“ใช่พี่ แม่บอกว่าเขาย้ายไปอยู่ออสเตรเลียแล้ว พี่ลดาไม่รู้หรือ ตอนแรกนัทยังอิจฉาพี่เลยว่าได้ไปอยู่เมืองนอกกัน”
“ไม่ พี่ไม่รู้”“งั้นกลับเถอะพี่ อย่าเข้าไปเลย มันไม่ใช่บ้านของพี่ลดาแล้ว”เมื่อเห็นว่าเธอยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และรถบรรทุกข้างในกำลังแล่นออกมา เด็กหนุ่มจึงคว้าข้อมือหญิงสาวจูงให้พ้นรัศมี ก่อนจะปล่อยเธอ“พี่...เอ่อ พี่พักที่ไหน แล้วจะกลับยังไง”หล่อนส่ายหน้า สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มมอง แล้วพอปะติดปะต่อหลายอย่างได้ก็รู้สึกสงสารจับใจ นั่นคือการแสดงน้ำใจได้เท่าที่ตนสามารถ“ตรงนี้อากาศร้อน ไปที่ร้านก่อนดีกว่า พี่หน้าซีด เดี๋ยวจะเป็นลม”ปิ่นลดารู้สึกตัว กำมือแน่นอย่างเรียกกำลังใจ ถึงอย่างไรเธอต้องเดินต่อ จะหยุดชีวิตไว้ตรงนี้ได้อย่างไรกันพอจะย่างเท้ากลับไปทางต้นซอย รถหรูคันสีดำติดฟิล์มมืดสนิทก็แล่นมาจอดใกล้ ปิ่นลดาหลบทางให้ ตั้งท่าจะเดินต่อ หากต้องชะงัก เท้าหยุดนิ่งทั้งสองข้าง มองคนที่เปิดประตูก้าวออกมาด้วยความรู้สึกช็อก “พี่ลดา เราไปกันเถอะ”สายลมหนาวกระโชกแรง เสียดเสียงหวีดหวิวเป็นระยะ ท่ามกลางความเงียบสงัดที่โอบล้อมบ้านปูนชั้นเดียวขนาดหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำและหนึ่งห้องรับแขก ขนาดช่างกะทัดรัดเหมาะเจาะกับการอยู่คนเดียวเสียจริง ปิ่นลดาคงอุ่นใจกว่านี้หากที่พักพิงแห่งใหม่จะมีเพื่อนบ้านในระยะสายตามองเห็น...ไม่ใช่ตั้งอยู่ชิดขอบกำแพงสูงที่ล้อมคฤหาสน์ใหญ่ที่เห็นดำทะมึนอยู่เบื้องหน้าคฤหาสน์ใหญ่โต หรูหรา ดูมีชีวิตชีวาในตอนกลางวัน หากมืดสนิทในทุกค่ำคืนหญิงสาวเอื้อมปิดหน้าต่าง ปิดกั้นความหนาวเย็นและมืดสนิทของบรรยากาศด้านนอกที่จะแทรกผ่านเข้ามา แล้วมองหนังสือในมือจากแสงนวลของโคมไฟส่อง หนังสือเล่มเดียวที่ติดกระเป๋าเสื้อผ้ามาจากบ้านซึ่งสร้างความเพลิดเพลิน สิ่งเดียวที่ช่วยคลายเหงาและลดทอนความหวาดหวั่นที่มักจู่โจมเข้ามายามความคิดระแวงผุดแทรก และเหมือนมันจะถี่ขึ้นในพักหลังอย่างที่เธอไม่อาจหักห้ามตัวเอง“งานพี่เลี้ยงเด็ก” เธอพึมพำกับตัวเอง ก้มมองร่องรอยการใช้งานอย่างหนักของหนังสือ ไล้มุมกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับ ใช้เรียวนิ้วคลี่มันออก แล้วปิดลง หยิบวางตรงโต๊ะหัวเตียง ปีนขึ้นเตียง ทอดกายนอน พยายามหลับตา กว่าชั่วโมงที่เธอจะหลับใหล ไม่ต่า
หากทั้งหมดนั้น มันเกิดเมื่อสิบกว่าวันก่อน ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนรู้สึกในเวลานี้ปิ่นลดาเดินทอดฝีเท้าเดินจากบ้านหลังเล็กสีฟ้าเรื่อยๆ จนมาถึงเขตสวนดอกไม้ด้านข้างคฤหาสน์ คะเนด้วยสายตาเฉพาะสวนดอกไม้แห่งนี้ก็น่าจะกินพื้นที่กว่าสองไร่ ทุกอย่างช่างงดงามและสมบูรณ์แบบ หากเธอรู้ว่ามันจะสร้างความประทับใจแต่แรกเห็นเท่านั้น แต่หลังจากนั้นมันคือความเงียบสงัด เย็นชาและมืดมิด ไร้อิสระโดยสิ้นเชิงลูกจ้างที่ไหนกันถึงห้ามออกพ้นเขตรั้วบ้าน เราไม่ใช่นักโทษสักหน่อย ถึงจะจ้างด้วยค่าจ้างสูงลิบ แต่สิทธิพื้นฐานของลูกจ้างยังต้องมีเหมือนกัน ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเจออย่างนี้ ไม่มีทางมาหรอก คนหน้าหวานมุ่ยหน้าลง เมื่อประจักษ์กับความจริงในข้อนี้ เธอกำลังจะหันกายกลับเมื่อรับรู้ว่าได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ด้านหน้าแล้ว เพราะศจีสาวใหญ่ร่างผอมบางที่เธอพูดคุยอยู่ทุกวันได้บอกเป็นเชิงห้ามเอาไว้หากว่าความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เธอต้องชะงักพลันคนร่างสูงใหญ่ในเครื่องแต่งกายกางเกงยีนส์กระชับตัวกับเสื้อทีเชิ้ตสีน้ำเงินไว้ข้างใน สวมทับด้วยแจ๊กเกตสีน้ำตาลเนื้อหนาที่ดูน่าจะเหมาะสำหรับการบุกงานอยู่กลางแจ้งหรือลุยเข้าป่ามากกว่าเดินอยู่ใน
“ช่างเถอะ แกจะรู้หรือไม่รู้มีค่าเท่ากัน” นายวัฒนะบอกปัด ภรรยาก็ไม่เซ้าซี้ถาม ในเมื่อเธอได้ในสิ่งที่ต้องการและหมายตามานาน เรื่องอื่นก็ไม่น่าสนใจอีก…แต่ยังมีอีกอย่างที่สงสัยอยู่“แล้วเงินล่ะคะ เงินที่เราเอาของคุณรัชภาคย์มา ป่านนี้รวมดอกเบี้ยตั้งเท่าไหร่แล้ว จะคืนเขายังไง”“ไม่ต้องคืน เราล้างหนี้ไปแล้ว”“เมื่อไหร่คะ คุณเอาเงินที่ไหนไปคืน ฉันจำได้ว่าที่หยิบยืมเขาส่งให้ยายแหววเรียนต่อตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาที่ต่างประเทศมันก้อนใหญ่มาก ไหนเงินที่คุณเอาไปไถ่ถอนบ้านจากธนาคารเมื่อ 2-3 ปีก่อนอีก คุณเอาเงินตั้งมากมายมาจากไหน” “ไม่ต้องสงสัยหรอก คุณรู้แค่ว่าผมหาเงินพวกนั้นมาได้ ไม่ได้คดโกงจี้ปล้นใครก็พอ เจ้าของเงินเต็มใจให้เรา แลกกับของที่ผมส่งไป จากนี้ไปบ้านหลังนี้เป็นสิทธิ์ของผมกับคุณ หนี้ที่ส่งเสียยายแหววก็เคลียร์แล้วเหมือนกัน”“ค่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันรู้ ฉันก็ไม่ต้องการรู้ ฉันไว้ใจคุณ ส่วนบ้าน ฉันจะเริ่มเคลียร์ของออกตั้งแต่พรุ่งนี้” ดวงหน้าอูมอิ่มของหญิงวัยกลางคนดูเบิกบาน หากเป็นครู่ก็เปลี่ยนเป็นระแวงขึ้นอีก “แล้วแน่ใจนะว่าคุณรัชภาคย์ไม่ตามมาทวงหนี้คุณ พูดก็พูดเถอะ ฉันกลัวเขาจริงๆ ดูป่าเถื่อนช
ปิ่นลดาครางกับตัวเอง นอกจากหลงมาอยู่ในที่แปลกประหลาด แต่ละคนที่หล่อนเจอก็เหมือนหลุดจากโลกที่เธอไม่คุ้นเคยด้วยศจีไม่ต่อล้อต่อเถียง หิ้วปิ่นโตเดินไปในห้องครัว คงจะจัดอาหารให้เธออย่างที่เคยทำนี่เป็นหน้าที่ของศจีใช่ไหม ใครเป็นคนสั่งมา หรือจะเป็นคุณใหญ่คนนั้น“ฉันอยากพบคุณใหญ่ค่ะ” ปิ่นลดาต้องพูดซ้ำถึงสามครั้งกับคนสามคนในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเดินมายังคฤหาสน์ใหญ่ คนแรกที่เจอเมื่อเข้ามาถึงเขตต้องห้ามตามที่ศจีเคยบอก เธอเห็นผู้ชายที่คงเป็นคนสวนง่วนอยู่กับการดูแลสวนดอกไม้ที่เคยเผลอเดินเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งพอสังเกตใกล้ ปิ่นลดาก็นึกทึ่งว่าแท้จริงนอกจากไม้ดอกและไม้ประดับที่พอคุ้นตาแล้ว ยังมีพืชผักต่างๆ ปลูกเป็นแปลงยาว ดูเป็นระเบียบ สวยงามไม่ต่างกันหากว่ารายแรกนั้น เมื่อเธอถามก็ต้องอารมณ์เสียสุดฤทธิ์ นอกจากเธอจะถูกมองเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด แล้วถูกเดินหนีอีกต่างหากมันน่าหงุดหงิดนักเชียว หญิงสาวถึงฮึดมาถึงหน้าระเบียงคฤหาสน์ คราวนี้เป็นผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เห็นเธอแล้วทำหน้างุนงง ก่อนเดินมาถามอย่างลังเล และปิ่นลดาก็ต้องพูดประโยคนั้นเป็นครั้งที่สองผลที่ได้นั่นหรือ...เลวร้ายไม่ต่างกับรายแรก...จะด
พวงทิพย์เดินกลับเข้าโถงคฤหาสน์ด้วยอาการคอแข็งจัด เธอไม่สบอารมณ์กับเหตุการณ์เมื่อครู่ แม่คนที่คุณใหญ่เลือกมาดูจะหัวแข็งไม่น้อย เธอหวั่นว่าสิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ง่าย มันอาจไม่ใช่เสียแล้ว“เป็นอะไรคุณทิพย์ ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือ” เสียงห้าวทุ้มดังจากคนร่างสูงตรงในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสแล็กสีดำทำให้เจ้าตัวยิ่งดูแข็งแกร่งเคร่งขรึมขึ้นไปอีก พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่พ่วงตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ถึงกับสะดุ้ง ดูน่าตลกในสายตาคนมอง หากใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มด้วยการผสมอย่างลงตัวของเลือดตะวันตกและตะวันออกนั้นแค่แย้มขบขันนิดเดียว ก่อนเลือนหาย กลายเป็นสีหน้าแห่งความเรียบเฉยเหมือนเดิม“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร คุณใหญ่บอกเรียกดิฉัน ต้องการอะไรหรือคะ”“ไม่มีหรอก แต่คุณทิพย์เดินหน้าเครียดเข้าบ้าน คิดว่าจะมีปัญหาแก้ไม่ตก ฉันจะได้ช่วย” เจ้าของคำพูดหยอกเล่นอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็นเดินนำไปทางระเบียงด้านข้างของคฤหาสน์ซึ่งดูเป็นสัดส่วนพอควร ทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่จัดไว้สำหรับรับประทานอาหาร“อุ๊ย! คุณใหญ่ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ดิฉันจะไม่มีปัญหาอะไร ที่คิดๆ อยู่ก็เป็นเรื่องคุณใหญ่ทั้งนั้น”“คิดเรื่องของฉัน...บอก
“ไม่...ไม่มี ฉันกลับละ”“งั้นเชิญ กลับไปเลย ไม่ต้องมาอีกยิ่งดี ฉันเบื่อหน้าคนขี้ขลาด ไม่มีหัวใจอย่างศจีเต็มทีแล้ว” คนไล่สะบัดหน้าพรืดเข้าบ้าน ท้ายเสียงเครืออย่างระงับไม่อยู่สองเท้าพาร่างบางเข้าห้องนอน แทนที่จะตรงไปยังห้องครัว เพราะความหิวมันหายไปหมดแล้ว กระแทกกายนั่งบนเตียง แล้วพ่นถ้อยคำระบายอารมณ์“เหมือนกันทั้งเจ้านายลูกน้อง ลึกลับ ทึมทื่อ เป็นผีดิบกันทั้งบ้าน ถามอะไรไม่รู้เรื่องสักคน”ใกล้ค่ำ รัชตะกลับมาถึงคฤหาสน์ราชเกียรติกูร บ้านที่สร้างไว้เพื่อระลึกถึงมารดาชาวแคนาดาที่จากโลกนี้ไปเมื่อห้าปีก่อน เขามีความทรงจำดีๆ กับมารดา แถมด้วยญาติสนิททางนั้น และยิ่งมากขึ้นเป็นทวีเมื่อเทียบกับญาติทางฝั่งบิดา บิดาถือกำเนิดในราชสกุลชั้นสูงของเมืองไทย แต่ถูกขับไล่ทั้งครอบครัวเพราะเลือกแต่งงานกับมารดาที่เป็นชาวต่างชาติ แทนที่จะเป็นคนสายสกุลใกล้ชิดกันที่ถูกวางตัวไว้เพื่อจะหนุนงานด้านการทูต มันคือความผิดที่รัชตะไม่ต้องการรับรู้ ไม่อยากเข้าไปยุ่ง อีกทั้งยิ่งหาข้อมูลหลายด้านก็ทำให้มั่นใจว่าอยู่ห่างกันไว้เป็นดีที่สุด เพราะไม่มีทางเลยที่เขาหรือคนอื่นจะรับรู้ถึงความจริงจากเหตุการณ์ซับซ้อนพวกนั้น แม้ ‘พ่
คนร่างอรชรนอนคว่ำหน้า สายตาไล่ตามตัวหนังสือที่เธออ่านซ้ำ เป็นรอบที่สาม จนเกินชั่วโมงจึงพลิกกายหงาย แล้วทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย“เบื่อจนเครียด ใกล้จะบ้าแล้วนะ รับรองเถอะ ฉันบ้าเมื่อไหร่ ลุงได้สังเวยความบ้าของฉันเป็นคนแรกแน่ ลุงคุณใหญ่แห่งบ้านผีดิบ!”ท้ายเสียงกระแทกขุ่นมัว นึกภาพชายชราผมขาวโพลนทั้งหัว หากเรือนกายยังกำยำล่ำสัน มีรัศมีสีเทาแผ่ออกมา...และเมื่อภาพนั้นชัดขึ้นปิ่นลดากลับนึกขันปนสมเพช“คงมีเมียเด็กซุกไว้ในคฤหาสน์ พอมีลูก เลยต้องซุกต่อ จะจ้างพี่เลี้ยงยังต้องทำลับๆ ล่อๆ แก่แล้วไม่เจียมตัว ทำเราเดือดร้อนไปด้วย” หล่อนว่าใส่อารมณ์ พยายามสูดลมหายใจลึก บรรเทาอารมณ์เดือดพล่าน แต่เมื่อไม่เป็นผลจึงต่อว่าฝากฟ้าลม “ถ้าลุงอยู่ส่วนลุง ฉันก็ไม่สนใจหรอก ชีวิตใครชีวิตมัน แต่ตอนนี้ฉันอยากฉีกอกลุง ตัณหาหน้ามืดของลุงทำฉันเดือดร้อน ลุงกำลังคุกคามชีวิตอันสงบสุขของฉันอยู่ เข้าใจไหม”เจ้าหล่อนทุบกำปั้นลงกับที่นอน พ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างเคืองแค้น การถูกกักขังให้อยู่ในบ้านหลังเล็ก โดยมีคนคุมคอยส่งอาหารเช้าเที่ยงเย็น จะติดต่อใครก็ไม่ได้ การจะออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก เป็นอันไม่ต้องคิดฝันถึงขนาดนี้ ใครจะ
คนร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งบนระเบียงขบกรามแน่น สายตาคมกริบจ้องไปยังหญิงสาวอย่างประเมินและครุ่นคิด ขณะที่นายปั้นกับนายแสงถึงกับตัวสั่น กล้าๆ กลัวๆ ที่จะห้ามเธอ “กลับไปได้แล้ว แล้วคืนนี้ไม่ต้องมาอีก” เสียงดุกร้าวดังแทรกความเงียบ ปิ่นลดาทำท่าจะค้าน แต่พอเห็นว่าสองคนข้างหลังขยับตัว พากันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เธอเลยถึงบางอ้อคิดว่าจะถูกไล่ซ้ำไล่ซ้อนซะอีก เฮ้อ!เมื่อสองคนนั้นหายไปแล้ว ปิ่นลดาจึงหันมายังชายคนที่หมายตาว่าจะทำให้เธอพบกับตาเฒ่าตัณหากลับที่ทำให้เธออยู่ในสภาพนี้ให้ได้ แต่พอเห็นว่าร่างนั้นกำลังก้าวลงจากบันไดที่ทอดเลื้อย เธอก็ขยับตัว บอกตัวเองไม่ได้ว่าควรดีใจหรือวิ่งหนีกันแน่ร่างใหญ่ทะมึนหากเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ดูประเปรียว ทำให้เธอรู้สึกไม่ต่างกับการเผชิญกับเสือดำ!“ฉัน...ฉันไม่อยากคุยกับคุณ แต่อยากให้เรียกคุณใหญ่มาคุยกับฉัน” ปิ่นลดายอมเสียฟอร์ม เมื่อสัมผัสถึงรังสีอันตรายจากผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้า แต่คะเนจากขนาดร่างกายและความคล่องตัวของเขา หล่อนฉลาดพอที่จะไม่ต่อกร“มีอะไรบอกกับฉันได้”“ไม่ได้หรอก ฉันมีเรื่องสำคัญ คนนอกไม่เกี่ยว”“อ๋อ เรื่องระหว่างเธอกับเขา เรื่องลั
“ใช่พี่ แม่บอกว่าเขาย้ายไปอยู่ออสเตรเลียแล้ว พี่ลดาไม่รู้หรือ ตอนแรกนัทยังอิจฉาพี่เลยว่าได้ไปอยู่เมืองนอกกัน”“ไม่ พี่ไม่รู้”“งั้นกลับเถอะพี่ อย่าเข้าไปเลย มันไม่ใช่บ้านของพี่ลดาแล้ว”เมื่อเห็นว่าเธอยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และรถบรรทุกข้างในกำลังแล่นออกมา เด็กหนุ่มจึงคว้าข้อมือหญิงสาวจูงให้พ้นรัศมี ก่อนจะปล่อยเธอ“พี่...เอ่อ พี่พักที่ไหน แล้วจะกลับยังไง”หล่อนส่ายหน้า สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มมอง แล้วพอปะติดปะต่อหลายอย่างได้ก็รู้สึกสงสารจับใจ นั่นคือการแสดงน้ำใจได้เท่าที่ตนสามารถ“ตรงนี้อากาศร้อน ไปที่ร้านก่อนดีกว่า พี่หน้าซีด เดี๋ยวจะเป็นลม”ปิ่นลดารู้สึกตัว กำมือแน่นอย่างเรียกกำลังใจ ถึงอย่างไรเธอต้องเดินต่อ จะหยุดชีวิตไว้ตรงนี้ได้อย่างไรกันพอจะย่างเท้ากลับไปทางต้นซอย รถหรูคันสีดำติดฟิล์มมืดสนิทก็แล่นมาจอดใกล้ ปิ่นลดาหลบทางให้ ตั้งท่าจะเดินต่อ หากต้องชะงัก เท้าหยุดนิ่งทั้งสองข้าง มองคนที่เปิดประตูก้าวออกมาด้วยความรู้สึกช็อก“พี่ลดา เราไปกันเถอะ”
“ปล่อยเธอไป” รัชตะมองผ่านผนังกระจกของห้างไปยังรถที่เคลื่อนออก ยกมือห้ามคนติดตามที่ทำท่าจะออกวิ่งตาม ขณะมือหนาลดโทรศัพท์มือถือลงมา หลังจากฟังการเคลื่อนไหวของหญิงสาวจากคนขับรถที่รายงานทันทีที่เธอเปิดประตูลงไปเครื่องบินโบอิ้งเหินตัวออกจากท่าอากาศยานนานาชาติเชียงราช ซึ่งเป็นท่าอากาศยานเปิดใหม่ที่มีความทันสมัยได้มาตรฐานอีกแห่งของโลกปิ่นลดาหลับตาเมื่อเครื่องไต่ระดับจนถึงเพดานบิน ฟังคนนั่งเก้าอี้แถวเดียวกันพูดคุย พวกเขาคงเดินทางมาด้วยกันหัวใจที่เต้นรัวด้วยความหวาดหวั่นและลุ้นระทึกเริ่มคลายลง หากเกิดความรู้สึกใหม่ขึ้นมาแทน ใจหายและวูบหวิว เสี้ยววินาทีหนึ่งใจแทบจะขาดรอนด้วยความโหยหาที่พุ่งเข้ามาโดยที่ปิ่นลดาไม่ทันเตรียมตัวรับว่าจะเกิดกับตนได้ภาพรถแท็กซี่จอดตรงจุดส่งผู้โดยสาร ขณะที่เธอเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหน้าเสีย ไม่รู้จะบอกคนขับว่าอย่างไรดี พลันก็มีพนักงานสาวในฟอร์มของท่าอากาศยานสองคนก้าวตรงมา พวกเธอคุยกับคนขับแท็กซี่แล้วมองมาทางตอนหลังของรถ ยิ้มให้เธอ แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้น‘สวัสดีค่ะคุณปิ่นลดา ดิฉันมาจากคุณชัญญา เชิญตามเร
“เป็นอะไรหรือเปล่า ปิ่นลดา”รัชตะถามเมื่อสังเกตว่าหญิงสาวนิ่งเงียบตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงเมื่อคืน จนถึงบ้านอาบน้ำและเข้านอนไปพร้อมกัน ในตอนนั้นเขาไม่คิดจะถามเพราะเข้าใจว่าเธอเหนื่อย จึงให้พักผ่อนแต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ท่าทางของปิ่นลดายังไม่เปลี่ยนจากเดิม นิ่งเหมือนตกในภวังค์อยู่บ่อยครั้ง ผิดวิสัยของเธอ ที่ไม่ว่าจะพอใจ ดีใจหรือเศร้าใจ มักจะแสดงอารมณ์ออกมาทั้งสีหน้าและท่าทางอย่างไม่ต้องคิดเดาไปเอง“หรือเหนื่อย อ่อนเพลียอยู่ วันนี้จะพักอยู่บ้านไหม อยากกินอะไรบอกแม่ครัว หรือถ้าที่นี่ไม่มี ฉันจะให้โรงแรมเอามาส่ง”“ไม่ ไม่ค่ะ ฉัน...ฉันอยากออกไปข้างนอกมากกว่า”“งั้นไปได้แล้ว บ่ายนี้ฉันต้องไปเคลียร์งานที่โรงงานด้วย”หากพอนั่งรถออกจากคฤหาสน์เนินคุ้มหมอก รถผ่านประตูรั้วหญิงสาวเหลียวมองข้างหลัง ทอดสายตาที่อัดด้วยความรู้สึกข้างในออกมาอย่างไม่อาจกลั้น จนลับหายเธอจึงเบือนหน้ากลับมา นั่งกอดกระเป๋าสะพายที่เขาจัดหามาให้อย่างพร้อมเพรียงก้มมองรองเท้าเข้าชุดกันกับเสื้อผ้าที่พอจะให้คนท้องอ่อนๆ สวมใส่สบายที่มีดีไซน์สวยงามแ
งานเลี้ยงของภรรยาผู้ว่าฯ จัดในเขตรั้วบ้านหลังใหญ่ปลูกสร้างตามสถาปัตยกรรมของภาคเหนือ ใหญ่โตหรูหรา ไม่ใช่จวนผู้ว่าฯ อย่างที่ปิ่นลดาเข้าใจแต่แรก“คุณนายเป็นคนเมืองนี้ สามีจะเกษียณในปีหน้าเลยขอย้ายกลับมาอยู่บ้านในบั้นปลายชีวิตข้าราชการ”ปิ่นลดาพยักหน้าเมื่อได้ยินคำอธิบายจากคนข้างกาย ก่อนเขาจะเปิดประตูรถ แล้วอ้อมมารับเธอในงานนั้น หญิงสาวพบเจอคนมากมาย และดูรัชตะจะเป็นคนกว้างขวางไม่น้อย มีคนมาทักทายเขาไม่ขาดสาย ทั้งวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่กว่า ยังไม่รวมถึงคนต่างชาติต่างภาษา โดยกลุ่มหลังปิ่นลดาเดาว่าน่าจะคนในแวดวงธุรกิจไม่กี่นาทีเจ้าภาพวัยกลางคนก็ควงคู่ลูกสาวเข้ามาในงาน โดยที่สามีของเธอรับรองแขกเหรื่ออยู่ก่อนแล้ว ความสวยเฉิดฉายของหญิงสาวที่เคียงข้างเจ้าภาพนั้นทำให้ปิ่นลดามองอย่างชื่นชม และยอมรับว่ามีความอิจฉาอย่างหักห้ามใจไม่ไหวอยู่ในอารมณ์นั้นด้วย เมื่อคิดต่อว่าหล่อนมีความสนิทสนมกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนกุมมือตนเพียงไร เพราะไม่ว่าจะได้ยินเขาพูดถึง ‘คุณชัญญา’ สักกี่ครั้ง แม้จะบอกว่าเป็นแค่คนรู้จัก หากปิ่นลดายังรับรู้ถึงความชื่นชมและให้เกียรติ
ปิ่นลดาซุกกายอยู่กับอกกว้าง หลับตาอย่างหมดเรี่ยวแรงหลังสิ้นจากกิจกรรมในอ่างอาบน้ำ เขาจับเธอล้างตัวจนสะอาด เช็ดผมและผิวบางจนแห้งสบาย ก่อนจะห่อกายสาวด้วยเสื้อคลุมแล้วยกอุ้มมาวางบนเตียงนอนหล่อนคิดว่าคงได้หลับพักผ่อน หากไม่ใช่เลย เมื่อคนร่างใหญ่เคลื่อนขยับมาทาบทับ เกมรักดำเนินตามครรลอง รุกเร้าผลักดันเธอจนสุขสมใจอีกครั้ง ก่อนผล็อยหลับในอ้อมกอดแข็งแรงด้วยใจเต็มอิ่มร่างขาวโพลนพลิกกายหนีเมื่อสัมผัสถึงความสากระคายเลื่อนไล้ตามแก้มและซอกคอ“ตื่นได้แล้ว ทุ่มกว่าแล้ว ลุกมาแต่งตัว”เสียงทุ้มแทรกเข้ามา เจ้าของร่างยิ่งกระถดหนีทั้งที่ตายังหลับ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะอยู่ใกล้หู จนเธอต้องปัดป้องเจ้าเสียงก่อกวนนั้น“ไม่เอา ไม่ลุก จะนอน”“ฉันไม่อนุญาต ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำลูกฉันขี้เกียจนะ เร็วเข้า ชุดไปงานก็เตรียมไว้ให้แล้ว” เสียงสั่งเข้ม จนคนนอนขี้เซาต้องมุ่นคิ้วสงสัย หรี่ตามองอย่างอยากรู้“งานที่ไหนคะ แล้วชุดอะไร”“งานเลี้ยงวันเกิดภรรยาผู้ว่าฯ ฉันต้องไป เธอก็จะไปกับฉันด้วย”ปิ่นลด
งานเลี้ยงของภรรยาผู้ว่าฯ จัดในเขตรั้วบ้านหลังใหญ่ปลูกสร้างตามสถาปัตยกรรมของภาคเหนือ ใหญ่โตหรูหรา ไม่ใช่จวนผู้ว่าฯ อย่างที่ปิ่นลดาเข้าใจแต่แรก“คุณนายเป็นคนเมืองนี้ สามีจะเกษียณในปีหน้าเลยขอย้ายกลับมาอยู่บ้านในบั้นปลายชีวิตข้าราชการ”ปิ่นลดาพยักหน้าเมื่อได้ยินคำอธิบายจากคนข้างกาย ก่อนเขาจะเปิดประตูรถ แล้วอ้อมมารับเธอในงานนั้น หญิงสาวพบเจอคนมากมาย และดูรัชตะจะเป็นคนกว้างขวางไม่น้อย มีคนมาทักทายเขาไม่ขาดสาย ทั้งวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่กว่า ยังไม่รวมถึงคนต่างชาติต่างภาษา โดยกลุ่มหลังปิ่นลดาเดาว่าน่าจะคนในแวดวงธุรกิจไม่กี่นาทีเจ้าภาพวัยกลางคนก็ควงคู่ลูกสาวเข้ามาในงาน โดยที่สามีของเธอรับรองแขกเหรื่ออยู่ก่อนแล้ว ความสวยเฉิดฉายของหญิงสาวที่เคียงข้างเจ้าภาพนั้นทำให้ปิ่นลดามองอย่างชื่นชม และยอมรับว่ามีความอิจฉาอย่างหักห้ามใจไม่ไหวอยู่ในอารมณ์นั้นด้วย เมื่อคิดต่อว่าหล่อนมีความสนิทสนมกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนกุมมือตนเพียงไร เพราะไม่ว่าจะได้ยินเขาพูดถึง ‘คุณชัญญา’ สักกี่ครั้ง แม้จะบอกว่าเป็นแค่คนรู้จัก หากปิ่นลดายังรับรู้ถึงความชื่นชมและให้เกียรติ
ปิ่นลดาซุกกายอยู่กับอกกว้าง หลับตาอย่างหมดเรี่ยวแรงหลังสิ้นจากกิจกรรมในอ่างอาบน้ำ เขาจับเธอล้างตัวจนสะอาด เช็ดผมและผิวบางจนแห้งสบาย ก่อนจะห่อกายสาวด้วยเสื้อคลุมแล้วยกอุ้มมาวางบนเตียงนอนหล่อนคิดว่าคงได้หลับพักผ่อน หากไม่ใช่เลย เมื่อคนร่างใหญ่เคลื่อนขยับมาทาบทับ เกมรักดำเนินตามครรลอง รุกเร้าผลักดันเธอจนสุขสมใจอีกครั้ง ก่อนผล็อยหลับในอ้อมกอดแข็งแรงด้วยใจเต็มอิ่มร่างขาวโพลนพลิกกายหนีเมื่อสัมผัสถึงความสากระคายเลื่อนไล้ตามแก้มและซอกคอ“ตื่นได้แล้ว ทุ่มกว่าแล้ว ลุกมาแต่งตัว”เสียงทุ้มแทรกเข้ามา เจ้าของร่างยิ่งกระถดหนีทั้งที่ตายังหลับ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะอยู่ใกล้หู จนเธอต้องปัดป้องเจ้าเสียงก่อกวนนั้น“ไม่เอา ไม่ลุก จะนอน”“ฉันไม่อนุญาต ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำลูกฉันขี้เกียจนะ เร็วเข้า ชุดไปงานก็เตรียมไว้ให้แล้ว” เสียงสั่งเข้ม จนคนนอนขี้เซาต้องมุ่นคิ้วสงสัย หรี่ตามองอย่างอยากรู้“งานที่ไหนคะ แล้วชุดอะไร”“งานเลี้ยงวันเกิดภรรยาผู้ว่าฯ ฉันต้องไป เธอก็จะไปกับฉันด้วย”ปิ่นลด
เป็นอันว่าปิ่นลดาคงไม่ได้กลับไปบ้านหลังสีฟ้า...อย่างน้อยก็ชั่วระยะนี้ เมื่อศจีกลับมาทำหน้าที่ของเธอเต็มตัว แต่เปลี่ยนสถานที่เป็นคฤหาสน์ราชเกียรติกูรหากไม่กังวลถึงสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าซึ่งไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง และไม่มองย้อนว่าเธอมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้อย่างไร ปิ่นลดาก็เป็นหญิงสาวที่มีความสุขกับปัจจุบันคนหนึ่งทุกวันในรอบรั้วกว้างใหญ่ เธอมีอิสระพอที่จะทำอะไรได้ แถมในบางเวลาคนตัวใหญ่มักพาเธอออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก ยิ่งทำให้ปิ่นลดาหลงรักเมืองเชียงราชมากขึ้น...แต่ไม่แปลกหรอก เป็นใครจะอดใจไหวกับเมืองที่ทันสมัยแต่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติพร้อมทว่ายังมีสิ่งที่หญิงสาวไม่ชินเอาเสียเลย นั่นคือหน้าที่ใหม่ในแต่ละวันที่ต้องดูแลรัชตะ แม้จะจำกัดแค่ตอนอยู่ด้วยกันตามลำพัง อย่างเช่นเวลานี้เมื่อเขากลับจากทำงานตอนใกล้หกโมงเย็นฝ่ามือบางนุ่มไล้เนื้อกายกำยำ กลิ่นหอมของสบู่อบอวลทั่วห้องน้ำ ชายหนุ่มหลับตา ความเหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียดที่เจอมาทั้งวันจางหาย ความผ่อนคลายเข้ามาแทนที่“อืม ดี”เขาครางในลำคอ ปล่อยคนร่างอวบอิ่มตามภาวะความเป็นมารดาได้ทำหน้าที่ของเธ
“คุณจะไปไหนคะ”“อย่าบอกนะว่าคิดถึงฉันจนไม่อยากให้ห่างตัว”“ไม่ใช่สักหน่อย แค่จะบอกว่าฉันเปลี่ยนใจ” หล่อนอุบอิบบอกชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เจ้าหล่อนช้อนตามอง กลั้นใจพูดต่อ “ที่บอกว่าอิ่มผลไม้จนตื้อน่ะ ตอนนี้มันย่อยหมดแล้ว ฉันหิวมากเลย”พอรู้ปัญหาของเธอ รัชตะก็หัวเราะอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว ผู้หญิงคนนี้หลากหลายอารมณ์จนตามไม่ทันจริงๆ“เอาสิ ลงไปด้วยกัน อยากกินอะไรเดี๋ยวให้คนหามาให้ รับรองอร่อยไม่แพ้แม่ครัวในโรงแรม”“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นค่ะ ฉันไม่ใช่คนกินยากสักหน่อย แค่กับข้าวพื้นๆ สองอย่างก็พอแล้ว”หล่อนออกตัวได้อย่างน่ารักในความรู้สึกของคนฟัง!แล้วนายใหญ่แห่งคฤหาสน์ราชเกียรติกูรถึงกับงุนงง ไปไม่เป็นเอาเสียเลยเมื่อเจอกับปัญหาที่คาดไม่ถึงบนโต๊ะอาหารที่พาหญิงสาวลงมารับประทานในมื้อเที่ยงของวันนั้นแค่เห็นอาหารเมนคอร์สที่จัดไว้อย่างน่ารับประทาน เจ้าหล่อนก็โผเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง!“บอกแล้วว่าอยากกินกับข้าวพื้นๆ สองอย่าง”