บทที่ 5 ย้อนกลับมาอีกครั้ง
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
"นี่ฉันเคาะประตูเรียกตั้งนานแล้วหูหนวกหรือไงทำไมไม่ลุกสักที จะรอให้ตะวันขึ้นตรงกลางหัวก่อนหรือไงถึงจะลุกได้นะ" เสียงของซูเจี้ยนดังอยู่ด้านนอกห้องอย่างเอะอะโวยวาย เฟิงมี่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงรบกวน
'เอ๊ะ!ฉันตายไปแล้วไม่ใช่หรือไงกัน ทำไมยังได้ยินเสียงของแม่สามีอยู่ล่ะ และทำไมรู้ถึงการเต้นของหัวใจอยู่เลยหรือว่าฉันจะได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง' เฟิงมี่คิดในใจก่อนจะลืมตากวาดมองรอบ ๆ ห้องนี่ห้องเก็บของที่เธอเคยอยู่นี่หน่า เธอรีบหันมองเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ครั้นนั้นเฟิงมี่รู้สึกดีใจจนมิอาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เธอใช้มือลูบใบหน้าของลูกสาวที่นอนหลับอยู่
“ขอบคุณสวรรค์ที่ให้ฉันกลับมาหาฮว๋าเย่อีกครั้ง ขอบคุณจริง ๆ ถ้าฉันตายไปทั้งแบบนั้นจริง ๆ ไม่รู้เลยว่าฮว๋าเย่จะเป็นอย่างไรชีวิตของเธอต้องพบเจอกับคนชั่วช้าอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความดีมิอาจจะทำให้คนเปลี่ยนใจได้ ต่อจากนี้ฉันจะปกป้องลูกสาวของฉันเอง จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายได้แม้กระทั่งแม่สามี” เฟิงมี่เอ่ยออกมาอย่างจริงจังหากเธอยังอ่อนแอไม่ว่าจะมีโอกาสอีกกี่ครั้งเธอคงจะต้องตายด้วยมือคนชั่วทุกครั้งไป และสิ่งหนึ่งที่เธอแน่ใจชายคนนั้นน่าจะเป็นชู้รักของสะใภ้ใหญ่ซูหรงแน่นอนหากไม่เป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ตามมาทำร้ายเธอแน่นอน
“นี่นังเฟิงมี่แกจะหาเรื่องฉันใช่มั้ย ? แกรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าทำให้ฉันโมโหแล้วจะเกิดอะไรขึ้น รีบลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้หลานชายของฉันกินได้แล้ว ถ้ายังไม่ออกมาฉันจะพังประตูเข้าไปได้ยินมั้ย ห่ะ!!!” เสียงของซูเจี้ยนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เฟิงมี่ปาดน้ำตา ค่อย ๆ ขยับหัวของฮว๋าเย่ให้นอนลงที่เตียงนอนก่อนที่เธอจะลุกขึ้นมาเปิดประตูให้นังแก่ใจร้ายไส้ระกำ
แอ้ด !!
“นี่ !! จะเรียกอะไรนักหนา น่ารำคาญจริง ๆ ” เฟิงมี่เอ่ยถามแม่สามีด้วยท่าทางรำคาญทำให้คนที่ถูกถามถึงกับยืนอึ้งไม่คิดว่าสะใภ้เล็กจะกล้าเถียงเธอ
“นี่แกเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!! ถึงไม่รู้หน้าที่ตัวเองตะวันสูงโด่งขนาดนี้จะรอให้หลานฉันหิวจนเจ็บท้องหรือไงกันรีบออกไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้” เฟิงมี่จ้องมองใบหน้าของซูเจี้ยนพลางกอดอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม
“ใครอยากกินก็ไปทำเองสิ มีมือมีตีนเหมือนกันอีกอย่างฉันเป็นสะใภ้เล็กไม่ใช่ขี้ข้าของใคร หย่งอี้เองก็มีแม่เหมือนกันทำไมไม่ให้ซูหรงสะใภ้ใหญ่ทำเองล่ะ หรือว่าทำไม่เป็นช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ วัน ๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่แต่งสวยแต่งงาม ผลาญเงินเป็นว่าเล่น ถ้าอยากให้หย่งอี้กินและไม่อยากให้เจ็บท้องคุณแม่ก็ทำเองสิคะ หลีกไปฉันจะปิดประตูและอย่ามาเสียงดังเอะอะโวยวายอีกตอนนี้ฮว๋าเย่ของฉันยังนอนอยู่ ”
“นี่ ..นี่แกนังเฟิงมี่แกกินยาลืมเขย่าขวดหรือไงกัน ถึงได้ต่อล้อต่อเถียงฉันอย่างนี้วันนี้ถ้าแกไม่ออกไปทำกับข้าว ฉันจะทำให้เลือดหัวแกออกเลยคอยดู” ซูเจี้ยนสั่นเทาด้วยความโกรธหันซ้ายหันขวามองหาอุปกรณ์ที่จะมาตีเฟิงมี่ หากเป็นเมื่อก่อนเฟิงมี่คงกลัวและรีบไปทำตามที่แม่สามีต้องการ แต่ทว่าตอนนี้เธอไม่มีความกลัวอย่างนั้นอีกแล้ว มีสิ่งเดียวที่เธอกลัวคือการตายจากลูกที่ยังเล็ก ๆ นี่ต่างหาก
“เอาสิคะ ฟาดลงมาที่หัวนี่นะคะ ฉันจะได้ไปแจ้งความว่าแม่สามีทำร้ายหวังเอาชีวิต คนทั้งมณฑลคงเล่าขานกันไปทั่ว จริงสิพี่ไคฉี่เป็นนายอำเภอใช่มั้ย ? อื้ม..เรื่องนี้จะกระทบหน้าที่การงานมั้ยนะ..” เฟิงมี่ยืนกอดกยกมือข้างขวาขึ้นมาชี้ที่ขมับของตัวเองแสร้งครุ่นคิดเรื่องนี้ ยิ่งทำให้ซูเจี้ยนไม่พอใจ
“อ๊ายยยย! แกมันร้ายอย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาแกมันแค่แสร้งทำเป็นอ่อนแอที่แท้ก็มารยานี่เอง เรื่องแกมีชู้คงเป็นเรื่องจริงสินะ”
“ใช่ค่ะ ที่ผ่านมาฉันอ่อนแอและมองโลกในแง่ดีเกินไป ฉันคิดว่าความดีจะทำให้คุณแม่เปลี่ยนไป แต่เปล่าเลยเพราะจิตใจที่มืดบอดไร้จริยธรรมของคุณแม่มันทำให้ฉันเปลี่ยนไป ส่วนเรื่องมีชู้นะฉันมั่นใจว่าฉันไม่เคยทำตัวต่ำช้าอย่างที่พี่สะใภ้ใหญ่เป่าหูคุณแม่หรอกนะคะ คุณแม่เคยเห็นฉันออกไปจากบ้านหรือออกไปพบใครหรือไงถึงเชื่อว่าฉันมีชู้ คิดดี ๆ สินะว่าตั้งแต่ฉันคลอดฮว๋าเย่ฉันเคยออกจากที่นี่หรือเปล่า ต่างจากอีกคนที่พูดจาใส่ร้ายฉันแถมยังแต่งตัวสวยออกจากบ้านทุกวันนะ” ซูเจี้ยนอ้าปากค้างเพราะทั้งหมดที่เธอพูดมาล้วนเป็นความจริง เธอไม่เคยให้เฟิงมี่ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเธออาจจะมีก่อนที่จะแต่งงานกับลูกชายฉันก็ได้ เพราะอยากให้ลูกมาใช้ชีวิตอยู่สุขสบายมีหน้ามีตาในสังคมเลยหวังจับลูกชายของฉันนะสิ ”
“เฮ้อ ! พูดกับคนที่ปิดหูปิดตาแถมยังจิตใจพิการฉันไม่อยากจะสนทนาด้วยสักนิด ”
“แกมันจองหองนักน่ะวันนี้ฉันจะต้องจัดการตบให้เลือดกลบปากให้มันรู้ไปซ่ะบ้างว่าไม่ควรจะมาต่อปากต่อคำกับฉันแบบนี้” ซูเจี้ยนกัดฟันเสียงดังกรอดด้วยความเกรี้ยวโกรธ ง้างมือที่อวบใหญ่หวังตบเข้าที่ใบหน้าของเฟิงมี่ หากเป็นเมื่อก่อนเฟิงมี่คงหลับตารอรับการกระทำที่โหดร้ายของแม่สามีและไม่กล้าสู้
มับ!!
เฟิงมี่ยกมือขึ้นจับข้อมือของซูเจี้ยนเอาไว้แน่นจนเกิดรอยแดงและบีบแรงขึ้นมากกว่าเดิมให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าการทำคนอื่นเจ็บความรู้สึกของคนที่ถูกกระทำเป็นอย่างไร
“โอ๊ย !! ปล่อยนะนังบ้าเฟิงมี่ แกมันเป็นหมาบ้าไปแล้วแน่ ๆ” เฟิงมี่ไม่ได้โกรธแถมยังแสยะยิ้มออกมาก่อนจะปล่อยมือออกจากแขนของซูเจี้ยนพร้อมดันข้อมือของเธอเพียงเล็กน้อยแต่ทว่ากลับทำให้ร่างใหญ่อ้วนท้วมของซูเจี้ยนล้มลงกระแทกพื้น
ตุ๊บ !!
“โอ๊ยยย!! สะใภ้ใหญ่อยู่แถวนี้มั้ย ?ช่วยฉันด้วยฉันจะถูกนังหมาบ้าเฟิงมี่ฆ่าแล้ว”
“ฮึ ! ฉันนะหรือคะที่จะฆ่าคุณแม่ เมื่อครู่ไม่ใช่คุณแม่หรอกหรือคะที่บอกให้ฉันปล่อย อะไรกันคนแก่ใกล้จะลงโลงทำไมถึงเอาใจยากอย่างนี้นะ ” เฟิงมี่พูดพร้อมส่งยิ้มยียวนกวนประสาทให้ซูเจี้ยนที่เจ็บก้นกบนั่งอยู่ที่พื้น
ครั้นนั้นเองฮว๋าเย่ตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่หน้าห้อง เธอเดินออกมาเอ่ยถามคุณแม่ด้วยความสงสัย
“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นคะ ” เฟิงมี่หันไปมองตามเสียงรีบเปลี่ยนสีหน้าทันที
“ฮว๋าเย่ตื่นแล้วหรือ? พอดีคุณย่าล้มแล้วแม่จะเข้าไปช่วยนะ แต่คุณย่านะสิดื้อยิ่งกว่าเด็กไม่ยอมให้แม่ช่วย ในเมื่อลูกตื่นแล้วก็ดีเรากลับไปอยู่ที่ห้องเดิมกันเถอะ คุณแม่คะต่อจากนี้ฉันจะกลับไปอยู่ที่ห้องเดิม และต่อจากนี้ฉันกับลูกจะกลับไปใช้ชีวิตสุขสบายให้สมกับเป็นสะใภ้เล็กของตระกูลมู่ด้วย ”
“ใครอนุญาตให้แกกลับเข้าไปบ้านหลังใหญ่กัน คนอย่างแกนะเหมาะสมกับห้องเก็บของที่สุดแล้ว” ซูเจี้ยนเจ็บทั้งใจเจ็บทั้งกายรีบพยุงตัวเองลุกขึ้นเพื่อกีดกันไม่ให้เฟิงมี่ทำตามใจตัวเอง
“ที่ฉันพูดไม่ได้ขออนุญาตแค่บอกให้รู้เท่านั้นเอง ฮว๋าเย่ไปกันเถอะถ้าคุณย่าบอกว่าที่นี่เหมาะกับเรา อย่างนั้นคุณแม่ลองอยู่ในห้องนี่ดูมั้ยคะ” พูดจบเฟิงมี่จับตัวของซูเจี้ยนโยนเข้าห้องเก็บของพร้อมล็อคจากด้านนอกทันที
“กรี๊ด ๆ ๆ แกนังเฟิงมี่เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ !! อ๊ายยนั่นมันหนูไม่ใช่หรือไง กรี๊ด ๆ ๆ นังเฟิงมี่อย่าให้ฉันออกไปได้นะฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด ” เสียงกรี๊ดร้องของซูเจี้ยนดังออกมาต่อเนื่องเพราะห้องเก็บของเต็มไปด้วยของและหนูแมลงสาบ ต่อให้ทำความสะอาดดีแค่ไหนก็ยังคงมีสัตว์พวกนี้อยู่ดี อีกทั้งกลิ่นห้องที่เหม็นอับชื้นทำให้ซูเจี้ยนแทบหายใจไม่ออกใช้มือทุบประตูห้องอยู่ไม่หยุด
“คุณแม่คะทำแบบนี้คุณย่าจะไม่โกรธเรามากกว่าเดิมเหรอคะ ”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก ขนาดเรายังอยู่ได้เลยทำไมคุณย่าจะอยู่ไม่ได้ล่ะ เราไปกันเถอะแม่จะพาฮว๋าเย่กลับไปสู่ที่เดิมที่เราสมควรจะได้อยู่ไม่ใช่กาฝากพวกนั้น ” เฟิงมี่จับมือน้อย ๆ ของฮว๋าเย่เดินไปที่บ้านหลังใหญ่โดยไม่สนใจเสียงร้องของซูเจี้ยนแม้แต่น้อย
บทที่ 6 ทวงคืนทุกอย่างเฟิงมี่พาฮว๋าเย่เดินเข้ามาที่บ้านหลังใหญ่เห็นพี่สะใภ้นั่งจไขว่ห้างจิบน้ำชาอย่างสบายใจ เฟิงมี่ครุ่นคิดเธอคงย้อนกลับมาก่อนวันที่เธอจะถูกฆ่าตายสินะ พี่สะใภ้ไม่ทำงานทำการอะไรแต่ก็ไม่เคยถูกซูเจี้ยนต่อว่าเลยสักครั้ง คงเป็นเพราะเธอมาจากตระกูลที่ดีกว่าเฟิงมี่แต่ทว่านิสัยกลับต่ำทรามยิ่งกว่า เมื่อซูหรงเห็นเฟิงมี่เดินเข้ามาในบ้านเธอวางแก้วชาลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหาด้วยความสงสัย"นี่นังเฟิงมี่ คุณแม่ไม่ได้ไปตามแกไปทำกับข้าวให้หย่งอี้กินหรือไง ไหนล่ะกับข้าว ถ้าไม่มีก็ออกไปอย่ามาให้เห็นหน้ากลิ่นตัวของแกโชยออกมาจนฉันแสบจมูกไปหมด " เธอแสดงท่าทางรังเกียจเฟิงมี่อย่างเห็นได้ชัด เฟิงมี่หมั่นไส้ท่าทีของซูหรงเหลือและนึกแค้นเพราะความมักมากในกิเลสตัณหาทำให้เธอต้องตายอย่างไร้ความยุติธรรม เฟิงมี่ปล่อยมือออกจากมือของฮว๋าเย่พร้อมเดินเข้าไปใกล้แสยะยิ้มมุมปากโอบคอของซูหรงแน่นใบหน้าของเธอซีดเซียวพร้อมเอะอะโวงยวายไม่พอใจเสียงดังลั่นบ้าน"กรี๊ดดด!! ปล่อยนะอี้..สกปรกใครบอกให้แกมากอดฉันแบบนี้""อะไรกันคะพี่สะใภ้ ฉันดมดูทั้งตัวกลิ่นของฉันกับกลิ่นของพี่สะใภ้ไม่ต่างกันสักนิด ดมกลิ่นฉันไ
บทที่ 7 อย่าให้ได้ร้ายเฟิงมี่เดินลงมาเห็นซูเจี้ยนรีบเดินเข้าใบหน้าเป็นกังวลเมื่อเห็นเธอเดินลงมาพร้อมกับยกกล่องลังลงมาด้วย เหงื่อบนใบหน้าเริ่มแตกพลั่ก“รีบร้อนเดินเข้ามาคงไม่ใช่ว่าเพราะกล่องนี่หรอกใช่มั้ยคะ”“นี่ ๆ อย่าบอกนะว่าแกเปิดอ่านด้านในจดหมดแล้วนะ”โคร้ม!! ตุบ!!เฟิงมี่โยนกล่องจดหมายลงต่อหน้าซูเจี้ยนอย่างไม่เกรงใจเพราะที่ผ่านมาเธอกับลูกถูกกระทำมามากพอแล้ว ต่อจากนี้เธอจะไม่ยอมเสียเปรียบแม่สามีเฮงซวยแบบนี้อีกต่อไป“ใช่ฉันอ่านหมดแล้ว ไหนล่ะเงินเดือนที่สามีของฉันส่งมาให้ จะให้ดี ๆ หรือจะให้ฉันเอาเรื่องนี้ไปแจ้งทางการ ดีเหมือนกันฉันจะได้ทั้งเงินสามีที่ส่งมาให้ไหนจะได้ค่าแรงที่ทำงานในบ้านหลังนี้เหมือนขี้ข้า " เฟิงมี่ยืนค้ำเอวยกมือข้างขวายื่นออกมาด้านหน้าก่อนจะแบมันออกเพื่อรอเงินจากซูเจี้ยน“นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ แกกล้าทวงและข่มขู่คุณแม่อย่างนี้ได้ยังไงกัน คุณแม่อย่าไปยอมนะคะที่ผ่านมานังเฟิงมี่กับลูกก็กินอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ข้าวกับกับข้าวใช่ว่าจะได้มาฟรี ๆ เสียหน่อย”“หุบปากเสีย ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ไปซ่ะฉันไม่อยากได้ยิน ที่จริงสมควรเป็นฉันที่ได้เงินมากกว่าคนอื่นที่ไม่ทำงานทำการอะไรเลย จ
บทที่ 8 เปลี่ยนแปลงฝั่งด้านซูหรงเธอเดินจากหลังสามีมาที่โต๊ะกินข้าวตอนนี้ไม่มีอะไรให้เขากินสักอย่างเพราะปกติจะเป็นเฟิงมี่ที่เป็นคนทำทุกอย่าง แต่เธอกลับบอกว่าเป็นฝีมือของตัวเอง"จะจ้องฉันไปถึงเมื่อไหร่ไปยกข้าวมาสิ อย่าลืมห่อใส่ปิ่นโตไปด้วย ""เอ่อ..คือว่า..""จะอ้ำอึ้งทำไมปกติเธอเป็นคนที่ฉะฉานตลอดหรือว่าเรื่องที่ฉันยินมาจากน้องสะใภ้เป็นความจริงว่างานในบ้านเป็นฝีมือของเฟิงมี่ทั้งหมด อย่าบอกนะว่าที่ผ่านเธอโกหกฉันนะซูหรง ""เอ่อ..พี่ไคฉีฟังฉันก่อนนะ พอดีว่าวันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมอาหารให้พี่ไม่ทัน วันนี้พี่ออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารได้มั้ยคะ" ใบหน้าของซูหรงเหงื่อแตกพลั่กหลบสายตาไคฉีกลัวว่าเขาจะจับได้ ไคฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้"คงจะเป็นอย่างที่น้องสะใภ้พูดสินะฉันผิดหวังกับเธอจริง ๆ อีกเรื่องช่วยจัดการให้หย่งอี้รู้จักตื่นแต่เช้าและทำหน้าที่ของตัวเองด้วยไม่ใช่ทำตัวเหมือนแม่ที่ไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ”ซูหรงกำมือแน่นด้วยความโมโหแต่ไม่สามารถแสดงอาการให้สามีเห็นได้ทำได้เพียงยืนขึ้นและก้มหัวรับคำสั่งของเขา มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป“หึ! ตอนนี้ฉันจะทนให
บทที่ 9 เป่าหูฝั่งด้านซูหรงเธอเดินกลับปาหาแม่สามีเห็นเธอแสดงสีหน้าไม่พอใจคงมีเรื่องเดียวคงเป็นเรื่องของเฟิงมี่ เธอรีบเข้าไปเป่าหูและใส่ให้แม่สามีเกลียดเฟิงมี่มากกว่าเดิม“คุณแม่คะวันนี้นังเฟิงมี่มันทำเกินไปนะคะ เพราะมันคนเดียวเลยทำให้พี่ไคฉีต่อว่าฉัน ฉันไม่เจ็บปวดหรอกค่ะแต่พี่ไคฉีต่อว่าหย่งอี้หลานชายของคุณแม่ด้วย ดูสิคะเด็กตัวเล็ก ๆ ยังถูกมันทำให้พี่ไคฉีด่าได้” ซูหรงแสรงทำเป็นเสียใจซูเจี้ยนได้ยินเธอยิ่งไม่พอใจ ที่เฟิงมี่ทำให้หลายชายสุดที่รักถูกคนเป็นพ่อต่อว่า“อะไรกัน!! นังเฟิงมี่นี่มันร้ายจริง ๆ ไม่ได้การแล้วฉันจะต้องอะไรสักอย่าง กล้าดียังไงถึงทำให้ไคฉีมาต่อว่าหย่งอี้ของฉัน ตอนนี้หย่งอี้คงหิวแล้วสินะ เธอช่วยไปเรียกลงมาด้านล่างที ฉันจะเข้าครัวทำอาหารให้หย่งอี้เอง เด็กกำลังโตต้องกินเยอะ ๆ นอนให้เพียงพอ ส่วนเรื่องนังเฟิงมี่กลับมาเมื่อไหร่ฉันจะกำราบเอง”“ได้ค่ะคุณแม่ จริงสิวันนี้ฉันจะออกไปเลือกซื้อของที่พี่ไคฉีชอบที่ตลาดนะคะ เมื่อเช้าพี่ไคฉีดูอารมณ์ไม่ดีเลย”“ดี ๆ เลือกซื้อของที่ดีต่อสุขภาพอย่าลืมซื้อขนมมาฝากหย่งอี้ด้วยล่ะ วันนี้สายแล้วคงไปเรียนไม่ทัน เอาไว้ค่อยไปพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เรื่
บทที่ 10 อย่าคิดว่าจะยอมโดนทำฝ่ายเดียวหลังจากที่พาฮว๋าเย่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเฟิงมี่ได้ให้ลูกสาวตัวน้อยนอนพักกลางวันส่วนตัวเธอเองก็จัดการเก็บเสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่วันนี้ ระหว่างนั้นก็คิดหาหนทางรับมือจากซูหรงและชู้ของเธอ'จะทำยังไงดีนะ ฉันถึงจะรู้ว่าซูหรงมีแผนการอะไร? ทำยังไงฉันถึงจะปลอดภัยจากทั้งสองคนนี้ได้ แล้วเมื่อไหร่ที่หลวนหลงจะกลับมาฉันกับฮว๋าเย่จะได้ปลอดภัยเสียที แต่ทว่าเขากลับมาแล้วเชื่อฟังแม่ของเขาฉันเองจะพาฮว๋าเย่ออกจากบ้านหลังนี้ทันที ' เมื่อเธอจัดการเก็บเสื้อผ้าเสร็จจึงเดินไปทางหน้าต่างเห็นว่าตอนนี้ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงมากแล้ว เธอเลยเดินลงมาด้านล่างเพื่อทำอาหารให้ฮว๋าเย่กินตอนนั้นนั่นเองซูเจี้ยนกำลังนั่งจิบชาอยู่เห็นสะใภ้เล็กเดินลงมาจากชั้นบนเธอกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าเห็นว่าเฟิงมี่สะใภ้เล็กเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวจนแทบไม่เหมือนเดิม เธอไม่พอใจรีบวางแก้วชาลงพร้อมจิปากตำหนิออกมา"ฮึ ฮึ ว่าแต่สะใภ้ของฉันแกเองก็ไม่เห็นจะต่างเลย มีเงินเข้าหน่อยก็เอาไปแต่งตัวซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่แต่งตัวรัดรูปแบบนี้ตั้งใจจะไปให้ชู้ของแกดูสินะ เมื่อไหร่ลูกชายของฉันจะเลิกโง่เสียทีนะ ตาสว่างไ
บทที่ 1 นังเด็กกาฝากณ.มณฑลเจิ้งไฉตระกูลมู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑลแห่งนี้ มู่ซูเจี้ยนผู้ที่เลี้ยงลูกมาตามลำพังหลังจากสามีตาย เธอเป็นแม่หม้ายที่สุขสบายเลยทีเดียวเธอมีลูกชายอยู่สองคน คนโตมีหน้าที่การงานเป็นนายอำเภอมีภรรยาและลูกชายที่น่ารัก เขามีชื่อว่ามู่ไคฉี ภรรยาที่เป็นสะใภ้ชื่อว่าซูหรงและลูกชายอายุ5 ขวบชื่อว่า หย่งอี้ เด็กชายคนนี้เกิดมาก็ได้ความรักจากคุณย่าเต็ม ๆ ต่างจาก ฮว๋าเย่ ลูกสาวของเฟิงมี่ภรรยาของลูกชายคนที่สองของตระกูล เพราะเธอมากจากตระกูลที่ยากจน ลูกชายของเธอมู่หลวนหลงได้รับราชการเป็นทหารและมียศเป็นถึงรองนายพลทำให้เธอไม่พอใจที่ลูกชายไปคว้าลูกสะใภ้บ้านนอกคนนี้มา ใจอคติของเธอคิดว่าหลานสาวตัวน้อยคนนี้ไม่ใช่หลานตัวเองจงเกลียดจงชังตั้งแต่ลืมตาขึ้นมามองโลกตอนนี้ฮว๋าเย่มีอายุน้อยกว่าหย่งอี้ 1 ปี แต่ทว่าความเฉลียวฉลาดพูดจาฉะฉานมากกว่าพี่ชายมากนักแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชื่นชอบ ซูหรงไม่อยากให้ลูกสาวของสะใภ้เล็กได้รับการยอมรับจากคนเป็นย่า จึงหาทางกลั่นแกล้งสารพัดทั้งพูดกรอกหูแม่สามีให้รังเกียจและเข้าใจผิดเฟิงมี่กับลูกอีกด้วย เนื่องจากหลังที่เฟิงมี่คลอดลูกสาวได้กี่เดือน หลวนหลงผู้
บทที่ 2 ลูกสะใภ้ตัวดีอีกฝั่งของบ้านสะใภ้ใหญ่ซูหรงเธอกำลังนั่งทาเล็บอย่างสบายใจเมื่อเห็นแม่สามีเดินมาจากหลังบ้านและสีหน้าไม่ดีจึงรีบเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น“วันนี้คุณแม่เป็นอะไรแต่เช้าคะ หรือว่าเมื่อคืนฝันไม่ดี”“จะอะไรอีกล่ะก็นังสะใภ้รองตัวดีนะสิ ตะวันโด่งป่านนี้ยังไม่มาทำอาหารให้หย่งอี้ของฉัน ฉันไปตามที่ห้องเก็บของเห็นเธอนอนหลับสบาย หน้าด้านแสร้งว่าตัวเองไม่สบาย เฮอะ! คิดว่าฉันมองไม่ออกหรือไงว่านังเฟิงมี่แค่ขี้เกียจไม่อยากทำงานเลยเอาข้ออ้างว่าตัวเองไม่สบายมาเป็นข้ออ้าง”“แล้วคุณแม่ทำยังไงกับนังนั่นละคะ” ซูหรงปิดฝาขวดน้ำยาทาเล็บวางลงไว้พร้อมถามซูเจี้ยนต่อ“จะทำยังไงล่ะ ฉันก็บังคับให้มันมาทำอาหารให้หลานชายฉันนะสิ หย่งอี้ทนหิวอีกหน่อยนะหลานย่าแล้ววันนี้ย่าจะพาไปเดินเล่นที่ตลาดหลานอยากได้อะไรย่าจะซื้อให้ทุกอย่างเลย” ซูเจี้ยนพูดจาอ่อนลงจ้องมองเด็กชายที่นั่งเล่นของเล่นด้วยสายตาอ่อนโยน“จริงนะครับ ผมอยากได้รถของเล่นคุณย่าซื้อให้จริงๆ นะครับ”“แน่นอนสิ ย่าจะโกหกหลานรักของย่าทำไมกัน” เด็กชายรีบลุกขึ้นไปกอดคุณย่าด้วยความดีใจ ซูหรงที่มองอยู่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ความสุขของเธอคือ
บทที่ 3 ตาฝาดหลังจากที่ทุกคนออกจากบ้านเฟิงมี่พาฮว๋าเย่กลับห้องเก็บห้อง จัดการอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวร่างกายที่ไม่สบายแค่ถูกน้ำก็หนาวสั่นถึงกระดูก รอยผองแดงบนหน้าเริ่มปรากฏขึ้นเนื่องจากถูกความร้อนของผัดผัก ฮว๋าเย่สงสารแม่จับใจเด็กหญิงรีบไปหยิบเอายามาถือไว้รอทาให้แม่ เวลาผ่านไปสักพักหลังจากที่ทายาเสร็จเฟิงมี่กินยาและรีบไปทำงานบ้านให้เสร็จตัวเองจะได้มีเวลานอนพักสักงีบ จนกระทั่งเวลาบ่ายคล้อยเสียงของซูเจี้ยนดังขึ้นทำให้เฟิงมี่สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“นังเด็กชั่วช้า แม่ของแกไม่สั่งสอนหรือไงอิจฉาริษยาหย่งอี้ของฉันจนต้องขโมยของเล่นมาทำพังแบบนี้กันห่ะ” ฮว๋าเย่ยืนตัวสั่นเทาก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัวเธอไม่ได้ทำของเล่นของหย่งอี้พังและไม่เคยไปขโมยของเล่นที่คุณย่าซื้อให้หย่งอี้ด้วยซ้ำ"คุณย่าขาหนูไม่เคยไปขโมยของเล่นของพี่หย่งอี้เลยนะคะ แถมหนูยังไม่เคยเห็นของเล่นของพี่หย่งอี้ด้วยหนูไม่ได้ทำจริง ๆ อีกอย่างพี่หย่งอี้ต่างหากที่เดินมาหาหนูแล้วโยนความผิดทั้งหมดให้หนู""ไม่ใช่นะครับคุณย่า ผมไม่ได้ทำแบบนั้นนะครับฮว๋าเย่อิจฉาผมทำผิดไม่ยอมรับผิดแถมยังโยนความผิดมาให้ผมเพราะเธอกลัวคุณย่าจะลงโทษดูสิครับของเล่นที่
บทที่ 10 อย่าคิดว่าจะยอมโดนทำฝ่ายเดียวหลังจากที่พาฮว๋าเย่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเฟิงมี่ได้ให้ลูกสาวตัวน้อยนอนพักกลางวันส่วนตัวเธอเองก็จัดการเก็บเสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่วันนี้ ระหว่างนั้นก็คิดหาหนทางรับมือจากซูหรงและชู้ของเธอ'จะทำยังไงดีนะ ฉันถึงจะรู้ว่าซูหรงมีแผนการอะไร? ทำยังไงฉันถึงจะปลอดภัยจากทั้งสองคนนี้ได้ แล้วเมื่อไหร่ที่หลวนหลงจะกลับมาฉันกับฮว๋าเย่จะได้ปลอดภัยเสียที แต่ทว่าเขากลับมาแล้วเชื่อฟังแม่ของเขาฉันเองจะพาฮว๋าเย่ออกจากบ้านหลังนี้ทันที ' เมื่อเธอจัดการเก็บเสื้อผ้าเสร็จจึงเดินไปทางหน้าต่างเห็นว่าตอนนี้ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงมากแล้ว เธอเลยเดินลงมาด้านล่างเพื่อทำอาหารให้ฮว๋าเย่กินตอนนั้นนั่นเองซูเจี้ยนกำลังนั่งจิบชาอยู่เห็นสะใภ้เล็กเดินลงมาจากชั้นบนเธอกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าเห็นว่าเฟิงมี่สะใภ้เล็กเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวจนแทบไม่เหมือนเดิม เธอไม่พอใจรีบวางแก้วชาลงพร้อมจิปากตำหนิออกมา"ฮึ ฮึ ว่าแต่สะใภ้ของฉันแกเองก็ไม่เห็นจะต่างเลย มีเงินเข้าหน่อยก็เอาไปแต่งตัวซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่แต่งตัวรัดรูปแบบนี้ตั้งใจจะไปให้ชู้ของแกดูสินะ เมื่อไหร่ลูกชายของฉันจะเลิกโง่เสียทีนะ ตาสว่างไ
บทที่ 9 เป่าหูฝั่งด้านซูหรงเธอเดินกลับปาหาแม่สามีเห็นเธอแสดงสีหน้าไม่พอใจคงมีเรื่องเดียวคงเป็นเรื่องของเฟิงมี่ เธอรีบเข้าไปเป่าหูและใส่ให้แม่สามีเกลียดเฟิงมี่มากกว่าเดิม“คุณแม่คะวันนี้นังเฟิงมี่มันทำเกินไปนะคะ เพราะมันคนเดียวเลยทำให้พี่ไคฉีต่อว่าฉัน ฉันไม่เจ็บปวดหรอกค่ะแต่พี่ไคฉีต่อว่าหย่งอี้หลานชายของคุณแม่ด้วย ดูสิคะเด็กตัวเล็ก ๆ ยังถูกมันทำให้พี่ไคฉีด่าได้” ซูหรงแสรงทำเป็นเสียใจซูเจี้ยนได้ยินเธอยิ่งไม่พอใจ ที่เฟิงมี่ทำให้หลายชายสุดที่รักถูกคนเป็นพ่อต่อว่า“อะไรกัน!! นังเฟิงมี่นี่มันร้ายจริง ๆ ไม่ได้การแล้วฉันจะต้องอะไรสักอย่าง กล้าดียังไงถึงทำให้ไคฉีมาต่อว่าหย่งอี้ของฉัน ตอนนี้หย่งอี้คงหิวแล้วสินะ เธอช่วยไปเรียกลงมาด้านล่างที ฉันจะเข้าครัวทำอาหารให้หย่งอี้เอง เด็กกำลังโตต้องกินเยอะ ๆ นอนให้เพียงพอ ส่วนเรื่องนังเฟิงมี่กลับมาเมื่อไหร่ฉันจะกำราบเอง”“ได้ค่ะคุณแม่ จริงสิวันนี้ฉันจะออกไปเลือกซื้อของที่พี่ไคฉีชอบที่ตลาดนะคะ เมื่อเช้าพี่ไคฉีดูอารมณ์ไม่ดีเลย”“ดี ๆ เลือกซื้อของที่ดีต่อสุขภาพอย่าลืมซื้อขนมมาฝากหย่งอี้ด้วยล่ะ วันนี้สายแล้วคงไปเรียนไม่ทัน เอาไว้ค่อยไปพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เรื่
บทที่ 8 เปลี่ยนแปลงฝั่งด้านซูหรงเธอเดินจากหลังสามีมาที่โต๊ะกินข้าวตอนนี้ไม่มีอะไรให้เขากินสักอย่างเพราะปกติจะเป็นเฟิงมี่ที่เป็นคนทำทุกอย่าง แต่เธอกลับบอกว่าเป็นฝีมือของตัวเอง"จะจ้องฉันไปถึงเมื่อไหร่ไปยกข้าวมาสิ อย่าลืมห่อใส่ปิ่นโตไปด้วย ""เอ่อ..คือว่า..""จะอ้ำอึ้งทำไมปกติเธอเป็นคนที่ฉะฉานตลอดหรือว่าเรื่องที่ฉันยินมาจากน้องสะใภ้เป็นความจริงว่างานในบ้านเป็นฝีมือของเฟิงมี่ทั้งหมด อย่าบอกนะว่าที่ผ่านเธอโกหกฉันนะซูหรง ""เอ่อ..พี่ไคฉีฟังฉันก่อนนะ พอดีว่าวันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมอาหารให้พี่ไม่ทัน วันนี้พี่ออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารได้มั้ยคะ" ใบหน้าของซูหรงเหงื่อแตกพลั่กหลบสายตาไคฉีกลัวว่าเขาจะจับได้ ไคฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้"คงจะเป็นอย่างที่น้องสะใภ้พูดสินะฉันผิดหวังกับเธอจริง ๆ อีกเรื่องช่วยจัดการให้หย่งอี้รู้จักตื่นแต่เช้าและทำหน้าที่ของตัวเองด้วยไม่ใช่ทำตัวเหมือนแม่ที่ไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ”ซูหรงกำมือแน่นด้วยความโมโหแต่ไม่สามารถแสดงอาการให้สามีเห็นได้ทำได้เพียงยืนขึ้นและก้มหัวรับคำสั่งของเขา มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป“หึ! ตอนนี้ฉันจะทนให
บทที่ 7 อย่าให้ได้ร้ายเฟิงมี่เดินลงมาเห็นซูเจี้ยนรีบเดินเข้าใบหน้าเป็นกังวลเมื่อเห็นเธอเดินลงมาพร้อมกับยกกล่องลังลงมาด้วย เหงื่อบนใบหน้าเริ่มแตกพลั่ก“รีบร้อนเดินเข้ามาคงไม่ใช่ว่าเพราะกล่องนี่หรอกใช่มั้ยคะ”“นี่ ๆ อย่าบอกนะว่าแกเปิดอ่านด้านในจดหมดแล้วนะ”โคร้ม!! ตุบ!!เฟิงมี่โยนกล่องจดหมายลงต่อหน้าซูเจี้ยนอย่างไม่เกรงใจเพราะที่ผ่านมาเธอกับลูกถูกกระทำมามากพอแล้ว ต่อจากนี้เธอจะไม่ยอมเสียเปรียบแม่สามีเฮงซวยแบบนี้อีกต่อไป“ใช่ฉันอ่านหมดแล้ว ไหนล่ะเงินเดือนที่สามีของฉันส่งมาให้ จะให้ดี ๆ หรือจะให้ฉันเอาเรื่องนี้ไปแจ้งทางการ ดีเหมือนกันฉันจะได้ทั้งเงินสามีที่ส่งมาให้ไหนจะได้ค่าแรงที่ทำงานในบ้านหลังนี้เหมือนขี้ข้า " เฟิงมี่ยืนค้ำเอวยกมือข้างขวายื่นออกมาด้านหน้าก่อนจะแบมันออกเพื่อรอเงินจากซูเจี้ยน“นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ แกกล้าทวงและข่มขู่คุณแม่อย่างนี้ได้ยังไงกัน คุณแม่อย่าไปยอมนะคะที่ผ่านมานังเฟิงมี่กับลูกก็กินอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ข้าวกับกับข้าวใช่ว่าจะได้มาฟรี ๆ เสียหน่อย”“หุบปากเสีย ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ไปซ่ะฉันไม่อยากได้ยิน ที่จริงสมควรเป็นฉันที่ได้เงินมากกว่าคนอื่นที่ไม่ทำงานทำการอะไรเลย จ
บทที่ 6 ทวงคืนทุกอย่างเฟิงมี่พาฮว๋าเย่เดินเข้ามาที่บ้านหลังใหญ่เห็นพี่สะใภ้นั่งจไขว่ห้างจิบน้ำชาอย่างสบายใจ เฟิงมี่ครุ่นคิดเธอคงย้อนกลับมาก่อนวันที่เธอจะถูกฆ่าตายสินะ พี่สะใภ้ไม่ทำงานทำการอะไรแต่ก็ไม่เคยถูกซูเจี้ยนต่อว่าเลยสักครั้ง คงเป็นเพราะเธอมาจากตระกูลที่ดีกว่าเฟิงมี่แต่ทว่านิสัยกลับต่ำทรามยิ่งกว่า เมื่อซูหรงเห็นเฟิงมี่เดินเข้ามาในบ้านเธอวางแก้วชาลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหาด้วยความสงสัย"นี่นังเฟิงมี่ คุณแม่ไม่ได้ไปตามแกไปทำกับข้าวให้หย่งอี้กินหรือไง ไหนล่ะกับข้าว ถ้าไม่มีก็ออกไปอย่ามาให้เห็นหน้ากลิ่นตัวของแกโชยออกมาจนฉันแสบจมูกไปหมด " เธอแสดงท่าทางรังเกียจเฟิงมี่อย่างเห็นได้ชัด เฟิงมี่หมั่นไส้ท่าทีของซูหรงเหลือและนึกแค้นเพราะความมักมากในกิเลสตัณหาทำให้เธอต้องตายอย่างไร้ความยุติธรรม เฟิงมี่ปล่อยมือออกจากมือของฮว๋าเย่พร้อมเดินเข้าไปใกล้แสยะยิ้มมุมปากโอบคอของซูหรงแน่นใบหน้าของเธอซีดเซียวพร้อมเอะอะโวงยวายไม่พอใจเสียงดังลั่นบ้าน"กรี๊ดดด!! ปล่อยนะอี้..สกปรกใครบอกให้แกมากอดฉันแบบนี้""อะไรกันคะพี่สะใภ้ ฉันดมดูทั้งตัวกลิ่นของฉันกับกลิ่นของพี่สะใภ้ไม่ต่างกันสักนิด ดมกลิ่นฉันไ
บทที่ 5 ย้อนกลับมาอีกครั้งปัง!! ปัง!! ปัง!!"นี่ฉันเคาะประตูเรียกตั้งนานแล้วหูหนวกหรือไงทำไมไม่ลุกสักที จะรอให้ตะวันขึ้นตรงกลางหัวก่อนหรือไงถึงจะลุกได้นะ" เสียงของซูเจี้ยนดังอยู่ด้านนอกห้องอย่างเอะอะโวยวาย เฟิงมี่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงรบกวน'เอ๊ะ!ฉันตายไปแล้วไม่ใช่หรือไงกัน ทำไมยังได้ยินเสียงของแม่สามีอยู่ล่ะ และทำไมรู้ถึงการเต้นของหัวใจอยู่เลยหรือว่าฉันจะได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง' เฟิงมี่คิดในใจก่อนจะลืมตากวาดมองรอบ ๆ ห้องนี่ห้องเก็บของที่เธอเคยอยู่นี่หน่า เธอรีบหันมองเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ครั้นนั้นเฟิงมี่รู้สึกดีใจจนมิอาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เธอใช้มือลูบใบหน้าของลูกสาวที่นอนหลับอยู่“ขอบคุณสวรรค์ที่ให้ฉันกลับมาหาฮว๋าเย่อีกครั้ง ขอบคุณจริง ๆ ถ้าฉันตายไปทั้งแบบนั้นจริง ๆ ไม่รู้เลยว่าฮว๋าเย่จะเป็นอย่างไรชีวิตของเธอต้องพบเจอกับคนชั่วช้าอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความดีมิอาจจะทำให้คนเปลี่ยนใจได้ ต่อจากนี้ฉันจะปกป้องลูกสาวของฉันเอง จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายได้แม้กระทั่งแม่สามี” เฟิงมี่เอ่ยออกมาอย่างจริงจังหากเธอยังอ่อนแอไม่ว่าจะมีโอกาสอีกกี่
บทที่ 4 ลมหายใจสุดท้ายเฟิงมี่เดินเร่งเท้าให้ถึงบ้านอย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้ท้องฟ้าความมืดเริ่มปกคลุมลงมา เธอเดินมาได้สักพักรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามมา ทางไปบ้านตระกูลมู่จะมีทางที่เปลี่ยวอยู่ระยะยาวพอสมควร เฟิงมี่เริ่มวิตกกังวลไม่กล้าหันหลังไปมอง เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้เธอเริ่มใจเต้นแรงระรัวภาวนาให้เป็นเพียงแค่คนผ่านทางเช่นเดียวกับเธอมับ!!!จู่ ๆ คนที่เดินข้างหลังเธอได้จับมือของเธอคว้าเอาไว้เธอหยุดเดิน “กรี๊ด ๆ ปล่อยฉันนะ!!” เฟิงมี่ตกใจกลัวเธอหันมามองเห็นว่าชายที่มาจับมือเธอคล้ายกับชายที่อยู่กับผู้หญิงใกล้ซอยร้านของเล่นนี่น่า อย่าบอกนะว่าเขาตามเธอมา“จะร้องส่งเสียงดังทำไมกัน ฉันแค่จะสอบถามทางเท่านั้นเอง” ฉู่อี้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะจะลองโยนกินถามทางว่าเธอจะจำเขาได้หรือไม่ว่าเขาอยู่กับซูหรงเมื่อครู่ เขาปล่อยมือออกจากแขนของเธอ เฟิงมี่หวาดกลัวชายที่อยู่ตรงหน้ารีบเอ่ยถามเขาขึ้นมาจะได้รีบตอบและรีบกลับ"แล้วคุณจะไปที่ไหนเหรอคะ” ฉู่อี้จ้องมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ว่าเธอจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูมอมแมมอีกทั้งยังเก่ามากแต่มิอาจจะปกปิดส่วนโค้งเว้าของร่างกายของเฟิงมี่ได้เลย เขากลืนน
บทที่ 3 ตาฝาดหลังจากที่ทุกคนออกจากบ้านเฟิงมี่พาฮว๋าเย่กลับห้องเก็บห้อง จัดการอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวร่างกายที่ไม่สบายแค่ถูกน้ำก็หนาวสั่นถึงกระดูก รอยผองแดงบนหน้าเริ่มปรากฏขึ้นเนื่องจากถูกความร้อนของผัดผัก ฮว๋าเย่สงสารแม่จับใจเด็กหญิงรีบไปหยิบเอายามาถือไว้รอทาให้แม่ เวลาผ่านไปสักพักหลังจากที่ทายาเสร็จเฟิงมี่กินยาและรีบไปทำงานบ้านให้เสร็จตัวเองจะได้มีเวลานอนพักสักงีบ จนกระทั่งเวลาบ่ายคล้อยเสียงของซูเจี้ยนดังขึ้นทำให้เฟิงมี่สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ“นังเด็กชั่วช้า แม่ของแกไม่สั่งสอนหรือไงอิจฉาริษยาหย่งอี้ของฉันจนต้องขโมยของเล่นมาทำพังแบบนี้กันห่ะ” ฮว๋าเย่ยืนตัวสั่นเทาก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัวเธอไม่ได้ทำของเล่นของหย่งอี้พังและไม่เคยไปขโมยของเล่นที่คุณย่าซื้อให้หย่งอี้ด้วยซ้ำ"คุณย่าขาหนูไม่เคยไปขโมยของเล่นของพี่หย่งอี้เลยนะคะ แถมหนูยังไม่เคยเห็นของเล่นของพี่หย่งอี้ด้วยหนูไม่ได้ทำจริง ๆ อีกอย่างพี่หย่งอี้ต่างหากที่เดินมาหาหนูแล้วโยนความผิดทั้งหมดให้หนู""ไม่ใช่นะครับคุณย่า ผมไม่ได้ทำแบบนั้นนะครับฮว๋าเย่อิจฉาผมทำผิดไม่ยอมรับผิดแถมยังโยนความผิดมาให้ผมเพราะเธอกลัวคุณย่าจะลงโทษดูสิครับของเล่นที่
บทที่ 2 ลูกสะใภ้ตัวดีอีกฝั่งของบ้านสะใภ้ใหญ่ซูหรงเธอกำลังนั่งทาเล็บอย่างสบายใจเมื่อเห็นแม่สามีเดินมาจากหลังบ้านและสีหน้าไม่ดีจึงรีบเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น“วันนี้คุณแม่เป็นอะไรแต่เช้าคะ หรือว่าเมื่อคืนฝันไม่ดี”“จะอะไรอีกล่ะก็นังสะใภ้รองตัวดีนะสิ ตะวันโด่งป่านนี้ยังไม่มาทำอาหารให้หย่งอี้ของฉัน ฉันไปตามที่ห้องเก็บของเห็นเธอนอนหลับสบาย หน้าด้านแสร้งว่าตัวเองไม่สบาย เฮอะ! คิดว่าฉันมองไม่ออกหรือไงว่านังเฟิงมี่แค่ขี้เกียจไม่อยากทำงานเลยเอาข้ออ้างว่าตัวเองไม่สบายมาเป็นข้ออ้าง”“แล้วคุณแม่ทำยังไงกับนังนั่นละคะ” ซูหรงปิดฝาขวดน้ำยาทาเล็บวางลงไว้พร้อมถามซูเจี้ยนต่อ“จะทำยังไงล่ะ ฉันก็บังคับให้มันมาทำอาหารให้หลานชายฉันนะสิ หย่งอี้ทนหิวอีกหน่อยนะหลานย่าแล้ววันนี้ย่าจะพาไปเดินเล่นที่ตลาดหลานอยากได้อะไรย่าจะซื้อให้ทุกอย่างเลย” ซูเจี้ยนพูดจาอ่อนลงจ้องมองเด็กชายที่นั่งเล่นของเล่นด้วยสายตาอ่อนโยน“จริงนะครับ ผมอยากได้รถของเล่นคุณย่าซื้อให้จริงๆ นะครับ”“แน่นอนสิ ย่าจะโกหกหลานรักของย่าทำไมกัน” เด็กชายรีบลุกขึ้นไปกอดคุณย่าด้วยความดีใจ ซูหรงที่มองอยู่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ความสุขของเธอคือ