แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกกระทบใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังนอนหลับพริ้ม ดวงตากลมเริ่มขยับไปมาทั้งที่ยังปิดตาอยู่ พร้อมเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
พลันความเจ็บแล่นปราดไปทั่วตัวยามขยับร่างกาย เปลือกตาสีมุกค่อย ๆ ลืมขึ้นมองเพดานห้องสีขาวสนิท เหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาให้คลายความสงสัยทั้งหมด
อย่างนั้นที่นี่ก็คือโรงพยาบาล และคนที่พาเขามาก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชัชวิน เพราะในเวลานั้นมีแค่ชัชวินอยู่กับเขา
“อัยย์!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาหา “ครู! ไอ้อัยย์ฟื้นแล้ว!”
อัยย์เลื่อนสายตามามองเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าตื่นอยู่ข้างเตียง เพียงไม่นานคนที่เต้ตะโกนเรียกก็กลับเข้าห้องมาพร้อมกับหมอและพยาบาล
“เดี๋ยวหมอขอตรวจหน่อยนะครับ”
เต้ขยับถอยออกไปยืนข้าง ๆ ครูชัย ปล่อยให้คุณหมอได้ตรวจเช็กร่างกายของเพื่อน พร้อมเปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่
“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ช่วงนี้หมอแนะนำให้คนไข้พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็ทานอาหารให้ตรงเวลา ส่วนเรื่องรอยช้ำบนร่างกายอาจจะใช้เวลาหน่อยกว่าจะหายดี” ได้ยินอย่างนั้นก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ทั้งเต้และครูเป็นห่วงแทบบ้าตอนรู้เรื่องจากเจ้าของคลับ
“งั้นผมกลับบ้านได้เลยใช่ไหมครับ”
“ยังครับ ตอนนี้คนไข้ยังมีอาการอ่อนเพลียอยู่ นอนให้น้ำเกลืออีกสักวันดีกว่าครับ”
“แต่คุณหมอบอกว่าผมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนี่ครับ”
“อย่าดื้อน่ะอัยย์ ลุงว่านอนดูอาการอีกสักคืนตามที่หมอบอกเถอะ”
“แต่อัยย์ต้องไปทำงาน”
ครูชัยถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เด็กคนนี้ช่างดื้อตาใสเสียจริง ทั้งที่นอนให้น้ำเกลืออยู่อย่างนี้ยังจะคิดถึงเรื่องงานอีก
“พอเลย ครั้งนี้ลุงไม่ยอมอัยย์แล้ว”
“แต่นอนห้องพิเศษหลายคืนแบบนี้ต้องเสียเงินหลายบาทนะจ๊ะครู”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ มีคนจัดการให้เรียบร้อยแล้วทั้งค่าห้องค่ายา” คุณหมอตอบกลับเพื่อให้คนไข้ของตัวเองคลายความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ในฐานะหมอหากคนไข้ยังอาการไม่ดีขึ้นเขาก็ไม่อยากให้กลับไปเสียดื้อ ๆ “งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอบคุณนะครับ”
ครูชัยเอ่ยขอบคุณพลางเดินไปเปิดประตูส่งคุณหมอและพยาบาล ก่อนเดินกลับมาหาหลายชายที่นอนทำหน้าหงอยอยู่บนเตียง
“ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยดีไหม ลุงซื้อข้าวมาให้แล้ว กินสักหน่อยจะได้กินยา”
“ให้อัยย์กลับไปนอนพักที่บ้านไม่ได้เหรอจ๊ะครู”
“ไม่ได้”
อัยย์หลุบตาลงทันทีที่ครูชัยตอบกลับมาเสียงแข็ง ครั้งนี้ต่อให้อ้อนยังไงครูชัยก็คงไม่ยอมแน่ ๆ
เต้สะกิดเพื่อนสนิทพลางพยักพเยิดหน้าไปทางห้องน้ำ ก่อนจะช่วยพยุงร่างบอบช้ำของอัยย์มาล้างหน้าล้างตา เพื่อจะได้ทานข้าวทานยา
“วันหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะอัยย์ กูจะไม่ยอมให้มึงไปเจ็บตัวแบบนั้นแล้ว”
จู่ ๆ เต้ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เห็นสภาพเพื่อนตัวเองตอนนี้แล้วก็อดสงสารไม่ได้ ทว่าอัยย์กลับยิ้มตอบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“ถึงจะเจ็บตัว แต่อย่างน้อยก็ชนะนะ”
ความตั้งใจของเขาสามารถเอาชนะมาได้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย เห็นเขาบอบช้ำไปทั้งตัวแบบนี้ อีกฝ่ายก็แทบไม่ต่างกัน
ในตอนนั้นเขาเกือบถอดใจไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับประมาทมากเกินไปทำให้โดนหมัดน็อกเข้าเต็ม ๆ
“มึงนี่นะ ตอนรู้เรื่องกูเป็นห่วงแทบแย่”
“เอาน่า กูไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปโคลงศีรษะเพื่อนสนิทด้วยความเอ็นดู รู้อยู่หรอกว่าเป็นห่วง ต่อให้ไม่พูดออกมาเขาก็รับรู้มันอยู่ดี
“ว่าแต่คุณชัชวินอะไรนั่นเป็นเจ้าของคลับที่มึงทำงานอยู่จริง ๆ เหรอ กูคิดว่าคลับนั่นเป็นของพี่เขมซะอีก”
เอ่ยถามเรื่องที่ตัวเองเก็บความสงสัยเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนแรกกะไว้ว่ามาถึงโรงพยาบาลค่อยสอบถามให้แน่ใจ ทว่าพอมาถึงกลับไม่เจอใครสักคนนอกจากอัยย์ที่นอนหลับอยู่คนเดียว
“อือ พี่เขมเป็นแค่หุ้นส่วนน่ะ ส่วนคุณชัชวินเป็นเจ้าของ แล้วก็เป็นเพื่อนพี่เขมด้วย”
เต้พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่ได้ถามซอกแซกเรื่องงานของอัยย์สักเท่าไร เข้าใจเองมาตลอดว่าเขมทัศน์เป็นเจ้าของคลับหรูที่นั่น เพียงเพราะอีกคนพาเพื่อนเขาเข้าไปทำงานได้อย่างง่ายดาย
อัยย์รูัสึกเบื่อหน่ายเอามาก ๆ กับการนอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ แบบนี้ เฝ้ามองน้ำเกลือที่หยดลงมาในจังหวะที่เท่ากัน ตั้งแต่เช้าจนบ่ายโมงก็ทำได้แค่นั่ง ๆ นอน ๆ เดินวนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้เท่านั้น ครั้นจะออกไปไหนก็ถูกเต้รั้งเอาไว้ เพราะกลัวว่าร่างกายของเพื่อนยังไม่หายดี อาจเป็นลมหมดสติไปอีก
โดยปกติเวลานี้อัยย์คงกำลังทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์กาแฟ เดินเสิร์ฟกันให้วุ่น ไม่รู้ว่าทำงานมากเกินไปจนกลายเป็นเสพติดไปแล้วหรือยังไง การนอนหายใจทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ทั้งวันช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก ๆ สำหรับอัยย์ และเขาก็ไม่รู้ว่าต้องเป็นแบบนี้อีกกี่วัน เพราะครูชัยจัดการโทรไปขอลางานกับพี่ผึ้งแทนหลานชายด้วยตัวเอง ส่วนเต้ก็โทรไปบอกเขมทัศน์
ที่ต้องทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงสุขภาพของอัยย์ หากเป็นก่อนหน้านี้ก็คงตามใจไม่ก้าวก่ายมากเกินไป แต่ครั้งนี้เห็นทีจะทำอย่างนั้นไม่ได้ หากไม่เด็ดขาดบ้าง เด็กคนนี้ได้สุขภาพร่างกายพังไปมากกว่านี้แน่
ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนจะถูกเปิดเข้ามา ร่างสูงในชุดสบาย ๆ ต่างจากเวลาไปทำงาน ถือกระเช้าผลไม้ติดมือมาฝากคนไข้
“พี่เขม สวัสดีครับ” เต้ยกมือไหว้พี่ชายคนสนิทของเพื่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางเดินไปช่วยยกกระเช้าผลไม้ไปวางที่โต๊ะ
“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“อัยย์ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว กลับบ้านได้แล้ว แต่ครูชัยกับเต้ไม่ยอม”
เด็กหนุ่มตอบกลับเขมทัศน์ ทว่าหากฟังดูดี ๆ แล้วคล้ายกับกำลังฟ้องคนพี่อยู่อย่างไรอย่างนั้น เขมทัศน์เป็นอีกคนที่ตามใจเขา นี่คงเป็นตัวช่วยสุดท้ายที่อาจทำให้เขาได้กลับบ้าน
ทว่า..
“นอนดูอาการอีกสักคืนก็ดีนะอัยย์ ถือว่าได้พักผ่อน”
“ครับ”
ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำเมื่อเขมทัศน์ไม่โอนเอนมาข้างตัวเอง ร่างสูงยิ้มขำกับท่าทีที่ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ อดเอ็นดูไม่ได้จนเอื้อมมือไปลูบแก้มช้ำแผ่วเบา
“เป็นเด็กดีหายแล้วจะได้กลับบ้าน”
มวลบางอย่างมันอบอวลแปลก ๆ อยู่ในห้อง เต้ได้แค่ยิ้มแหยอยู่คนเดียวมุมห้อง พลางเกิดคำถามขึ้นมาในใจ
นี่กูเป็นอากาศหรือผีในห้องวะ?
“กินผลไม้ไหม”
“ครับ”
ถึงบอกว่าไม่กินยังไงเขมก็ยกมาตั้งให้ตรงหน้าอยู่ดี เต้อาสานำผลไม้ไปล้างให้ ปล่อยทั้งสองคนได้พูดคุยกันไปในระหว่างนี้
“พี่เขม”
“ครับ?”
“อัยย์ขอช่องทางติดต่อคุณชัชวินหน่อยได้ไหม”
พลันคนฟังคิ้วกระตุกขึ้นด้วยความสงสัย เป็นเรื่องน่าแปลกนิดหน่อยที่อัยย์เป็นคนขอช่องทางติดต่อคนอื่นที่ไม่สนิทกัน ยิ่งเป็นเพื่อนของเขาด้วยแล้วละก็มีอะไรให้ต้องคุยกัน หากเป็นเรื่องงานอัยย์ก็คุยกับเขาเองได้อยู่แล้ว
“เอาไปทำไมเหรอ”
“แค่อยากจะโทรไปขอบคุณคุณชัชวินน่ะครับ”
“หืม? เรื่องอะไร”
“ก็เมื่อคืนคุณชัชวินเป็นคนพาอัยย์มาส่งโรงพยาบาล”
เขมทัศน์เงียบไปครู่หนึ่ง คิดย้อนไปเมื่อคืนนี้ ชัชวินโทรมาหาเขาบอกกำลังเข้ามาที่ร้าน ในตอนนั้นเขากำลังจัดการบัญชีอยู่ในห้องทำงาน ทั้งยังรออัยย์อีกด้วย
แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แววทั้งเพื่อนสนิท ทั้งคนน้อง พอโทรหาชัชวินก็ดันโทรไม่ติด โทรหาอัยย์ติดแต่กลับไม่มีคนรับสาย ตอนนั้นไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าคงแบตหมด ส่วนอีกคงทำอะไรยุ่ง ๆ อยู่
“เหรอ”
ร่างสูงพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนหยิบมือถือของตัวเองเลื่อนหาเบอร์มือถือของชัชวินให้อัยย์
เขมทัศน์อยู่คุยเล่นกับอัยย์ได้พักใหญ่ ก็ขอตัวกลับก่อนเพราะมีงานต้องไปทำต่อ
ในห้องตอนนี้เหลือเพียงคนไข้กับเต้สองคนเท่านั้น ส่วนครูชัยต้องกลับค่ายไปหาพวกเด็ก ๆ มาอีกทีคงจะเกือบค่ำ
“เต้”
“ว่า”
ตอบรับทั้งที่แอปเปิลยังเต็มปาก ในเมื่อคนไข้ไม่ค่อยกินไอ้เต้คนนี้ก็จะจัดการให้เอง ตั้งไว้เฉย ๆ เดี๋ยวจะเน่าหมดซะก่อน
“กูออกไปเดินเล่นนะ เดี๋ยวมา”
“กูไปด้วย”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูก็มา มึงนั่งแอปเปิลอยู่ในห้องนี่แหละ”
“ถ้ามึงเป็นลมขึ้นมาจะทำยังไง”
“กูรู้ตัวน่า กูไม่ได้เป็นอะไรแล้ว จะออกไปคุยโทรศัพท์ด้วย เดี๋ยวมา”
“เออ ๆ ก็ได้ รีบกลับมานะมึง”
อัยย์ขยับตัวลงจากเตียงสูงอย่างระมัดระวัง พร้อมลาเสาน้ำเกลือเดินออกมาจากห้อง
ครั้นได้ออกมาจากห้องก็ราวกับได้รับออกซิเจน หายใจสะดวกกว่านอนเฉย ๆ อยู่ในห้องนั่นตั้งเยอะ
เด็กหนุ่มเดินมาจนถึงสวนข้าง ๆ ตึกที่ตัวเองพักอยู่ ต้นไม้ต้นใหญ่ให้ความร่มรื่น บดบังแสงแดดได้เป็นอย่างดี ทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ม้าหินอ่อนก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหาเบอร์ที่เพิ่งได้มาจากเขม อัยย์กดโทรออกอย่างไม่คิดอะไรมาก
รอสายอยู่นานจนตัดไป เขาเลือกที่จะไม่โทรซ้ำเพราะคิดว่าอีกฝ่ายอาจกำลังทำอะไรอยู่จนไม่ว่างรับสาย ทว่าเพียงไม่นานเจ้าของเบอร์เดิมก็โทรกลับมา
[สวัสดีครับ]
“สวัสดีครับ”
[ครับ เผอิญเบอร์โทรเข้ามาหาผม ไม่ทราบว่าต้องการพูดสายกับผมหรือโทรผิดครับ]
“เอ่อ.. ผมอัยย์เองครับคุณชัชวิน”
ปลายสายเงียบไปจนอัยย์ต้องยกมือออกจากหูมาดูคิดว่าอีกคนวางสายไปแล้ว แต่เปล่าเลย
หรือไม่ได้ยินที่เขาพูด..
“ไม่ทราบใช่เบอร์ของคุณชัชวินหรือเปล่าครับ” ถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้โทรผิด
[ครับอัยย์ ผมชัชวินครับ]
“คือผมขอเบอร์คุณชัชวินมาจากพี่เขมน่ะครับ”
[ครับ อัยย์มีอะไรหรือเปล่า]
“ผมจะโทรมาขอบคุณที่คุณช่วยผมไว้เมื่อคืนน่ะครับ”
[ยินดีครับ แต่วันหลังถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหวก็ไม่ควรฝืนนะครับอัยย์]
“ครับ”
น้ำเสียงของชัชวินที่ได้ยินคล้ายกับกำลังดุกันอย่างไรอย่างนั้น เมื่อคืนนี้ก็เหมือนกันแม้ความสว่างหน้าคลับจะน้อย แต่เขากลับเห็นสายตาและใบหน้าราบเรียบชัดเจน ต่างจากน้ำเสียงที่เจือปนไปทั้งหนักเบา คล้ายกับกำลังเอ็ดเขาอยู่
[แล้วนี่เป็นยังไงบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง]
“ดีขึ้นแล้วครับ แต่คุณหมอให้นอนดูอาการอีกคืน”
[ผมคงไม่ได้เข้าไปเยี่ยมนะครับพอดีติดงาน]
“ไม่เป็นไรครับ”
[...]
“คุณชัชวินครับ”
[ครับ?]
“ค่าห้องกับค่ายาที่คุณชัชวินจ่ายไปทั้งหมดเท่าไรเหรอครับ”
[ไม่เท่าไรหรอกครับ]
เขาไม่เข้าใจว่าไม่เท่าไรของชัชวินคือประมาณเท่าไร แทนที่จะตอบมาให้ตรงคำถาม ทว่ากลับตอบเลี่ยงไปอีกอย่าง
“ยังไงเดี๋ยวผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมจะรีบหาเงินไปคืนนะครับ”
[ไม่ต้องหรอกครับ ถือซะว่าเป็นค่าสวัสดิการพนักงานที่ร้านแล้วกัน]
“แต่ว่า---”
[เอาเป็นว่าตามที่ผมบอกแล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ]
“ครับ”
[หายไว ๆ นะครับอัยย์ ไม่ดื้อกับคุณหมอนะครับ]
ครั้นอัยย์เงียบไปชัชวินก็กดวางสายไปก่อน คนตัวเล็กนั่งนิ่งนึกทวนประโยคสุดท้ายที่ยังดังก้องอยู่โสตประสาท
ดื้อ.. คำนี้อีกแล้ว
วันต่อมาแม้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ครูชัยก็ยังกำชับไม่ให้ออกไปทำงานจนกว่าจะมั่นใจว่าหายดี ด้วยความเกรงใจพี่ผึ้งที่หยุดมาหลายวันเขาเลยต้องพยายามอ้อนครูชัยให้ปล่อยตัวเองไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่มีพนักงานแค่สองคน หากเขาหยุดงานก็เท่ากับว่าเหลือพัดแค่คนเดียว ไหนช่วงนี้พี่ผึ้งจะบอกเอาไว้อีกว่าไม่ค่อยว่างได้เข้าร้าน ปล่อยให้พัดอยู่ร้านคนเดียวคงเหนื่อยแย่“ให้อัยย์ไปทำงานเถอะนะจ๊ะครู อัยย์หายดีแล้วจริง ๆ นะ”ครูชัยทำทีเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่หลานชายพูด พลางเดินไปทางนั้นทีทางนี้ทีคนที่นั่งมองเหตุการณ์อย่างเต้ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ เห็นใจเพื่อนอยู่หรอกแต่ให้ช่วยพูดก็ไม่กล้า มีหวังได้โดนครูเขกหัวกลับมาแน่ ๆ ไหนจะยังมีความผิดติดตัวที่หลุดปากบอกอัยย์เรื่องแข่งอีก“ครูจ๋า”“ลุงจะไม่พูดซ้ำนะอัยย์”อัยย์เพิ่งจะเคยได้สัมผัสด้วยตัวเองก็วันนี้ ไอ้ที่เด็ก ๆ ในค่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครูชัยน่ะทั้งดุ ทั้งน่ากลัวน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดไม่มีทีท่าว่าจะยอมใจอ่อน เด็กหนุ่มได้แต่หันไปส่งสายตาให้เพื่อนช่วยพูดทั้งที่กลัวว่าตัวเองจะโดนด่า ทว่าพอเห็นสายตาน่าสงสารของอัยย์แล้วก็ได้แต่กลืนน้
หยุดพักไปสองวันเต็ม ๆ หลังออกจากโรงพยาบาล วันนี้อัยย์ก็ได้กลับมาทำงานสักที ตอนแรกก็เกรงว่าพี่ผึ้งจะโกรธ แต่เปล่าเลยเจ้าของร้านเบเกอรี่ยังคงใจดีกับเขาเหมือนเดิม เธอเข้าใจและไม่แม้แต่จะต่อว่าเขาสักคำ ทั้งยังถามไถ่กันอย่างเป็นห่วงเป็นใยรอยแผลฟกช้ำตามร่างกายและใบหน้าก็จางลงเยอะมากแล้ว หากไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็น“พี่อัยย์ไหวไหม นั่งพักได้นะเดี๋ยวพัดจัดการเอง”พอรู้ว่าอัยย์ไม่สบายพัดก็เอาแต่ถามแทบจะทุกสิบนาที กลัวว่ารุ่นพี่คนนี้จะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก“พี่ไม่เป็นไร พัดมีอะไรก็ไปทำเถอะ ตรงนี้เดี๋ยวพี่ทำเอง”หันกลับไปตอบพลางยกยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายคลายความเป็นห่วง เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ ปล่อยให้อัยย์เก็บของตรงเคาน์เตอร์ต่อ ส่วนตัวเองก็กลับไปล้างจานเวลาหกโมงเย็นหลังเลิกงานอัยย์แวะไปบ้านเสี่ยธรรม เจ้าหนี้ของพ่อเพื่อจ่ายเงินในส่วนของเดือนนี้ที่ขอผลัดมาประมาณหนึ่งอาทิตย์“เสี่ยครับคุณอัยย์มาแล้วครับ”“ให้เข้ามา”ชายใหญ่วัยห้าสิบนั่งพิงพนักโซฟาหรูส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มรุ่นลูก หากไม่เป็นหนี้เป็นสินอัยย์ขอสาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาดแม้ว่าเจ้าหนี้ของพ่อคนนี้จะใจดีกับเขา ไม่เคยเร่งรัดเรื่องเงิน นั่น
ร่างเล็กค่อย ๆ เปิดประตูห้องอย่างเบามือ เกรงว่าจะรบกวนเต้หากอีกคนหลับไปแล้ว“พี่เขมมาส่งมึงเหรอ”คนที่คิดว่าเข้านอนแล้วกลับเอ่ยถามขึ้นมาผ่านความมืด อัยย์เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟทำให้ภายในห้องสว่างวาบขึ้นมาเพื่อนสนิทนอนตะแคงข้างหันมามองหน้าเขา รอฟังคำตอบ“อือ” กระเป๋าสะพายใบเก่าใบเดิมที่ใช้มานานนับห้าปีถูกตั้งไว้ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ “ทำไมยังไม่นอน”“รอมึง”“บอกแล้วไงว่าให้นอนไปก่อนไม่ต้องรอ”“ก็รอมึงจนมันชิน พอจะนอนก็นอนไม่หลับ”อัยย์ส่ายหัวเบา ๆ พลางยกยิ้มเอ็นดูเพื่อนตัวเอง เสื้อยืดสีดำถูกถอดออกใส่ตะกร้าผ้าด้วยความเคยชิน ไม่ได้นึกเหนียมอายเพราะคิดว่าตัวเองก็ผู้ชายคนหนึ่ง“นี่กูก็กลับมาแล้ว มึงนอนก่อนเลย กูไปอาบน้ำก่อน”“เออ ๆ ไปอาบเถอะ”ร่างบางหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปในทันที กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ปาไปตีหนึ่งกว่าแล้วออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าเต้หลับไปแล้ว ทั้งยังขยับเข้าไปนอนชิดผนัง เว้นที่ว่างที่ประจำไว้ให้อัยย์ เจ้าตัวเดินไปตากผ้าขนหนู พร้อมปิดไฟ เตรียมเข้านอน หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันเขาก็จะได้พักผ่อนสักทีทว่า.. แทนที่จะล้มตัวลงนอนแล้วจะเพลียหลับไป กลับเอาแต่คิดอยู
“คิดเงินด้วยครับ”เสียงลูกข้างโต๊ะข้าง ๆ เคาน์เตอร์ดังขึ้นเรียกพนักงานในร้านให้คิดเงิน ไม่ทันที่อัยย์จะเดินไป พัดก็เสนอตัวไปแทนก่อนเสียงมือถือร้านจะดังขึ้น คนตัวเล็กรีบเช็ดมือเพื่อรับสาย“สวัสดีครับ ร้านบีเบเกอรี่ครับ”เอ่ยสวัสดีปลายสาย พร้อมชื่อร้านเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าโทรเข้ามาถูกเบอร์ เสียงตะกุกตะกักดังผ่านเข้ามาในหูเล็กน้อย[ครับ ไม่ทราบว่าที่ร้านมีบริการส่งใช่ไหมครับ]“มีบริการส่งหากที่อยู่ห่างจากร้านไม่เกินห้ากิโลเมตรครับ” เด็กหนุ่มถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง ครั้นอีกฝ่ายเงียบไป[งั้นเอาเป็นเอสร้อนหนึ่ง เค้กมะพร้าวอ่อนสองครับ รบกวนมาส่งที่คอนโดทีเอ็นเคหน่อยได้ไหมครับ]“ได้ครับ ประมาณสิบห้านาทีนะครับ”[มาถึงแล้วแจ้งพนักงานตรงเคาน์เตอร์แล้วขึ้นมาส่งที่ห้องได้เลยนะครับ ผมจะแจ้งเขาไว้ให้]“ครับ”หลังจากวางสายอัยย์รีบทำกาแฟ พร้อมคีบขนมเค้กมะพร้าวอ่อนใส่กล่อง จัดแจงทุกอย่างเพื่อเตรียมเอาออกไปส่งตามที่อยู่ที่ลูกค้าแจ้งไว้ พร้อมกับปิดร้านตามเวลาอัยย์เอาเงินของตัวเองจ่ายค่ากาแฟและขนมไปก่อน เพราะเขาไม่อยากนั่งรถกลับมาเพื่อเอาเงินเก็บไว้ที่ร้าน กะไว้ว่าส่งกาแฟให้ลูกค้าเสร็จจะนั่งวินมอเตอร์ไ
เมื่อคิดย้อนไปถึงวันนั้นเขาก็ยังเกิดคำถามในสิ่งที่ชัชวินทำ ผนวกกับคำพูดของอาชิที่บอกกับเขาในคืนนั้นด้วยหากที่อาชิพูดมีความหมายส่อไปถึงชัชวินจริง มันสื่อได้ว่าอีกคนไม่มีความจริงใจใด ๆ เลยหากแต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ในการกระทำและสายตานั้นกลับทำให้เขาเผลอคิดว่าชัชวินเป็นห่วงเขาจริง ๆ หรือเขาอาจจะคิดไปเองเริ่มไม่เข้าใจในตัวเองแล้วเหมือนกันว่าทำไมถึงเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิด เป็นเพราะความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?“ก็ได้นะ อาจจะแล้วแต่คนว่ะ ถามทำไมวะ”“แค่ถามดูน่ะ”คำตอบที่ได้จากเต้ใช่ว่าจะคลายความสงสัยได้ แต่ก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อ พลางถอนหายใจเบา ๆอย่าเก็บเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดนักเลย…“พรุ่งนี้มึงหยุดอีกวันนี่ ใช่ไหม?” เต้ถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย“อืม”“กูเห็นครูบอกว่าพรุ่งนี้มีคนติดต่อจะเข้ามาเรียนมวย ไม่แน่มึงอาจได้เป็นคนสอนอีก”“เหรอ ไม่เห็นครูบอกอะไรกูเลย”“ถ้าครูจะให้มึงสอนเดี๋ยวก็มาบอกเองนั่นแหละ” ก็อย่างที่เต้ว่าถ้าครูจะให้เขาเป็นคนสอนจริง ๆ เดี๋ยวก็คงเรียกไปคุยพลันคิดย้อนไปในอดีตตอนที่มาอยู่ค่ายวันแรก ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเรียนมวยจนสามารถสอนคนอื่นได้แล้ว
ที่เต้บอกไว้เมื่อวานว่าจะมีคนติดต่อครูมาเรียนมวย ใครจะคิดว่าเป็นเขมทัศน์กับชัชวิน…หนึ่งวันที่แล้วเขมทัศน์มีคุยธุระที่ร้านอาหารใกล้ ๆ เพนท์เฮาส์ของชัชวิน เลยถือโอกาสนี้แวะไปหาเพื่อน โดยโทรถามเจ้าตัวและได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยร่างสูงโปร่งเดินตามหลังไทท์เลขาคนสนิทของชัชวินที่ลงมารับตั้งแต่หน้าล็อบบี้“คุณชัชอยู่ในห้องครับ คุณเขมเข้าไปได้เลย”เอ่ยบอกตามคำสั่งเจ้านาย ก่อนแยกตัวออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง“วันหยุดก็ยังทำงานอยู่อีกเหรอวะ”กองเอกสารบนโต๊ะทำให้รู้ว่าชัชวินยังมีงานต้องทำ แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม เพราะนอกจากการเป็นเจ้าของคลับแล้ว เจ้าตัวยังมีงานที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ในจังหวัดภูเก็ต ทางผู้จัดการจะติดต่อผ่านเลขาเพื่อส่งเอกสารให้ชัชวินเช็กความเรียบร้อย ในหนึ่งเดือนจะมีวันที่ชัชวินต้องเดินทางไปดูงานต่าง ๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องบินไปที่จีนเพื่อจัดการเคลียร์บัญชีโรงแรมที่จีน“มึงมีอะไร”“พูดกับกูให้มันเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนตอนคุยกับเด็กมึงบ้างไม่ได้หรือไง” เอ่ยแซวเพื่อนสนิทที่ถามเขาเสียงแข็ง ผิดกับตอนคุยกับพวกเด็ก ๆ ของมันที่เลี้ยงไว้“มาเป็นเด็กกูไหมล่ะ กูจะได้พูดหวาน
“ก็ดี เหมือนจะติดใจขึ้นมาซะแล้ว”หากนี้คือการเข้าข้างตัวเอง ก็คงเป็นการคิดไปเองที่ไกลเกินจริงมาก ๆ เพราะทุกคำที่ชัชวินพูดออกมาราวกับว่ากำลังบอกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งสายตาและรอยยิ้มมุมปาก ก่อนที่มันจะกลับไปเป็นใบหน้าเรียบนิ่งดังเดิมเทียบกับวันที่นั่งทานข้าวด้วยกันที่คอนโด กับวันนี้ ชัชวินเหมือนกับเป็นคนละคนก็ว่าได้ พอรอบข้างมีคนอยู่เยอะ เจ้าตัวก็ดูจะนิ่งกว่าปกติ ทว่าตอนอยู่กับเขาสองคนกลับดูพูดเก่งขึ้นมา“ถึงเวลาของมึงแล้ว”เขมทัศน์ไม่ได้สังเกตหรือให้ความสนใจกับท่าทีที่แปลกไปของชัชวิน ก่อนบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาพักของเขา ถึงเวลาที่ต้องสลับให้ชัชวินไปแทนอัยย์ข่มตาพ่นลมหายใจเบา ๆ เพื่อกำจัดความคิดฟุ้งซ่าน เลิกคิดเองเออเองได้แล้ว!“คุณชัชวินถนัดมือข้างไหนครับ”“ขวา”“งั้นเริ่มจากการตั้งการ์ดก่อนนะครับ”อธิบายพร้อมค่อย ๆ ทำท่าให้ดู เพื่อให้อีกฝ่ายทำตาม ชัชวินก็ดูตั้งใจไม่แพ้กับเขมทัศน์ ทว่าดูเก้ ๆ กัง ๆ มากกว่า“แบบนี้หรือเปล่า”“มือข้างนี้ยื่นออกมาอีกนิดครับ” ไม่ว่าเปล่า จับมืออีกคนให้ขยับได้องศาที่พอดี “ได้แล้วค—”พลันเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าระยะห่างของร่างกายเหลือน้อ
หลังจากตรึกตรองมาสองวันเต็ม ๆ อัยย์ก็ได้คำตอบกับตัวเองแล้วว่าเขาตัดสินใจที่จะทำงานพีอาร์ เพราะหนทางเดียวที่จะได้เงินไวและจำนวนมากเท่าที่คิดออกก็มีแค่นี้ทว่า…“คิดใหม่อีกทีดีไหม พี่ไม่อยากให้อัยย์ทำจริง ๆ”คนที่หนักใจที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นเขมทัศน์ที่พยายามหว่านล้อมพูดให้น้องเปลี่ยนใจ แต่เด็กคนนี้กลับหนักแน่นเสียเหลือเกิน“อัยย์คิดมาดีแล้วครับ ให้อัยย์ทำเถอะนะ”“แต่อัยย์ก็รู้ว่างานแบบนี้มันเสี่ยง”“รู้ครับ แต่อัยย์จำเป็นต้องทำ ถ้าพี่เขมลำบากใจเดี๋ยวอัยย์ลองไปสมัครที่ร้านอื่นก็ได้ครับ”ไม่ได้พูดประชดเพื่อให้เขมยอม แต่เขาจะทำอย่างที่ว่าจริง ๆ ก็เข้าใจได้อยู่ว่าพี่ชายคนนี้ก็คงหวังดีกลัวว่าเขาจะทำงานตำแหน่งนี้ไม่ได้ ความเสี่ยงที่ว่าก็มีหลายอย่าง ลูกค้าแต่ละคนใช่ว่าจะเหมือนกัน ยิ่งพวกคนมีเงิน มีอายุ หนีเมียมาเที่ยว เท่าที่เห็นมาก็มือปลาหมึก หื่นกามกันทั้งนั้น แม้จะเคยตั้งปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ก้าวขาไปทำงานแบบนี้เด็ดขาด สุดท้ายเขาก็เหมือนคนกลับกลอกกลืนน้ำลายตัวเองจนได้“แบบนั้นพี่ยิ่งเป็นห่วงกันไปใหญ่” สีหน้าเคร่งเครียดฉายชัดบนใบหน้าคม คิ้วขมวดติดกันจนเกิดปม “ก็ได้ พี่ยอมให้อัย
ตลอดสองเดือนชัชวินโทรหาคนรักกับลูกทุกเวลาที่ว่างอย่างที่พูดไว้จริง ๆ เขาอยากจะบินไปภูเก็ตใจแทบขาด ทว่างานรัดตัวจนไปไม่ได้ อีกทั้งไทท์ยังเอาแต่ห้าม ไหนจะโรงแรมที่จีนที่เขาต้องจัดการบัญชีทุกเดือน ยังต้องบินไปดูงานด้วยตัวเอง มีคุยงานกับนักธุรกิจหลายท่านเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มลงทุนร่วมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะแต่ละคนมีเวลาว่างต่างกัน ชัชวินจึงไม่สามารถไปไหนได้ ตารางงานแต่ละวันแน่นจนเขาอยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ทุกการเคลื่อนไหวของชัชวินไทท์ได้รายงานให้อัยย์ทราบทุกอย่าง เนื่องจากอีกฝ่ายขอร้องมา ไทท์เองก็ไม่อยากทำตัวเป็นนกสองหัว เพราะเหมือนกับกำลังทรยศเจ้านาย แต่ทว่าชัชวินไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรไม่ดี เขาจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร หากบอกให้อัยย์ทราบ ดีเสียอีกที่อีกคนจะได้เห็นว่าเจ้านายของเขาปรับตัวเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัวแล้วจริง ๆ ไม่ทำตัวเหลวไหล หรือมั่วผู้หญิงอย่างแต่ก่อนอัยย์จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ โดยไม่บอกชัชวิน กะไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย โดยมีเขมทัศน์ช่วยเหลืออีกเช่นเคย“เราจะไปไหนกันเหรอม๊า” เด็กน้อยตาใสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื
เวลาเกือบสองทุ่มครึ่งอัยย์ส่งลูกเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลงมาหาคนที่ยังเอาแต่นั่งอ่านเอกสารหน้าเครียด ก่อนหน้านี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้วอัยย์ตั้งใจจะบอกให้ชัชวินกลับไป แต่พอเห็นว่าคนพี่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวนคนตัวเล็กแอบทำอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในครัวประมาณยี่สิบนาที ออกมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ คาดว่าชัชวินน่าจะหิว เพราะเมื่อตอนเย็นทานไปแค่นิดเดียวก็กลับมานั่งทำงานต่อ คงจะมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง“ทานข้าวก่อนสิครับค่อยทำต่อ”ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม จากที่ทำหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที ทว่าดวงตาคมดูล้ากว่าปกติ“ขอบคุณครับ แต่เฮียขอทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยกินครับ”“ไม่ได้ครับ” ตอบกลับเสียงแข็ง “กินก่อนเถอะครับ เมื่อตอนเย็นคุณกินไปแค่นิดเดียว กว่างานจะเสร็จหิวไส้กิ่วกันพอดี”“กินก็กินครับ ไม่เห็นต้องดุเลย”“ไม่ได้ดุสักหน่อย!”“นี่ไงหนูกำลังดุเฮียอยู่ชัด ๆ”อัยย์กรอกตามองบนพลางถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนแก่ ทว่าไม่ทันได้เดินออกไป อีกคนดันจับข้อมือรั้งเขาไว้เสียก่อน“มีอะไรครับ?”“มีเรื่องจะรบกวนครับ”“อะไรครับ?”“พอดีรู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ อยากรบกวนขอกำลังใจเป็นกอด
เช้าวันนี้ดูเหมือนเป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสามปีของชัชวิน เสียงนกร้องดังอยู่บริเวณบ้านปลุกคนนอนหลับฝันดีให้ตื่นขึ้นมา ร่างหนาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ บ้าน กลิ่นของอาหารหอมโชยมาจากในครัวชัชวินเดินมาตามกลิ่น คนตัวเล็กกำลังง้วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ เด็กน้อยที่พึ่งตื่นล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมานั่งเล่นรอมารดาตัวเองที่โต๊ะทานข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช”ศรัณย์เอ่ยพูดประโยคที่ชัชวินเคยสอนเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ“อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์”ชัชวินยกยิ้มให้เด็กน้อย จากตอนแรกที่ได้เจอกันรู้สึกถูกชะตามากอยู่แล้วยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองแท้ ๆ เขายิ่งหลงรักเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าศรัณย์รู้ว่าเขาเป็นพ่อจะดีใจบ้างหรือเปล่าเขาไม่รู้ว่าอัยย์จะบอกลูกตอนไหน แต่ความร้อนใจของเขาเขาอยากให้ลูกรู้เร็ว ๆ ว่าเขาเป็นพ่อ เขาอยากแสดงตัวว่าเป็นพ่อ อยากทำหน้าที่ของพ่อ อยากชดเชยเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทดแทนได้หรือเปล่าเขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ เพื่ออัยย์และลูก“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาครับจะได้กินข้าว”เรื่องที
ร่างสูงโปร่งลงจากรถแท็กซี่ ตั้งสติให้ตัวเองทรงตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังหน้าบ้านของคนที่เขาคิดถึง สองมือเกาะรั้ว ตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านเสียงดังลั่น"อัยย์! อัยย์ครับ ออกมาคุยกับเฮียหน่อย อัยย์!"เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรียกเจ้าของบ้าน เขมทัศน์ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวมาเปิดประตู เห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะอยู่ที่รั้วไม้ จึงเดินเข้าไปหา“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”อัยย์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าชัชวินเคยมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนยังไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร กลัวว่าหากเขมทัศน์รู้เข้าจะมีปากเสียงกับชัชวินเพราะเขาอีก“อัยย์! มาคุยกับเฮียหน่อย”“ถ้าเมาก็กลับไปไอ้ชัช อย่ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่” เขมเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่าย“มึงไม่ต้องเสือก”น้อยครั้งที่ชัชวินจะพูดหยาบคายกับเขม ทว่าครั้งนี้เขามีเรื่องไม่พอใจที่อีกคนโกหกจึงไม่คิดที่จะยั้งปาก อีกทั้งยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหลังจากลูกค้านัดไปคุยงานนั่งดื่มกัน ชัชวินก็ซัดเหล้าเข้าปากเพราะความเครียดที่ตัวเองพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเมาก็คงกล้าทำอะไรมากขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู
หลังจากโดนอัยย์จับได้ว่าแอบเดินตาม ชัชวินก็ใช้เวลาอยู่สามสี่วันกับการกลั่นกรองความคิดตัวเอง เมื่อตกผลึกแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง ไม่ว่าจะกินจะนอนก็อยากเจอหน้าให้ได้ ถ้าเป็นคนงมงายสักนิดคงคิดว่าตัวเองโดนของแน่ ๆร่างหนาเดินเลือกซื้อขนมที่เด็ก ๆ ชอบ ซึ่งถามความคิดเห็นจากไทท์ เพราะเลขาของเขามีลูกชายอยู่หนึ่งคน คงจะพอรู้ว่าเด็กผู้ชายชอบกินอะไร รวมถึงพวกของเล่นต่าง ๆเดินเลือกไปเลือกมาสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาว เพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มชัชวินก็ถูกใจทันที คิดว่าศรัณย์อาจจะชอบ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงหรือผู้ขายก็ชอบตุ๊กตาได้ทั้งนั้น ทว่าลึก ๆ แล้วเขาจะใช้มันเป็นตัวแทนของเขาเอง“จะซื้อจริง ๆ เหรอครับ” คนที่โดนหิ้วให้ติดตามขับรถให้อย่างไทท์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“อือ ผมว่าน้องรัณอาจจะชอบ” ว่าพลางยกยิ้มราวกับคนมีความสุขเต็มเปี่ยม หลายวันที่ไทท์เห็นเจ้านายตัวเองเอาแต่ขมวดคิ้วเหม่อคิดอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว ทว่าวันนี้ราวกับคนละคนจ่ายเงินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่บ้านของอัยย์ทันที ไทท์ลอบมองชัชวินผ่านกระจกหลังเป็นระยะ ดูท่าแล้วจะมีความสุขมากจริง ๆ ถ
แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างพาดผ่านผิวกาย กระทบใบหน้าหล่อเหลา เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นหรี่ตาปรับแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกาย รู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนขดตัวอยู่นโซฟาหลายชั่วโมงดวงตาคมหลุบลงมองผ้านวมผืนหนาที่คลุมร่างของเขาอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนอัยย์ไม่ได้เอามาให้ งั้นคงเอามาห่มให้เขาตอนเขาหลับไปแล้วแน่ ๆ พลันความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นในหัวมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเผลอไผลทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อหันห้ามาเจอเด็กน้อยหน้าตาสดใสกำลังจ้องมองเขาไม่ละสายตา ชัชวินส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง"อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์""อรุณสวัสดิ์คืออะไร" เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยในคำที่ตัวเองไม่เข้าใจ"อรุณสวัสดิ์ก็คือสวัสดีตอนเช้า""อืม รัณเข้าใจแล้ว อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช"ความสดใสจากเด็กคนนี้ทำให้เขาอดนึกถึงภาพของอัยย์ตอนยิ้มร่ามีความสุขไม่ได้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน"ทำไมรัณตื่นเช้าจังครับ" จริง ๆ ก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว"มะม๊าบอกว่าถ้าตื่นสายจะติดเป็นนิสัย ทำให้เป็นเด็กขี้เกียจ รัณไม่อยากเป็นเด็กขี้เกียจ" เด็กช่างพูดจำที่มารดาบอกได้ขึ้นใจ"แล้
เสียงผู้คนจอแจเดินผ่านไปผ่านมา นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่ชัชวินนั่งครุ่นคินอะไรบางอย่างอยู่ที่เดิม เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสามปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กที่เขานั่งคุยด้วยเมื่อไม่นานมานี้เป็นลูกของอัยย์กับเขมทัศน์จริง ๆ หรือเปล่า หากให้เดาเด็กคนนั้นคงอายุประมาณ 3-4 ขวบ คาดว่าเท่ากับระยะเวลาที่อัยย์ออกจากบ้านเขามา เรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก“ยังอยู่อีกเหรอวะ คิดว่ามึงกลับไปแล้วซะอีก”ชัชวินเงยหน้ามองต้นเสียง เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ พลันสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้“ไม่ต้องหาหรอก กูพาอัยย์ไปส่งที่อื่นแล้ว” เขมทัศน์ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน เพราะคิดว่าไม่ได้มีจำเป็นใด ๆ ต้องบอกให้ชัชวินรู้“มึงมีอะไร” การที่เขมทัศน์มายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคงไม่ใช่เพราะแค่เดินกลับมาเพื่อผ่านไปเฉย ๆ แน่นอน ดูเหมือนตั้งใจมาหาเขาเสียด้วยซ้ำ“ไปคุยกันหน่อย”หลังจากไปส่งอัยย์ที่ร้านขนมใกล้ ๆ ห้าง เขมทัศน์จึงวนรถกลับมาที่นี่อีกครั้ง เดาเอาไว้แล้วว่าชัชวินอาจจะยังอยู่และก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ภูเก็ตเขมทัศน์ก็แทบไม่ได้กลับไปกรุงเทพ
“มึงจะลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนที่นี่จริง ๆ เหรอวะ”ใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถามเพื่อนสนิท ที่แวะเข้ามาหาเขาถึงเพนท์เฮาท์เพื่อขอถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนคลับก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องผิดใจกันเราทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันนอกจากเรื่องงาน ชัชวินคิดแค่ว่ารอเวลาให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกันอีกที จนเวลาล่วงเลยไป กลายมาเป็นแบบนี้“อือ กูกับแม่จะกลับไปอยู่ภูเก็ต ถ้าจะให้เทียวไปเทียวมาคงไม่สะดวก”“แล้วมึงจะไปทำงานอะไร”“รับช่วงต่อร้านอาหารของตา”ฐานะที่บ้านของเขมทัศน์ไม่ใช่จะน้อยหน้าชัชวิน ทางคุณตาของเขามีร้านอาหารภัตตาคารใหญ่โต ทั้งยังอยู่ในเมือง การเข้าออกของลูกค้าแต่ละวันสร้างรายได้ให้ไม่น้อยได้รับข่าวมาว่าคุณตาเริ่มจะป่วยบ่อยขึ้น พี่ชายของแม่ที่เคยอยู่ดูแลก็ต้องการจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ารับช่วงต่อดูแลร้านอาหาร สุดท้ายสมบัติชิ้นนี้ที่คุณตาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ตกเป็นของแม่เขา ทว่าขวัญรินก็อายุมากขึ้นทุกวัน เธออยากอยู่บ้านอย่างสบายมากกว่าจึงมอบมันให้ลูกชายดูแลต่อ“ที่ย้ายไปคงไม่ใช่เพราะ..” ชัชวินนิ่งชะงักกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด“มึงให้คนตามสืบจนรู้แล้วเหรอว่าอัยย์อยู่ที่ไหน ถึงกูจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเพราะอัยย์
“มื้อเช้าพร้อมแล้วนะครับคุณชัช”เลขาคนสนิทขึ้นมาเคาะห้องเรียกผู้เป็นนายหลังจากจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้เสร็จสรรพอย่างเช่นที่ทำเป็นประจำหลายวันมานี้ชัชวินพูดน้อยลงยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว บางครั้งก็นั่งเหม่อลอยคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่างคนเจ้าเสน่ห์อย่างชัชวินดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ไทท์ที่อยู่ใกล้ชิดทุกวันยังสังเกตเห็นได้ง่ายเจ้าของร่างสูงเดินลงมานั่งประจำที่ที่โต๊ะทานข้าว จ้องมองอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย“ผมยังไม่หิว ขอไปทำงานก่อนแล้วกัน”ไทท์มองตามผู้เป็นนายเดินลุกออกจากโต๊ะขึ้นไปที่ห้องทำงาน ผิดปกติจริง ๆ ชัชวินไม่ใช่คนที่จะละเลยมื้ออาหาร หากตื่นมาแล้ว ยังไงก็ต้องทานอะไรสักนิดสักหน่อยเพื่อที่ท้องจะได้ไม่ว่างจนเกินไป แต่นี่กลับไม่แตะแม้แต่น้ำหากสาเหตุมาจากคนที่เก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้านอย่างที่เขาคิด อย่างนั้นชัชวินคงต้องคิดพิจารณาความรู้สึกตัวเองใหม่อย่างถี่ถ้วนนับตั้งแต่วันที่เขาเอาเงินจากอัยย์มาคืนให้ชัชวินตามที่อีกคนขอ นายของเขาก็นิ่งเงียบไป ไม่แม้แต่จะขยับปากเอื้อนเอ่ยหรือถามสิ่งใดออกมาจนถึงตอนนี้ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรก้าวก่ายแต่ก็อด