เสียงหนักที่ดังมาจากที่อันใกล้ทำให้นางต้องหันกลับไปทางเจ้าของเสียงเรียกที่ยืนอยู่ริมสระ เมมนอนซึ่งอยู่ในชุดราชองรักษ์สวมกระโปรงตัวสั้นและมีเพียงแผงคอที่มิอาจปกปิดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งบนอกและหน้าท้องเป็นลอนทำให้เจ้าฟ้าหญิงต้องชะงักการกระทำอันแสนรื่นรมย์ลงในทันใด ใบหน้าคมเข้มภายใต้ผ้าโพกศีรษะสีดำสนิทดูกังวลมากกว่าเครียดขรึมดังปกติ
ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ เดินลุยน้ำตามเนเฟอร์ติตีลงไปกระทั่งหยุดอยู่ห่างจากนางไม่มากด้วยมิอาจล่วงล้ำเข้าไปได้ใกล้กว่านั้น
“ขออภัยพะย่ะค่ะ...กระหม่อมขอเชิญองค์หญิงเสด็จกลับตำหนักบัดเดี๋ยวนี้”
เมมนอนค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมหากทว่าน้ำเสียงนั้นบอกความไม่สบายใจออกมาชัดเจน แม้โล่งใจที่พบว่าเจ้าหญิงหายตัวจากห้องบรรทมมาอยู่ที่นี่ หากแต่ด้วยหน้าที่ที่มีทำให้เขารู้สึกลำบากใจยิ่งนัก
“เป็นบัญชาของเสด็จพ่อหรือไร?”
“มิได้ฝ่าบาท...หากแต่เป็นหน้าที่ ที่กระหม่อมต้องคอยดูแลพระองค์ตามพระบัญชาของฟาโรห์”
“ข้ายังไม่อยากกลับ ท่านไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่”
เนเฟอร์ติตีทรงหันหลังให้แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อมือหนาของราชองครักษ์หนุ่มยื่นมาเกาะกุมดอกบัวในอ้อมพระพาหาขณะส่งสายตาดุดันมายังพระองค์
“ขอพระราชทานอภัย...หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่ได้พะย่ะค่ะ”
เมมนอนกล่าวเสียงแข็งทั้งที่หัวใจของเขาเต้นเร็วแรงขณะสบดวงเนตรงามระยับของผู้ที่อยู่เบื้องหน้า มีบางอย่างรุมร้อนและเริ่มหลอมความรู้สึกของราชองครักษ์หนุ่ม ใช่เพียงพระศิริโฉมงดงามที่สั่นไหวเขาจนมโนนึกนั้นสะเทือน หากแต่ความดื้อรั้นในสายพระเนตรของเนเฟอร์ติตียังบั่นทอนความเข้มแข็งในหัวใจของเขาราวสายน้ำไนล์ไหลเซาะตลิ่งผา
“ท่านบังคับข้าได้ด้วยหรือ เสด็จพ่ออาจให้สิทธิ์ท่านดูแลพระธิดา แต่ข้าแน่ใจว่าสิทธิ์นั้นต้องไม่ใช่การบังคับข้าแน่”
“กระหม่อมทำตามหน้าที่ และตอนนี้พระองค์ทำให้พระนมคูอิตเป็นห่วงมาก หรือทรงลืมไปแล้วว่าการเอาแต่พระทัยทำให้ใครต้องลำบากใจบ้าง”
“ท่านกล้าตำหนิข้าซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งองค์ฟาโรห์!...ทหารเยี่ยงท่านจะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้เช่นไรนอกจากทำไปเพื่อหน้าที่ ยังมีสิ่งใดอีกบ้างที่ท่านต้องทำนอกเหนือจากการใช้วาจาเหน็บแนมผู้อื่นเช่นนี้ ราชองรักษ์หลวง!”
เนเฟอร์ติตีติตีพลั้งเผลอตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงอัดอั้นออกไปทำให้แววตาอันดุดันคู่นั้นหม่นแสงลง มือหนาที่เกาะกุมดอกบัวในอ้อมพระพาหาค่อยเลื่อนออก ทว่าใบหน้าคล้ายสำนึกในการกระทำของเมมนอนทำให้เจ้าฟ้าหญิงเริ่มรู้สึกไม่สบายพระทัยยิ่งนัก
“ขอประทานอภัยพะย่ะค่ะ...กระหม่อมไม่เคยลืมว่าพระองค์คือใคร และกระหม่อมคือใคร”
“เมมนอน...ข้า...เอ้อ....ข้าหมายถึง...อ๊ะ!”
นางยังไม่ทันได้ตรัสสิ่งใดกลับต้องทิ้งพระวรกายลงในอ้อมแขนของราชองครักษ์เมื่อรู้สึกชาไปหมดตั้งแต่ปลายพระบาทขึ้นไปถึงพระอัสสุชลจนมิอาจทนยืนอยู่ได้แม้ในวังน้ำนิ่ง
“องค์หญิง!...เป็นอะไรพะย่ะค่ะ!”
“เมมนอนช่วยข้าด้วย!...ขาของข้าชาไปหมดแล้ว”
พระสุรเสียงนั้นสั่นเครืออยู่กับอกของราชองครักษ์หนุ่มซึ่งตระกองกอดพระองค์ไว้ก่อนจะช้อนพระวรกายขึ้นไว้ในอ้อมแขน
“พระองค์อาจเป็นตะคริวเพราะอยู่ในน้ำนาน หม่อมฉันจะพาองค์หญิงขึ้นบนฝั่งนะพะย่ะค่ะ”
เนเฟอร์ติตีเพียงก้มพระพักตร์รับคำบอกกล่าวนั้นและจำต้องปล่อยให้บุรุษร่างกำยำโอบอุ้มร่างที่ดูเล็กถนัดใจเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของผู้ที่พาพระองค์กลับไปประทับริมฝั่งน้ำซึ่งเป็นแก่งหินโอบล้อมด้วยกอปาปิรัสเตี้ย ๆ
“เมมนอน...เราจะเป็นอะไรหรือไม่...ทำไมเราไม่มีความรู้สึกอันใดเลยบนขาของเรา!”
ราชองครักษ์หนุ่มค่อย ๆ ใช้มือสัมผัสลงบนข้อพระบาทอันซูบซีดของนาง เนเฟอร์ติตีอาจอยู่ในน้ำนานกินไปจนความชื้นจับพระฉวีทำให้เกิดอาการชาตามปลายเส้นประสาท เมมนอนก้มหน้าอยู่ใกล้เจ้าฟ้าหญิงแห่งธีบส์มากเสียจนนางเริ่มเกิดความหวั่นไหวด้วยมิเคยถูกชายใดสัมผัสเช่นนี้
เนเฟอร์ติตีจับจ้องใบหน้านั้นนิ่งนาย นางเพิ่งเห็นเขาชัดเจนก็วันนี้ ราชองครักษ์หลวงผู้ติดตามฟาโรห์รามเสสซึ่งมีอายุเพียงยี่สิบปี ใบหน้าคมคายและรูปร่างสูงใหญ่กว่าชายอียิปต์ทั่วไปช่างดึงดูดสายพระเนตรจนมิอาจละไปได้ง่าย รามเสสมักตรัสถึงเมมนอนเสมอว่าเขามีฝีมือด้านการทำศึกฉกาจยิ่งกว่าผู้ใดทั้งการใช้ดาบและยิงธนูในหมู่นายทหารด้วยกัน
หากทว่าผู้ทำการรบเก่งกาจอาจดูเคร่งขรึมเสมือนมิรับรู้อันใดเลยหากมิใช่พระบัญชาจากบิดาของนาง เนเฟอร์ติตีไม่เคยเห็นรอยยิ้มเยือนบนใบหน้าชาเฉยราวเขามิมีความรู้สึกอันใดเลยในความเย็นชานั่น แม้นางเป็นถึงเจ้าฟ้าหญิงสูงศักดิ์ก็ยังปรารถนาเห็นรอยยิ้มอันสุกสว่างจากราชองรักษ์ผู้เฝ้าติดตามแม้เพียงสักครั้ง
ใต้เวิ้งฟ้าอันสุกสกาวและพราวพร่างด้วยหมู่ดาวราวเปล่งรัศมีแข่งกันบนผืนกำมะหยี่สีนิลเหนือเมืองธีบส์นครหลวงแห่งอาณาจักรอียิปต์อันไพศาลราวอยู่ในแดนสรวง แสงสว่างจากคบไฟยังคงสาดประกายตามทางเดินในตำหนักหลวงที่มีทหารยามคอยเฝ้าระแวดระวังในราตรีอันเงียบสงบภายในมหาราชวังอันโอ่อ่าแห่งนี้ แม้ย่ำค่ำบรรยากาศจากเบื้องบนจะลดต่ำลงแล้วหากทว่าละอองไอร้อนจากผืนทรายเบื้องนอกยังคงขับไออุ่นโอบล้อมรอบพระราชวังอยู่มิคลาย นางสนมวัยกลางคนยังคงเดินเข้าออกภายในห้องบรรทมของตำหนักชั้นในซึ่งเจ้าของยังยืนมองเหม่อที่ริมระเบียงออกไปยังสายนทีแห่งไนล์ที่ยังคงไหลเอื่อยอยู่เบื้องนอก เนเฟอร์ติตีทรงหันไปทอดพระเนตรพระนม คูอิต เป็นบางครั้งและทรงแย้มพระโอษฐ์บ้างด้วยพึงใจ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จวบจนบัดนี้พระนางมีประชนมายุเต็มสิบเจ็ดชันษาแล้ว คูอิต ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของนางมิเคยบกพร่อง นางได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากฟาโรห์รามเสสและพระนางเนเฟอร์ตารีซึ่งเป็นพระชนกและพระชนนีให้ดูแลทุกอย่างนับแต่ลืมพระเนตรจวบจนบรรทมนั่นแล้ว ฟ้าหญิงแห่งธีบส์ภายใต้ฉลองพระองค์อันเป็นพระภูษาทอจากด้ายปอเป็นลิ
เนเฟอร์ติตีกรีดร้องสุดเสียงเมื่อคมมีดปาดลงบนพระพาหุ(ต้นแขน) ทำให้นางถึงกับเซล้มลงไปอยู่หลังชายผ้าม่าน สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือสายตาแห่งความหมายมาดของผู้ที่นางมิรู้ว่าเป็นผู้ใดจ้องมาเอาชีวิต“ช่วยด้วย!...ช่วยด้วย!”เจ้าหญิงทรงลนลานขณะยกพระหัตถ์ขึ้นกางกั้นเมื่อคนชุดดำเงื้อมอาวุธในมือขึ้นอีกหน แต่แล้วก็กลับต้องชะงักงันเมื่อมีเสียงดังมาจากอีกฝั่งของห้องบรรทม“เจ้าเป็นใคร!...ทหาร!...ทหาร!...มีคนร้ายเข้ามาในตำหนัก! เข้ามาจับมันเดี๋ยวนี้!”คูอิตร้องตะโกนโหวกเหวกและนั่นจึงทำให้คนร้ายลดมือที่กำมีดลงก่อนจะเหน็บมันกลับเข้าไปในฝักที่บั้นเอวแล้วกระโดดขึ้นไปบนขอบระเบียงอย่างคล่องแคล่ว เมื่อมีทหารวิ่งกรูเข้ามาในห้องร่างนั้นจึงทิ้งตัวหายไปเบื้องล่างราวมัจจุราชอันตรธานหายไปในหุบมืดแห่งราตรีกาล“เจ้าหญิง!...เจ้าหญิงเพคะ!...”คูอิตรีบถลาเข้าไปดูพระอาการของเจ้าหญิงซึ่งยังทรงตะลึงลานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมิทรงสำเหนียกในความเจ็บปวดที่แผลบนพระพาหุที่พระโลหิตเหนียวข้นหยาดหยดลงมา เพียงครู่เหล่าทหารยามจึงรีบออกไปชะโงกหน้าตรงระเบียงห้องบรรทมก็พบเพียงยอดปาล์มและคบไฟ ทางเดินเบื้องล่างนั้นว่างเปล่าราวคนร้ายได
บัญชาจากพระบิดาทำให้เจ้าฟ้าหญิงผู้งดงามเหลือบพระเนตรมองดูผู้จะมาทำหน้าที่ถวายการดูแลพระองค์หลังเกิดเหตุร้าย ดวงหทัยของเนเฟอร์ติตีราวมีบางอย่างผุดวาบขึ้นมาในชั่วแวบที่มองเห็น ราชองครักษ์ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างรามเสสนั้นเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่มีใบหน้าคมคายต่างจากทหารในวังทั่วไป ดวงหน้าเข้มนั้นกอรปด้วยดวงตาคมแน่วแน่จริงจัง จมูกโด่งและริมฝีปากหนาได้รูปภายใต้ท่าทีเคร่งขรึมช่างชวนมองอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ในขณะนั้นเององค์ฟาโรห์จึงเสด็จเข้าไปใกล้พระธิดาและวางฝ่าพระหัตถ์ลงบนพระเกศาประกายทองแดงด้วยทรงห่วงใย “เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว เนเฟอร์ติตี นี่คงเป็นด้วยผลานุภาพแห่งเทพอมุน-รา เทวีมัตและเทพคอนซูแห่งวิหารคาร์นัคที่ช่วยปกป้องเจ้าให้รอดพ้นจากภัยร้ายทั้งปวง” “ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ แต่ตอนนี้ลูกก็ปลอดภัยดีแล้ว เสด็จพ่ออาจมิต้องทรงกังวลเรื่องใดอีก” “พ่อจะจัดทหารมาอยู่เวรยามในตำหนักของเจ้าเพิ่มเป็นสองเท่า!... เนเฟอร์ติตี แม้เจ้าไม่เป็นอะไร พ่อก็ต้องให้เหล่าทหารและนางกำนัลมาคอยระแวดระวังเจ้า และหน้าที่อันสำคัญนี้พ่อจะมอบหมายให้เมมนอน องครักษ์ฝีมือดีที่สุดของพ่อ
“มาเอีย!...ท่านแม่ล่ะ”น้ำเสียงอันกราดเกรี้ยวทำให้นางกำนัลซึ่งเฝ้าอยู่หน้าตำหนักของพระสนมในฟาโรห์ต้องรีบผลักบานประตูห้องให้ร่างระหงของหญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดภายใต้แพรพรรณของบุคคลชั้นสูงภายในมหาราชวังเดินลงส้นอย่างไม่สบอารมณ์เข้าไปด้านในอังเคเซนามุนก้าวผ่านผ้าม่านบางเบาที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราก่อนจะพบว่ามีใครคนหนึ่งในชุดดำโพกศีรษะและปิดหน้าอย่างมิดชิดเดินสวนกลับออกมาจากภายในห้องมารดาของนา หากแต่ไม่ทันได้กล่าวว่ากระไรเสียงของนางสนมไอดุตก็เรียกนางเข้าไปหา“อังเคเซนามุน...เจ้ามาหาแม่รึ?”“ท่านแม่!”เสียงของนางยิ่งเกรี้ยวกราดเมื่อก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าผู้เป็นมารดาภายในห้องซึ่งดูมิดชิดภายในตำหนักอีกฝั่งฟากของราชวัง ที่แห่งนี้คือสถานอันเป็นแหล่งพำนักแก่นางในของราชันผู้ยิ่งใหญ่อย่างรามเสสซึ่งมีนางสนมในฮาเร็มนับร้อยหากก็มิมีผู้ใดได้รับการยกย่องเชิดชูเท่าเนเฟอร์ตารีมเหสีเอกไอดุตก็คือหนึ่งนางในที่รั้งตำแหน่งได้แค่สนมปลายแถวซึ่งให้กำเนิดธิดาอย่างอังเคเซนามุน ผู้มีอายุไล่เลี่ยกันกับเนเฟอร์ติตี ทั้งรูปร่างหน้าตาก็มีส่วนละม้ายคล้ายกัน ต่างเพียงศักดิ์เท่านั้นที่มิได้กำเนิดแต่มเหสีหลวงความแตกต่าง