ตกเย็นเดนีสก็พาวินตราไปเลือกชุดเสื้อกั๊กสูทมาหนึ่งชุดโดยมีเดนิมเป็นคนจัดแจงให้
“เหมาะมากเลยครับ” เดนิมที่กลับมาอยู่บ้านหลังจากขอเลิกรากับอดีตสามีอย่างพิพัฒน์นานๆถึงจะเข้าร้านทีอีกอย่างเป็นงานสำคัญของพี่ชายเขาเลยออกมาร้านมาช่วยเลือกให้ตัวเองแต่เหมือนอีกฝ่ายจะให้เขาช่วยเลือกชุดให้คุณเลขาส่วนตัวมากกว่า
“ขอบคุณครับ” วินตราตอบเสียงเรียบแววตาของเดนิมทำเอาวินตราประหม่าอย่างบอกไม่ถูกสายตากลมสุกใสเหมือนตากวางเวลามองมาที่เขาและท่านประธานเหมือนมีอะไรแฝงอยู่ในนั้น
“ขอบคุณนะน้องรัก”
“ยินดีครับ”
ก็จะไม่ให้น้องชายอย่างเดนิมยิ้มได้อย่างไรบัตรเครดิตวงเงินเยอะขนาดนั้นพี่เดนีสไม่เคยให้เขายืมด้วยซ้ำแต่กลับอยู่กระเป๋าสตางค์ของคุณเลขาส่วนตัวจะไม่ให้เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่คนทั้งคู่ได้อย่างไร
แถมร้าน JeansShore ยังมีหน้ากากขนนกหลากหลายให้เลือกอีกโจชัวร์พาร์ทเนอร์ร้านที่สวมกางเกงยีนแฟชั่นเปิดหน้าขาจนเหมือนเศษผ้าในความคิดของเดนีสเดินเข้ามาหาพร้อมกับแนะนำหน้ากากแต่ละชิ้นให้คุณเลขาได้ฟังและเลือกอีกฝ่ายพูดน้ำไหลไฟดับจนวินตราเวียนหัวไปหมดเลยหยิบมาสักอันเพื่อตัดรำคาญ
“อันนี้แหละครับ”
“เหมาะมากเลยครับ” โจชัวร์ดีดนิ้วดังเปาะก่อนจะค่อยๆสอนวินตราใส่และถอดเป็นแบบติดแม่เหล็กไม่ใช่สายรัดทั่วไปลองใส่เสร็จโจัชัวร์ก็เอ่ยปากชมอย่างใจจริง
“โอ้โหพอใส่หน้ากากแล้วยิ่งยั่วยวนน่าหลงใหลลิปนี้ของอะไรครับ”
“ลิป?” วินตราอ้ำอึ้ง
“อย่าบอกนะว่าไม่ได้ทาลิปแม่เจ้า! ริมฝีปากสีสวยและอิ่มเอิบสีแดงอมชมพูแบบนี้น่าอิจฉามากๆเลยล่ะครับ”
ใช่…แถมยังน่าจูบมากๆด้วยในความคิดของเดนีส
“นายก็สูบบุหรี่ให้น้อยๆหน่อยสิ” เดนิมว่าโจชัวร์กลอกตา
“เกี่ยวอะไร” ก่อนจะงอนตุ๊บป่องไปดูเครื่องประดับอื่นๆให้ลูกค้ากิตติมศักดิ์อย่างวินตราที่มากับลูกชายคนโตของท่านเจ้าสัวเครื่องประดับของทางร้านก็เป็นเอกลักษณ์ทุกชิ้นพอมาอยู่บนตัววินตราแล้วยิ่งขับให้อีกฝ่ายมีเสน่ห์มากขึ้นลำคอระหงรับกับสร้อยเงินจี้รูปหัวใจล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็กๆอย่างลงตัว
“ไม่ทราบว่าจะรับแหวนเพิ่มหรือเปล่าครับ” พนักงานร้านเอ่ยถามวินตราที่กำลังจะเอื้อมมือมาหยิบแต่ละวงดูพลันมีอีกมือหนึ่งมาจับมือเขาไว้ก่อน
“ไม่ดีกว่าครับปล่อยโล่งๆไว้อย่างนี้แหละดีแล้ว” วินตราไม่พูดอะไรแต่เดนีสกลับทำหน้าบูดบึ้ง
“นี่หากลองสวมไปแล้วถอดไม่ออกทำไง”
“อะไรครับ”
“ก็แหวนในถาดพวกนั้นไงไม่เหมาะกับนายเลยสักวง” เดนีสพูดพลางมองแหวนในถาดที่พนักงานเอาไปเก็บไว้ที่เดิม
“ก็ไม่ได้คิดจะซื้อนี่ครับ”
“ดีแล้ว” ไม่พูดเปล่ายังจับมือวินตราเล่นทำทีเป็นจับนิ้วนั้นนิ้วนี้สุดท้ายนิ้วนางข้างซ้ายก็คลำกระดูกไปมาก่อนจะผละไปไม่พูดอะไรอีกอะไรของเขาวินตรายืนงงสงสัยประสาทจะกลับ!
ภายในงานเลี้ยงปาร์ตี้หน้ากากเดนีสนั่งคุยกับผู้บริหารผู้จัดการฝ่ายอื่นๆอย่างเป็นกันเองและน้อมรับคำวิจารณ์และการติเตียนของรุ่นใหญ่อย่างไม่ถือตัวไม่เหมือนกับที่พวกเขาได้ยินมาก่อนหน้าสร้างความประทับใจให้กับผู้จัดการอาวุโสหลายท่านอีกทั้งยังถ่อมตัวและอยากเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์จริงในหลายๆเรื่องๆเรียกได้ว่าสร้างคะแนนที่ติดลบร่วมสิบก่อนหน้าให้กลับมาบวกขึ้นได้หลังจากมีการปรับสวัสดิการเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันและยังเพิ่มเงินสวัสดิการสำหรับครอบครัวที่มีผู้ป่วยติดเตียงมีโครงการส่งพนักงานไปเยี่ยมเยียนทุกปีและที่สำคัญสวัสดิการเด็กสำหรับครอบครัวที่มีบุตรโครงการจ่ายค่าเทอมกึ่งหนึ่งโดยคำนวณจากระยะเวลาที่ทำงานหากทำงานมาร่วมยี่สิบปีรับผิดชอบค่าเล่าเรียนถึง 80% และยังจะสร้างเนิสเซอรี่สำหรับพนักงานฝ่ายโรงงานอีกเขาปรึกษาหารือกับวินตราอยู่นานส่งเรื่องเข้าที่ประชุมสุดท้ายก็ไฟท์จนได้รับการอนุมัตินั่นคือผลงานเป็นชิ้นเป็นอันของเดนีสในรอบสองปีที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเป็นสวัสดิการไม่ขายฝันสามารถจับต้องได้
กล่าวเปิดงานสองสามประโยคภายใต้หน้ากากสีเทาก่อนจะขอตัวกลับโดยมีวินตราเดินตามหลัง
สูทที่ซื้อใหม่กับเครื่องประดับราคาแพงหูฉี่ที่สวมใส่ไม่ถึงสองชั่วโมงวินตราโคลงศีรษะ…โลกของคนรวยนี่มันอยู่คนละโลกกับพื้นฐานเศรษฐกิจปัจจุบันบางคนเงินเดือนสองหมื่นกินทั้งบ้านแต่สร้อยคอที่เขาสวมอยู่ราคาสองแสนไม่รวมสูทบางคนใช้เงินครึ่งล้านโดยไม่คิดอะไร
“คิดอะไรอยู่” เดนีสหันมาถามในขณะเดินไปที่รถตู้
“เปล่าครับ”
“มานี่สิ” เดนีสยื่นมือไปทางวินตราแต่วินตรากลับเดินนำหน้าไปก่อน
“เฮ้! ฉันอุตส่าห์ส่งมือให้นายเลยนะ” วินตราเดินหนีขึ้นรถตู้เดนีสยิ้มที่มุมปากเดินขึ้นรถตามไปติดๆประตูรถปิดลงพร้อมกับช่างภาพที่ลดกล้องในมือลงตามมองไฟท้ายรถที่ขับออกไป
“จะไปไหนครับ”
“เดี๋ยวถึงก็รู้เองแหละน่า”
“ถ้าเป็นผับบาร์…ไม่ไป” วินตรากอดอกจ้องมองไปยังด้านข้างที่ไม่รู้ว่ามีม่านสีดำติดตั้งแต่เมื่อไหร่ภายในรถเปิดไฟและส่วนคนขับจะมีกระจกกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัวของเจ้านายตอนนี้เขาเปลี่ยนคนขับใหม่เป็นบอดีการ์ดที่มากฝีมือพกปืนติดตัวอยู่ตลอดเวลารวมไปถึงจะมีคนคอยตามห่างๆหากเกิดเรื่องสุดวิสัยจะได้เข้าช่วยเหลือทันเวลาเพราะสถานการณ์ตอนนี้ระอุและไม่ได้นิ่งเงียบเหมือนอย่างที่ตาเห็นพายุลูกเห็บขนาดใหญ่กำลังจะพัดผ่านมรสุมชีวิตห่าใหญ่กำลังจะผ่านเข้ามาเพื่อทดสอบเขาและคนข้างๆ
แต่กรณีของเดนีสนั้นโชคดีกว่ามากเพราะพื้นเพทางฝั่งแม่และพ่อก็มีอำนาจและบารมีพอสมควรเป็นห่วงก็แต่คุณเลขามีเพียงตัวคนเดียวไม่มีป้อมปราการให้หลบหนีเดนีสยังโชคดีที่มีรั้วศศิภักดีเป็นที่กำบังมีเพื่อนพี่น้องที่คอยช่วยเหลือแต่วินตรามีเพียงเขาเขาคนเดียวเท่านั้นไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงจะเหมือนเดิมอย่างนี้ไหมแต่ว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่ยังคงอยากทำตามความปรารถนาอยากจะเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆที่มีร่วมกันให้มากที่สุดอย่างเช่นดินเนอร์ใต้แสงเทียนค่ำคืนนี้ วินตราขมวดคิ้วมุ่นก่อนลงจากรถอีกฝ่ายยังให้เขาสวมใส่หน้ากากบ้าบอนี่อีกด้วยจับจูงมือขึ้นลิฟต์แก้วไปยังชั้นบนสุดของโรงแรมหรูหกดาวแห่งหนึ่งเหมาชั้นรูฟท็อปเอาไว้มีเพียงพวกเขาสองคนและนักแสดงดนตรีแจ๊ซคอยบรรเลงขับกล่อมให้บรรยากาศค่ำคืนนี้โรแมนติกและหอมหวานเดนีสฉีกยิ้มปากเกือบจะถึงรูหูมีเพียงวินตราที่เอาแต่เหม่อมองไปด้านข้างทอดมองท้องฟ้าเส้นผมปลิวไปตามลม เดนีสจับฝ่ามือของวินตราอย่างทะนุถนอมวินตราชักมือกลับ“เป็นอะไรไป” วินตราถอดหน้ากากออกอย่างช้าๆจดจ้องชายหนุ่มตรงหน้าที่สวมหน้ากากสีเทาไว้ครึ่งหน้าใช้สายตาสำรวจดวงตาไล่มาตรงโหนกแก้มและริมฝีปากเป็
วินตราดื่มไวน์ไปหลายแก้วอาจเป็นเพราะการเปิดเปลือยความรู้สึกต้องอาศัยความกล้าจากแอลกอฮอล์กล่อมสมองให้มึนเมาแม้ความมึนเมาจะทำให้สมองคิดช้าไปชั่วขณะแต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านทางร่างกายที่กอดแนบแน่นอยู่บนโซฟาในขณะนี้เป็นของจริงตอนนี้วินตราเหมือนแมวยั่วสวาทสายตาที่มองมาที่เดนีสทั้งหยาดเยิ้มและวาบหวามอยู่ในทีเจือความเว้าวอนในนั้นบางอย่าง …ขย้ำฉันสิ… แม่งเอ่ย! เดนีสสบถอยู่ในใจหลายรอบท่องพุธโธพุธถังกะละมังหม้อเอาไว้ในใจมั่วไปหมดแถมยังไม่กล้าสบประสานสายตากับคนในอ้อมแขนตรงๆกลัวว่าบางสิ่งจะลุกมาเคารพธงชาติทำเสียเรื่อง!ก่อนหน้าบนโต๊ะอาหารเดนีสอุ้มคุณเลขาที่แทบจะฟุบกับโต๊ะดินเนอร์กลางแสงเทียนมายังห้องสวีทที่จับจองไว้ก่อนหน้าจองไว้เพื่อเล่นละครแต่ดันสวมบทบาทจริงคุณเลขาเมาจริง! “นี่…กินยาเค้าไม่ให้ดื่มของมึนเมาไม่ใช่เหรอ” เดนีสไม่ใช่หมอแต่ก็พอจะเคยได้ยินมาบ้างยาพวกนี้เป็นยาที่ส่งผลต่อการทำงานของสารสื่อสมองโดยตรงและห้ามไม่ให้ดื่มแอลกอฮอล์ในขณะที่ทานยาพวกนี้วินตราไม่ตอบได้แต่นั่งอยู่บนตักโอบรอบคอของท่านประธานอยู่อย่างนั้นด้วยใบหน้าแดงก่ำเดนีสลืมเสียสนิท! “มองฉันแบบนี้หมายความว่าไงฉัน…มีศีลธรรมมากพอ
“คบเด็กสร้างบ้านไม่เคยได้ยินเหรอ” เดนีสเอ่ยเย้าข้างหู “บางทีหากเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดเผยระหว่างเราอาจไม่มีวันนี้ก็ได้” เดนีสถอนหายใจกับความไม่มั่นใจในตัวเองของตรงหน้า“คิดว่าฉันไม่เคยได้ยินเรื่องรับน้องของเด็กทุน 25 ล้านนั่นเหรอ” วินตราตัวแข็งค้าง“แล้วไงมันไม่ได้หักคาเสียหน่อยคุณค่าของนายไม่ได้อยู่ที่ความบริสุทธิ์ของร่างกายแต่อยู่ที่นี่” เดนีสจิ้มไปยังหัวใจฝั่งซ้ายของวินตรา“ความสามารถที่นายมีไม่ว่าคนอื่นจะไม่เห็นและไม่ยอมรับแต่ท่านเจ้าสัวเดรโกและพนักงานของ SS GROUP ต่างก็ยอมรับฝีมือในการทำงานของนายทั้งนั้นอีกทั้งพ่อเลี้ยงดนัยนี่เอ็นดูนายเหมือนลูกหลานคนหนึ่งด้วยซ้ำ” “การยอมรับอดีตไม่จำเป็นว่าเราต้องแสร้งลืมความเจ็บปวดเหล่านั้นแต่วินตรา…การจมกับอดีตไม่ได้ช่วยอะไรแถมยังจะทำให้นายเจ็บปวดมากกว่าเดิมวันไหนที่นายลุกขึ้นแหงนหน้ามองฟ้าด้วยความมั่นใจวันนั้นนายจะเห็นว่าอดีตเหล่านั้นคืออุปสรรคที่เราต้องฝ่าฟันและเติบโตหากนายไม่เข้มแข็งไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันนายจะช่วยคนอื่นได้ยังไงขึ้นอยู่กับนายแล้วนะ” เดนีสแนบหน้าผากกับวินตราพลางหลับตาถ่ายทอดความรักและความปรารถนาดีให้แก่กัน“ขอให้นายมั่นใจฉัน
เมื่อเลี้ยงอาหารเสร็จวินตราก็เข้าไปพบปะพูดคุยกับบรรดาพี่เลี้ยงและคุณครูทั้งหลายที่เคยดูแลตั้งแต่เขายังเป็นเด็กบ้างเกษียณบ้างล้มหายตายจากไปตามกาลเวลาแต่ทุกๆปีกลับมีเด็กมากมายที่วนเวียนเข้ามาที่นี่ไม่ต่างจากหลายสิบปีก่อนหน้าแม้แต่น้อย ก่อนกลับวินตราพาเดนีสไปสถานที่แห่งหนึ่ง ‘สุสานไร้ญาติ’ วินตราวางดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่วางไว้กับพื้นตรงหน้ารูปถ่ายของผู้ชายที่มีรอยยิ้มเจิดจ้าดั่งดวงตะวัน ‘จินตะ’ เดนีสไม่ถามแต่ยืนข้างๆวินตราเงียบๆ “เขาชื่อจินตะเป็นพี่ชายที่เติบโตมาในศูนย์ด้วยกันและเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของฉัน” เดนีสพาดมือไว้ที่เอวของวินตราพร้อมกับตบหลังเบาๆ “และเขาก็คือคนคนเดียวกับในข่าวเมื่อหลายปีก่อน” น้ำเสียงวินตราสั่นเครือ “วินตรา” เดนีสโอบกอดวินตราเข้ามาในอกลูบหลังเขาขึ้นลงช้าๆเอ่ยปลอบประโลม“นายต้องเข้มแข็งหากไม่มีนายใครจะทวงความยุติธรรมให้เขา” วินตราพยักหน้าเงียบๆปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหลนองหน้าเมื่อก่อนการร้องไห้ของเขาช่างยากเย็นความเครียดสะสมรุมเร้ากลายเป็นคนที่ร้องไห้ยากแต่พอมีอ้อมกอดอุ่นๆให้ซบแบบนี้การร้องไห้ที่ว่ายากเย็นหยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากลับไหลเป็นสายไม่มีทีท่าว่าจะเ
“มีหลักฐานแล้วไง? แกคิดว่าวิดีโอไฟล์เดียวจะสั่นคลอนพวกนั้นได้?” เดนีสหน้ามุ่ยเขากลับบ้านตอนปีใหม่เพื่อมาปรึกษาท่านเจ้าสัวแต่เหมือนจะไม่ได้คำตอบที่ต้องการท่านเจ้าสัวถอนหายใจสองพ่อลูกนั่งคุยกันในห้องทำงานที่บ้านใหญ่ของศศิภักดี“แล้วลูกหมาอย่างแกจะทำอะไรได้” เดนีสหน้างอง้ำไม่ตอบโต้อะไรอีก“ฉันจะบอกอะไรให้ที่ฉันให้แกดูแลบรรจุภัณฑ์เพราะอะไรรู้ไหม” เดนีสหลุบตามองมือตัวเองไม่ตอบ“เฮ้อแกก็เป็นซะอย่างเงี้ยความคิดความอ่านเปิดเผยทางสีหน้าหมดตอนตามฉันไปออกงานก็ทำหน้าบูดเป็นตูดลิงให้สร้างคอนเนกชันแกก็บอกว่าเสแสร้งแกเป็นคนไม่ยอมก้มหัวให้ใครยอมหักไม่ยอมงอนั่นอาจเป็นความภาคภูมิใจของแกแต่ไม่ใช่ฐานะนักธุรกิจ! อสังหาฯหรือยานยนต์เส้นทางธุรกิจไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่แกเห็นไอ้สีหน้าท่าทางของแกที่แสดงออกมามันเปิดเผยให้ศัตรูโจมตีชัดๆ” “อสังหาฯและยานยนต์เหยียบเท้ากันบางทีอาจตัดสินผิดถูกด้วยลูกปืนแกว่าทำธุรกิจง่าย?” “หากแกเปิดหน้าท้าชนแกจะเอาอะไรไปสู้?” ท่านเจ้าสัวชี้ไปยังรูปภาพครอบครัวที่ติดอยู่ฝาผนังด้านข้าง“เรื่องนี้ใหญ่กว่าที่แกคิดลำพังศศิภักดีคนเดียวไม่สามารถล้มกระดานนี้ได้หมดจดแกต้องมีพรรคพวกคอนเ
“มึงคงจะได้ข่าวเรื่องท่าเรือที่เป็นข่าว” เดนีนพยักหน้าน้อยๆแต้มยิ้มที่มุมปากตามสไลต์ของเจ้าตัวแต่เดนีสมองว่าเป็นรอยยิ้มที่น่าเสยหมัดใส่สักเปรี้ยง“ขัดขาเรื่องผลประโยชน์ความจริงมีคนตายด้วยแหละแต่เงินหนามากพอที่จะอุดปากสื่อไม่ให้เล็ดลอดออกไป” เดนีสแสยะยิ้ม“ใคร”“ไม่ใกล้ไม่ไกลเห็นว่าเป็นไม้เบื่อไม้เบากันมานานเกี่ยวโยงถึงทางฝั่งอีสาน” “พ่อเลี้ยงดนัย?” “อือเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งนั้นทำตู้คอนเทนเนอร์ส่งไปยังต่างประเทศแต่ลูกค้าตัวดีดันยัดทองคำใส่พระพุทธรูปหลายตันงานนี้ผีขายหน้าชัดๆหลุดมือหรืออะไรนี่แหละพระพุทธรูปที่ถูกยัดไส้ด้วยทองคำแท่งเลยโป๊ะแตก” เขาทึ่งข่าววงในจากปากแฝดน้องไม่น้อยนี่สินะที่ว่าโลกธุรกิจต้องหูตากว้างไกลรู้เขารู้เราเมื่อก่อนเขาไม่สนใจใคร่รู้ข่าวพวกนี้มาก่อนเลย “ว่าแต่อยากจะรู้ไปทำไม” เดนีนถามพลางจิบแชมเปญในมืออึกใหญ่ดับกระหายอีกอย่างเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าจริงจังและแววตาขึงขังเอาจริงเอาจังของแฝดพี่แบบนี้มาก่อน“เพราะเหยียบตีนนายน้อยดารากรจริงๆนั่นแหละ” “แต่ข่าวก็ตลกดีว่าแต่…ไม่เห็นหนีบเอามาด้วย” เดนีสเลิกคิ้วแม้ว่าในข่าวจะไม่ได้ระบุโต้งๆว่าเป็นใครแต่แฝดน้องที่อยู่ห่างไกล
วินตราเคยถามคำถามประโยคหนึ่งกับตัวเองเสมอ“เขาเกิดมาทำไมเกิดมาเพื่ออะไร?” หรือเกิดมาเพื่อประสบกับโชคร้ายแล้วก็ตายไปอย่างนั้นโดยที่ไม่รู้ว่าความสุขในชีวิตคืออะไรเขาไม่เคยเข้าใจความรักความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวพ่อแม่ที่ให้กำเนิดกลับกลายเป็นฝันร้ายทุบตีเขาตั้งแต่จำความได้เป็นเด็กที่หิวโหยจนไส้กิ่วหลับตาก็มีแต่ความหวาดระแวงไม่รู้ว่าพ่อขี้เมาที่เป็นผีพนันจะกลับมาเฆี่ยนตีเขาเพื่อระบายโทสะอีกเมื่อไหร่ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มตามวัยไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาพ่อเคยพูดว่า ‘รอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มหยัน’ เขาแค่เพียงอยากยิ้มอยากพูดคุยหัวเราะด้วยกันเหมือนอย่างครอบครัวอื่นทั้งๆที่ความจริงเป็นรอยยิ้มที่ซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ในนั้นมากมาย เขากลับยิ้มให้พ่อตอนที่เขาเสียพนันผลสุดท้ายก็ถูกตบจนเลือดกบปากพ่อไม่เคยโอบกอดเขาไม่เคยเลี้ยงดูอุ้มชูดีเท่าไหร่แล้วที่ต้นกล้าอย่างเขาไม่เหี่ยวเฉาตายไปเสียก่อนแต่กลับกลายเป็นต้นไม้ที่เนื้อในเป็นโพรงอาศัยรากแก้วค้ำยันเฮือกสุดท้ายหากวันใดพายุคะนองซัดถาโถมเข้ามาต้นไม้แห่งความหวังต้นนี้คงจะล้มครืนและแห้งตายในที่สุดแต่คนตรงหน้ากลับค
หลังจากหยุดยาวปีใหม่ ท่านประธานที่ไม่รู้ไปกินยาโด๊ปมาจากไหนก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เหมือนเป็นคนละคนจนเลขาหน้าห้องอย่างปรียานุชรู้สึกได้ รวมไปถึงการประชุมบอร์ดบริหารล่าสุดที่ท่านประธานเสนอโครงการจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมาก็ผ่านมติเห็นชอบอย่างฉลุย อีกทั้งบอร์ดบริหารก็ไม่ได้ด่ากราดสาดน้ำลายใส่ท่านประธานเหมือนอย่างแต่ก่อน คำพูดคำจาของท่านประธานก็ฉะฉานมีลูกล่อลูกชน เหมือนมีร่างอวตารของคุณเลขาอยู่ในนั้นหนึ่งส่วน สีหน้าราบเรียบจนคนเดาอารมณ์ไม่ออกทำให้หลายคนเกร็งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว การบริหารปีที่ 3 เหมือนว่าจะราบเรียบและมีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ซักถามไล่เลียงจนหัวหน้าแผนกต่าง ๆ ไม่กล้าทำงานผิดพลาด อีกทั้งยังมุ่งมั่นตั้งใจทำงานตามท่านประธานไปด้วย จากชื่อเสียงฉาวโฉ่ในคราเรียกเปลี่ยนไปได้รับความชื่นชมอย่างช้าๆเดนีสไม่รีบร้อนการเติบโตของเขาต้องอาศัยเวลาและประสบการณ์รวมไปถึงบารมีที่ผู้คนต่างใช้การยอมรับและนับถือต้องซ่อนคมไว้ในฝักไม่เปิดเผยจุดอ่อนให้ศัตรูได้รู้ง่ายๆเหมือนเมื่อก่อนและช่วงนี้เขาก็ติดต่อกับพ่อเลี้ยงดนัยขยายอิทธิพลทางธุรกิจจากฝั่งอีสานค่อยๆตีตื้นมาในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลอย่างช้าๆเริ่ม
“ถอยไปเลยไป” “ด่าฉันด้วยสายตาอีกแล้ว” วินตรารีบคลุมสาบเสื้อชุดคลุมของตัวเองรัดสายคาดเอวอย่างแน่นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคืองในกระจกเดนีสก็หอมกระหม่อมคุณเขาซ้ำๆอยู่นั่นไม่สนใจสายตาที่อยากจะสับเขาเป็นชิ้นๆของคุณเลขาในกระจกสักนิดวินตราหวานไปทั้งตัวเหมือนช็อกโกแลตที่ข้างนอกแข็งขึ้นเป็นรูปต่างๆได้แต่พอวางอยู่ในอุ้งมือหรือในโพรงปากก็ละลายออกมาหวานละมุนกลิ่นโกโก้ชั้นดีตีขึ้นในโพรงจมูกจนอยากจะอมไว้ในปากทั้งวันไม่อยากให้ใครได้เห็นได้กลิ่นวินตราเป็นของเขาของเขาคนเดียวเท่านั้นสภาพท่านประธานในตอนนี้เหมือนอยากจะอมหัวเขาเหมือนหมาโกลเด้นที่ออดอ้อนออเซาะเจ้าของไม่รู้จักเบื่อนี่นะเหรอ…ข้าวใหม่ปลามันที่หลายคนพูดถึงแต่วินตราก็ยังเป็นวินตราคนเดิมเขาเป็นคนแสดงออกไม่เก่งแต่ก็ไม่ได้รังเกียจสัมผัสของอีกฝ่ายคนในกระจกเป็นคนแรกและคนเดียวที่วินตราค่อยๆแง้มประตูที่ปิดตายเอาไว้ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงความไม่สมประดีของตัวเองแผลใจไหนจะขยะที่ซุกซ่อนไว้ในใจรวมไปถึงในห้องคอนโดของตัวเองผู้ชายคนนี้ได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัวจนมันแผ่มาถึงคนนอกอย่างเขาได้ง่ายๆวินตราคิดว่าการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้แย่เพราะเขากลัวว่า
“รเร็วกว่านี้” เดนีสยันแขนแต่เอวก็เคลื่อนไหวเนิบช้าแต่ออกสุดตอกจนสุดเช่นกันวินตราแหงนหน้าเมื่อส่วนล่างถูกบดขยี้บี้ซ้ำๆจนสุดโคนจนรู้สึกถึงเส้นขนหยาบแข็งๆกระทบแก้มก้น“เรียกที่รักก่อนสิ” เดนีสซุกที่ซอกคอวินตราพร้อมกับขมเม้มเบาๆก่อนจะงับติ่งหูขาวนั้นดูดดึงจนวินตราครางไม่เป็นภาษาจะหนีไปไหนก็ไม่ได้เดนีสยกยิ้มมุมปาก ‘ติ่งหู’ เป็นอีกจุดที่ไวต่อสัมผัสของคุณเลขาคนสวยวินตราเม้มปากแน่นจนเอื้อมมือไปกำผมของไอ้ประธานเฮงซวยที่ทำตัวขบถแม้กระทั่งจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มอย่างนี้“อึก” เดนีสหัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงกระชาก“แม่งนี่นายเล่นกระชากหัวผัวตัวเองเลยเหรอฉันก็ปรนเปรออยู่นี่ไงที่รัก…อย่าใจร้อน” แถมยังแลบเลียริมฝีปากอย่างมาดร้ายเขาสะบัดหัวจากการกอบกุมจัดท่าขาสองข้างพาดบ่าวินตราตอนนี้ตัวจะม้วนกลับหลังอยู่แล้ว “เอาล่ะทำใจดีๆฉันจะแทงไปจนถึงแกนโลกเลยล่ะ” “อะไอ้!” เดนีสเหมือนนั่งยองแทงซ้ำๆดั่งปากว่าจุดกระสันถูกแทงซ้ำๆอย่างนั้นวินตรากัดปากตัวเองอย่างแรงความเสียวตีรื้นขึ้นมาอีกระลอก “มะไม่ไหว” วินตราส่ายหน้าสะบัดไปมาจนผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมดจังหวะที่เร็วและแรงขึ้นส่งทั้งตัวเองและวินตราไปถึงฝั่งฝันอย่างรวดเร็
หรือไม่…อาจไม่เคยเดินสวนทางกันด้วยซ้ำไปเมื่อเห็นวินตราไม่ตอบเดนีสเลยพูดต่ออีกอย่างเขาไม่เชื่อคำสัญญาของวินตราสักเท่าไหร่คุณเลขาของเขาน่ะใจร้ายได้เสมอ“สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกันไปจนกว่าจะแก่เฒ่า”“นายเอาจริง?” วินตราถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเชื่อถืออีกฝ่ายสักเท่าไหร่ตลอดกาลมีจริงๆเหรอแต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก “อือฉันเอาจริงและจริงจังถ้านายกล้าทิ้งฉัน…ฉันจะออกตามหานายสุดล่าฟ้าเขียวจะทิ้งทุกสิ่งไปตามหานายไหนๆฉันก็เป็นคุณชายหัวขบถอยู่แล้ว” วินตราดึงแก้มเขาอย่างแรง“ท่านประธานเอาแต่ใจเกินไปแล้ว”“แล้วรักหรือเปล่าล่ะ” วินตราไม่ตอบได้แต่จ้องมองไปยังนัยน์ตานั้นมองภาพใบหน้าตัวเองที่ฉายชัดอยู่ในนัยน์ตาสองคู่นี้“ต้องคิดด้วยเหรอ” เดนีสเย้าแหย่ วินตรายกหัวจุมพิตข้างริมฝีปากนั้นเบาๆก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ฉันไม่รู้ว่าความรักเป็นยังไงแต่…กับนายมันพิเศษกว่าคนอื่นและสองมือนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดมันทั้งอบอุ่นและปลอดภัยอ้อมอกนี้ก็เช่นกัน” เดนีสมองวินตราอึ้งๆก่อนจะยิ้มโค้งจนตาหยี“นายรักฉันแหละฉันดูออกมาตั้งนานแล้ว” ริมฝีปากประกบกันอีกครั้งครั้งนี้วินตราโอนอ่อนผ่อนตามเปิดเปลือยให้อีกฝ่ายได้ชักนำแ
“ฉันปวดไหล่” “นายจ่ายไหวเหรอฉันคิดค่าบริการแพงนะ”“จะเท่าไหร่กันเชียวอย่าลืมฉันถือแบล็กการ์ด”“ฮ่าๆ” เดนีสหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมจุมพิตที่แผ่นหลังขาวเนียนนั้นหนึ่งทีเบาๆ “แสบจริงๆใครไม่รู้คงคิดว่านายเป็นเมียฉัน” “ฝันไปเถอะ” “ใจร้าย” นิ้วมือลงน้ำหนักนวดโดยผ่อนแรงลากขึ้นลงเดนีสชอบนวดสปาน้ำมันเขาจึงรู้วิธีการนวดมาบ้าง วินตรานอนใบหน้าข้างหนึ่งแนบที่ท่อนแขนจ้องมองเงาในกระจกที่คุณชายหัวขบถตั้งใจนวดแผ่นหลังให้เขาอย่างมุ่งมั่นวินตรายกยิ้มที่มุมปากบางครั้งท่านประธานของเขาก็ซื่อบื้อของแท้…“สบายหรือเปล่า”“อือ” “ฉันจะบอกให้ไม่มีใครกล้าใช้ฉันนอกจากนาย…วินตราเพราะฉะนั้นเป็นแฟนฉันได้แล้ว”“ไม่”“นี่ฉันจริงจังนะ”“ไม่” เดนีสพลิกร่างวินตราให้นอนหงายโดยที่เขาคร่อมทับเค้นเอาคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตายหัวคิ้วขมวดจนเป็นปม“ทำไมเป็นแฟนฉันไม่ดีตรงไหน”“ทุกตรง” “หา…อย่างฉันเนี่ยนะไม่ดีฉันดีมากเลยขอบอก” โอ้อวดตัวเองเก่งเป็นที่หนึ่ง“แล้ว” เดนีสก้มหน้าต่ำกระซิบเสียงแหบต่ำข้างหูคุณเลขา“ฉันก็รักนายอย่างสุดหัวใจ” พร้อมจุมพิตไหล่เปลือยเปล่านั้นแผ่วเบา เดนีสพยายามจ้องหน้าคุณเลขาไม่หลุบตามองต่ำไปมากกว่าน
“นี่ลองชิมดูเป็นไวน์ตัวใหม่ของ ONLY U แอลฯเพียง 6% น้องชายฉันคิดค้นและปรับปรุงมาตลอดจนได้ไวน์รสชาตินี้ออกมาดื่มง่ายลองสิ” วินตรารับไวน์มาจิบอย่างว่าง่ายตอนนี้เขาไม่ได้กินยารักษาสภาพจิตใจแล้วพร้อมกับเข้าตรวจร่างกายชุดใหญ่ตามคำสั่งของท่านประธานวินตราเป็น (New Male) ที่สามารถตั้งครรภ์ได้ก็จริงแต่เพราะปัญหาทางใจที่รุมเร้ามาตลอดเขาเลยมีปัญหาเรื่องฮอร์โมนเรียกได้ว่าฮอร์โมนทำงานได้ไม่เต็มที่มดลูกเลยไม่สามารถพัฒนาได้เต็มที่เหมือนคนเป็นหมันแต่ในอนาคตก็ไม่แน่เรื่องราวภายในของคนเรานั้นซับซ้อนวินตราและเดนีสต่างก็นั่งฟังหมออธิบายรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเดนีสเองก็เข้าตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีด้วยเช่นกัน แม้จะมีแอลกอฮอล์ผสมเพียง 6% แต่ดื่มเองไปเกือบขวดวินตราเองก็มึนๆเหมือนกันนานเท่าไหร่แล้วที่เขาทำตัวอยู่ในกรอบไม่ได้ปล่อยตัวปล่อยใจให้แตะต้องของพวกนี้อีกทั้งยังกินยาต่อเนื่องมาหลายปีทำให้ไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้ได้บางครั้งชีวิตคนเราก็ต้องการรสชาติที่หลากหลายการพบเจอผู้คนเดิมๆงานเดิมๆก็ทำให้ชีวิตซ้ำซากจำเจอยู่เหมือนกัน โลกของเขาที่คับแคบก็เริ่มเปิดกว้างขึ้นมาเมื่อได้เจอกับเดนีสเด
“นายโกหก” น้ำเสียงแผ่วเบาจนสัมผัสถึงของเหลวอุ่นๆที่หยดตรงลาดไหล่ของตัวเองเพราะเดนีสรู้จักวินตราเกินไปต่างหากหากเขายอมปล่อยมือตอนนี้อีกฝ่ายคงหลุดลอยไปไกลอาจไกลเสียจนเขาไม่มีทางตามอีกฝ่ายพบวินตรายังคงเป็นวินตราที่เข้มแข็งโดดเดี่ยวจนถึงขั้นใจดำที่จะหันหลังให้เขาอย่างเลือดเย็นแต่ทว่าเดนีสเองไม่สามารถปล่อยวินตราไปได้ แล้วเขาก็เป็นลูกคนรวยหัวกรวยหัวขบถที่อยากได้อะไรต้องได้ยังไงต้องมีคุณเลขามือทองคนนี้คอยกำราบ! สองแขนของวินตรายกโอบกอดกลับไปเช่นกัน ต่างคนต่างร้องไห้เงียบ ๆ ลูบหลังปลอบประโลมกันอยู่อย่างนั้น“ไปกับฉันที่หนึ่งสิ” เดนีสพูดพลางสูดจมูกไปด้วยเขาไม่อายเลยสักนิดที่จะร้องไห้ออดอ้อนต่อหน้าวินตราวินตราไม่ตอบแต่พยักหน้าเป็นอันว่าตกลงเดนีสยกยิ้มมาดร้ายที่มุมปากคิดจะหนีไปจากเขางั้นเหรอ…ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกวินตรา!เดนีนสบถอย่างหัวเสียเมื่อคุณนิติพลรายงานเรื่องประธานตัวจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ขอลาต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ตอนนี้ที่บริษัทก็ผ่านช่วงวิกฤตมาได้พร้อมกับกำจัดเห็บไรไปได้หลายตัวแถมยังดำเนินการภายใต้แฝดน้องอย่างเดนีนที่แสร้งตีหน้าขรึมเป็นเดนีสแฝดพี่เพราะความเป็นแฝดที่เหมือนกันจนแทบจะโคลนกัน
“ผมว่าจะขอลาออกครับ” ท่านเจ้าสัวเอนพนักพิงเก้าอี้จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ก้มหน้าเอ่ยบอกความต้องการ“แล้วเดนีสล่ะ” วินตราเม้มปากแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป “วินตราฉันเห็นเธอเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่งอดีตก็คืออดีตฉันยอมรับที่ความสามารถของเธอมากกว่าเรื่องอื่นเป็นรอง” “ผมทราบครับ”“วันไหนที่เธอเปลี่ยนใจกลับมาที่นี่ได้เสมอ” “ครับ” วินตรายกมือไหว้ท่านเจ้าสัวอย่างนอบน้อมตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็เก็บตัวอยู่ที่บ้านท่านเจ้าสัวตลอดตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายแล้วเขาเองก็ควรจะมีชีวิตของตัวเองสักที ตอนนั้นที่เขาหนีกบดานเอาชีวิตรอดจากสาสินก็นึกถึงท่านเจ้าสัวเป็นคนแรกตอนแรกก็กล้าๆกลัวเพราะหลักฐานที่มีนอกจากจะไม่สามารถรักษาชีวิตตัวเองได้แล้วหลักฐานพวกนี้อาจจะเป็นเถ้าถ่านในกองไฟก็เป็นได้แต่แล้ววินตราก็ไม่ผิดหวังนึกถึงคำถามนั้นที่ท่านเจ้าสัวได้ให้ไว้กับตัวเอง“ฉันรู้ว่าเธอเองก็ลำบากใจแต่วันไหนที่เธอเข้มแข็งและสามารถหยัดยืนเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้ได้เมื่อไหร่ขอเพียงเธอเอ่ยปากฉันจะช่วยเธออย่างสุดความสามารถ” ตอนนั้นวินตรายังคิดไม่ตกอย่างที่เคยบอกเหตุการณ์เหล่านั้นกัดกินใจเขาจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคนวินตราเด็
การออกมาปรากฏตัวและให้สัมภาษณ์สื่อของวินตราในฐานะเหยื่อสร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคมอย่างมหาศาลเด็กทุนที่ลังเลที่เคยตกเป็นเหยื่อไม่กล้าเปิดเผยตัวและผู้คนที่ถูกคุกคามทางเพศไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ทำงานสถานศึกษาต่างก็ตบเท้าเข้ามาให้ปากคำอย่างไม่ขาดสาย ต่างก็แชร์เรื่องราวของตัวเองผ่านโลกออนไลน์สร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้ในสังคมเป็นอย่างมากอย่าอายจนลืมที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหนก็ไม่มีใครควรถูกคุกคามทางเพศ!วินตรายืนอยู่ตรงหน้าช่องบรรจุอัฐของวัดแห่งหนึ่งย่านปริมณฑลก่อนตายจินตะได้พูดว่าอยากจะบวชสักครั้งก่อนตายแต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจนึกวินตราจึงตัดสินใจควักเงินเก็บตัวเองก้อนใหญ่ออกมาซื้อสถานที่จัดเก็บอิฐเอาไว้ตามปรารถนาสุดท้ายของจินตะตอนนั้นวินตราเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาตรีปีหนึ่งคนหนึ่งไม่รู้เลยว่าในโลกนี้มีการจัดเก็บอัฐิไว้ 4 รูปแบบด้วยกันคือ1.) ช่องจัดเก็บอิฐตามกำแพงวัด2.) จัดเก็บตามเสาไฟของวัด3.) จัดเก็บตามอาคารศาลาหรือกุฏิซึ่งจะเตรียมช่องจัดเก็บอัฐิไว้บนขื่อหรือหน้าประตูตามความเหมาะสมของสถานที่4.) ห้องไว้สำหรับจัดเก็บอัฐิโดยเฉพาะซึ่งสถานที่จะเป็นที่จัดเก
ก้องการุณย์ลั่นไกโดยที่ไม่ต้องคิดเมื่อเจนจัดหันปลายกระบอกปืนมายังผู้บริสุทธิ์ที่ด้านล่างแม้จะเล็งที่ข้อมือข้างที่ถือปืนแต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจนจัดจะถนัดยิงปืนทั้งสองข้างอีกฝ่ายตะเกียกตะกายพลิกร่างกายอย่างรวดเร็วจ่อปากกระบอกปืนที่ขมับของตัวเองคนอย่างเจนจัดไม่มีทางจนตรอกหากจะตายก็ต้องตายด้วยน้ำมือตัวเองเท่านั้น…ปัง! แต่ทว่าสวรรค์คงมีตาไม่อยากให้คนชั่วได้ตายง่ายๆแม้ว่าจะเล็งที่ขมับของตัวเองแต่ก็พลาดเฉียดไปเท่านั้นงานนี้เจนจัดได้นอนทรมานติดเตียงยาวนานพอที่จะลิ้มรสความทุกข์และบาปกรรมที่ได้ทำลงไปอย่างเต็มที่แม้อยากจะตายก็ตายไม่ได้อยู่ฟังเสียงผู้คนก่นด่าสาปแช่งและประณามจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง ศิราณีเองก็ร่ำไห้ปานจะขาดใจเธอไม่ได้ร้องไห้ให้กับไอ้สามีเฮงซวยนั้นแต่ร้องไห้ให้กับความขี้ขลาดของตัวเองหากเธอกล้ายืนหยัดและเชื่อในคำพูดของลูกชายตั้งแต่เนิ่นๆเรื่องราวคงไม่บานปลายจนมาถึงขั้นนี้ไอ้เจนจัดทำลูกคนอื่นไม่พอยังทำลูกตัวเองด้วยสารเลว! แม้จะไม่ใช่การล่วงละเมิดทางเพศแต่การลูบคลำก็ทำให้ลูกชายและลูกสาวมีแผลใจและรังเกียจพ่อตัวเองหมามันยังไม่คิดอกุศลกับลูกตัวเองศิราณีปิดหน้าร่ำไห้กับพื้นอย่าง