็ตาขวางใส่เหมือนเคย
“ฉันพูดถึงตรีมงานแล้วย่ะ ปีนี้เป็นชุดสูทกับชุดราตรีเน้นไปทาง
สีแดงให้เข้ากับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่”
“ทำไมต้องเป็นชุดราตรีด้วยล่ะ” คราวนี้เป็นพี่นิดาถาม
“เพื่อให้เกียรติท่านประธานคนใหม่น่ะแล้วก็เห็นว่าผู้บริหารระดับสูงก็เข้าร่วมเยอะด้วย”
“เหอะ ชุดราตรีเหรอ แล้วฝันจะไปหาจากที่ไหนล่ะเนี่ย” เหมือนฝันก้มลงมองพุงพลุ้ยของตัวเองแล้วออกแรงบีบ
“สมัยนี้แล้วหาไม่ยากจ้ะ เรียนเชิญตึกกรุงทองประตูน้ำนะ รับรอง
มีไซน์เธอแน่นอน”
พี่กุ๊กชี้แนะแหล่งเสื้อผ้าสำหรับสาวพลัสไซน์ก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทานมื้อเทียงแล้วรีบกลับมาทำงานให้ทันช่วงบ่าย
ช่วงเย็นหลังจากเลิกงานเหมือนฝันก็เก็บอุปกรณ์เข้าที่โดยไม่ลืมหยิบแผ่นกระดาษรายการลูกชิ้นปิ้งจากพี่ๆ ในทีมมาด้วยเหมือนฝันขับรถสองล้อคู่ใจกลับมาบ้านหลังเล็กที่เธอเก็บเงินดาวน์และผ่อนเองมาตั้งแต่สมัยเรียนปีสองซึ่งอีกไม่กี่เดือนเธอก็จะจ่ายมันหมดแล้วตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนฝันก็กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว พ่อเสียชีวิตด้วยโรคร้ายแบบกะทันหัน ส่วนแม่เองต้องผ่าตัดกระดูกสันหลังเลยไม่สามารถทำงานหนัก ๆ ได้อาชีพที่ท่านพอจะทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระคนในครอบครัวคือการปิ้งลูกชิ้นขายช่วงเย็นเท่านั้น ทว่าน้ำจิ้มรสเด็ดกลับทำให้ลูกค้าติดใจจนต้องมาต่อคิวยาว“มาแม่ เดี๋ยวฝันช่วย”แย่งตะกร้าใบเล็กในมือจากแม่มาแล้วจับปิ้งบนเตาร้อนทันที เหลือบตามองบัตรคิวแล้วลูกค้าคนนี้เป็นคนสุดท้ายของวัน นั่นแสดงว่าขายเร็วจนหมดตั้งแต่หัวค่ำ“จะมาช่วยทำไม กลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ ขึ้นไปอาบน้ำกินข้าวแล้วพักผ่อนเถอะ วันนี้แม่ทำแกงพะแนงเนื้อของโปรดแกไว้ด้วยนะ”“ไม่ดีกว่าจ้ะ ช่วยแม่เก็บร้านเสร็จก่อนค่อยกิน อีกอย่างฝันไม่ชอบกินข้าวคนเดียวมันไม่อร่อย” ปากพูดมือก็ง่วนอยู่กับการพลิกลูกชิ้นในมือไปมาหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินไปแ
“แม่! ลูกชิ้นปิ้งของพี่ที่ทำงานฝันสั่งเอาไว้เสร็จหรือยัง”รุ่งเช้าของอีกวันเหมือนฝันแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องครัวซึ่งมีอนุชกำลังยืนเสียบลูกชิ้นสำหรับเตรียมขายเย็นนี้“เสร็จแล้ว แม่แยกเป็นชุดวางไว้บนโต๊ะกับข้าวนั่นไง”“แล้วแม่ปิ้งเผื่อฝันไหม” เหมือนฝันเดินเข้าไปโอบกอดเอาคางเกยไหล่ออดอ้อนคนเป็นแม่ราวกับเป็นเด็กน้อยอนุชวางไม้เสียบลูกชิ้นในมือแล้วหันกลับมา “เผื่อสิ แม่รู้ว่าแกต้องถามหาอยู่แล้วก็เลยปิ้งไส้กรอกลมควันกับเอ็นหมูไว้ให้“”แล้วกินทุกวันไม่เบื่อหรือไง” เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง“จะเบื่อได้ยังไงน้ำจิ้มของแม่อร่อยขนาดนี้ งั้นฝันไปทำงานก่อนนะ”พูดจบร่างอวบก็ก้มลงไปหอมแก้มแม่ซ้ายขวาก่อนจะเหลือบไปเห็นทอรุ้งเดินลงมาจากด้านบนพอดี“พี่ฝัน รุ้งขอติดรถไปลงหน้าปากซอยหน่อยสิ” ยกมือป้องปากหาวขณะเอ่ยพูดกับคนเป็นลูกผู้พี่“อือ ได้ดิ แล้วนั้นใต้ตาคล้ำเชียว ช่วงนี้นอนดึกบ่อยทำอะไรไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน”“อ่านหนังสือเตรียมสอบค่ะ”เหมือนฝันย่นคิ้วเข้าหากัน“สอบ? สอบอะไร? แกเพิ่งเปิดเทอมได้อาทิตย์เดียวเอง”“สอบ TOPIKภาษาเกาหลีค่ะ” ทอรุ้งเขยิบเข้าไปกระซิบข้างหู เหมือนฝันเพื่อให้ได้ยินกันสองคนแล
แฟ้มเอกสารสีดำนับสิบถูกขนมากองไว้บนโต๊ะทำงานของประธานบริษัทคนใหม่ของ Wind Thai จำกัด สาวหน้าหวานผมยาวปะบ่าสวมชุดสูทกระโปรงสีดำยืนประหม่าอยู่ฝั่งตรงข้ามเลขานุการ นั้นคือตำแหน่งของเธอซึ่งถูกปรับเปลี่ยนจากแผนกบัญชีเมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อมาเป็นผู้ช่วยของประธานบริษัทคนใหม่ ตอนได้ยินว่าเขาหน้าตาหล่อ สูงจนต้องหารูปถ่ายมาดูเธอเองก็ดีใจจนเนื้อเต้นทว่า...ตอนนี้กลับคิดผิดถนัดเพราะความหล่อมันช่างตรงกันข้ามกับบุคลิกเสียจริง รู้สึกเย็นสันหลังวาบทุกครั้งเมื่อเขาเหลือบมองมา“คุณวายุครับ นี่คุณเอนจอยเป็นเลขาฯ ที่จะมาช่วยงานคุณวายุครับ”ชินมัยเอ่ยแนะนำเลขาฯคนใหม่เพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดในห้องทำงานนิสัยเย็นชาแบบนี้ลำพังตัวเขาไม่เท่าไรหรอกเพราะรู้สึกชินกับมาดขรึมของคนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสมัยเรียนมัธยมจึงรู้จักนิสัยของวายุเป็นอย่างดี“สวัสดีค่ะ คุณวายุ”เอนจอยรีบยกมือขึ้นไหว้แม้อีกฝ่ายจะมีอายุน้อยกว่าแต่ว่าตำแหน่งกลับสูงกว่าหลายเท่านัก“อืม ผมฝากงานด้วยแล้วกันนะ”พูดเสียงเรียบปราศจากรอยิ้มพลางหยิบแฟ้มเอกสารย้อนหลังของบริษัทมาเปิดดูเพื่อศึกษาอีกครั้งหลังจากก่อนหน้านี้เคยให้ชินมันถ่ายเอกสารส่งไปให
แฟ้มเอกสารสีดำนับสิบถูกขนมากองไว้บนโต๊ะทำงานของประธานบริษัทคนใหม่ของ Wind Thai จำกัด สาวหน้าหวานผมยาวปะบ่าสวมชุดสูทกระโปรงสีดำยืนประหม่าอยู่ฝั่งตรงข้ามเลขานุการ นั้นคือตำแหน่งของเธอซึ่งถูกปรับเปลี่ยนจากแผนกบัญชีเมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อมาเป็นผู้ช่วยของประธานบริษัทคนใหม่ ตอนได้ยินว่าเขาหน้าตาหล่อ สูงจนต้องหารูปถ่ายมาดูเธอเองก็ดีใจจนเนื้อเต้นทว่า...ตอนนี้กลับคิดผิดถนัดเพราะความหล่อมันช่างตรงกันข้ามกับบุคลิกเสียจริง รู้สึกเย็นสันหลังวาบทุกครั้งเมื่อเขาเหลือบมองมา“คุณวายุครับ นี่คุณเอนจอยเป็นเลขาฯ ที่จะมาช่วยงานคุณวายุครับ”ชินมัยเอ่ยแนะนำเลขาฯคนใหม่เพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดในห้องทำงานนิสัยเย็นชาแบบนี้ลำพังตัวเขาไม่เท่าไรหรอกเพราะรู้สึกชินกับมาดขรึมของคนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสมัยเรียนมัธยมจึงรู้จักนิสัยของวายุเป็นอย่างดี“สวัสดีค่ะ คุณวายุ”เอนจอยรีบยกมือขึ้นไหว้แม้อีกฝ่ายจะมีอายุน้อยกว่าแต่ว่าตำแหน่งกลับสูงกว่าหลายเท่านัก“อืม ผมฝากงานด้วยแล้วกันนะ”พูดเสียงเรียบปราศจากรอยิ้มพลางหยิบแฟ้มเอกสารย้อนหลังของบริษัทมาเปิดดูเพื่อศึกษาอีกครั้งหลังจากก่อนหน้านี้เคยให้ชินมันถ่ายเอกสารส่งไปให
“แม่! ลูกชิ้นปิ้งของพี่ที่ทำงานฝันสั่งเอาไว้เสร็จหรือยัง”รุ่งเช้าของอีกวันเหมือนฝันแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องครัวซึ่งมีอนุชกำลังยืนเสียบลูกชิ้นสำหรับเตรียมขายเย็นนี้“เสร็จแล้ว แม่แยกเป็นชุดวางไว้บนโต๊ะกับข้าวนั่นไง”“แล้วแม่ปิ้งเผื่อฝันไหม” เหมือนฝันเดินเข้าไปโอบกอดเอาคางเกยไหล่ออดอ้อนคนเป็นแม่ราวกับเป็นเด็กน้อยอนุชวางไม้เสียบลูกชิ้นในมือแล้วหันกลับมา “เผื่อสิ แม่รู้ว่าแกต้องถามหาอยู่แล้วก็เลยปิ้งไส้กรอกลมควันกับเอ็นหมูไว้ให้“”แล้วกินทุกวันไม่เบื่อหรือไง” เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง“จะเบื่อได้ยังไงน้ำจิ้มของแม่อร่อยขนาดนี้ งั้นฝันไปทำงานก่อนนะ”พูดจบร่างอวบก็ก้มลงไปหอมแก้มแม่ซ้ายขวาก่อนจะเหลือบไปเห็นทอรุ้งเดินลงมาจากด้านบนพอดี“พี่ฝัน รุ้งขอติดรถไปลงหน้าปากซอยหน่อยสิ” ยกมือป้องปากหาวขณะเอ่ยพูดกับคนเป็นลูกผู้พี่“อือ ได้ดิ แล้วนั้นใต้ตาคล้ำเชียว ช่วงนี้นอนดึกบ่อยทำอะไรไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน”“อ่านหนังสือเตรียมสอบค่ะ”เหมือนฝันย่นคิ้วเข้าหากัน“สอบ? สอบอะไร? แกเพิ่งเปิดเทอมได้อาทิตย์เดียวเอง”“สอบ TOPIKภาษาเกาหลีค่ะ” ทอรุ้งเขยิบเข้าไปกระซิบข้างหู เหมือนฝันเพื่อให้ได้ยินกันสองคนแล
ช่วงเย็นหลังจากเลิกงานเหมือนฝันก็เก็บอุปกรณ์เข้าที่โดยไม่ลืมหยิบแผ่นกระดาษรายการลูกชิ้นปิ้งจากพี่ๆ ในทีมมาด้วยเหมือนฝันขับรถสองล้อคู่ใจกลับมาบ้านหลังเล็กที่เธอเก็บเงินดาวน์และผ่อนเองมาตั้งแต่สมัยเรียนปีสองซึ่งอีกไม่กี่เดือนเธอก็จะจ่ายมันหมดแล้วตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนฝันก็กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว พ่อเสียชีวิตด้วยโรคร้ายแบบกะทันหัน ส่วนแม่เองต้องผ่าตัดกระดูกสันหลังเลยไม่สามารถทำงานหนัก ๆ ได้อาชีพที่ท่านพอจะทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระคนในครอบครัวคือการปิ้งลูกชิ้นขายช่วงเย็นเท่านั้น ทว่าน้ำจิ้มรสเด็ดกลับทำให้ลูกค้าติดใจจนต้องมาต่อคิวยาว“มาแม่ เดี๋ยวฝันช่วย”แย่งตะกร้าใบเล็กในมือจากแม่มาแล้วจับปิ้งบนเตาร้อนทันที เหลือบตามองบัตรคิวแล้วลูกค้าคนนี้เป็นคนสุดท้ายของวัน นั่นแสดงว่าขายเร็วจนหมดตั้งแต่หัวค่ำ“จะมาช่วยทำไม กลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ ขึ้นไปอาบน้ำกินข้าวแล้วพักผ่อนเถอะ วันนี้แม่ทำแกงพะแนงเนื้อของโปรดแกไว้ด้วยนะ”“ไม่ดีกว่าจ้ะ ช่วยแม่เก็บร้านเสร็จก่อนค่อยกิน อีกอย่างฝันไม่ชอบกินข้าวคนเดียวมันไม่อร่อย” ปากพูดมือก็ง่วนอยู่กับการพลิกลูกชิ้นในมือไปมาหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินไปแ
“ฝัน! ไม่กินข้าวก่อนเหรอลูก”“ไม่อ่าแม่ สายแล้ว เดี๋ยวฝันไปทำงานไม่ทัน”เหมือนฝันตะโกนตอบคนเป็นแม่พร้อมกับก้าวขาขึ้นค่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจส่วนมือก็ประวิงกับการสวมหมวกกันน็อคสีชมพูหวานก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วบิดออกไปอนุชชะเง้อมองตามร่างลูกสาวคนเล็กของบ้านแล้วส่ายหัวไปมาปีนี้เหมือนฝันอายุ 28 ปีแล้ว ทว่าเจ้าตัวยังกระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลกอยู่เลยแล้วแบบนี้จะได้แต่งงานออกเหย้าออกเรือนเหมือนพี่สาวเมื่อไร“อ้าว! นังนี่ก็อีกคน ตื่นสายเหมือนกันเหรอ”บ่นลูกสาวเสร็จอนุชก็หันไปเจอกับหลานสาวซึ่งกำลังเดินย่องลงบันไดบ้านเพื่อไปโรงเรียน“แฮ ๆ รุ้งไปเรียนก่อนนะป้า” พูดจบทอรุ้งก็วิ่งปรูดออกจากบ้านไปทันที ขืนชักช้ากว่านี้คงถูกคนเป็นป้าบ่นจนหูชาแน่นอน“พอกันทั้งลูกทั้งหลานก็พากันตื่นสาย”ทอรุ้งเป็นลูกของน้องสาวเธอซึ่งตายไปตั้งแต่เด็กสาวยังเด็กส่วนพ่อของมันก็ไปมีเมียใหม่ไม่มาดูดำดูดีลูกในใส้เลยสักครั้ง ด้วยความสงสารอนุชจึงรับมาเลี้ยงเพราะถึงอย่างไรแล้วก็เป็นสายเลือดเดียวกันบ้านหลังนี้เมื่อก่อนอยู่กันสี่คนซึ่งล้วนเป็นผู้หญิงทั้งหมด ทว่าลูกสาวคนโตของเธอได้แต่งงานไปเมื่อสองปีที่แล้ว ยามนี้บ้านหลังเล็กจึงเ