บทที่ 5 ย้อนกลับมาอีกครั้ง
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
"นี่ฉันเคาะประตูเรียกตั้งนานแล้วหูหนวกหรือไงทำไมไม่ลุกสักที จะรอให้ตะวันขึ้นตรงกลางหัวก่อนหรือไงถึงจะลุกได้นะ" เสียงของซูเจี้ยนดังอยู่ด้านนอกห้องอย่างเอะอะโวยวาย เฟิงมี่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงรบกวน
'เอ๊ะ!ฉันตายไปแล้วไม่ใช่หรือไงกัน ทำไมยังได้ยินเสียงของแม่สามีอยู่ล่ะ และทำไมรู้ถึงการเต้นของหัวใจอยู่เลยหรือว่าฉันจะได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง' เฟิงมี่คิดในใจก่อนจะลืมตากวาดมองรอบ ๆ ห้องนี่ห้องเก็บของที่เธอเคยอยู่นี่หน่า เธอรีบหันมองเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ครั้นนั้นเฟิงมี่รู้สึกดีใจจนมิอาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เธอใช้มือลูบใบหน้าของลูกสาวที่นอนหลับอยู่
“ขอบคุณสวรรค์ที่ให้ฉันกลับมาหาฮว๋าเย่อีกครั้ง ขอบคุณจริง ๆ ถ้าฉันตายไปทั้งแบบนั้นจริง ๆ ไม่รู้เลยว่าฮว๋าเย่จะเป็นอย่างไรชีวิตของเธอต้องพบเจอกับคนชั่วช้าอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความดีมิอาจจะทำให้คนเปลี่ยนใจได้ ต่อจากนี้ฉันจะปกป้องลูกสาวของฉันเอง จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายได้แม้กระทั่งแม่สามี” เฟิงมี่เอ่ยออกมาอย่างจริงจังหากเธอยังอ่อนแอไม่ว่าจะมีโอกาสอีกกี่ครั้งเธอคงจะต้องตายด้วยมือคนชั่วทุกครั้งไป และสิ่งหนึ่งที่เธอแน่ใจชายคนนั้นน่าจะเป็นชู้รักของสะใภ้ใหญ่ซูหรงแน่นอนหากไม่เป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ตามมาทำร้ายเธอแน่นอน
“นี่นังเฟิงมี่แกจะหาเรื่องฉันใช่มั้ย ? แกรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าทำให้ฉันโมโหแล้วจะเกิดอะไรขึ้น รีบลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้หลานชายของฉันกินได้แล้ว ถ้ายังไม่ออกมาฉันจะพังประตูเข้าไปได้ยินมั้ย ห่ะ!!!” เสียงของซูเจี้ยนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เฟิงมี่ปาดน้ำตา ค่อย ๆ ขยับหัวของฮว๋าเย่ให้นอนลงที่เตียงนอนก่อนที่เธอจะลุกขึ้นมาเปิดประตูให้นังแก่ใจร้ายไส้ระกำ
แอ้ด !!
“นี่ !! จะเรียกอะไรนักหนา น่ารำคาญจริง ๆ ” เฟิงมี่เอ่ยถามแม่สามีด้วยท่าทางรำคาญทำให้คนที่ถูกถามถึงกับยืนอึ้งไม่คิดว่าสะใภ้เล็กจะกล้าเถียงเธอ
“นี่แกเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!! ถึงไม่รู้หน้าที่ตัวเองตะวันสูงโด่งขนาดนี้จะรอให้หลานฉันหิวจนเจ็บท้องหรือไงกันรีบออกไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้” เฟิงมี่จ้องมองใบหน้าของซูเจี้ยนพลางกอดอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม
“ใครอยากกินก็ไปทำเองสิ มีมือมีตีนเหมือนกันอีกอย่างฉันเป็นสะใภ้เล็กไม่ใช่ขี้ข้าของใคร หย่งอี้เองก็มีแม่เหมือนกันทำไมไม่ให้ซูหรงสะใภ้ใหญ่ทำเองล่ะ หรือว่าทำไม่เป็นช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ วัน ๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่แต่งสวยแต่งงาม ผลาญเงินเป็นว่าเล่น ถ้าอยากให้หย่งอี้กินและไม่อยากให้เจ็บท้องคุณแม่ก็ทำเองสิคะ หลีกไปฉันจะปิดประตูและอย่ามาเสียงดังเอะอะโวยวายอีกตอนนี้ฮว๋าเย่ของฉันยังนอนอยู่ ”
“นี่ ..นี่แกนังเฟิงมี่แกกินยาลืมเขย่าขวดหรือไงกัน ถึงได้ต่อล้อต่อเถียงฉันอย่างนี้วันนี้ถ้าแกไม่ออกไปทำกับข้าว ฉันจะทำให้เลือดหัวแกออกเลยคอยดู” ซูเจี้ยนสั่นเทาด้วยความโกรธหันซ้ายหันขวามองหาอุปกรณ์ที่จะมาตีเฟิงมี่ หากเป็นเมื่อก่อนเฟิงมี่คงกลัวและรีบไปทำตามที่แม่สามีต้องการ แต่ทว่าตอนนี้เธอไม่มีความกลัวอย่างนั้นอีกแล้ว มีสิ่งเดียวที่เธอกลัวคือการตายจากลูกที่ยังเล็ก ๆ นี่ต่างหาก
“เอาสิคะ ฟาดลงมาที่หัวนี่นะคะ ฉันจะได้ไปแจ้งความว่าแม่สามีทำร้ายหวังเอาชีวิต คนทั้งมณฑลคงเล่าขานกันไปทั่ว จริงสิพี่ไคฉี่เป็นนายอำเภอใช่มั้ย ? อื้ม..เรื่องนี้จะกระทบหน้าที่การงานมั้ยนะ..” เฟิงมี่ยืนกอดกยกมือข้างขวาขึ้นมาชี้ที่ขมับของตัวเองแสร้งครุ่นคิดเรื่องนี้ ยิ่งทำให้ซูเจี้ยนไม่พอใจ
“อ๊ายยยย! แกมันร้ายอย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาแกมันแค่แสร้งทำเป็นอ่อนแอที่แท้ก็มารยานี่เอง เรื่องแกมีชู้คงเป็นเรื่องจริงสินะ”
“ใช่ค่ะ ที่ผ่านมาฉันอ่อนแอและมองโลกในแง่ดีเกินไป ฉันคิดว่าความดีจะทำให้คุณแม่เปลี่ยนไป แต่เปล่าเลยเพราะจิตใจที่มืดบอดไร้จริยธรรมของคุณแม่มันทำให้ฉันเปลี่ยนไป ส่วนเรื่องมีชู้นะฉันมั่นใจว่าฉันไม่เคยทำตัวต่ำช้าอย่างที่พี่สะใภ้ใหญ่เป่าหูคุณแม่หรอกนะคะ คุณแม่เคยเห็นฉันออกไปจากบ้านหรือออกไปพบใครหรือไงถึงเชื่อว่าฉันมีชู้ คิดดี ๆ สินะว่าตั้งแต่ฉันคลอดฮว๋าเย่ฉันเคยออกจากที่นี่หรือเปล่า ต่างจากอีกคนที่พูดจาใส่ร้ายฉันแถมยังแต่งตัวสวยออกจากบ้านทุกวันนะ” ซูเจี้ยนอ้าปากค้างเพราะทั้งหมดที่เธอพูดมาล้วนเป็นความจริง เธอไม่เคยให้เฟิงมี่ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเธออาจจะมีก่อนที่จะแต่งงานกับลูกชายฉันก็ได้ เพราะอยากให้ลูกมาใช้ชีวิตอยู่สุขสบายมีหน้ามีตาในสังคมเลยหวังจับลูกชายของฉันนะสิ ”
“เฮ้อ ! พูดกับคนที่ปิดหูปิดตาแถมยังจิตใจพิการฉันไม่อยากจะสนทนาด้วยสักนิด ”
“แกมันจองหองนักน่ะวันนี้ฉันจะต้องจัดการตบให้เลือดกลบปากให้มันรู้ไปซ่ะบ้างว่าไม่ควรจะมาต่อปากต่อคำกับฉันแบบนี้” ซูเจี้ยนกัดฟันเสียงดังกรอดด้วยความเกรี้ยวโกรธ ง้างมือที่อวบใหญ่หวังตบเข้าที่ใบหน้าของเฟิงมี่ หากเป็นเมื่อก่อนเฟิงมี่คงหลับตารอรับการกระทำที่โหดร้ายของแม่สามีและไม่กล้าสู้
มับ!!
เฟิงมี่ยกมือขึ้นจับข้อมือของซูเจี้ยนเอาไว้แน่นจนเกิดรอยแดงและบีบแรงขึ้นมากกว่าเดิมให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าการทำคนอื่นเจ็บความรู้สึกของคนที่ถูกกระทำเป็นอย่างไร
“โอ๊ย !! ปล่อยนะนังบ้าเฟิงมี่ แกมันเป็นหมาบ้าไปแล้วแน่ ๆ” เฟิงมี่ไม่ได้โกรธแถมยังแสยะยิ้มออกมาก่อนจะปล่อยมือออกจากแขนของซูเจี้ยนพร้อมดันข้อมือของเธอเพียงเล็กน้อยแต่ทว่ากลับทำให้ร่างใหญ่อ้วนท้วมของซูเจี้ยนล้มลงกระแทกพื้น
ตุ๊บ !!
“โอ๊ยยย!! สะใภ้ใหญ่อยู่แถวนี้มั้ย ?ช่วยฉันด้วยฉันจะถูกนังหมาบ้าเฟิงมี่ฆ่าแล้ว”
“ฮึ ! ฉันนะหรือคะที่จะฆ่าคุณแม่ เมื่อครู่ไม่ใช่คุณแม่หรอกหรือคะที่บอกให้ฉันปล่อย อะไรกันคนแก่ใกล้จะลงโลงทำไมถึงเอาใจยากอย่างนี้นะ ” เฟิงมี่พูดพร้อมส่งยิ้มยียวนกวนประสาทให้ซูเจี้ยนที่เจ็บก้นกบนั่งอยู่ที่พื้น
ครั้นนั้นเองฮว๋าเย่ตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่หน้าห้อง เธอเดินออกมาเอ่ยถามคุณแม่ด้วยความสงสัย
“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นคะ ” เฟิงมี่หันไปมองตามเสียงรีบเปลี่ยนสีหน้าทันที
“ฮว๋าเย่ตื่นแล้วหรือ? พอดีคุณย่าล้มแล้วแม่จะเข้าไปช่วยนะ แต่คุณย่านะสิดื้อยิ่งกว่าเด็กไม่ยอมให้แม่ช่วย ในเมื่อลูกตื่นแล้วก็ดีเรากลับไปอยู่ที่ห้องเดิมกันเถอะ คุณแม่คะต่อจากนี้ฉันจะกลับไปอยู่ที่ห้องเดิม และต่อจากนี้ฉันกับลูกจะกลับไปใช้ชีวิตสุขสบายให้สมกับเป็นสะใภ้เล็กของตระกูลมู่ด้วย ”
“ใครอนุญาตให้แกกลับเข้าไปบ้านหลังใหญ่กัน คนอย่างแกนะเหมาะสมกับห้องเก็บของที่สุดแล้ว” ซูเจี้ยนเจ็บทั้งใจเจ็บทั้งกายรีบพยุงตัวเองลุกขึ้นเพื่อกีดกันไม่ให้เฟิงมี่ทำตามใจตัวเอง
“ที่ฉันพูดไม่ได้ขออนุญาตแค่บอกให้รู้เท่านั้นเอง ฮว๋าเย่ไปกันเถอะถ้าคุณย่าบอกว่าที่นี่เหมาะกับเรา อย่างนั้นคุณแม่ลองอยู่ในห้องนี่ดูมั้ยคะ” พูดจบเฟิงมี่จับตัวของซูเจี้ยนโยนเข้าห้องเก็บของพร้อมล็อคจากด้านนอกทันที
“กรี๊ด ๆ ๆ แกนังเฟิงมี่เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ !! อ๊ายยนั่นมันหนูไม่ใช่หรือไง กรี๊ด ๆ ๆ นังเฟิงมี่อย่าให้ฉันออกไปได้นะฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด ” เสียงกรี๊ดร้องของซูเจี้ยนดังออกมาต่อเนื่องเพราะห้องเก็บของเต็มไปด้วยของและหนูแมลงสาบ ต่อให้ทำความสะอาดดีแค่ไหนก็ยังคงมีสัตว์พวกนี้อยู่ดี อีกทั้งกลิ่นห้องที่เหม็นอับชื้นทำให้ซูเจี้ยนแทบหายใจไม่ออกใช้มือทุบประตูห้องอยู่ไม่หยุด
“คุณแม่คะทำแบบนี้คุณย่าจะไม่โกรธเรามากกว่าเดิมเหรอคะ ”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก ขนาดเรายังอยู่ได้เลยทำไมคุณย่าจะอยู่ไม่ได้ล่ะ เราไปกันเถอะแม่จะพาฮว๋าเย่กลับไปสู่ที่เดิมที่เราสมควรจะได้อยู่ไม่ใช่กาฝากพวกนั้น ” เฟิงมี่จับมือน้อย ๆ ของฮว๋าเย่เดินไปที่บ้านหลังใหญ่โดยไม่สนใจเสียงร้องของซูเจี้ยนแม้แต่น้อย
บทที่ 6 ทวงคืนทุกอย่างเฟิงมี่พาฮว๋าเย่เดินเข้ามาที่บ้านหลังใหญ่เห็นพี่สะใภ้นั่งจไขว่ห้างจิบน้ำชาอย่างสบายใจ เฟิงมี่ครุ่นคิดเธอคงย้อนกลับมาก่อนวันที่เธอจะถูกฆ่าตายสินะ พี่สะใภ้ไม่ทำงานทำการอะไรแต่ก็ไม่เคยถูกซูเจี้ยนต่อว่าเลยสักครั้ง คงเป็นเพราะเธอมาจากตระกูลที่ดีกว่าเฟิงมี่แต่ทว่านิสัยกลับต่ำทรามยิ่งกว่า เมื่อซูหรงเห็นเฟิงมี่เดินเข้ามาในบ้านเธอวางแก้วชาลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหาด้วยความสงสัย"นี่นังเฟิงมี่ คุณแม่ไม่ได้ไปตามแกไปทำกับข้าวให้หย่งอี้กินหรือไง ไหนล่ะกับข้าว ถ้าไม่มีก็ออกไปอย่ามาให้เห็นหน้ากลิ่นตัวของแกโชยออกมาจนฉันแสบจมูกไปหมด " เธอแสดงท่าทางรังเกียจเฟิงมี่อย่างเห็นได้ชัด เฟิงมี่หมั่นไส้ท่าทีของซูหรงเหลือและนึกแค้นเพราะความมักมากในกิเลสตัณหาทำให้เธอต้องตายอย่างไร้ความยุติธรรม เฟิงมี่ปล่อยมือออกจากมือของฮว๋าเย่พร้อมเดินเข้าไปใกล้แสยะยิ้มมุมปากโอบคอของซูหรงแน่นใบหน้าของเธอซีดเซียวพร้อมเอะอะโวงยวายไม่พอใจเสียงดังลั่นบ้าน"กรี๊ดดด!! ปล่อยนะอี้..สกปรกใครบอกให้แกมากอดฉันแบบนี้""อะไรกันคะพี่สะใภ้ ฉันดมดูทั้งตัวกลิ่นของฉันกับกลิ่นของพี่สะใภ้ไม่ต่างกันสักนิด ดมกลิ่นฉันไ
บทที่ 7 อย่าให้ได้ร้ายเฟิงมี่เดินลงมาเห็นซูเจี้ยนรีบเดินเข้าใบหน้าเป็นกังวลเมื่อเห็นเธอเดินลงมาพร้อมกับยกกล่องลังลงมาด้วย เหงื่อบนใบหน้าเริ่มแตกพลั่ก“รีบร้อนเดินเข้ามาคงไม่ใช่ว่าเพราะกล่องนี่หรอกใช่มั้ยคะ”“นี่ ๆ อย่าบอกนะว่าแกเปิดอ่านด้านในจดหมดแล้วนะ”โคร้ม!! ตุบ!!เฟิงมี่โยนกล่องจดหมายลงต่อหน้าซูเจี้ยนอย่างไม่เกรงใจเพราะที่ผ่านมาเธอกับลูกถูกกระทำมามากพอแล้ว ต่อจากนี้เธอจะไม่ยอมเสียเปรียบแม่สามีเฮงซวยแบบนี้อีกต่อไป“ใช่ฉันอ่านหมดแล้ว ไหนล่ะเงินเดือนที่สามีของฉันส่งมาให้ จะให้ดี ๆ หรือจะให้ฉันเอาเรื่องนี้ไปแจ้งทางการ ดีเหมือนกันฉันจะได้ทั้งเงินสามีที่ส่งมาให้ไหนจะได้ค่าแรงที่ทำงานในบ้านหลังนี้เหมือนขี้ข้า " เฟิงมี่ยืนค้ำเอวยกมือข้างขวายื่นออกมาด้านหน้าก่อนจะแบมันออกเพื่อรอเงินจากซูเจี้ยน“นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ แกกล้าทวงและข่มขู่คุณแม่อย่างนี้ได้ยังไงกัน คุณแม่อย่าไปยอมนะคะที่ผ่านมานังเฟิงมี่กับลูกก็กินอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ข้าวกับกับข้าวใช่ว่าจะได้มาฟรี ๆ เสียหน่อย”“หุบปากเสีย ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ไปซ่ะฉันไม่อยากได้ยิน ที่จริงสมควรเป็นฉันที่ได้เงินมากกว่าคนอื่นที่ไม่ทำงานทำการอะไรเลย จ
บทที่ 8 เปลี่ยนแปลงฝั่งด้านซูหรงเธอเดินจากหลังสามีมาที่โต๊ะกินข้าวตอนนี้ไม่มีอะไรให้เขากินสักอย่างเพราะปกติจะเป็นเฟิงมี่ที่เป็นคนทำทุกอย่าง แต่เธอกลับบอกว่าเป็นฝีมือของตัวเอง"จะจ้องฉันไปถึงเมื่อไหร่ไปยกข้าวมาสิ อย่าลืมห่อใส่ปิ่นโตไปด้วย ""เอ่อ..คือว่า..""จะอ้ำอึ้งทำไมปกติเธอเป็นคนที่ฉะฉานตลอดหรือว่าเรื่องที่ฉันยินมาจากน้องสะใภ้เป็นความจริงว่างานในบ้านเป็นฝีมือของเฟิงมี่ทั้งหมด อย่าบอกนะว่าที่ผ่านเธอโกหกฉันนะซูหรง ""เอ่อ..พี่ไคฉีฟังฉันก่อนนะ พอดีว่าวันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมอาหารให้พี่ไม่ทัน วันนี้พี่ออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารได้มั้ยคะ" ใบหน้าของซูหรงเหงื่อแตกพลั่กหลบสายตาไคฉีกลัวว่าเขาจะจับได้ ไคฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้"คงจะเป็นอย่างที่น้องสะใภ้พูดสินะฉันผิดหวังกับเธอจริง ๆ อีกเรื่องช่วยจัดการให้หย่งอี้รู้จักตื่นแต่เช้าและทำหน้าที่ของตัวเองด้วยไม่ใช่ทำตัวเหมือนแม่ที่ไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ”ซูหรงกำมือแน่นด้วยความโมโหแต่ไม่สามารถแสดงอาการให้สามีเห็นได้ทำได้เพียงยืนขึ้นและก้มหัวรับคำสั่งของเขา มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป“หึ! ตอนนี้ฉันจะทนให
บทที่ 9 เป่าหูฝั่งด้านซูหรงเธอเดินกลับปาหาแม่สามีเห็นเธอแสดงสีหน้าไม่พอใจคงมีเรื่องเดียวคงเป็นเรื่องของเฟิงมี่ เธอรีบเข้าไปเป่าหูและใส่ให้แม่สามีเกลียดเฟิงมี่มากกว่าเดิม“คุณแม่คะวันนี้นังเฟิงมี่มันทำเกินไปนะคะ เพราะมันคนเดียวเลยทำให้พี่ไคฉีต่อว่าฉัน ฉันไม่เจ็บปวดหรอกค่ะแต่พี่ไคฉีต่อว่าหย่งอี้หลานชายของคุณแม่ด้วย ดูสิคะเด็กตัวเล็ก ๆ ยังถูกมันทำให้พี่ไคฉีด่าได้” ซูหรงแสรงทำเป็นเสียใจซูเจี้ยนได้ยินเธอยิ่งไม่พอใจ ที่เฟิงมี่ทำให้หลายชายสุดที่รักถูกคนเป็นพ่อต่อว่า“อะไรกัน!! นังเฟิงมี่นี่มันร้ายจริง ๆ ไม่ได้การแล้วฉันจะต้องอะไรสักอย่าง กล้าดียังไงถึงทำให้ไคฉีมาต่อว่าหย่งอี้ของฉัน ตอนนี้หย่งอี้คงหิวแล้วสินะ เธอช่วยไปเรียกลงมาด้านล่างที ฉันจะเข้าครัวทำอาหารให้หย่งอี้เอง เด็กกำลังโตต้องกินเยอะ ๆ นอนให้เพียงพอ ส่วนเรื่องนังเฟิงมี่กลับมาเมื่อไหร่ฉันจะกำราบเอง”“ได้ค่ะคุณแม่ จริงสิวันนี้ฉันจะออกไปเลือกซื้อของที่พี่ไคฉีชอบที่ตลาดนะคะ เมื่อเช้าพี่ไคฉีดูอารมณ์ไม่ดีเลย”“ดี ๆ เลือกซื้อของที่ดีต่อสุขภาพอย่าลืมซื้อขนมมาฝากหย่งอี้ด้วยล่ะ วันนี้สายแล้วคงไปเรียนไม่ทัน เอาไว้ค่อยไปพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เรื่
บทที่ 10 อย่าคิดว่าจะยอมโดนทำฝ่ายเดียวหลังจากที่พาฮว๋าเย่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเฟิงมี่ได้ให้ลูกสาวตัวน้อยนอนพักกลางวันส่วนตัวเธอเองก็จัดการเก็บเสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่วันนี้ ระหว่างนั้นก็คิดหาหนทางรับมือจากซูหรงและชู้ของเธอ'จะทำยังไงดีนะ ฉันถึงจะรู้ว่าซูหรงมีแผนการอะไร? ทำยังไงฉันถึงจะปลอดภัยจากทั้งสองคนนี้ได้ แล้วเมื่อไหร่ที่หลวนหลงจะกลับมาฉันกับฮว๋าเย่จะได้ปลอดภัยเสียที แต่ทว่าเขากลับมาแล้วเชื่อฟังแม่ของเขาฉันเองจะพาฮว๋าเย่ออกจากบ้านหลังนี้ทันที ' เมื่อเธอจัดการเก็บเสื้อผ้าเสร็จจึงเดินไปทางหน้าต่างเห็นว่าตอนนี้ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงมากแล้ว เธอเลยเดินลงมาด้านล่างเพื่อทำอาหารให้ฮว๋าเย่กินตอนนั้นนั่นเองซูเจี้ยนกำลังนั่งจิบชาอยู่เห็นสะใภ้เล็กเดินลงมาจากชั้นบนเธอกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าเห็นว่าเฟิงมี่สะใภ้เล็กเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวจนแทบไม่เหมือนเดิม เธอไม่พอใจรีบวางแก้วชาลงพร้อมจิปากตำหนิออกมา"ฮึ ฮึ ว่าแต่สะใภ้ของฉันแกเองก็ไม่เห็นจะต่างเลย มีเงินเข้าหน่อยก็เอาไปแต่งตัวซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่แต่งตัวรัดรูปแบบนี้ตั้งใจจะไปให้ชู้ของแกดูสินะ เมื่อไหร่ลูกชายของฉันจะเลิกโง่เสียทีนะ ตาสว่างไ
บทที่ 11 อยากย้ายออกหลวนหลงก้มต่ำมองลงมาด้านล่างเห็นเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาคล้ายตนเองรีบผละแขนออกจากอ้อมกอดของเฟิงมี่นั่งคุกเข่าลงดึงตัวของเด็กหญิงเข้ามาใกล้ตัวเองพร้อมยิ้มกริ่มอย่างภาคภูมิใจ“หนูชื่อฮว๋าเย่ใช่มั้ย? ไม่คิดเลยว่าใบหน้าของหนูจะเหมือนฉันแบบนี้ ฉันไม่ใช่เทวดาหรอกนะแต่เป็นพ่อของหนูต่างหาก ฮว๋าเย่ของพ่อเติบโตมางดงามขนาดนี้คุณแม่ต้องเลี้ยงดูมาอย่างดีสินะ เฟิงมี่เธอคงเหนื่อยมามากแล้วหลังจากนี้ฉันจะดูแลเธอกับลูกเอง”“ที่คุณพูดหมายความว่าอย่างไรกันคะ”“ก็หมายความว่าต่อจากนี้ฉันจะย้ายมาประจำการอยู่ที่มณฑลนี้อย่างไรล่ะ การกลับมาครั้งนี้ฉันไม่ได้มาตัวเปล่าแต่กลับมาพร้อมตำแหน่งท่านนายพลใหญ่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีฉันจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอและลูกสาวตัวน้อย ฮว๋าเย่พ่อขอกอดลูกให้หายคิดถึงหน่อยได้มั้ย” ฮว๋าเย่จ้องมองใบหน้าของผู้เป็นแม่เพื่อความแน่ใจ เมื่อเฟิงมี่เห็นใบหน้าไม่แน่ใจของลูกสาว เธอจึงพยักหน้าเพื่อให้คำตอบ ฮว๋าเย่เดินเข้าไปหาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อก่อนจะโผล่กอดแน่น“หนูดีใจนะคะที่ได้เจอคุณพ่อสักที" เสียงเล็กสั่นเครือหลวนหลงโอบกอดเธอใช้มือลูบหลังอย่างอ่อนโยนคิดไม่ผิดที่เขาเรียกที่จะก
บทที่ 12 ดูบ้านอาหารเช้าได้เริ่มขึ้นกับความอึกครึมอึดอัด อาหารวันนี้เป็นหน้าที่ของเฟิงมี่เธอคิดวูาหากให้ซูหรงทำคงไม่ได้กินง่าย ๆ จึงเป็นคนอาสาทำอาหารให้หลวนหลงในมื้อแรกที่กลับมา“กลับมาครั้งนี้อีกกี่วันลูกถึงจะกลับไปที่กรมทหารกันล่ะ” ซูเจี้ยนพูดขึ้นเมื่อทุกคนเงียบจนน่าอึดอัด“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะกลับมาประจำการอยู่ที่มณฑลนี้ไม่ย้ายไปที่ไหนอีก และการกลับมาครั้งนี้ผมได้รับตำแหน่งเป็นนายพลอีกสองวันจะมีเงินเลี้ยงฉลอง”“ดีจริง ๆ แกกลับมาอยู่ที่นี่ก็ดีเช่นกัน จะได้ไม่ต้องอยู่ไกลกันอีก” ไคฉีพูดขึ้นส่งยิ้มกว้างด้วยความดีใจ“พี่ไคฉีถึงฉันจะกลับมาประจำการอยู่ที่นี่แต่ว่าฉันกับภรรยาได้ตกลงกันแล้วว่าจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น บ้านหลังนี้เป็นสมบัติของคุณพ่อคุณแม่พี่เอาไปเถอะ ฉันจะซื้อบ้านและที่ดินเป็นของตัวเองเราสองพี่น้องจะได้ไม่ต้องมาผิดใจกันเรื่องสมบัติ”“ไม่ได้นะ! ก่อนที่พ่อของลูกจะตายได้พูดเอาไว้ว่าให้แบ่งให้ทั้งสองคนเท่า ๆ กัน” ซูเจี้ยนพูดโพล่งออกมาเสียงดัง“ตอนนี้ผมมีหน้าที่การงานและเงินเดือนที่มากกว่าพี่ชาย แค่บ้านหลังนี้ผมยกให้พี่ได้คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”“เช่นนั้นเอาแบบนี้ ถ้านายต้
บทที่ 13 วางแผนฝั่งด้านซูหรงเธอเดินพาลูกชายมาที่ห้องด้วยความโมโห“ทำไมไม่มีอะไรได้ดั่งใจฉันเลยนะ! หลวนหลงทำไมต้องโผล่มาตอนนี้ด้วยตั้งนานทำไมไม่มา อย่างนี้เท่ากับว่าสมบัติของตระกูลมู่อาจจะตกเป็นของหลวนหลงและตกไปถึงฮว๋าเย่ไม่ได้ฉันไม่ยอมหรอกกว่าฉันจะมาถึงขนาดนี้ได้ฉันต้องอดทนขนาดไหน ต่อให้นังเฟิงมี่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกยังไงฉันก็จะหากำจัดแกให้ได้ต้องจัดการถอนรากถอนโคนจะได้ไม่มีใครมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของหย่งอี้ลูกชายของฉันได้ หย่งอี้ต่อจากนี้ลูกต้องเอาอกเอาใจคุณย่าให้มาก ๆ รู้มั้ย ถ้าลูกทำดีกับคุณย่าไม่ว่าท่านต้องการอะไรลูกจะต้องยอมเสมอ เชื่อแม่อีกไม่นานทุกอย่างในบ้านหลังนี้จะเป็นของลูกคนเดียว” ซูหรงพูดพึมพำอยู่คนเดียวก่อนจะหันมาบอกลูกชายของเธอที่กำลังจะเตรียมตัวไปโรงเรียน“ได้ครับผมจะทำให้คุณย่ารักผมคนเดียวผมไม่ยอมแบ่งความรักของคุณย่าไปให้นังฮว๋าเย่นั่นแน่นอนเพราะผมไม่ชอบหน้ามัน คุณแม่ดูสิครับมันทำให้คุณอาหลวนหลงตำหนิผม นังฮว๋าเย่เข้าเรียนที่โรงเรียนเมื่อไหร่ผมจะจัดการให้รู้สึกเอง” เด็กชายดวงตาแข็งกร้าวความอำมหิตโหดร้ายไม่ต่างจากคนเป็นแม่แม้แต่น้อย“ฮ่า ฮ่า ดี ๆ ต้องอย่างนี้สิลูกชายสุด
บทที่ 25 ครอบครับอบอุ่นหลายวันต่อมาผลเลือดของหย่งอี้ออกมาแล้วและพบว่าผลเลือดของเขาไม่เข้ากันกับไคฉีแม้แต่น้อย ไคฉีเสียใจมากหลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าจากคนที่ติดงานต้องลางานหลายวัน จนหลวนหลงต้องเข้าไปให้สติ ส่วนซูเจี้ยนหลังจากที่เธอฟื้นเธอตรอมใจเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซูหรงและการกระทำชั่วร้ายที่เธอได้ทำลงไปกับเฟิงมี่เพราะเชื่อคำพูดของซูหรงจนหมดใจ ยิ่งเธอมารู้ว่าหย่งอี้ไม่ใช่สายเลือดของเธอ ตอนนั้นเหมือนโลกทั้งใบแตกสลายเธอทำดีเอาอกเอาใจรักมากที่สุดแต่ทว่าเด็กคนนั้นไม่สายเลือดของเธอเลยแม้แต่น้อยกลับกันเธอทำเลวระยำต่ำช้ากับหลานแท้ ๆ ของตัวเองมาตั้งแต่ที่เธอเกิดแม้แต่ของเล่นชิ้นเดียวเธอยังไม่เคยซื้อให้ เธอจำได้ฮว๋าเย่ให้กระดาษเธอแผ่นหนึ่งก่อนย้ายออกจากบ้านเธอรีบสั่งให้สาวใช้ไปเอาให้เธอไม่ได้เอามันทิ้งแต่เก็บเอาไว้ในตู้ เมื่อเธอเปิดดูน้ำตาไหลพรากอย่างพูดไม่ออก ในใจของเธอเจ็บช้ำไปหมดเพราะกระดาษแผ่นนั้นคือรูปวาดครอบครัวของฮว๋าเย่ ที่มีทุกคนอยู่ในนั้นรวมถึงเธอด้วย“อึก อึก เป็นฉันเองที่โง่งม ฉันมันเลวร้ายที่สุดฉันทำร้ายจิตใจเด็กคนนี้มาตั้งแต่เกิดแม้แต่ความรักยังไม่เคยมอบให้ แถมยังเค
บทที่ 24 ความจริงถูกเปิดแผยซูหรงสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาเห็นสีหน้าของซูเจี้ยนที่จ้องมองเธออย่างโกรธเกรี้ยว เธอเลยเอ่ยถามด้วยความสงสัย“คุณแม่ทำไมคุณแม่ถึงมองฉันแบบนั้นละคะ เอ๊ะ! แล้วฉันมานอนตรงนี้ได้ยังไงกัน” ไม่ทันได้พูดจบดวงตาของซูหรงเบิกโพลงเพราะตอนนี้ร่างกายของเธอไร้เสื้อผ้านุ่งห่มยิ่งไปกว่านั้นคือฉู่อี้ที่นอนเปลือยเปล่ากอดร่างกายเธอแน่นอีกด้วย“ฉันต่างหากที่ต้องถามแก แกทำไมถึงทำแบบนี้กันห่ะ”“คุณแม่ฟังฉันก่อนนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นต้องเป็นฝีมือของนังเฟิงมี่ที่วางยาฉัน นี่แกนังเฟิงมี่ฉันอุตส่าห์ทำดีกับแกคิดว่าชีวิตแกน่าสงสารทำไมแกถึงทำอย่างนี้ หรือเพราะแกอยากได้สมบัติทุกอย่างของตระกูลมู่ เลยหาทางกำจัดฉันออกไป คุณแม่อย่าไปเชื่อมันนะคะ ผู้ชายคนนี้ฉันไม่รู้จักด้วยซ้ำเพราะนังเฟิงมี่วางแผนถ้าฉันจะมีชู้จริง ๆ ฉันไม่โง่มาทำที่นี่ให้ถูกจับได้หรอกค่ะ”“ฮึ ฮึ ใช่แล้วล่ะ ถ้าพี่ซูงหรงมีชู้คงไม่ทำที่นี่แต่ที่ทุกคนเห็นคือแผนการของแกนังซูหรง แกตั้งใจวางแผนให้ฉันกินน้ำที่แกใส่ยานอนหลับไว้ คิดดูว่าถ้าหากฉันโง่และหลงกลกินน้ำที่แกผสมยานอนหลับไว้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นจะเป็นใครหากไม่ใช่ฉัน เรื่องนี้ฉันม
บทที่ 23 ใครกันแน่ที่โง่ไม่นานนักซูหรงได้เดินออกมาจากห้องน้ำนั่งลงตรงหน้าของเฟิงมี่“กับข้าวเย็นหมดแล้ว ฉันต้องขอโทษพี่ซูหรงด้วยนะคะ เป็นเพราะฉันแท้ ๆ เลย”“ไม่เป็นอะไรหรอกน่าเรื่องเล็กน้อยเรามากินข้าวกันเถอะ”“ได้ค่ะ ” เฟิงมี่หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารใส่จานตัวเองกินอย่างเอร็ดอร่อย เธอรู้สึกตลอดเวลาว่าถูกสายตาของซูหรงจ้องมองว่าเมื่อไหร่เธอจะกินน้ำ เธอจึงวางตะเกียบลงหยิบแก้วน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว“อึก อึก วันนี้เป็นเพราะมีพี่ซูหรงมานั่งกินด้วยกันหรือเปล่าทำให้ฉันกินข้าวได้มากกว่าทุกวัน “ซูหรงยิ้มกริ่มเมื่อเห็นอีกฝ่ายดื่มน้ำจนหมดแก้วไม่นานยานอนหลับคงออกฤทธิ์นี่คือแผนที่เธอวางเอาไว้กับฉู่อี้วันนี้เธอรู้มาว่าหลวนหลงเข้ากรมช่วงเช้าเพราะวันนี้เธอได้ทำการโทรเลขไปหาหลวนหลงว่าแม่ของเขาป่วยหนักให้เขามาหาที่บ้านตระกูลมู่ และแผนการนี้เธอได้บอกแม่สามีหลังอาหารมื้อเที่ยงให้เธอพาหลวนหลงกลับมาที่นี่ของเขาให้ได้จะได้มาเห็นว่านังเฟิงมี่นั้นตอนเริงรักกับชู้ในตอนที่เขาออกไปทำงาน เพียงเท่านี้แผนการของเธอก็สำเร็จ ส่วนเรื่องโฉนดที่ดินนั้นเอาไว้หลังจัดการนังเฟิงมี่เสียก่อน“เธอกินข้าวได้เยอะฉันเองก็ดีใจ ตอนนี้
บทที่ 22 แกล้งโง่หลังจากที่ซูหรงกลับเฟิงมี่ได้ออกไปที่ตลาดเมื่อเห็นว่าตอนนี้ยังมีเวลาอีกมากกว่าที่ฮว๋าเย่จะกลับจากโรงเรียน เธอไปที่ร้านของเล่นที่เคยเห็นซูหรงกับฉู่อี้อยู่ด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าการมาที่ตลาดของเธอในครั้งนี้จะได้เห็นกับตาว่าซูหรงอยู่กับชายชู้ของเธออีกครั้ง เฟิงมี่ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ แอบฟังทั้งสองพูดคุยกันและเป็นความโชคดีที่ฉู่อี้เป็นคนพูดจาเสียงดังไม่กลัวว่าใครจะมาได้ยิน เพราะถิ่นนี้เป็นถิ่นของเขา“ดีมาก เธอค่อยไปหานังเฟิงมี่บ่อย ๆ จะได้รู้ว่าวันไหนที่สามีเธอไม่อยู่ เราจะได้หาทางเข้าไปที่บ้านหลังนั้นทำตามแผนที่วางเอาไว้”“นั่นสิ ฉันละสะอิดสะเอียนอยากจะให้แผนสำเร็จเร็ว ๆ ไม่อยากจะพูดดีกับนางนั่นเลยด้วยซ้ำ คนอะไรน่าโง่จริง ๆ ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็เชื่อไปหมด ส่วนนังแก่ที่บ้านก็เริ่มเมายาที่พี่ให้ไปแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการยาเพิ่มเอามาให้ฉันหน่อยสิ”“ได้เดี๋ยวฉันจะให้เพิ่ม ใส่ให้กินทุกวันจะได้ลงแดงตอนนั้นเธอจะให้มันทำอะไรนังแก่นั่นก็ทำให้ทุกอย่าง ”“ฮึ ฮึ ฉันละอยากให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ เสียจริง”“อีกไม่นานแล้วยอดรักของพี่” เฟิงมี่แอบฟังทั้งสองได้ยินแผนการความชั่วช้าของทั้งคู่รีบ
บทที่ 21 ตีสนิทท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เฟิงมี่ขยับกายไปมาบนเตียงลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือกวาดมองไปรอบห้องพบว่ามีเพียงเธอที่อยู่ในห้องนี้ ลุกขึ้นจ้องมองร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความรักที่หลวนหลงมอบให้ เธอค่อย ๆ ลุกจากเตียงไปอาบน้ำล้างตัวคิดว่าตอนนี้หลวนหลงคงอยู่กับฮว๋าเย่ข้างนอกหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วเธอเดินออกมาภายในบ้านเงียบราวกับว่าไม่มีใครอยู่จึงเดินออกไปที่หน้าประตูเห็นทหารยืนอยู่ตรงนั้นจึงรีบเข้าไปถามทันที“เอ่อ ...ไม่ทราบว่าคุณเห็นสามีกับลูกสาวของฉันมั้ยคะ”“นายผู้หญิงตื่นแล้วหรือครับ ท่านนายพลฝากแจ้งนายหญิงเมื่อตื่นว่าท่านนายพลพาคุณหนูออกไปหาอะไรกินข้างนอก ไม่นานจะกลับเข้ามาครับและฝากบอกให้คุณหญิงแต่งหน้าแต่งตัวรอท่านด้วยชุดที่ท่านเตรียมไว้ให้อยู่ในห้องคุณหนูครับ” เฟิงมี่พยักหน้ารับรู้พร้อมเดินไปที่ห้องของฮว๋าเย่เห็นชุดที่เขาเตรียมไว้ให้สวมใส่ไปงานเลี้ยงในคืนนี้ ช่างเป็นชุดที่สง่าจริง ๆเฟิงมี่ถือชุดเดินออกมาพบว่าตอนนี้สองพ่อลูกได้กลับเข้ามาแล้ว เสียงพูดคุยหัวเราะอย่างชอบใจของฮว๋าเย่ทำให้เฟิงมี่มีความสุขเหลือเกิน จนเธอคิดขึ้นได้ว่าเธอเคยผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมา‘ฉันออกมาอย
บทที่ 20 ของขวัญฝั่งด้านหลวนหลงหลังจากที่พาเฟิงมี่กับลูกสาวเดินทางมาถึงบ้านที่ทำการซื้อไว้จัดแจงที่พักและห้องนอนให้ฮว๋าเย่โดยมีลูกน้องของเขามาช่วยเหลือไม่นานบ้านหลังใหม่ที่ย้ายมาอยู่ก็เสร็จสมบูรณ์ห้องของฮว๋าเย่เต็มไปด้วยตุ๊กตามากมาย"ว๊าวว^ ^ นี่ห้องของหนูเหรอคะ ""ใช่แล้วลูกชอบมั้ย""ชอบมากเลยค่ะ นั่นอะไรคะ" ฮว๋าเย่มองไปเห็นของใช้มากมายที่วางอยู่ตรงหน้าชี้นิ้วถามพ่อด้วยความสงสัย"ก็อุปกรณ์การเรียนไง พ่อได้ยินมาจากแม่ของลูกว่าตอนนี้ได้สมัครเรียนไว้ให้เสื้อผ้ากระเป๋าก็มีแล้ว พ่อเลยเลือกซื้อของที่ลูกยังไม่มีเอาไว้ให้""คุณไปเตรียมของพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" เฟิงมี่ยืนอยู่นั้นก็สงสัยไม่ต่างจากลูกสาวเขาอยู่กับเธอตลอดเอาเวลาตรงไหนไปซื้ือของมากมายพวกนี้กันนะ"ฉันเป็นนายพลแค่สั่งลูกน้องไม่กี่คนของพวกนี้ก็ถูกจัดการตามคำสั่งแล้วล่ะ ฮว๋าเย่ลูกสำรวจห้องของตัวเองอย่างเต็มที่เลยนะ ดูสิว่ามีอะไรที่ลูกอยากได้บ้างพ่อมีเรื่องจะคุยกับแม่ของลูกหน่อย""ได้ค่ะ" หลวนหลงจับมือของเฟิงมี่ให้ตามเขาไปที่ห้องนอนของทั้งสอง เฟิงมี่เดินตามไปด้วยความงุนงง"เรามีเรื่องอะไรจะคุยกันอีกหรือคะ""มีสิ ฉันมีของขวัญขึ้นบ
บทที่ 19 ทุกอย่างต้องเป็นของหย่งอี้ซูเจี้ยนกำมือแน่นสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อระงับอารมณ์จ้องมองรถยนต์เคลื่อนออกไปข้างนอกจนพ้นสายตา ซูหรงเดินลงมากับหย่งอี้ได้ยินเสียงรถยนต์ออกไปรีบเดินมาหาซูเจี้ยนด้วยความอยากรู้“คุณแม่คะเมื่อครู่นี่เสียงรถยนต์ของหลวนหลงออกไปทำงานหรือคะ”“ใช่รถยนต์ของหลวนหลงแต่ไม่ใช่ไปทำงาน ลูกชายของฉันเป็นถึงนายพลยิ่งใหญ่ทำไมโง่ดักดานดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนั้นมันเป็นคนชั่วร้ายแถมยังสวมเขาให้ลูกชายฉันอีกด้วย” ซูเจี้ยนพูดออกมาอย่างหัวเสียมือที่ถือกระดาษของฮว๋าเย่มอบให้เมื่อครู่เผลอใส่กระเป๋าเสื้ออย่างไม่รู้ตัว“อย่าบอกนะคะว่าตอนนี้นังเฟิงมี่ย้ายออกไปแล้ว แล้วแผนที่คุณแม่ป่วยไม่สามารถเรียกร้องให้หลวนหลงอยู่ที่นี่ต่อได้หรือคะ นังเฟิงมี่มันมีดีอะไรที่ทำให้หลวนหลงหลงเธอได้ขนาดนี้กัน”“นังนั่นมันร้าย มันจับได้นะสิว่าฉันแกล้งป่วยเธอรู้มั้ยเมื่อวานมันเอาข้าวต้มใส่เกลือเค็มปี๋ไปให้ฉันกิน ฉันล่ะอยากตบเธอสักฉากแต่ก็กลัวว่าหลวนหลงจะมาเห็นเข้าและคิดว่าฉันรังแกนังเฟิงมี่แค่นี้ลูกชายของฉันก็เชื่อมันจนหมด ถ้าเกิดรู้ว่าฉันเป็นคนลงไม้ลงมือรังแกนังเฟิงมี่คงไม่อยากจะเจอหน้าฉันอีกต่อไปแน่ ๆ เฮ
บทที่ 18 อบอุ่น“ลูกไม่ตื่นหรอกนะ รู้มั้ยว่าทุกคืนวันฉันคิดถึงเธอขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่งดงามน้ำเสียงที่นุ่นนวลสายตาที่จ้องมองฉันด้วยความรัก ฉันคิดถึงเธอจนแทบบ้า เฟิงมี่ฉันรักเธอ” หลวนหลงพูดจบไม่เปิดโอกาสให้เฟิงมี่ได้พูดต่อก้มลงจูบอย่างนุ่มนวลที่ริมฝีปากอวบอิ่มน่าดึงดูดของเฟิงมี่ ค่อย ๆ กวาดชิมลิ้มรสความหอมหวานที่เขาคนึงหามาตลอดเวลา5 ปีที่ผ่านมา ร่างเล็กสั่นสะท้านลมหายใจเริ่มติดขัด ลิ้นสากของเขาควานไปทั่วดูดดื่มน้ำหวานรุนแรงมากกว่าเดิม มือข้างขวาค่อย ๆ ขยับเลื่อนเข้ามาในเสื้อบางของเธออย่างคุ้นชิน เลื่อนมาจับที่หน้าอกอวบอิ่มจนร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยอย่างสั่นทะท้านเมื่อเขาสัมผัสที่ยอดปทุมถันใช้นิ้วคลึงเล่นหลอกล้อโดยไม่สนอีกฝ่ายที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเสียวซ่าน ทำได้เพียงส่งเสียงประท้วงผ่านลำคอ“อื้อ อือ” สองมือของเธอดันอกของเขาเอาไว้ตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอแทบไม่มีร่างกายอ่อนระทวยไปหมด หลวนหลงแม้ไม่อยากจะหยุดแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหายใจไม่ทันจึงค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก“แค่จูบก็ทำให้เธออ่อนระทวยไปหมดแล้วหรือ ? อย่าพึ่งหมดแรงสิคืนนี้ทั้งคืนฉันจะไม่ให้เธอนอนเลยชดเชยเวลาที่เราไม่ได้เจอกันหลายปี
บทที่ 17 ปากหวาน“แกคิดว่าทำอย่างนี้แล้วฉันจะกลัวแกหรือไงกัน ไม่มีทางคอยดูเถอะฉันจะเอาคืนให้สาสมนังเฟิงมี่ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนฉันไม่มีทางนับญาติกับคนอย่างแกแน่นอน” ซูเจี้ยนพูดสถบตามหลังเฟิงมี่อย่างโกรธแค้นเฟิงมี่เดินออกมาจากห้องของซูเจี้ยนพลางเดินไปหาสามีกับลูกของเธอเห็นว่าตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินออกมาจากห้องพอดี“คุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง”“คุณแม่ของคุณน่าจะหายดีแล้วล่ะ ฮว๋าเย่หิวมั้ยลูกเราลงไปกินข้าวกันเถอะ” เฟิงมี่ไม่อยากจะพูดว่าอาการป่วยของแม่สามีคือเรื่องโกหกจึงรีบเปลี่ยนเรื่องจับมือฮว๋าเย่เดินมาชั้นล่างโดยมีหลวนหลงเดินตามลงมา ตอนนั้นไคฉีกลับมาจากที่ทำงานพอดี เฟิงมี่จึงชวนกินข้าวด้วยกัน“พี่ไคฉีมาพอดีเลยเรากำลังไปกินข้าวกัน กินด้วยกันนะคะ”“เอาสิ วันนี้ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน ที่ทำงานมีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวันเลยเดี๋ยวฉันขึ้นห้องเก็บของแล้วจะตามไปที่ห้องกินข้าวแล้วกัน” ไคฉีบอกกับเฟิงมี่ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด“ได้ค่ะเดี๋ยวฉันจะเตรียมข้าวไว้รอ”“พี่ไคฉีปกติกลับบ้านเวลานี้ตลอดเลยรึ” หลวนหลงเอ่ยถามเฟิงมี่อย่างสงสัยเมื่อทั้งสามเดินมาถึงห้องอาหาร“เมื่อก่อนฉันไม่ค่อยรู้เพร