ใต้เวิ้งฟ้าอันสุกสกาวและพราวพร่างด้วยหมู่ดาวราวเปล่งรัศมีแข่งกันบนผืนกำมะหยี่สีนิลเหนือเมืองธีบส์นครหลวงแห่งอาณาจักรอียิปต์อันไพศาลราวอยู่ในแดนสรวง แสงสว่างจากคบไฟยังคงสาดประกายตามทางเดินในตำหนักหลวงที่มีทหารยามคอยเฝ้าระแวดระวังในราตรีอันเงียบสงบภายในมหาราชวังอันโอ่อ่าแห่งนี้
แม้ย่ำค่ำบรรยากาศจากเบื้องบนจะลดต่ำลงแล้วหากทว่าละอองไอร้อนจากผืนทรายเบื้องนอกยังคงขับไออุ่นโอบล้อมรอบพระราชวังอยู่มิคลาย
นางสนมวัยกลางคนยังคงเดินเข้าออกภายในห้องบรรทมของตำหนักชั้นในซึ่งเจ้าของยังยืนมองเหม่อที่ริมระเบียงออกไปยังสายนทีแห่งไนล์ที่ยังคงไหลเอื่อยอยู่เบื้องนอก เนเฟอร์ติตีทรงหันไปทอดพระเนตรพระนม คูอิต เป็นบางครั้งและทรงแย้มพระโอษฐ์บ้างด้วยพึงใจ
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จวบจนบัดนี้พระนางมีประชนมายุเต็มสิบเจ็ดชันษาแล้ว คูอิต ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของนางมิเคยบกพร่อง นางได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากฟาโรห์รามเสสและพระนางเนเฟอร์ตารีซึ่งเป็นพระชนกและพระชนนีให้ดูแลทุกอย่างนับแต่ลืมพระเนตรจวบจนบรรทมนั่นแล้ว
ฟ้าหญิงแห่งธีบส์ภายใต้ฉลองพระองค์อันเป็นพระภูษาทอจากด้ายปอเป็นลินินเนื้อบางยาวกรอมพระบาทขับพระฉวีสีน้ำผึ้งให้เปล่งปลั่งใต้แสงสีอำพันของคบเพลิง พระขัตติยาในขวบปี ๑๗ ชันษางดงามราวดอกไม้เบ่งบานในโอเอซิสกลางทะเลทรายด้วยพระพักตร์รูปไข่ล้อมกรอบดวงเนตรกลมโตใต้พระขนงลาดโก่งดุจคันศรรับกับพระนาสิกโด่งงามกลางพระปรางอิ่มและริมโอษฐ์หนาได้รูป พระเกศาประกายทองแดงนั้นได้รับการถ่ายทอดมาจากพระบิดาสะท้อนความเงางามยามต้องแสงเงินยวง
“ถึงเพลาบรรทมแล้วนะเพคะ องค์หญิง”
คูอิตคุกเข่าลงกับพื้นหินเยียบเย็นขณะใช้ปลายนิ้วบรรจงจัดแต่งชายพระภูษาเบาบางอย่างบรรจง
“เรายังไม่ง่วงเลย คูอิต...เราอยากยืนชื่นชมความงามของแม่น้ำในยามค่ำคืนเช่นนี้”
“พระองค์ยังมีเวลาชื่นชมความงามนี้ได้ในอีกหลายราตรี หม่อมฉันเกรงว่าหากมิทรงยอมเข้าบรรทม พระมารดาอาจกริ้วที่คูอิตปฏิบัติหน้าที่ได้หละหลวม”
“คูอิตชอบอ้างเสด็จแม่เสียเรื่อย เราโตเป็นสาวออกป่านนี้ ก็ยังเห็นว่าเราเป็นเด็ก”
”องค์หญิงเนเฟอร์ติตีเพคะ...ไม่ว่าพระชมมายุของพระองค์จะเพิ่มขึ้นอีกกี่ชันษา พระมเหสีเนเฟอร์ตารีก็ยังทรงเห็นว่าพระองค์ยังทรงเยาว์อยู่เช่นนั้น แม้แต่หม่อมฉันเองก็มิเคยเห็นว่าเจ้าหญิงผู้เลอโฉมของหม่อมฉันจะแตกต่างไปสักเท่าใดจากวันวาน”
“เราไม่เคยได้ออกไปนอกราชวังหลวงเลย คูอิต...ข้างนอกนั่นคงกว้างไกล ดูสายน้ำไนล์คล้ายกำลังโบกมือให้เราออกไปค้นหา เจ้าจะทำอะไรก็ทำไปก่อนเถิด เราอยากมีเวลาเพียงครู่ชื่นชมความงามในยามราตรี...แค่ไม่ถึงชั่วยามก่อนเราจะเข้านอน”
“เพคะ...”
พระนมก้มหน้ารับบัญชาก่อนถอยออกไปขณะที่เจ้าหญิงแรกรุ่นยังทรงทอดพระเนตรข้ามเวิ้งฟ้าที่ลาดลงไปบรรจบกับผืนธาราอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งหล่อเลี้ยงดินแดนสองฟากฝั่งลุ่มน้ำไนล์มานับพันปี เนเฟอร์ติตียังทรงคาดหวังถึงความฝันอันงดงามเบื้องหลังกำแพงหินแห่งมหาวิหารของนครธิบส์ นางคือธิดาผู้เป็นที่รักยิ่งของฟาโรห์รามเสสที่สองซึ่งประสูติแต่พระนางเนเฟอร์ตารีมเหสีเอก ความรักเป็นล้นพ้นจากพระราชบิดามิเคยให้พระฉวีผุดผาดนั้นได้สัมผัสกับไอดินและรอยทรายแม้เพียงสักหน
หากแต่นั่นคือทั้งหมดที่นางปรารถนา ความนึกคิดของเจ้าหญิงองค์หนึ่งยังติดลึกอยู่ในห้วงกาลแห่งเสรีภาพไม่เว้นแม้แต่ความรักที่ก็ยังทรงเฝ้ารอ ใครคนนั้น ด้วยความหวัง วันหนึ่งนางอาจพบรักแท้จาก ใครสักคน ที่มิใช่เจ้าชายต่างเมืองดังที่พระบิดาเคยวาดวันเวลาแห่งอนาคต
“คูอิต...อย่าลืมดอกไม้และเครื่องหอมเสียเล่า พรุ่งนี้เราจะนำไปบูชาเทพอมุน ราที่วิหารคาร์นัค”
เสียงตรัสนั้นราวล่องลอยอยู่ในสายลมและยังเพียงความเงียบงันที่ทำให้นางรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ
“คูอิต...”
พระสุรเสียงนั้นขาดหายเมื่อหันไปพบว่าบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหลังหาใช่นางสนมที่คอยรับใช้พระองค์ ทว่ากลับเป็นร่างของใครคนหนึ่งในชุดดำมิดชิดและใช้ผ้าคลุมปิดหน้าโผล่แต่ดวงตาสะท้อนแสงวาววับจากปลายมีดสั้นในมือข้างหนึ่งที่กำลังเงื้อมขึ้น
“เจ้าเป็นใคร!...เข้ามาในห้องเราได้ยังไง!”
ความหวั่นกลัวแล่นเข้าจับพระทัยขณะถอยกรูดไปจนชิดขอบระเบียงหิน คนแปลกหน้าก้าวเข้ามาหาและตั้งใจจ้วงปลายเหล็กแหลมลงไปหวังให้ฝังลงบนพระวรกายของเจ้าหญิงหากก็พลาดไปเมื่อพระองค์เบี่ยงหลบได้เกือบทัน
“กรี๊ด!!!...”
เนเฟอร์ติตีกรีดร้องสุดเสียงเมื่อคมมีดปาดลงบนพระพาหุ(ต้นแขน) ทำให้นางถึงกับเซล้มลงไปอยู่หลังชายผ้าม่าน สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือสายตาแห่งความหมายมาดของผู้ที่นางมิรู้ว่าเป็นผู้ใดจ้องมาเอาชีวิต“ช่วยด้วย!...ช่วยด้วย!”เจ้าหญิงทรงลนลานขณะยกพระหัตถ์ขึ้นกางกั้นเมื่อคนชุดดำเงื้อมอาวุธในมือขึ้นอีกหน แต่แล้วก็กลับต้องชะงักงันเมื่อมีเสียงดังมาจากอีกฝั่งของห้องบรรทม“เจ้าเป็นใคร!...ทหาร!...ทหาร!...มีคนร้ายเข้ามาในตำหนัก! เข้ามาจับมันเดี๋ยวนี้!”คูอิตร้องตะโกนโหวกเหวกและนั่นจึงทำให้คนร้ายลดมือที่กำมีดลงก่อนจะเหน็บมันกลับเข้าไปในฝักที่บั้นเอวแล้วกระโดดขึ้นไปบนขอบระเบียงอย่างคล่องแคล่ว เมื่อมีทหารวิ่งกรูเข้ามาในห้องร่างนั้นจึงทิ้งตัวหายไปเบื้องล่างราวมัจจุราชอันตรธานหายไปในหุบมืดแห่งราตรีกาล“เจ้าหญิง!...เจ้าหญิงเพคะ!...”คูอิตรีบถลาเข้าไปดูพระอาการของเจ้าหญิงซึ่งยังทรงตะลึงลานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมิทรงสำเหนียกในความเจ็บปวดที่แผลบนพระพาหุที่พระโลหิตเหนียวข้นหยาดหยดลงมา เพียงครู่เหล่าทหารยามจึงรีบออกไปชะโงกหน้าตรงระเบียงห้องบรรทมก็พบเพียงยอดปาล์มและคบไฟ ทางเดินเบื้องล่างนั้นว่างเปล่าราวคนร้ายได
บัญชาจากพระบิดาทำให้เจ้าฟ้าหญิงผู้งดงามเหลือบพระเนตรมองดูผู้จะมาทำหน้าที่ถวายการดูแลพระองค์หลังเกิดเหตุร้าย ดวงหทัยของเนเฟอร์ติตีราวมีบางอย่างผุดวาบขึ้นมาในชั่วแวบที่มองเห็น ราชองครักษ์ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างรามเสสนั้นเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่มีใบหน้าคมคายต่างจากทหารในวังทั่วไป ดวงหน้าเข้มนั้นกอรปด้วยดวงตาคมแน่วแน่จริงจัง จมูกโด่งและริมฝีปากหนาได้รูปภายใต้ท่าทีเคร่งขรึมช่างชวนมองอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ในขณะนั้นเององค์ฟาโรห์จึงเสด็จเข้าไปใกล้พระธิดาและวางฝ่าพระหัตถ์ลงบนพระเกศาประกายทองแดงด้วยทรงห่วงใย “เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว เนเฟอร์ติตี นี่คงเป็นด้วยผลานุภาพแห่งเทพอมุน-รา เทวีมัตและเทพคอนซูแห่งวิหารคาร์นัคที่ช่วยปกป้องเจ้าให้รอดพ้นจากภัยร้ายทั้งปวง” “ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ แต่ตอนนี้ลูกก็ปลอดภัยดีแล้ว เสด็จพ่ออาจมิต้องทรงกังวลเรื่องใดอีก” “พ่อจะจัดทหารมาอยู่เวรยามในตำหนักของเจ้าเพิ่มเป็นสองเท่า!... เนเฟอร์ติตี แม้เจ้าไม่เป็นอะไร พ่อก็ต้องให้เหล่าทหารและนางกำนัลมาคอยระแวดระวังเจ้า และหน้าที่อันสำคัญนี้พ่อจะมอบหมายให้เมมนอน องครักษ์ฝีมือดีที่สุดของพ่อ
“มาเอีย!...ท่านแม่ล่ะ”น้ำเสียงอันกราดเกรี้ยวทำให้นางกำนัลซึ่งเฝ้าอยู่หน้าตำหนักของพระสนมในฟาโรห์ต้องรีบผลักบานประตูห้องให้ร่างระหงของหญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดภายใต้แพรพรรณของบุคคลชั้นสูงภายในมหาราชวังเดินลงส้นอย่างไม่สบอารมณ์เข้าไปด้านในอังเคเซนามุนก้าวผ่านผ้าม่านบางเบาที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราก่อนจะพบว่ามีใครคนหนึ่งในชุดดำโพกศีรษะและปิดหน้าอย่างมิดชิดเดินสวนกลับออกมาจากภายในห้องมารดาของนา หากแต่ไม่ทันได้กล่าวว่ากระไรเสียงของนางสนมไอดุตก็เรียกนางเข้าไปหา“อังเคเซนามุน...เจ้ามาหาแม่รึ?”“ท่านแม่!”เสียงของนางยิ่งเกรี้ยวกราดเมื่อก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าผู้เป็นมารดาภายในห้องซึ่งดูมิดชิดภายในตำหนักอีกฝั่งฟากของราชวัง ที่แห่งนี้คือสถานอันเป็นแหล่งพำนักแก่นางในของราชันผู้ยิ่งใหญ่อย่างรามเสสซึ่งมีนางสนมในฮาเร็มนับร้อยหากก็มิมีผู้ใดได้รับการยกย่องเชิดชูเท่าเนเฟอร์ตารีมเหสีเอกไอดุตก็คือหนึ่งนางในที่รั้งตำแหน่งได้แค่สนมปลายแถวซึ่งให้กำเนิดธิดาอย่างอังเคเซนามุน ผู้มีอายุไล่เลี่ยกันกับเนเฟอร์ติตี ทั้งรูปร่างหน้าตาก็มีส่วนละม้ายคล้ายกัน ต่างเพียงศักดิ์เท่านั้นที่มิได้กำเนิดแต่มเหสีหลวงความแตกต่าง
เสียงหนักที่ดังมาจากที่อันใกล้ทำให้นางต้องหันกลับไปทางเจ้าของเสียงเรียกที่ยืนอยู่ริมสระ เมมนอนซึ่งอยู่ในชุดราชองรักษ์สวมกระโปรงตัวสั้นและมีเพียงแผงคอที่มิอาจปกปิดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งบนอกและหน้าท้องเป็นลอนทำให้เจ้าฟ้าหญิงต้องชะงักการกระทำอันแสนรื่นรมย์ลงในทันใด ใบหน้าคมเข้มภายใต้ผ้าโพกศีรษะสีดำสนิทดูกังวลมากกว่าเครียดขรึมดังปกติ ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ เดินลุยน้ำตามเนเฟอร์ติตีลงไปกระทั่งหยุดอยู่ห่างจากนางไม่มากด้วยมิอาจล่วงล้ำเข้าไปได้ใกล้กว่านั้น “ขออภัยพะย่ะค่ะ...กระหม่อมขอเชิญองค์หญิงเสด็จกลับตำหนักบัดเดี๋ยวนี้” เมมนอนค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมหากทว่าน้ำเสียงนั้นบอกความไม่สบายใจออกมาชัดเจน แม้โล่งใจที่พบว่าเจ้าหญิงหายตัวจากห้องบรรทมมาอยู่ที่นี่ หากแต่ด้วยหน้าที่ที่มีทำให้เขารู้สึกลำบากใจยิ่งนัก “เป็นบัญชาของเสด็จพ่อหรือไร?” “มิได้ฝ่าบาท...หากแต่เป็นหน้าที่ ที่กระหม่อมต้องคอยดูแลพระองค์ตามพระบัญชาของฟาโรห์” “ข้ายังไม่อยากกลับ ท่านไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่” เนเฟอร์ติตีทรงหันหลังให้แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงัก