บัญชาจากพระบิดาทำให้เจ้าฟ้าหญิงผู้งดงามเหลือบพระเนตรมองดูผู้จะมาทำหน้าที่ถวายการดูแลพระองค์หลังเกิดเหตุร้าย ดวงหทัยของเนเฟอร์ติตีราวมีบางอย่างผุดวาบขึ้นมาในชั่วแวบที่มองเห็น ราชองครักษ์ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างรามเสสนั้นเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่มีใบหน้าคมคายต่างจากทหารในวังทั่วไป ดวงหน้าเข้มนั้นกอรปด้วยดวงตาคมแน่วแน่จริงจัง จมูกโด่งและริมฝีปากหนาได้รูปภายใต้ท่าทีเคร่งขรึมช่างชวนมองอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
ในขณะนั้นเององค์ฟาโรห์จึงเสด็จเข้าไปใกล้พระธิดาและวางฝ่าพระหัตถ์ลงบนพระเกศาประกายทองแดงด้วยทรงห่วงใย
“เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว เนเฟอร์ติตี นี่คงเป็นด้วยผลานุภาพแห่งเทพอมุน-รา เทวีมัตและเทพคอนซูแห่งวิหารคาร์นัคที่ช่วยปกป้องเจ้าให้รอดพ้นจากภัยร้ายทั้งปวง”
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ แต่ตอนนี้ลูกก็ปลอดภัยดีแล้ว เสด็จพ่ออาจมิต้องทรงกังวลเรื่องใดอีก”
“พ่อจะจัดทหารมาอยู่เวรยามในตำหนักของเจ้าเพิ่มเป็นสองเท่า!... เนเฟอร์ติตี แม้เจ้าไม่เป็นอะไร พ่อก็ต้องให้เหล่าทหารและนางกำนัลมาคอยระแวดระวังเจ้า และหน้าที่อันสำคัญนี้พ่อจะมอบหมายให้เมมนอน องครักษ์ฝีมือดีที่สุดของพ่อมาคอยดูแลเจ้ามิให้คลาดสายตา”
มหาราชตรัสแล้วจึงผินพระพักตร์ไปยังราชองครักษ์หนุ่ม
“เมมนอน! แต่นี้ไปเจ้ามีหน้าที่คอยระแวดระวังความปลอดภัยให้ธิดาแห่งเราตลอดเวลา ข้าจะให้พวกทหารสืบหาผู้ร้ายที่บังอาจย่างกรายเข้ามาถึงที่แห่งนี้ให้จงได้ หากเนเฟอร์ติตีได้รับอันตรายฤาบาดเจ็บอีกฉันใด เจ้า!...เมมนอนต้องได้รับโทษจากเราโดยมิมีข้อยกเว้น
“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ...กระหม่อมจะคอยดูแลและคุ้มกันองค์หญิงเนเฟอร์ติตีอย่างดีที่สุดเทียบเท่าชีวิตของกระหม่อมเอง”
เสียงทุ้มลึกและแน่นหนักจากราชองครักษ์หนุ่มสร้างความพึงพอพระทัยแก่ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวยิ่งนัก รามเสสแย้มพระโอษฐ์เพียงน้อยก่อนเสด็จออกจากพระราชฐานอันเป็นตำหนักฝ่ายในของพระธิดาพร้อมกับมเหสีเอกผู้เป็นที่รักยิ่ง พระนางเนเฟอร์ตารี
“องค์หญิงเพคะ...”
คูอิตรีบรุดเข้าไปหาพระธิดาซึ่งประทับอยู่บนแท่นบรรทมโดยพระพาหุถูกรัดไว้ด้วยผ้าลินินบนแผลที่พระองค์ทรงได้รับมาจากคนร้ายที่บุกเข้ามาในตำหนัก
“คูอิต...เจ้าร้องไห้ทำไม เห็นหรือไม่ว่าเราไม่เป็นไรแล้ว หมอหลวงมาทำแผลให้เราอย่างดี ก็แค่รอยมีดปาด มิได้มีอันใดร้ายแรง”
เนเฟอร์ติตีตรัสเบา ๆ กับพระนมซึ่งนั่งคุกข่าหลั่งน้ำตาอยู่แนบเบื้องพระบาทเรียวบางขณะที่มือมีริ้วรอยลูบไล้ไปมาบนรองพระบาทสานด้วยทองคำ
“ความผิดทั้งหมดควรตกอยู่แก่หม่อมฉันเพคะ...องค์หญิง องค์ฟาโรห์และพระมเหสีทรงไว้วางพระทัยให้คูอิตดูแลองค์หญิง แต่หม่อมฉันกลับละเลยจน...จน...”
เสียงสะอื้นไห้ทำให้ผู้ตกเป็นคนถูกปลอบเสียเองคือพระนมในวัยกลางคน ในขณะเดียวกันที่ร่างสูงใหญ่ของราชองรักษ์ค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นและกำลังจะหันกลับออกไปจากห้องบรรทมมีอันต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงของเจ้าหญิงดังขึ้น
“ช้าก่อน!...ท่านองครักษ์...ท่าน...”
“เมมนอน พะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยเสียงอันเยียบเย็นและยังคงก้มหน้าขณะมือข้างหนึ่งกุมด้ามดาบที่บั้นเอวมิวาง
“ท่านกำลังจะไปไหนรึ?”
“กระหม่อมมีหน้าที่เฝ้าระวังความปลอดภัยให้แก่องค์หญิง กระหม่อมต้องตรวจตราดูความเรียบร้อยในตำหนักของพระองค์พะย่ะค่ะ”
“เสด็พ่อตรัสกับท่านเช่นใรกัน”
“อย่าได้ปล่อยให้องค์หญิงคลาดสายตา...พะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงนั้นยังคงราบเรียบ แต่แล้วนัยน์ตาเข้มกลับต้องสบกับพระเนตรอันงดงามที่ทรงทอดตรงมา เมมนอนบอกกับตัวเองว่าไม่เคยเห็นธิดาผู้มีสิริโฉมเป็นที่เลื่องลือปานกันกับพระนางเนเฟอร์ตารีชัดเจนเลยแม้เพียงหน และความไม่ตั้งใจที่ต้องมารับหน้าที่จากบัญชาของฟาโรห์กลับทำให้มีบางอย่างจุดประกายขึ้นภายในส่วนลึกของเลือดเนื้อนักรบผู้มิเคยผูกใจต่อสตรีใดมาก่อน
“เราเพียงจะบอกว่า...ไม่จำเป็นที่ท่านต้องมาติดตามเราทุกฝีก้าว ท่านอาจไปปฏิบัติหน้าที่อื่นใดที่สำคัญมากกว่าการต้องดูแลเราตลอดเวลา”
“นี่เป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่งของกระหม่อม มิมีหน้าที่อื่นใดสำคัญเกินกว่าพระบัญชาขององค์ฟาโรห์...โปรดวางพระทัยเถิดพะย่ะค่ะ องค์หญิงสำคัญเสมอ กระหม่อมขอตัวออกไปอยู่หน้าห้องบรรทมก่อน”
เมมนอนถอยกลับไปยังประตูห้องซึ่งงดงามด้วยรูปสลักแห่งทวยเทพบนบานไม้ซีดาร์ก่อนหันหลังและก้าวพ้นออกไปจากธรณีประตู
“ท่าทางราชองครักษ์ของฟาโรห์คนนี้หน่วยก้านดีไม่เบานะเพคะ แต่ดูเคร่งขรึมไม่ใคร่พูดจา หากก็นับได้ว่าเป็นราชองครักษ์ที่หน้าตาดีมากเลยเพคะ”
คูอิตมองตามบุรุษร่างสูงใหญ่โดยมิทันได้สังเกตว่ามีประกายระยับพรายอยู่ในดวงเนตรทั้งสองของผู้ที่ได้สดับฟัง เนเฟอร์ติตีเผลอแย้มพระโอษฐ์เพียงบางเบา จริงดั่งที่พระนมของนางว่า ใช่แต่จะเป็นราชองครักษ์ที่มีใบหน้าอันดึงดูด ท่าทีเงียบเฉยนั้นเล่าดุจสายน้ำไนล์ยามสงบน่าค้นหา ผู้ที่ต้องทำหน้าที่ดูแลนางจักเป็นคนเช่นไร ในพระทัยดวงนั้นให้นึกกังขายิ่งนัก
“มาเอีย!...ท่านแม่ล่ะ”น้ำเสียงอันกราดเกรี้ยวทำให้นางกำนัลซึ่งเฝ้าอยู่หน้าตำหนักของพระสนมในฟาโรห์ต้องรีบผลักบานประตูห้องให้ร่างระหงของหญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดภายใต้แพรพรรณของบุคคลชั้นสูงภายในมหาราชวังเดินลงส้นอย่างไม่สบอารมณ์เข้าไปด้านในอังเคเซนามุนก้าวผ่านผ้าม่านบางเบาที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราก่อนจะพบว่ามีใครคนหนึ่งในชุดดำโพกศีรษะและปิดหน้าอย่างมิดชิดเดินสวนกลับออกมาจากภายในห้องมารดาของนา หากแต่ไม่ทันได้กล่าวว่ากระไรเสียงของนางสนมไอดุตก็เรียกนางเข้าไปหา“อังเคเซนามุน...เจ้ามาหาแม่รึ?”“ท่านแม่!”เสียงของนางยิ่งเกรี้ยวกราดเมื่อก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าผู้เป็นมารดาภายในห้องซึ่งดูมิดชิดภายในตำหนักอีกฝั่งฟากของราชวัง ที่แห่งนี้คือสถานอันเป็นแหล่งพำนักแก่นางในของราชันผู้ยิ่งใหญ่อย่างรามเสสซึ่งมีนางสนมในฮาเร็มนับร้อยหากก็มิมีผู้ใดได้รับการยกย่องเชิดชูเท่าเนเฟอร์ตารีมเหสีเอกไอดุตก็คือหนึ่งนางในที่รั้งตำแหน่งได้แค่สนมปลายแถวซึ่งให้กำเนิดธิดาอย่างอังเคเซนามุน ผู้มีอายุไล่เลี่ยกันกับเนเฟอร์ติตี ทั้งรูปร่างหน้าตาก็มีส่วนละม้ายคล้ายกัน ต่างเพียงศักดิ์เท่านั้นที่มิได้กำเนิดแต่มเหสีหลวงความแตกต่าง
เสียงหนักที่ดังมาจากที่อันใกล้ทำให้นางต้องหันกลับไปทางเจ้าของเสียงเรียกที่ยืนอยู่ริมสระ เมมนอนซึ่งอยู่ในชุดราชองรักษ์สวมกระโปรงตัวสั้นและมีเพียงแผงคอที่มิอาจปกปิดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งบนอกและหน้าท้องเป็นลอนทำให้เจ้าฟ้าหญิงต้องชะงักการกระทำอันแสนรื่นรมย์ลงในทันใด ใบหน้าคมเข้มภายใต้ผ้าโพกศีรษะสีดำสนิทดูกังวลมากกว่าเครียดขรึมดังปกติ ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ เดินลุยน้ำตามเนเฟอร์ติตีลงไปกระทั่งหยุดอยู่ห่างจากนางไม่มากด้วยมิอาจล่วงล้ำเข้าไปได้ใกล้กว่านั้น “ขออภัยพะย่ะค่ะ...กระหม่อมขอเชิญองค์หญิงเสด็จกลับตำหนักบัดเดี๋ยวนี้” เมมนอนค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมหากทว่าน้ำเสียงนั้นบอกความไม่สบายใจออกมาชัดเจน แม้โล่งใจที่พบว่าเจ้าหญิงหายตัวจากห้องบรรทมมาอยู่ที่นี่ หากแต่ด้วยหน้าที่ที่มีทำให้เขารู้สึกลำบากใจยิ่งนัก “เป็นบัญชาของเสด็จพ่อหรือไร?” “มิได้ฝ่าบาท...หากแต่เป็นหน้าที่ ที่กระหม่อมต้องคอยดูแลพระองค์ตามพระบัญชาของฟาโรห์” “ข้ายังไม่อยากกลับ ท่านไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่” เนเฟอร์ติตีทรงหันหลังให้แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงัก
ใต้เวิ้งฟ้าอันสุกสกาวและพราวพร่างด้วยหมู่ดาวราวเปล่งรัศมีแข่งกันบนผืนกำมะหยี่สีนิลเหนือเมืองธีบส์นครหลวงแห่งอาณาจักรอียิปต์อันไพศาลราวอยู่ในแดนสรวง แสงสว่างจากคบไฟยังคงสาดประกายตามทางเดินในตำหนักหลวงที่มีทหารยามคอยเฝ้าระแวดระวังในราตรีอันเงียบสงบภายในมหาราชวังอันโอ่อ่าแห่งนี้ แม้ย่ำค่ำบรรยากาศจากเบื้องบนจะลดต่ำลงแล้วหากทว่าละอองไอร้อนจากผืนทรายเบื้องนอกยังคงขับไออุ่นโอบล้อมรอบพระราชวังอยู่มิคลาย นางสนมวัยกลางคนยังคงเดินเข้าออกภายในห้องบรรทมของตำหนักชั้นในซึ่งเจ้าของยังยืนมองเหม่อที่ริมระเบียงออกไปยังสายนทีแห่งไนล์ที่ยังคงไหลเอื่อยอยู่เบื้องนอก เนเฟอร์ติตีทรงหันไปทอดพระเนตรพระนม คูอิต เป็นบางครั้งและทรงแย้มพระโอษฐ์บ้างด้วยพึงใจ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จวบจนบัดนี้พระนางมีประชนมายุเต็มสิบเจ็ดชันษาแล้ว คูอิต ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของนางมิเคยบกพร่อง นางได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากฟาโรห์รามเสสและพระนางเนเฟอร์ตารีซึ่งเป็นพระชนกและพระชนนีให้ดูแลทุกอย่างนับแต่ลืมพระเนตรจวบจนบรรทมนั่นแล้ว ฟ้าหญิงแห่งธีบส์ภายใต้ฉลองพระองค์อันเป็นพระภูษาทอจากด้ายปอเป็นลิ
เนเฟอร์ติตีกรีดร้องสุดเสียงเมื่อคมมีดปาดลงบนพระพาหุ(ต้นแขน) ทำให้นางถึงกับเซล้มลงไปอยู่หลังชายผ้าม่าน สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือสายตาแห่งความหมายมาดของผู้ที่นางมิรู้ว่าเป็นผู้ใดจ้องมาเอาชีวิต“ช่วยด้วย!...ช่วยด้วย!”เจ้าหญิงทรงลนลานขณะยกพระหัตถ์ขึ้นกางกั้นเมื่อคนชุดดำเงื้อมอาวุธในมือขึ้นอีกหน แต่แล้วก็กลับต้องชะงักงันเมื่อมีเสียงดังมาจากอีกฝั่งของห้องบรรทม“เจ้าเป็นใคร!...ทหาร!...ทหาร!...มีคนร้ายเข้ามาในตำหนัก! เข้ามาจับมันเดี๋ยวนี้!”คูอิตร้องตะโกนโหวกเหวกและนั่นจึงทำให้คนร้ายลดมือที่กำมีดลงก่อนจะเหน็บมันกลับเข้าไปในฝักที่บั้นเอวแล้วกระโดดขึ้นไปบนขอบระเบียงอย่างคล่องแคล่ว เมื่อมีทหารวิ่งกรูเข้ามาในห้องร่างนั้นจึงทิ้งตัวหายไปเบื้องล่างราวมัจจุราชอันตรธานหายไปในหุบมืดแห่งราตรีกาล“เจ้าหญิง!...เจ้าหญิงเพคะ!...”คูอิตรีบถลาเข้าไปดูพระอาการของเจ้าหญิงซึ่งยังทรงตะลึงลานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมิทรงสำเหนียกในความเจ็บปวดที่แผลบนพระพาหุที่พระโลหิตเหนียวข้นหยาดหยดลงมา เพียงครู่เหล่าทหารยามจึงรีบออกไปชะโงกหน้าตรงระเบียงห้องบรรทมก็พบเพียงยอดปาล์มและคบไฟ ทางเดินเบื้องล่างนั้นว่างเปล่าราวคนร้ายได