เสียงระฆังดังขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าการต่อสู้บนสังเวียนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนับจากนี้ ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มจ้องมองคู่ต่อสู้ด้วยสายตาอันแรงกล้า จับจุดไปยังบริเวณหน้าอกของอีกฝ่าย เพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวของร่างกาย
สองแขนยกขึ้นตั้งการ์ดพร้อมรับพร้อมสู้ สองเท้าก้าวลากก้าวตามหลอกล้อคู่ต่อสู้อย่างมีชั้นเชิง
หมัดเปล่าไร้นวมมีเพียงผ้าขาวบางที่พันรอบมือจนหนา ออกแรงส่งตรงมาที่หน้าของเขา ด้วยไหวพริบที่มีทำให้สามารถหลบได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนจะสวนหมัดกลับไปที่หน้าท้องแกร่งของอีกฝ่าย
เสียงโหเชียร์ดังลั่น ผู้คนนับร้อยที่เข้าร่วมดูการแข่งครั้งนี้ลุ้นจนตัวโก่งว่าฝ่ายที่ตัวเองเชียร์จะชนะหรือเปล่า เพราะหากชนะเงินพนันที่จะได้มันคุ้มกว่าการแพ้พนันอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มร่างบางที่ใครเห็นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายที่ร่างกายกำยำกว่าได้ อย่างนั้นการลงพนันครั้งนี้จึงมากกว่าครั้งไหน ๆ
และเป้าหมายเดียวของการแข่งขันครั้งนี้ก็เพื่อชัยชนะเท่านั้น เขาต้องห้ามแพ้เป็นอันขาด แม้จะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดทางกายที่จะได้รับเขาก็จะไม่แพ้
การโจมตีอย่างป่าเถื่อนของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่าบนสังเวียนนี้ไม่มีกฎเกณฑ์หรือกฎกติกาใด ๆ เพราะยังไงซะมวยใต้ดินก็ไม่ใช่มวยที่ถูกกฎหมายอยู่แล้ว…
.
.
"มึงนี่มันสุดยอดเลยไอ้อัยย์"
เต้เพื่อนชายคนสนิทที่อยู่ค่ายมวยเดียวกันเอ่ยปากชมทันทีที่ลงมาจากสังเวียน หลังชนะน็อกอีกฝ่ายได้
"แล้วนี่ครูไปไหน" ก่อนจะลงมาเขายังเห็นครูชัยอยู่กลาย ๆ
"ไปเอาเงินจากพวกมัน” เต้ยิ้มร่า "มึงอะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับค่ายแล้วเดี๋ยวกูทำแผลให้"
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมารอครูชัยที่รถเพื่อกลับค่าย การพูดคุยของครูชัยและอีกฝ่ายที่แพ้พนันอยู่ในสายตาของเด็กหนุ่มที่ยืนพิงประตูรถดูอยู่
หนุ่มวัยกลางคนร่างกายกำยำสมฉายานักมวยเก่าชื่อดังเดินกลับมาที่รถพร้อมยื่นซองสีน้ำตาลหนาให้กับอัยย์
“ครูให้อัยย์แค่ครึ่งหนึ่งก็พอจ้ะ”
เด็กหนุ่มไม่ได้หวังจะเอาเงินพนันที่ได้มาทั้งหมดเพียงคนเดียว แค่สักส่วนหนึ่งให้พอได้เอาไปใช้หนี้งวดล่าสุดนี้ก่อนก็พอ
“เอาไปเถอะ ลุงไม่เอาหรอก”
“แต่ครูอุตส่าห์ช่วยอัยย์ จะให้อัยย์เอาเงินนี่หมดคนเดียวได้ยังไง”
สีหน้าฉายชัดถึงความเกรงใจ เพราะโดยปกติแล้วครูชัยไม่เคยให้เด็กในค่ายมาต่อยมวยเถื่อนผิดกฎกติกาแบบนี้ แต่เพราะความสงสารที่อัยย์อ้อนวอนขอร้องเพราะเดือดร้อนจริง ๆ เลยใจอ่อนยอมช่วย ทั้งที่บอกว่าจะให้ยืมเงินของตัวเองแต่เด็กคนนี้ก็ไม่เอาแต่ปฏิเสธ
“เอาไปเถอะอัยย์ เงินนี้แลกมากับที่เราต้องเจ็บตัวทั้งนั้น มีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินไม่ใช่หรือไง”
ซองเงินถูกยัดใส่มืออัยย์ด้วยความเต็มใจ เด็กหนุ่มมองคนตรงหน้าที่เปรียบเสมือนพ่อของเขาอีกคน เกือบหกปีแล้วที่ครูชัยดูแลเขามา เพราะตั้งแต่วันที่พ่อเสียครูชัยก็กลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของเขา หลังจากนั้นก็ได้เข้ามาอยู่ในค่ายก้องเมธี
ครูชัยเองก็ไม่เคยเห็นว่าอัยย์เป็นคนนอก เพราะช่วยเพื่อนตัวเองที่เป็นพ่อของอัยย์เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กคนนี้ตีนเท่าฝาหอย อาจจะเพราะครูชัยไม่มีเมียไม่มีลูกเขาถึงได้รักและเอ็นดูอัยย์เหมือนลูกแท้ ๆ รวมไปถึงเด็กในค่ายคนอื่น ๆ
แม้เด็กคนอื่น ๆ ในค่ายจะบอกว่าครูชัยทั้งดุ ทั้งน่าเกรงกลัว แต่สำหรับอัยย์แล้วกลับตรงกันข้ามอย่างที่ใครกล่าวหา
"ขอบคุณนะจ๊ะครู"
"อย่าซึ้งกันดิ เดี๋ยวผมก็ร้องหรอก"
คนที่ยืนเงียบฟังสองลุงหลานคุยกันก็เริ่มน้ำตาคลอขึ้นมา เต้เองก็เป็นอีกคนที่กำพร้าพ่อแม่ อยู่ค่ายมวยกับครูชัยมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่เอาดีทางด้านนี้เลยช่วยดูแลความเรียบร้อย ช่วยทำความสะอาดในค่ายแทน
"ครูกับเต้กลับกันก่อนเลยนะจ๊ะ"
"จะไปทำงานที่คลับอีกเหรอมึง" เพื่อนสนิทเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ว่าเอาแรงที่ไหนไปทำงานไหว
"อือ.. รับปากพี่เขมไว้แล้ว"
"งั้นทำแผลก่อนดีไหม" เต้ยื่นมือไปจับคางมนหันซ้ายหันขวาดูรอยช้ำที่โหนกแก้ม
"นิดเดียวเอง แค่นี้สบายมาก" ก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเงยหน้ามายิ้มร่าให้ทั้งสองคน "ต้องไปแล้ว เดี๋ยวสาย ขับรถดี ๆ นะจ๊ะครู เลิกงานแล้วเดี๋ยวอัยย์รีบกลับ"
พูดจบก็รีบวิ่งออกไป ทั้งครูชัยและเต้ได้แต่ส่ายหัวให้กับเด็กดื้อที่เก่งมากจนอดชื่นชมไม่ได้ เด็กผู้ชายตัวเล็กแค่นี้แต่กลับทำงานหาเงินเองมาตลอด ไม่เคยทำตัวเป็นภาระให้ใคร
ไม่มีเวลามาเสียใจ ไม่มีเวลามานั่งถอนหายใจทิ้งเพราะเหนื่อยกับชีวิตด้วยซ้ำ อัยย์รู้เพียงแค่หากมีชีวิตอยู่ต่อก็ควรจะประคับประคองตัวเองให้ดี แค่ดูแลตัวเองให้ได้อย่างที่พ่อเคยสอนเอาไว้ก็พอ
@Hola Club
อัยย์นั่งวินมอเตอร์ไซค์มาลงที่คลับลับที่มาตั้งอยู่ในซอยในหลืบ ไร้ซึ่งบ้านผู้คนแต่กลับมีคนรู้จักมากมายเพียงเพราะการบอกต่อปากต่อปาก ที่เขาได้เข้าทำงานที่นี่ก็เป็นเพราะเขมทัศน์พี่ชายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ยื่นมือเข้ามาช่วย พาเข้ามาทำงานที่ร้านที่ตัวเองเป็นหุ้นส่วนอยู่
ร่างบางเก็บกระเป๋าเข้าตู้ล็อกเกอร์ก่อนหยิบเสื้อผ้าที่ร้านให้ออกมาเปลี่ยน
"บอกแล้วว่าวันนี้ไม่ต้องมาก็ได้"
อัยย์ถอดเสื้อยืนคอย้วยออกจากตัวก่อนจะสวมเสื้อโปโลสีดำแทน พลางเอี้ยวตัวกลับไปยิ้มให้คนคุ้นเคย
"ได้ไงละพี่เขม บอกไว้แล้วไงว่าจะมา"
"ทั้งที่เจ็บตัวมาขนาดนี้น่ะเหรอ"
ตอนที่อีกคนถอดเสื้ออาจจะเพราะผิวขาวเนียนของอัยย์เขาถึงเห็นรอยช้ำบนตัวได้อย่างชัดเจน เกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมาว่าทำไมเด็กหนุ่มตัวเล็กตรงหน้าเจ็บตัวขนาดนี้แต่ยังทนทำงานต่อได้ไหว
"แค่นี้เองอัยย์สบายมาก ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น"
"ถ้าอัยย์จำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ ยืมของพี่ก่อนก็ได้"
ร่างบางถอนหายใจเบา ๆ พลางยกยิ้มส่ายหัว เขาเข้าใจว่าพี่ชายคนนี้หวังดี แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเอามาอ้างในการทำให้ใครต้องใครเดือดร้อนเพราะเขาได้
"ไม่ต้องเลย อัยย์หาเงินเองได้น่า ไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้นหรอก ยังหมุนทันอยู่" พยักหน้าหงึกหงัก พลางทำตาใสให้อีกคนคลายความเป็นห่วง "อัยย์ต้องไปทำงานแล้ว"
"ทำแผลก่อนดีไหม"
"จริงสิ เดี๋ยวอัยย์ติดปลาสเตอร์นิดหน่อยก็พอแล้ว"
"งั้นเดี๋ยวพี่ติดให้ เอาปลาสเตอร์มาสิ"
อัยย์เปิดล็อกเกอร์หยิบปลาสเตอร์ออกจากกระเป๋าส่งให้คนอายุมากกว่า ก่อนจะยืนนิ่งให้อีกคนแปะปลาสเตอร์ลงบนแผลตรงหางคิ้ว
"ใส่ใจอัยย์ขนาดนี้ พนักงานคนอื่นรู้คงน้อยใจแย่"
เอ่ยแซวเล่นอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก ร่างสูงก้มลงมองสบตากับเด็กหนุ่ม ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปลูบศีรษะคนตรงหน้าแผ่วเบา
"อัยย์ไม่เหมือนพนักงานคนอื่นสักหน่อย"
"พอเลย ในที่ทำงานไม่มีคำว่าพี่น้อง มีแค่เจ้านายกับพนักงานเท่านั้น.. เข้าใจไหมครับเฮียเขม"
เรียกอีกฝ่ายอย่างที่พนักงานคนอื่นเรียก ทั้งยังยิ้มขำเล็กน้อย จับฝ่ามือหนาออกจากหัวตัวเอง เอ่ยขอบคุณที่เขมทัศน์ติดปลาสเตอร์ให้ ก่อนเดินผ่านร่างสูงออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง
เขมทัศน์ได้แต่ยืนนิ่งมองแผ่นหลังเล็กที่หายเดินออกไปไกลจนลับตาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
สำหรับเขมแล้วอัยย์ไม่เหมือนกับพนักงานคนอื่นอย่างที่บอกจริง ๆ และการที่เขาดูแล เป็นห่วงเป็นใยอัยย์มากขนาดนี้ไม่ใช่เพียงเพราะอีกคนคือลูกชายเพื่อนแม่ หรือเห็นอีกคนเป็นน้องชาย
เพราะสำหรับเขมแล้วอัยย์เป็นมากกว่านั้น...
.
.
เวลาเกือบสามทุ่ม พนักงานคนหนึ่งในร้านเดินมาบอกให้อัยย์เอาเหล้าไปเสิร์ฟที่ห้องวีไอพีชั้นสอง ห้อง 106 นึกสงสัยอยู่นิดหน่อย เพราะปกติแล้วเขาไม่ได้มีหน้าที่ขึ้นไปเสิร์ฟชั้นนั้น ส่วนใหญ่จะคอยดูแลรับออร์เดอร์อยู่ชั้นหนึ่งเสียมากกว่า
คนตัวเล็กยกถาดขวดแอลกอฮอล์ราคาแพงที่สุดในร้านขึ้นมาตามห้องที่พนักงานคนนั้นบอก อัยย์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูดีที่สุดสมกับหน้าที่ผู้ให้บริการ
เคาะประตูสองสามครั้งเพื่อขออนุญาตก่อนจะเปิดเข้าไป คิ้วสวยกระตุกครั้นเห็นว่าบุคคลที่อยู่ในห้องคือเขมทัศน์พี่ชายที่ยืนคุยกับเขาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มอีกหนึ่งคนหน้าตาดูดีใช้ได้ จากที่มองเผิน ๆ แล้วรูปร่างกำยำกว่าเขมเกือบเท่าตัว
ทว่านึกสงสัยได้ไม่นานก็ต้องก้มหน้าเดินเข้าไปทำหน้าที่ของตัวเอง ย่อตัวลงนั่งยองวางขวดแอลกอฮอล์และแก้วลงบนโต๊ะอย่างเบามือ เมื่อเสร็จหน้าที่ของตัวเองแล้วจึงค้อมศีรษะให้ทั้งสองคน แต่ไม่ทันจะได้ก้าวเท้าเดินออกมาพ้นโต๊ะก็ถูกเรียกไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนอัยย์” เด็กหนุ่มร่างบางหันกลับไปมองเขมทัศน์ รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรกับตน “มานี่ก่อน พี่จะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก”
ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้านายอัยย์ก็ขัดไม่ได้ จำใจเดินเข้ากลับไปยืนที่เดิม ก่อนจะถูกมือหนาคว้าข้อมือให้นั่งลงข้าง ๆ หากพนักงานคนอื่นมาเห็นเข้ามีหวังได้เอาไปนินทากันสนุกปากแน่ ๆ เพราะไม่เคยมีใครรู้ว่าระหว่างเขากับเขมเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมานานเท่าไร
“นี่ชัชวินเป็นเพื่อนพี่ตั้งแต่สมัยเรียน แล้วก็เป็นเจ้าของคลับที่นี่ด้วย”
ตอนเข้ามาทำงานช่วงแรก ๆ ก็พอได้ยินพนักงานคุยกันอยู่บ้างว่าเจ้าของคลับตัวจริงไปทำงานที่ต่างประเทศ ส่วนเขมทัศน์เป็นเพียงหุ้นส่วนเท่านั้น ทว่าหน้าที่การดูแลจัดการเขมทัศน์เองมีสิทธิ์ทั้งหมด ที่แท้ก็เพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนกันนี่เอง
“สวัสดีครับคุณชัชวิน”
เด็กหนุ่มมารยาทดียกมือไหว้คนอายุมากกว่า หากเป็นเพื่อนเขมทัศน์อายุก็คงจะราว ๆ เดียวกัน ซึ่งก็คงประมาณสามสิบห้า แก่กว่าเขาเกินรอบไปถึงสามปี
อีกฝ่ายรับไหว้ตามมารยาท แต่สีหน้าท่าทางกลับเรียบนิ่งไม่แสดงออกถึงความยินดียินร้ายใด ๆ
“ส่วนนี่อัยย์ น้องคนที่กูเคยโทรไปบอกมึงว่าจะรับเข้ามาทำงาน”
“อือ”
ขานตอบสั้น ๆ ในลำคอเท่านั้น อัยย์เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย เพราะแม้ว่าคนตรงหน้าจะไม่พูดอะไรออกมา แต่สายตากลับเอาแต่จ้องมาที่เขาไม่หยุด
“อัยย์ขอตัวไปทำงานก่อนดีกว่า”
“โอเค เลิกงานเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ครับ”
ร่างเล็กลุกขึ้นค้อมศีรษะให้อีกครั้งก่อนจะออกไปจากห้อง หากอัยย์หันกลับมามองสักนิดคงจะเห็นว่ามีสายตาสองคู่ที่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ต่างกัน
“เด็กนั่นอายุเท่าไร”
จู่ ๆ คนที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่นานสองนานก็เอ่ยถามขึ้นมาลอย ๆ
“อัยย์น่ะเหรอ ปีนี้ยี่สิบ”
“เด็กขนาดนั้นจะทำงานที่นี่ได้เหรอ”
“มึงไม่ต้องห่วง เห็นอัยย์เป็นเด็กตัวเล็กอายุน้อยแบบนั้น แต่เรื่องงานอัยย์ทำได้ดีมาก ตั้งแต่ทำงานที่ร้านมาได้สองเดือนไม่เคยทำอะไรพลาดแม้แต่อย่างเดียว”
“มึงนี่สปอยล์เด็กมันดีนะ”
“กูพูดจริง ๆ”
ชัชวินไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่ยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นดื่ม ราวกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่คุยเมื่อครู่นี้เท่าไรนัก ทว่าแอบเห็นเพื่อนสนิทกลอกตาถอนหายใจใส่อย่างเอือม ๆ เป็นเรื่องที่เขาเองก็ชินไปแล้ว เช่นเดียวกับเขมทัศน์ที่ชินกับท่าทีนิ่งเฉยของเพื่อนคนนี้
ระหว่างที่อัยย์กำลังเก็บของเตรียมปิดร้าน ก็มีเพื่อนที่ทำงานด้วยกันเดินเข้ามาประชิดตัว ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้"นี่อัยย์""หืม? มีอะไรเหรอ" เด็กหนุ่มหยุดมือที่เก็บแก้วบนโต๊ะ หันมองเด็กหนุ่มหน้าหวานข้าง ๆ"วันนี้ได้ขึ้นไปเสิร์ฟที่ชั้นสองใช่ไหม เห็นว่าเป็นห้องของเฮียเขมกับคุณชัช""อ่า ก็ใช่ทำไมเหรอ""เป็นไงบ้าง คุณชัชน่ะ หล่อไหม"สายตาบ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจน ฟองเป็นเด็กใหม่ที่เข้ามาทำงานหลังอัยย์ได้ไม่นาน แต่กลับรู้จักชัชวินก่อนเขาเสียอีก"ก็ดูดีนะ" เลี่ยงที่จะพูดออกไปตรง ๆ ว่าหล่อหรือไม่หล่อ เพราะเขาไม่รู้ว่ามาตรฐานความหล่อของคนตรงหน้าเป็นยังไง"เราอยากมีวาสนาเจอคุณชัชบ้างจัง นี่ได้ยินพวกพนักงานรุ่นพี่คุยกันว่าคุณชัชเพิ่งกลับมาจากประเทศ นาน ๆ ทีจะได้เห็นหน้า ปกติคนที่เข้าร้านจะเป็นเฮียเขมมากกว่า"อัยย์ทำเพียงยืนฟังอีกคนพูด ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกไปเพราะเขาไม่ได้รู้จักชัชวินมาก่อน ไม่เคยถามเขมทัศน์เกี่ยวกับเจ้านายคนนี้ด้วยซ้ำฟองเอาแต่ยืนเพ้อฝันพร่ำพูดถึงชัชวินในเรื่องที่ตนรู้ให้อัยย์ฟัง แม้จะเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง อัยย์ก็ไม่ได้ขัดอะ
ด้วยความอยากรู้ว่าชัชวินเป็นใคร อัยย์ถึงได้ลองค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ต่าง ๆ และมันก็ดันมีขึ้นมาจริง ๆ ทว่าเป็นเพียงประวัติย่อ ๆ อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกเปิดเผยให้ได้รู้ชัชวิน เธียรธนากิจ ลูกชายคนเดียวของคุณชูวิทย์ และคุณหญิงอรอนงค์ ธุรกิจหลักของที่บ้านคือเปิดบริษัทผลิตเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดภูเก็ต และยังมีโรงแรม Thanakit ที่ประเทศจีน ตั้งแต่ที่คุณชูวิทย์เสียไปชัชวินก็ขึ้นเป็นผู้ดูแลกิจการทุกอย่างแทน ทว่านอกจากกิจการของพ่อที่สร้างไว้แล้ว ชัชวินยังเปิดคลับเป็นของตัวเองเนื่องจากความชอบส่วนตัวอัยย์เลื่อนหาข้อมูลเพียงสองสามเว็บก็เขียนเหมือนกันไปหมด ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้ แม้ว่าชัชวินจะเป็นที่รู้จักในแวดวงนักธุรกิจนักลงทุน แต่ก็ใช่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดให้สื่อรู้ และก็คงไม่มีใครสืบรู้“ดูอะไรอยู่วะ”คนตัวเล็กไม่ได้มีอาการตกใจ แม้คนที่เดินเข้ามาจะวางมือลงบนบ่า อัยย์เพียงเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงคุ้นหู พลางยกยิ้มให้น้อย ๆ“เปล่า”ตอบกลับพร้อมกดปิดหน้าจอ เขาเห็นว่าไม่ได้สำคัญอะไรไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวให้เต้รู้“ครูชัยให้มาตาม เดี๋ยวจะมีคนมาเรียนมวยครูจะให้มึงไปสอน
เช้าวันอาทิตย์อัยย์ได้เริ่มงานส่งอาหารเป็นวันแรก ความยากเดียวของงานนี้คือเขาไม่ได้ชำนาญเส้นทางสักเท่าไร แม้จะอยู่มานานเกือบสิบปี“เดี๋ยวอัยย์เอาไปส่งตามที่อยู่นี้นะ”หนึ่งในพนักงานเสิร์ฟยื่นกระดาษแผ่นเล็กที่จดที่อยู่ลูกค้า พร้อมถุงกระดาษบรรจุกล่องอาหารส่งให้อัยย์ ก่อนจะเดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อเด็กหนุ่มเปิด GPS ที่อยู่ในมือถือ ก่อนจะออกรถขับออกไปตามเส้นทาง โชคดีหน่อยที่ไม่ไกลมาก ทั้งยังเป็นถนนเส้นหลัก ไม่ต้องเข้าซอย ไม่งั้นคงได้หลงกันพอดีนิ้วเรียวกดกริ่งหน้าบ้าน รอเพียงไม่นานก็มีแม่บ้านสาววิ่งออกมารับ พร้อมเงินสดสองแบงก์เทา“ไม่ต้องทอนนะคะ”“ขอบคุณครับ”เด็กหนุ่มค้อมศีรษะขอบคุณเล็กน้อย เก็บเงินใส่กระเป๋าเอาไว้อย่างดี ก่อนกลับไปที่ร้านเพื่อรับออร์เดอร์ต่อไปการเริ่มงานวันแรกสำหรับวันนี้ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี พี่ ๆ ที่ทำงานด้วยกันก็ค่อนข้างจะใจดีกับอัยย์เงินรายวันตามค่าแรกขั้นต่ำบวกกับค่าทิปจากลูกค้า ทางเจ้าของร้านให้อัยย์ทั้งหมด รวมแล้วได้ประมาณพันกว่าบาทอัยย์จำเป็นต้องเก็บเอาไว้ทั้งหมด เพื่อรวมกับเงินที่มีอยู่ อีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ก็ถึงเวลาต้องจ่ายดอกเบี้ยร่างบางขึ้นรถเมล์มาล
การใช้ชีวิตในทุก ๆ วันของอัยย์ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ตื่นเช้ามาก็รีบออกไปทำงานร้านเบเกอรี่ เลิกงานก็ต้องรีบกลับค่ายไปเตรียมตัวเพื่อไปที่คลับ เป็นอย่างนี้มานานถึงสองปี แม้ในระยะเวลานั้นจะมีการเปลี่ยนงานอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง“สวัสดีครับพี่ผึ้ง สวัสดีครับพี่อัยย์”พัดยกมือไหว้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่อายุมากกว่า ก่อนจะรีบไปสวมผ้ากันเปื้อนออกมาช่วยอัยย์เตรียมเปิดร้าน“พี่ฝากอัยย์กับพัดช่วยกันดูแลร้านดูแลลูกค้าด้วยนะ ช่วงนี้พี่คงไม่ว่างได้เข้ามาที่ร้านบ่อย ๆ”“ได้ครับ”เด็กหนุ่มตอบรับคำสั่งเจ้าของร้าน ก่อนเดินไปปลดล็อกกลอนประตู เป็นจังหวะเดียวกันกับลูกค้าคนแรกที่กำลังเดินมาที่ร้าน“สวัสดีครับคุณชัชวิน”เหมือนว่าช่วงนี้เขาจะเจอผู้ชายคนนี้บ่อยขึ้นอย่างไรอย่างนั้น นับตั้งแต่วันที่เขมทัศน์แนะนำให้รู้จัก หลายวันมานี้ชัชวินมักจะแวะมาซื้อกาแฟที่ร้านอยู่บ่อย ๆ บางวันก็เป็นช่วงเช้า บางวันก็เป็นช่วงบ่ายหากคิดแบบผิวเผินร้านเบเกอรี่นี้อาจเป็นทางผ่าน หรือไม่กาแฟของที่ร้านก็อาจจะถูกปากจนต้องมาซื้อซ้ำอัยย์ไม่อยากคิดอะไรให้มากมาย เพราะทุกครั้งที่มาชัชวินก็ไม่ได้พูดคุยกับเขา ทว่าเวลาเ
หลายวันต่อมาที่รับปากเอาไว้กับครูชัยว่าก่อนถึงวันขึ้นชกจะหยุดงานเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ อัยย์ทำอย่างนั้นจริง ๆ เป็นครั้งแรกในรอบปีที่รู้สึกว่าร่างกายได้นอนพักอย่างเต็มที่เริ่มเดินทางไปสถานที่แข่งตอนหกโมงเย็น ยังมีเวลาอีกนิดหน่อยให้อัยย์มาแอบซุ่มซ้อมอยู่คนเดียวRrrrrr..ร่างเล็กจับกระสอบทรายให้หยุดนิ่ง พลางเดินไปรับสายเจ้าของเบอร์คุ้นเคย“ฮัลโหลครับพี่เขม”[วันนี้เข้าร้านไหม]“เข้าครับ แต่อาจจะสายหน่อยนะครับ”[หืม? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า]“อัยย์มีขึ้นชกครับ”ปลายสายเงียบไป ทว่ากลับมีเสียงถอนหายใจดังออกให้ได้ยินเบา ๆ หากตอนนี้เขมทัศน์ยืนอยู่ตรงหน้า คงต้องห้ามเขาไม่ให้ไปเหมือนครูชัยแน่นอน[พี่ไปดูได้ไหม]“อย่าเลยครับ ที่นั่นไม่มีอะไรน่าดูหรอก”[พี่จะห้ามอัยย์ยังไงดีนะ]“ห้ามไม่ได้หรอกครับ ฮ่า ๆ”ตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ ราวกับเป็นเรื่องขำขัน แตกต่างจากปลายสายที่ยืนคิ้วขมวดติดกันจนเกิดปมเด็กหนุ่มหันมองเพื่อนสนิทที่เดินมาตาม ครั้นเห็นเขาคุยโทรศัพท์อยู่ก็เลือกที่จะทำมือชี้ออกไปทางซ้ายเพื่อให้อัยย์รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องไปเตรียมตัวแล้ว“เดี๋ยวอัยย์ต้องไปแล้ว ไว้เจอกันที่ร้านครับ”[ครับ]อัยย์กด
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกกระทบใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังนอนหลับพริ้ม ดวงตากลมเริ่มขยับไปมาทั้งที่ยังปิดตาอยู่ พร้อมเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันพลันความเจ็บแล่นปราดไปทั่วตัวยามขยับร่างกาย เปลือกตาสีมุกค่อย ๆ ลืมขึ้นมองเพดานห้องสีขาวสนิท เหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาให้คลายความสงสัยทั้งหมดอย่างนั้นที่นี่ก็คือโรงพยาบาล และคนที่พาเขามาก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชัชวิน เพราะในเวลานั้นมีแค่ชัชวินอยู่กับเขา“อัยย์!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาหา “ครู! ไอ้อัยย์ฟื้นแล้ว!”อัยย์เลื่อนสายตามามองเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าตื่นอยู่ข้างเตียง เพียงไม่นานคนที่เต้ตะโกนเรียกก็กลับเข้าห้องมาพร้อมกับหมอและพยาบาล“เดี๋ยวหมอขอตรวจหน่อยนะครับ”เต้ขยับถอยออกไปยืนข้าง ๆ ครูชัย ปล่อยให้คุณหมอได้ตรวจเช็กร่างกายของเพื่อน พร้อมเปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ช่วงนี้หมอแนะนำให้คนไข้พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็ทานอาหารให้ตรงเวลา ส่วนเรื่องรอยช้ำบนร่างกายอาจจะใช้เวลาหน่อยกว่าจะหายดี” ได้ยินอย่างนั้นก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ทั้งเต้แล
วันต่อมาแม้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ครูชัยก็ยังกำชับไม่ให้ออกไปทำงานจนกว่าจะมั่นใจว่าหายดี ด้วยความเกรงใจพี่ผึ้งที่หยุดมาหลายวันเขาเลยต้องพยายามอ้อนครูชัยให้ปล่อยตัวเองไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่มีพนักงานแค่สองคน หากเขาหยุดงานก็เท่ากับว่าเหลือพัดแค่คนเดียว ไหนช่วงนี้พี่ผึ้งจะบอกเอาไว้อีกว่าไม่ค่อยว่างได้เข้าร้าน ปล่อยให้พัดอยู่ร้านคนเดียวคงเหนื่อยแย่“ให้อัยย์ไปทำงานเถอะนะจ๊ะครู อัยย์หายดีแล้วจริง ๆ นะ”ครูชัยทำทีเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่หลานชายพูด พลางเดินไปทางนั้นทีทางนี้ทีคนที่นั่งมองเหตุการณ์อย่างเต้ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ เห็นใจเพื่อนอยู่หรอกแต่ให้ช่วยพูดก็ไม่กล้า มีหวังได้โดนครูเขกหัวกลับมาแน่ ๆ ไหนจะยังมีความผิดติดตัวที่หลุดปากบอกอัยย์เรื่องแข่งอีก“ครูจ๋า”“ลุงจะไม่พูดซ้ำนะอัยย์”อัยย์เพิ่งจะเคยได้สัมผัสด้วยตัวเองก็วันนี้ ไอ้ที่เด็ก ๆ ในค่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครูชัยน่ะทั้งดุ ทั้งน่ากลัวน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดไม่มีทีท่าว่าจะยอมใจอ่อน เด็กหนุ่มได้แต่หันไปส่งสายตาให้เพื่อนช่วยพูดทั้งที่กลัวว่าตัวเองจะโดนด่า ทว่าพอเห็นสายตาน่าสงสารของอัยย์แล้วก็ได้แต่กลืนน้
หยุดพักไปสองวันเต็ม ๆ หลังออกจากโรงพยาบาล วันนี้อัยย์ก็ได้กลับมาทำงานสักที ตอนแรกก็เกรงว่าพี่ผึ้งจะโกรธ แต่เปล่าเลยเจ้าของร้านเบเกอรี่ยังคงใจดีกับเขาเหมือนเดิม เธอเข้าใจและไม่แม้แต่จะต่อว่าเขาสักคำ ทั้งยังถามไถ่กันอย่างเป็นห่วงเป็นใยรอยแผลฟกช้ำตามร่างกายและใบหน้าก็จางลงเยอะมากแล้ว หากไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็น“พี่อัยย์ไหวไหม นั่งพักได้นะเดี๋ยวพัดจัดการเอง”พอรู้ว่าอัยย์ไม่สบายพัดก็เอาแต่ถามแทบจะทุกสิบนาที กลัวว่ารุ่นพี่คนนี้จะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก“พี่ไม่เป็นไร พัดมีอะไรก็ไปทำเถอะ ตรงนี้เดี๋ยวพี่ทำเอง”หันกลับไปตอบพลางยกยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายคลายความเป็นห่วง เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ ปล่อยให้อัยย์เก็บของตรงเคาน์เตอร์ต่อ ส่วนตัวเองก็กลับไปล้างจานเวลาหกโมงเย็นหลังเลิกงานอัยย์แวะไปบ้านเสี่ยธรรม เจ้าหนี้ของพ่อเพื่อจ่ายเงินในส่วนของเดือนนี้ที่ขอผลัดมาประมาณหนึ่งอาทิตย์“เสี่ยครับคุณอัยย์มาแล้วครับ”“ให้เข้ามา”ชายใหญ่วัยห้าสิบนั่งพิงพนักโซฟาหรูส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มรุ่นลูก หากไม่เป็นหนี้เป็นสินอัยย์ขอสาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาดแม้ว่าเจ้าหนี้ของพ่อคนนี้จะใจดีกับเขา ไม่เคยเร่งรัดเรื่องเงิน นั่น
ตลอดสองเดือนชัชวินโทรหาคนรักกับลูกทุกเวลาที่ว่างอย่างที่พูดไว้จริง ๆ เขาอยากจะบินไปภูเก็ตใจแทบขาด ทว่างานรัดตัวจนไปไม่ได้ อีกทั้งไทท์ยังเอาแต่ห้าม ไหนจะโรงแรมที่จีนที่เขาต้องจัดการบัญชีทุกเดือน ยังต้องบินไปดูงานด้วยตัวเอง มีคุยงานกับนักธุรกิจหลายท่านเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มลงทุนร่วมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะแต่ละคนมีเวลาว่างต่างกัน ชัชวินจึงไม่สามารถไปไหนได้ ตารางงานแต่ละวันแน่นจนเขาอยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ทุกการเคลื่อนไหวของชัชวินไทท์ได้รายงานให้อัยย์ทราบทุกอย่าง เนื่องจากอีกฝ่ายขอร้องมา ไทท์เองก็ไม่อยากทำตัวเป็นนกสองหัว เพราะเหมือนกับกำลังทรยศเจ้านาย แต่ทว่าชัชวินไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรไม่ดี เขาจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร หากบอกให้อัยย์ทราบ ดีเสียอีกที่อีกคนจะได้เห็นว่าเจ้านายของเขาปรับตัวเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัวแล้วจริง ๆ ไม่ทำตัวเหลวไหล หรือมั่วผู้หญิงอย่างแต่ก่อนอัยย์จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ โดยไม่บอกชัชวิน กะไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย โดยมีเขมทัศน์ช่วยเหลืออีกเช่นเคย“เราจะไปไหนกันเหรอม๊า” เด็กน้อยตาใสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื
เวลาเกือบสองทุ่มครึ่งอัยย์ส่งลูกเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลงมาหาคนที่ยังเอาแต่นั่งอ่านเอกสารหน้าเครียด ก่อนหน้านี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้วอัยย์ตั้งใจจะบอกให้ชัชวินกลับไป แต่พอเห็นว่าคนพี่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวนคนตัวเล็กแอบทำอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในครัวประมาณยี่สิบนาที ออกมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ คาดว่าชัชวินน่าจะหิว เพราะเมื่อตอนเย็นทานไปแค่นิดเดียวก็กลับมานั่งทำงานต่อ คงจะมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง“ทานข้าวก่อนสิครับค่อยทำต่อ”ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม จากที่ทำหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที ทว่าดวงตาคมดูล้ากว่าปกติ“ขอบคุณครับ แต่เฮียขอทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยกินครับ”“ไม่ได้ครับ” ตอบกลับเสียงแข็ง “กินก่อนเถอะครับ เมื่อตอนเย็นคุณกินไปแค่นิดเดียว กว่างานจะเสร็จหิวไส้กิ่วกันพอดี”“กินก็กินครับ ไม่เห็นต้องดุเลย”“ไม่ได้ดุสักหน่อย!”“นี่ไงหนูกำลังดุเฮียอยู่ชัด ๆ”อัยย์กรอกตามองบนพลางถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนแก่ ทว่าไม่ทันได้เดินออกไป อีกคนดันจับข้อมือรั้งเขาไว้เสียก่อน“มีอะไรครับ?”“มีเรื่องจะรบกวนครับ”“อะไรครับ?”“พอดีรู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ อยากรบกวนขอกำลังใจเป็นกอด
เช้าวันนี้ดูเหมือนเป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสามปีของชัชวิน เสียงนกร้องดังอยู่บริเวณบ้านปลุกคนนอนหลับฝันดีให้ตื่นขึ้นมา ร่างหนาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ บ้าน กลิ่นของอาหารหอมโชยมาจากในครัวชัชวินเดินมาตามกลิ่น คนตัวเล็กกำลังง้วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ เด็กน้อยที่พึ่งตื่นล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมานั่งเล่นรอมารดาตัวเองที่โต๊ะทานข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช”ศรัณย์เอ่ยพูดประโยคที่ชัชวินเคยสอนเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ“อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์”ชัชวินยกยิ้มให้เด็กน้อย จากตอนแรกที่ได้เจอกันรู้สึกถูกชะตามากอยู่แล้วยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองแท้ ๆ เขายิ่งหลงรักเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าศรัณย์รู้ว่าเขาเป็นพ่อจะดีใจบ้างหรือเปล่าเขาไม่รู้ว่าอัยย์จะบอกลูกตอนไหน แต่ความร้อนใจของเขาเขาอยากให้ลูกรู้เร็ว ๆ ว่าเขาเป็นพ่อ เขาอยากแสดงตัวว่าเป็นพ่อ อยากทำหน้าที่ของพ่อ อยากชดเชยเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทดแทนได้หรือเปล่าเขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ เพื่ออัยย์และลูก“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาครับจะได้กินข้าว”เรื่องที
ร่างสูงโปร่งลงจากรถแท็กซี่ ตั้งสติให้ตัวเองทรงตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังหน้าบ้านของคนที่เขาคิดถึง สองมือเกาะรั้ว ตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านเสียงดังลั่น"อัยย์! อัยย์ครับ ออกมาคุยกับเฮียหน่อย อัยย์!"เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรียกเจ้าของบ้าน เขมทัศน์ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวมาเปิดประตู เห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะอยู่ที่รั้วไม้ จึงเดินเข้าไปหา“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”อัยย์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าชัชวินเคยมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนยังไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร กลัวว่าหากเขมทัศน์รู้เข้าจะมีปากเสียงกับชัชวินเพราะเขาอีก“อัยย์! มาคุยกับเฮียหน่อย”“ถ้าเมาก็กลับไปไอ้ชัช อย่ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่” เขมเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่าย“มึงไม่ต้องเสือก”น้อยครั้งที่ชัชวินจะพูดหยาบคายกับเขม ทว่าครั้งนี้เขามีเรื่องไม่พอใจที่อีกคนโกหกจึงไม่คิดที่จะยั้งปาก อีกทั้งยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหลังจากลูกค้านัดไปคุยงานนั่งดื่มกัน ชัชวินก็ซัดเหล้าเข้าปากเพราะความเครียดที่ตัวเองพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเมาก็คงกล้าทำอะไรมากขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู
หลังจากโดนอัยย์จับได้ว่าแอบเดินตาม ชัชวินก็ใช้เวลาอยู่สามสี่วันกับการกลั่นกรองความคิดตัวเอง เมื่อตกผลึกแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง ไม่ว่าจะกินจะนอนก็อยากเจอหน้าให้ได้ ถ้าเป็นคนงมงายสักนิดคงคิดว่าตัวเองโดนของแน่ ๆร่างหนาเดินเลือกซื้อขนมที่เด็ก ๆ ชอบ ซึ่งถามความคิดเห็นจากไทท์ เพราะเลขาของเขามีลูกชายอยู่หนึ่งคน คงจะพอรู้ว่าเด็กผู้ชายชอบกินอะไร รวมถึงพวกของเล่นต่าง ๆเดินเลือกไปเลือกมาสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาว เพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มชัชวินก็ถูกใจทันที คิดว่าศรัณย์อาจจะชอบ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงหรือผู้ขายก็ชอบตุ๊กตาได้ทั้งนั้น ทว่าลึก ๆ แล้วเขาจะใช้มันเป็นตัวแทนของเขาเอง“จะซื้อจริง ๆ เหรอครับ” คนที่โดนหิ้วให้ติดตามขับรถให้อย่างไทท์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“อือ ผมว่าน้องรัณอาจจะชอบ” ว่าพลางยกยิ้มราวกับคนมีความสุขเต็มเปี่ยม หลายวันที่ไทท์เห็นเจ้านายตัวเองเอาแต่ขมวดคิ้วเหม่อคิดอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว ทว่าวันนี้ราวกับคนละคนจ่ายเงินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่บ้านของอัยย์ทันที ไทท์ลอบมองชัชวินผ่านกระจกหลังเป็นระยะ ดูท่าแล้วจะมีความสุขมากจริง ๆ ถ
แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างพาดผ่านผิวกาย กระทบใบหน้าหล่อเหลา เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นหรี่ตาปรับแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกาย รู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนขดตัวอยู่นโซฟาหลายชั่วโมงดวงตาคมหลุบลงมองผ้านวมผืนหนาที่คลุมร่างของเขาอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนอัยย์ไม่ได้เอามาให้ งั้นคงเอามาห่มให้เขาตอนเขาหลับไปแล้วแน่ ๆ พลันความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นในหัวมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเผลอไผลทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อหันห้ามาเจอเด็กน้อยหน้าตาสดใสกำลังจ้องมองเขาไม่ละสายตา ชัชวินส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง"อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์""อรุณสวัสดิ์คืออะไร" เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยในคำที่ตัวเองไม่เข้าใจ"อรุณสวัสดิ์ก็คือสวัสดีตอนเช้า""อืม รัณเข้าใจแล้ว อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช"ความสดใสจากเด็กคนนี้ทำให้เขาอดนึกถึงภาพของอัยย์ตอนยิ้มร่ามีความสุขไม่ได้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน"ทำไมรัณตื่นเช้าจังครับ" จริง ๆ ก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว"มะม๊าบอกว่าถ้าตื่นสายจะติดเป็นนิสัย ทำให้เป็นเด็กขี้เกียจ รัณไม่อยากเป็นเด็กขี้เกียจ" เด็กช่างพูดจำที่มารดาบอกได้ขึ้นใจ"แล้
เสียงผู้คนจอแจเดินผ่านไปผ่านมา นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่ชัชวินนั่งครุ่นคินอะไรบางอย่างอยู่ที่เดิม เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสามปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กที่เขานั่งคุยด้วยเมื่อไม่นานมานี้เป็นลูกของอัยย์กับเขมทัศน์จริง ๆ หรือเปล่า หากให้เดาเด็กคนนั้นคงอายุประมาณ 3-4 ขวบ คาดว่าเท่ากับระยะเวลาที่อัยย์ออกจากบ้านเขามา เรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก“ยังอยู่อีกเหรอวะ คิดว่ามึงกลับไปแล้วซะอีก”ชัชวินเงยหน้ามองต้นเสียง เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ พลันสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้“ไม่ต้องหาหรอก กูพาอัยย์ไปส่งที่อื่นแล้ว” เขมทัศน์ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน เพราะคิดว่าไม่ได้มีจำเป็นใด ๆ ต้องบอกให้ชัชวินรู้“มึงมีอะไร” การที่เขมทัศน์มายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคงไม่ใช่เพราะแค่เดินกลับมาเพื่อผ่านไปเฉย ๆ แน่นอน ดูเหมือนตั้งใจมาหาเขาเสียด้วยซ้ำ“ไปคุยกันหน่อย”หลังจากไปส่งอัยย์ที่ร้านขนมใกล้ ๆ ห้าง เขมทัศน์จึงวนรถกลับมาที่นี่อีกครั้ง เดาเอาไว้แล้วว่าชัชวินอาจจะยังอยู่และก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ภูเก็ตเขมทัศน์ก็แทบไม่ได้กลับไปกรุงเทพ
“มึงจะลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนที่นี่จริง ๆ เหรอวะ”ใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถามเพื่อนสนิท ที่แวะเข้ามาหาเขาถึงเพนท์เฮาท์เพื่อขอถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนคลับก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องผิดใจกันเราทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันนอกจากเรื่องงาน ชัชวินคิดแค่ว่ารอเวลาให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกันอีกที จนเวลาล่วงเลยไป กลายมาเป็นแบบนี้“อือ กูกับแม่จะกลับไปอยู่ภูเก็ต ถ้าจะให้เทียวไปเทียวมาคงไม่สะดวก”“แล้วมึงจะไปทำงานอะไร”“รับช่วงต่อร้านอาหารของตา”ฐานะที่บ้านของเขมทัศน์ไม่ใช่จะน้อยหน้าชัชวิน ทางคุณตาของเขามีร้านอาหารภัตตาคารใหญ่โต ทั้งยังอยู่ในเมือง การเข้าออกของลูกค้าแต่ละวันสร้างรายได้ให้ไม่น้อยได้รับข่าวมาว่าคุณตาเริ่มจะป่วยบ่อยขึ้น พี่ชายของแม่ที่เคยอยู่ดูแลก็ต้องการจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ารับช่วงต่อดูแลร้านอาหาร สุดท้ายสมบัติชิ้นนี้ที่คุณตาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ตกเป็นของแม่เขา ทว่าขวัญรินก็อายุมากขึ้นทุกวัน เธออยากอยู่บ้านอย่างสบายมากกว่าจึงมอบมันให้ลูกชายดูแลต่อ“ที่ย้ายไปคงไม่ใช่เพราะ..” ชัชวินนิ่งชะงักกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด“มึงให้คนตามสืบจนรู้แล้วเหรอว่าอัยย์อยู่ที่ไหน ถึงกูจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเพราะอัยย์
“มื้อเช้าพร้อมแล้วนะครับคุณชัช”เลขาคนสนิทขึ้นมาเคาะห้องเรียกผู้เป็นนายหลังจากจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้เสร็จสรรพอย่างเช่นที่ทำเป็นประจำหลายวันมานี้ชัชวินพูดน้อยลงยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว บางครั้งก็นั่งเหม่อลอยคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่างคนเจ้าเสน่ห์อย่างชัชวินดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ไทท์ที่อยู่ใกล้ชิดทุกวันยังสังเกตเห็นได้ง่ายเจ้าของร่างสูงเดินลงมานั่งประจำที่ที่โต๊ะทานข้าว จ้องมองอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย“ผมยังไม่หิว ขอไปทำงานก่อนแล้วกัน”ไทท์มองตามผู้เป็นนายเดินลุกออกจากโต๊ะขึ้นไปที่ห้องทำงาน ผิดปกติจริง ๆ ชัชวินไม่ใช่คนที่จะละเลยมื้ออาหาร หากตื่นมาแล้ว ยังไงก็ต้องทานอะไรสักนิดสักหน่อยเพื่อที่ท้องจะได้ไม่ว่างจนเกินไป แต่นี่กลับไม่แตะแม้แต่น้ำหากสาเหตุมาจากคนที่เก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้านอย่างที่เขาคิด อย่างนั้นชัชวินคงต้องคิดพิจารณาความรู้สึกตัวเองใหม่อย่างถี่ถ้วนนับตั้งแต่วันที่เขาเอาเงินจากอัยย์มาคืนให้ชัชวินตามที่อีกคนขอ นายของเขาก็นิ่งเงียบไป ไม่แม้แต่จะขยับปากเอื้อนเอ่ยหรือถามสิ่งใดออกมาจนถึงตอนนี้ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรก้าวก่ายแต่ก็อด