เมื่อคิดย้อนไปถึงวันนั้นเขาก็ยังเกิดคำถามในสิ่งที่ชัชวินทำ ผนวกกับคำพูดของอาชิที่บอกกับเขาในคืนนั้นด้วย
หากที่อาชิพูดมีความหมายส่อไปถึงชัชวินจริง มันสื่อได้ว่าอีกคนไม่มีความจริงใจใด ๆ เลย
หากแต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ในการกระทำและสายตานั้นกลับทำให้เขาเผลอคิดว่าชัชวินเป็นห่วงเขาจริง ๆ หรือเขาอาจจะคิดไปเอง
เริ่มไม่เข้าใจในตัวเองแล้วเหมือนกันว่าทำไมถึงเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิด เป็นเพราะความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?
“ก็ได้นะ อาจจะแล้วแต่คนว่ะ ถามทำไมวะ”
“แค่ถามดูน่ะ”
คำตอบที่ได้จากเต้ใช่ว่าจะคลายความสงสัยได้ แต่ก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อ พลางถอนหายใจเบา ๆ
อย่าเก็บเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดนักเลย…
“พรุ่งนี้มึงหยุดอีกวันนี่ ใช่ไหม?” เต้ถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“อืม”
“กูเห็นครูบอกว่าพรุ่งนี้มีคนติดต่อจะเข้ามาเรียนมวย ไม่แน่มึงอาจได้เป็นคนสอนอีก”
“เหรอ ไม่เห็นครูบอกอะไรกูเลย”
“ถ้าครูจะให้มึงสอนเดี๋ยวก็มาบอกเองนั่นแหละ” ก็อย่างที่เต้ว่าถ้าครูจะให้เขาเป็นคนสอนจริง ๆ เดี๋ยวก็คงเรียกไปคุย
พลันคิดย้อนไปในอดีตตอนที่มาอยู่ค่ายวันแรก ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเรียนมวยจนสามารถสอนคนอื่นได้แล้ว คำสอนของครูในวันนั้นเขายังจำได้ดี
5 ปีก่อน
โลกที่เคยสวยงามของเด็กวัยสิบห้าปีพังทลายพร้อมกับร่างของพ่อที่เหลือเพียงเถ้ากระดูก ควันไฟสีหม่นลอยออกจากปล่องขึ้นสู่ฟ้า น้ำตาไหลลงอาบแก้มเด็กหนุ่มไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นไห้ที่ไม่ว่าใครเห็นต่างก็สงสารจับใจ สองแขนกอดฉากรูปภาพของผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น
ร่างของเด็กหนุ่มถูกดึงเข้าไปกอดปลอบอย่างห่วงใย ทว่าอ้อมอกที่อบอุ่นนี้ไม่ใช่แม่หรือพี่ชาย แต่เป็นเพื่อนสนิทของพ่อ มือสากลูบเรือนผมนุ่มด้วยความอ่อนโยน แม้จะเข้มแข็งแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านน้ำตาเอาไว้ได้
“พ่อไปสบายแล้วนะอัยย์ ไม่เป็นไรนะ อัยย์ยังมีลุง ลุงจะดูแลอัยย์แทนพ่อเอง”
คำพูดปลอบโยนของครูชัยแทบไม่เข้าหูอัยย์เลยด้วยซ้ำ ทว่าเด็กคนนี้กลับซุกใบหน้ากับหน้าท้องแกร่ง ราวกับโหยหาที่พึ่งทางใจ
หลังเสร็จงานศพของพ่อได้ไม่นานครูชัยก็พาอัยย์ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ค่ายมวย เพราะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ก่อนสิ้นใจผู้เป็นพ่อได้ฝากฝังกับครูชัยเอาไว้ว่าให้ช่วยดูแลลูกของตน
สำนวนที่ว่า ‘หัวเดียวกระเทียมลีบ’ หากใช้กับอัยย์เห็นทีจะไม่เกินจริง แม้ว่าลูกศิษย์ในค่ายของครูชัยจะเยอะเพียงใดเขาก็ไม่รู้จักสักคน และต่อให้ครูชัยเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ ก็ใช่ว่าจะเจอกันบ่อยจนสนิทกัน พี่ชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวอย่างอาร์มกลับไปใช้ชีวิตตามทางของตัวเอง ไม่ยอมมาอยู่ด้วยกัน ส่วนแม่.. เขาเองก็ไม่รู้
ตลอดหลายวันที่มาอยู่ค่ายอัยย์ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง นอนร้องไห้เพียงลำพัง ไม่พูดไม่จากับใครจนได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของคนอื่นที่คุยกันว่าเขาทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เรียกร้องความสนใจ ทั้งที่พยายามจะไม่เก็บเอามาใส่ใจแต่ก็ยากเหลือเกิน
“ออกมากินข้าวหน่อยเถอะอัยย์”
ครูชัยคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง เพราะรู้ดีว่าต่อให้เขาทำหน้าที่ดูแลอัยย์ดีแค่ไหน สำหรับเด็กคนนี้ก็ไม่มีใครแทนพ่อได้ ถึงอย่างนั้นครูชัยก็พยายามสุดความสามารถทำเพื่อทำให้อัยย์เห็นว่าตัวเองรักและห่วงใยด้วยความสัตย์จริง
“อัยย์ไม่หิวครับ อึก”
สุดท้ายครูชัยทนไม่ไหวต้องไขกุญแจห้องเข้ามาดู เพราะไม่อาจปล่อยไว้คนเดียวอย่างนี้นาน ๆ ได้ เขาเข้าใจการสูญเสียดี แต่ชีวิตของคนเรามันไม่เที่ยงแท้เป็นธรรมดา อัยย์เองก็ต้องทำใจและยอมรับมันให้ได้ในสักวัน
“อัยย์”
ผ้าห่มถูกดึงออกจากการบดบังเด็กหนุ่มร่างเล็ก ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำเกิดจากการร้องไห้เป็นเวลานาน ครูชัยจับแขนหลายชายให้ลุกคนนั่งพร้อมดึงเข้ามากอด ฝ่ามือหนาลูบแผ่นหลังเล็กอย่างปลอบโยน
“ฮือ อัยย์คิดถึงพ่อ”
“พ่อจะยังอยู่กับเราเสมอ ตราบใดที่เรายังไม่ลืมเขา”
คนที่จากไป จากไปแค่ร่างกายและจิตวิญญาณ ทว่าความทรงจำที่เคยร่วมสร้างกันมาจะยังคงย้ำเตือนกับคนที่ยังอยู่เสมอ
“พ่อเขารักอัยย์มากนะ เพราะงั้นอัยย์ต้องใช้ชีวิตให้ดี พ่อจะได้หมดห่วง เข้าใจหรือเปล่า” แม้จะเสียใจแต่ก็ไม่ใช่คนหัวรั้น พยักหน้าตอบรับคำถามของครูชัย นิ้วเรียวปาดน้ำตาบนแก้มนิ่ม พร้อมยกยิ้มให้ “ไปกินข้าวกันนะ”
สองมือเล็กจับชายเสื้อครูชัยด้วยความประหม่า ปกติไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่งอยู่แล้ว ยิ่งเจอคนแปลกหน้าที่กำลังส่งสายตามองมาที่เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก คำพูดที่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าใครคนไหนบ้างที่เป็นคนพูด สิ่งที่รู้ได้คือมีคนไม่ชอบเขาอย่างแน่นอน แต่ใครจะกล้ามาพูดแซะซึ่ง ๆ หน้า เมื่อครูชัยประกาศให้รับรู้ทั่วกันว่าอัยย์คือหลานชายของตัวเอง
“คะ ครูจ๊ะ อัยย์ไปกินข้าวที่อื่นได้ไหม” ทั้งที่บอกมาตั้งแต่วันแรกแล้วว่าให้เรียกลุง ทว่าอัยย์ก็ยังเลือกที่จะเรียกครูตามคนอื่น ๆ
เห็นทุกคนนั่งร่วมวงอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนม คนมาใหม่อย่างเขาก็ไม่กลางเข้าไปนั่งแทรกเป็นทำตัวเหมือนแกะดำได้
“ทำไมล่ะ?”
“อัยย์สบายใจแบบนั้นมากกว่า” เสียงหวานเอ่ยตอบอ้อมแอ้มอยู่ข้างหลัง
“งั้นไปกินที่ครัวกับลุง แบบนี้ตกลงไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ ก่อนถูกจูงมือให้เดินตามไปถึงท้ายครัว เห็นเด็กผู้ชายรูปร่างพอ ๆ กับตัวเองกำลังถือถ้วยแกงไปวางไว้ที่โต๊ะ
“อ้าวครู มากินข้าวที่ครัวอีกแล้วเหรอ”
“เออ หลานข้ามันไม่อยากนั่งกับคนอื่น”
“ผมนั่งกินด้วยคนคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม”
“มะ ไม่เป็นไร”
ครูชัยแนะนำให้ได้รู้จักกับเต้ เด็กที่ครูชัยรับเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเด็กอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกันกับอัยย์
เจ้าตัวมีนิสัยขี้เล่น คุยเก่ง แต่กลับไม่ชอบสุงสิงกับใครสักเท่าไรหากไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลามื้ออาหารก็ชอบมานั่งทานที่ครัวคนเดียว บางครั้งครูชัยก็จะมานั่งเป็นเพื่อน แม้คนในค่ายจะไม่ได้มีอคติอะไรกับเต้ แต่เต้เองที่ไม่อยากร่วมวงด้วย อาจจะเพราะเวลาคนอื่นคุยกันแล้วตัวเองตามไม่ค่อยทัน เลยเลือกที่จะเลี่ยงออกมาจะดีกว่า
ผ่านมาหลายสัปดาห์อัยย์เริ่มทำใจขึ้นมาได้บ้าง ยอมรับความจริงอย่างที่ครูชัยบอก ความสัมพันธ์การเป็นเพื่อนระหว่างเต้กับอัยย์ก็เหมือนจะดี พูดคุยกันถูกคอจนเริ่มสนิทกัน
ครูชัยส่งอัยย์ให้กลับไปเรียนต่อมอปลายที่โรงเรียนเดิม และในวันหยุดเสาร์อาทิตย์อัยย์ก็ขอให้ครูชัยสอนมวยให้ ตอนแรกกลัวว่าร่างกายอัยย์จะรับไม่ไหว แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้าตัว ครูชัยก็ตอบตกลง
“ลุกขึ้นมา”
ครั้นถึงเวลาจริงจังครูชัยก็ไม่คิดที่จะอ่อนข้อให้ ในเมื่ออยากเรียนแม้จะเจ็บก็ต้องทนให้ได้ จะมาทำเล่น ๆ ไม่ได้เด็ดขาด
“อัยย์ไม่ไหวแล้วจ้ะครู”
“ทำได้แค่นี้ก็ไม่ต้องมาขอให้ลุงสอน”
“…”
“ถ้าพื้นฐานแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็กลับห้องไปอ่านหนังสือเรียน”
“…”
“ถ้าอัยย์ไม่สู้ อัยย์ก็จะเป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้ในสายตาคนอื่น”
“อัยย์ไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้” เสียงตอบกลับสั่นเครือทว่าแววตากลับหนักแน่น เขาไม่ได้อยากเป็นคนขี้แพ้ เขาไม่อยากอ่อนแอให้ใครต่อใครมารังแกแล้วหัวเราะเยาะใส่ เขาไม่อยากเป็นแบบนั้น
“งั้นก็ลุกขึ้นมา ต่อให้ล้มลงไปอีกกี่ครั้งอัยย์ก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ ต้องสู้จนกว่าจะชนะ ไม่มีใครแพ้ไปตลอดหรอก”
ใช่.. ไม่มีใครเป็นผู้แพ้ไปตลอดหรอก
ที่เต้บอกไว้เมื่อวานว่าจะมีคนติดต่อครูมาเรียนมวย ใครจะคิดว่าเป็นเขมทัศน์กับชัชวิน…หนึ่งวันที่แล้วเขมทัศน์มีคุยธุระที่ร้านอาหารใกล้ ๆ เพนท์เฮาส์ของชัชวิน เลยถือโอกาสนี้แวะไปหาเพื่อน โดยโทรถามเจ้าตัวและได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยร่างสูงโปร่งเดินตามหลังไทท์เลขาคนสนิทของชัชวินที่ลงมารับตั้งแต่หน้าล็อบบี้“คุณชัชอยู่ในห้องครับ คุณเขมเข้าไปได้เลย”เอ่ยบอกตามคำสั่งเจ้านาย ก่อนแยกตัวออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง“วันหยุดก็ยังทำงานอยู่อีกเหรอวะ”กองเอกสารบนโต๊ะทำให้รู้ว่าชัชวินยังมีงานต้องทำ แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม เพราะนอกจากการเป็นเจ้าของคลับแล้ว เจ้าตัวยังมีงานที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ในจังหวัดภูเก็ต ทางผู้จัดการจะติดต่อผ่านเลขาเพื่อส่งเอกสารให้ชัชวินเช็กความเรียบร้อย ในหนึ่งเดือนจะมีวันที่ชัชวินต้องเดินทางไปดูงานต่าง ๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องบินไปที่จีนเพื่อจัดการเคลียร์บัญชีโรงแรมที่จีน“มึงมีอะไร”“พูดกับกูให้มันเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนตอนคุยกับเด็กมึงบ้างไม่ได้หรือไง” เอ่ยแซวเพื่อนสนิทที่ถามเขาเสียงแข็ง ผิดกับตอนคุยกับพวกเด็ก ๆ ของมันที่เลี้ยงไว้“มาเป็นเด็กกูไหมล่ะ กูจะได้พูดหวาน
“ก็ดี เหมือนจะติดใจขึ้นมาซะแล้ว”หากนี้คือการเข้าข้างตัวเอง ก็คงเป็นการคิดไปเองที่ไกลเกินจริงมาก ๆ เพราะทุกคำที่ชัชวินพูดออกมาราวกับว่ากำลังบอกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งสายตาและรอยยิ้มมุมปาก ก่อนที่มันจะกลับไปเป็นใบหน้าเรียบนิ่งดังเดิมเทียบกับวันที่นั่งทานข้าวด้วยกันที่คอนโด กับวันนี้ ชัชวินเหมือนกับเป็นคนละคนก็ว่าได้ พอรอบข้างมีคนอยู่เยอะ เจ้าตัวก็ดูจะนิ่งกว่าปกติ ทว่าตอนอยู่กับเขาสองคนกลับดูพูดเก่งขึ้นมา“ถึงเวลาของมึงแล้ว”เขมทัศน์ไม่ได้สังเกตหรือให้ความสนใจกับท่าทีที่แปลกไปของชัชวิน ก่อนบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาพักของเขา ถึงเวลาที่ต้องสลับให้ชัชวินไปแทนอัยย์ข่มตาพ่นลมหายใจเบา ๆ เพื่อกำจัดความคิดฟุ้งซ่าน เลิกคิดเองเออเองได้แล้ว!“คุณชัชวินถนัดมือข้างไหนครับ”“ขวา”“งั้นเริ่มจากการตั้งการ์ดก่อนนะครับ”อธิบายพร้อมค่อย ๆ ทำท่าให้ดู เพื่อให้อีกฝ่ายทำตาม ชัชวินก็ดูตั้งใจไม่แพ้กับเขมทัศน์ ทว่าดูเก้ ๆ กัง ๆ มากกว่า“แบบนี้หรือเปล่า”“มือข้างนี้ยื่นออกมาอีกนิดครับ” ไม่ว่าเปล่า จับมืออีกคนให้ขยับได้องศาที่พอดี “ได้แล้วค—”พลันเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าระยะห่างของร่างกายเหลือน้อ
หลังจากตรึกตรองมาสองวันเต็ม ๆ อัยย์ก็ได้คำตอบกับตัวเองแล้วว่าเขาตัดสินใจที่จะทำงานพีอาร์ เพราะหนทางเดียวที่จะได้เงินไวและจำนวนมากเท่าที่คิดออกก็มีแค่นี้ทว่า…“คิดใหม่อีกทีดีไหม พี่ไม่อยากให้อัยย์ทำจริง ๆ”คนที่หนักใจที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นเขมทัศน์ที่พยายามหว่านล้อมพูดให้น้องเปลี่ยนใจ แต่เด็กคนนี้กลับหนักแน่นเสียเหลือเกิน“อัยย์คิดมาดีแล้วครับ ให้อัยย์ทำเถอะนะ”“แต่อัยย์ก็รู้ว่างานแบบนี้มันเสี่ยง”“รู้ครับ แต่อัยย์จำเป็นต้องทำ ถ้าพี่เขมลำบากใจเดี๋ยวอัยย์ลองไปสมัครที่ร้านอื่นก็ได้ครับ”ไม่ได้พูดประชดเพื่อให้เขมยอม แต่เขาจะทำอย่างที่ว่าจริง ๆ ก็เข้าใจได้อยู่ว่าพี่ชายคนนี้ก็คงหวังดีกลัวว่าเขาจะทำงานตำแหน่งนี้ไม่ได้ ความเสี่ยงที่ว่าก็มีหลายอย่าง ลูกค้าแต่ละคนใช่ว่าจะเหมือนกัน ยิ่งพวกคนมีเงิน มีอายุ หนีเมียมาเที่ยว เท่าที่เห็นมาก็มือปลาหมึก หื่นกามกันทั้งนั้น แม้จะเคยตั้งปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ก้าวขาไปทำงานแบบนี้เด็ดขาด สุดท้ายเขาก็เหมือนคนกลับกลอกกลืนน้ำลายตัวเองจนได้“แบบนั้นพี่ยิ่งเป็นห่วงกันไปใหญ่” สีหน้าเคร่งเครียดฉายชัดบนใบหน้าคม คิ้วขมวดติดกันจนเกิดปม “ก็ได้ พี่ยอมให้อัย
เหมือนการได้พูดคุยกับคุณลุงคนนี้จะได้ปลดล็อกบางอย่าง เราต่างเป็นคนแปลกหน้า ต่างอายุหลายสิบปี ทว่ากลับพูดคุยแลกเปลี่ยนคำปรึกษากันอย่างไม่อึดอัดใจคุณลุงไม่ได้บอกชื่อให้อัยย์รู้ เพราะเขาบอกไว้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะมาที่คลับนี้ และคงเป็นวันสุดท้ายที่อยู่ไทย พรุ่งนี้เช้าต้องกลับไปอยู่ที่ต่างประเทศบ้านเกิดของแม่ตัวเองทั้งยังรับปากรับคำเอาว่าจะใช้ชีวิตให้ดีต่อไปจนกว่าอายุขัยจะมาถึง อัยย์ได้แต่อวยพรให้คุณลุงมีสุขภาพดี อายุยืนยาว และหากวันใดพบรักครั้งใหม่ก็ขอให้ได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง ทั้งยังกล่าวประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายแอบน้ำตาซึม“ผมเชื่อว่าคุณลุงจะเป็นสามีและพ่อที่ดีอย่างแน่นอน ภรรยาและลูกชายของคุณลุงก็คงจะคิดแบบนี้ เก็บอดีตไว้เป็นความทรงจำที่ดีและใช้ชีวิตใหม่ต่อไปนะครับคุณลุง”เพราะตลอดเวลาที่นั่งคุยกันอัยย์รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนจากอีกฝ่ายจริง ๆ ทุกครั้งที่คุณลุงพูดถึงคนรักสองคนที่จากไป แววตาเต็มไปด้วยความรักที่จริงใจ หากจะมีครอบครัวอีกครั้งก็ไม่ได้สายเกินไปเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เจอลูกค้าดี ๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า ทว่าวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกป
“อึก!”ฟันขาวกัดชายเสื้อแน่น มือข้างหนึ่งปิดตาตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกข้างจับอยู่ตรงข้อมือหนา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงในจังหวะที่เร็วขึ้นเมื่อรู้สึกเสียดเสียวเมื่อสิบนาทีก่อนหลังจากบทสนทนาของเขากับชัชวินจบลง อีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามา ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองส่งสายตาหวานเยิ้มให้คนอายุมากกว่านานเท่าใด รู้เพียงตัวเองพยักหน้าตอบรับยืนยัน เมื่อชัชวินถามซ้ำว่าต้องการให้ช่วยจริง ๆ หรือเปล่า เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาร่างทั้งร่างถูกอุ้มมานั่งลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ครั้นใบหน้าเสมอกันยิ่งเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของชัชวิน“คะ คุณชัช” เสียงเรียกแผ่วเบายามชายเสื้อหลุดออกจากปาก “ผมปวดฉี่”“ฉี่เลยครับ”ไม่พูดเปล่า กลางกายแข็งขืนยิ่งถูกชักรูดในจังหวะที่เร็วขึ้น สองขาเรียวหนีบเข้าหากันตามสัญชาตญาณ“อ๊ะ!”หลุดร้องครางเสียงหวาน แม้สติที่มีจะน้อยแต่ก็ยังเหนียมอายไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย ดึงเอาเสื้อขึ้นมาปิดเอาไว้ ก่อนจะรู้สึกถึงแรงรั้งตรงข้อมือ“ขอดูหน้าได้ไหมครับ”“ผม อื้อ.. อาย อ๊ะ! คุณชัช”“ครับอัยย์”ดวงตาคมฉายแววถึงความพึงพอใจชัดเจน ยิ่งเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเคลิบเคลิ้มทุกสัมผัสที่ได้รับจากตัวเองยิ่งรู้สึก
08:45 pm.เวลาเกือบสามทุ่มอัยย์นั่งรถเข้ามาตามแผนที่ที่อีกฝ่ายใช้แช็ตของอาร์มส่งพิกัดมาให้ ที่เคยคิดว่าคลับอยู่ในที่ลับตาคนแล้ว สถานที่ที่เขามาตอนนี้ไกลกว่าและเงียบกว่าเป็นไหน ๆ ครั้นเข้ามาถึงก็เห็นอาคารสองชั้นขนาดใหญ่ พร้อมลานกว้างหลายไร่ที่ใช้ทำเป็นที่จอดรถ ซึ่งมีทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายแทบไม่มีช่องว่าง“เชิญทางนี้ครับคุณอัยย์”เลขาหนุ่มคนสนิทของชัชวินที่อัยย์เคยเจอมาก่อนหน้านี้ตอนไปส่งอาหารที่คอนโด เอ่ยบอกด้วยท่าทีสุขุม เดินนำไปยังบ้านพักหลังเล็กถัดจากตึกใหญ่ประตูบานหนาถูกเปิดออกพร้อมกับไทท์ที่ขยับตัวไปยืนด้านข้างให้อัยย์ได้เดินเข้าไปก่อนภายในบ้านเย็นฉ่ำราวกับเปิดแอร์ทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง ไฟฟ้าเปิดสว่างทั่วทั้งบ้าน ต่างจากรอบบ้านที่มืดสนิท“พี่ผมอยู่ไหน”“ในห้องนี้ครับ เชิญคุณอัยย์เข้าไปได้เลย”อัยย์ไม่รีรอรีบจ้ำอ้าวตรงไปยังห้องที่ไทท์ชี้บอก ด้วยความร้อนใจจึงไม่ได้เคาะประตูก่อนแต่กลับเปิดเข้าไปอย่างเสียมารยาทชายร่างโตคุ้นตาถูกหนุ่มตัวโตกว่าสองคนจับเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำ มุมปากยังมีเลือดเกาะติดอยู่ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ หันมองร่างสูงที่กำลังยืนหันหลังมอง
เมื่อสองวันที่แล้วเขาเพิ่งจะมาที่บ้านหลังนี้ ต่างกันตรงที่ครั้งก่อนยืนอยู่แค่หน้าประตูรั้ว ทว่าครั้งนี้ได้เข้ามาเหยียบถึงในบ้าน การตกแต่งภายในดูดีเหมาะสมกับฐานะ มีทั้งแม่บ้านวัยอาวุโส และแม่บ้านสาว รวมแล้วประมาณห้าคนเด็กหนุ่มยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนอย่างมีมารยาทก่อนที่จะนั่งตัวเกร็งไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว มีหลายจังหวะที่เผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ ครั้นนายหญิงของบ้านหลังนี้ผู้มีศักดิ์เป็นแม่ของชัชวินกำลังนั่งมองเขาไม่วางตา“นี่คุณหญิงอรอนง คุณแม่ของเฮีย”“คนนี้เหรอที่ชัชบอกแม่ว่าจะให้เข้ามาอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนแม่”“ครับ น้องชื่ออัยย์ ต่อไปนี้น้องจะมาช่วยดูแลคุณแม่ตอนที่ชัชไม่อยู่”“มานั่งตรงนี้สิหนูอัยย์”อัยย์ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมชัชวินถึงมีท่าทีอ่อนโยน การพูดการจาดูสุขุม เพราะถอดแบบแม่มาเป๊ะ ๆ นี่เอง คุณผู้หญิงตรงหน้าดูดีทั้งหน้าตาและกิริยามารยาท เธอส่งยิ้มให้อัยย์อย่างเป็นมิตร พลางยื่นมือมาหวังจะจับมือเด็กหนุ่มให้ย้ายมานั่งข้างกัน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียหน้าอัยย์จึงยอมจับมือและย้ายไปนั่งข้าง ๆ“มีหนูอัยย์มาอยู่ด้วยแม่คงไม่เหงา”แม้สีหน้าจะยิ้มแย้ม แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความน้อยใจ คล้ายก
หลังแยกตัวออกมาจากอัยย์ อาชิก็เดินมาที่ห้องน้ำเพื่อเติมหน้าทาปากเพิ่ม ไม่คิดว่าคนที่ตนแอบนินทาไปกับเพื่อนร่วมงานจะเดินตามมาถึงที่“คะ คุณชัช..”ร่างสูงยกยิ้มให้ผ่านกระจก พลางพิงหลังกับกำแพงห้องน้ำ อาชิไม่กล้าแม้แต่จะหันไปประจันหน้ากับอีกฝ่าย เพราะเขาพอเดาออกว่าชัชวินตามมาทำไม“เมื่อกี้อาชิคุยอะไรกับอัยย์เหรอครับ”เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด“ก็แค่เรื่องทั่วไปน่ะครับ” อาการตกใจเมื่อครู่ได้หายไป เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นปกติ หยิบลิปสติกสีอ่อนขึ้นมาทาอย่างใจเย็น“รู้ใช่ไหมว่าไม่ควรพูดอะไรในสิ่งที่ผมไม่อนุญาต”“ครับ”“อาชิจำข้อตกลงของเราได้ใช่ไหม”“…”“คุณไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องของผม”“…”“ถ้ายังอยากอยู่อย่างสบายไปจนครบตามที่ระบุไว้ในสัญญา หวังว่าอาชิจะไม่พูดอะไรถึงผมให้อัยย์ฟังอีก”ตอนคุยก็คุยกันแค่สองคน อยู่ห่างตั้งหลายวา ไหนจะเสียงเพลงที่เปิดดังเสียขนาดนั้น ยังถูกชัชวินจับได้อีกว่ากล่าวถึงตนเอง หรืออาจเป็นเพราะตอนที่อาชิมองอีกฝ่าย“เข้าใจแล้วครับ”ทั้งที่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูไม่พอใจ ทว่าก่อนเดินออกไปกลับยิ้มให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมอัยย์ถึงตอบไม่รู้ว่าชัชวินเป็นค
ตลอดสองเดือนชัชวินโทรหาคนรักกับลูกทุกเวลาที่ว่างอย่างที่พูดไว้จริง ๆ เขาอยากจะบินไปภูเก็ตใจแทบขาด ทว่างานรัดตัวจนไปไม่ได้ อีกทั้งไทท์ยังเอาแต่ห้าม ไหนจะโรงแรมที่จีนที่เขาต้องจัดการบัญชีทุกเดือน ยังต้องบินไปดูงานด้วยตัวเอง มีคุยงานกับนักธุรกิจหลายท่านเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มลงทุนร่วมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะแต่ละคนมีเวลาว่างต่างกัน ชัชวินจึงไม่สามารถไปไหนได้ ตารางงานแต่ละวันแน่นจนเขาอยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ทุกการเคลื่อนไหวของชัชวินไทท์ได้รายงานให้อัยย์ทราบทุกอย่าง เนื่องจากอีกฝ่ายขอร้องมา ไทท์เองก็ไม่อยากทำตัวเป็นนกสองหัว เพราะเหมือนกับกำลังทรยศเจ้านาย แต่ทว่าชัชวินไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรไม่ดี เขาจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร หากบอกให้อัยย์ทราบ ดีเสียอีกที่อีกคนจะได้เห็นว่าเจ้านายของเขาปรับตัวเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัวแล้วจริง ๆ ไม่ทำตัวเหลวไหล หรือมั่วผู้หญิงอย่างแต่ก่อนอัยย์จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ โดยไม่บอกชัชวิน กะไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย โดยมีเขมทัศน์ช่วยเหลืออีกเช่นเคย“เราจะไปไหนกันเหรอม๊า” เด็กน้อยตาใสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื
เวลาเกือบสองทุ่มครึ่งอัยย์ส่งลูกเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลงมาหาคนที่ยังเอาแต่นั่งอ่านเอกสารหน้าเครียด ก่อนหน้านี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้วอัยย์ตั้งใจจะบอกให้ชัชวินกลับไป แต่พอเห็นว่าคนพี่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวนคนตัวเล็กแอบทำอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในครัวประมาณยี่สิบนาที ออกมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ คาดว่าชัชวินน่าจะหิว เพราะเมื่อตอนเย็นทานไปแค่นิดเดียวก็กลับมานั่งทำงานต่อ คงจะมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง“ทานข้าวก่อนสิครับค่อยทำต่อ”ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม จากที่ทำหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที ทว่าดวงตาคมดูล้ากว่าปกติ“ขอบคุณครับ แต่เฮียขอทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยกินครับ”“ไม่ได้ครับ” ตอบกลับเสียงแข็ง “กินก่อนเถอะครับ เมื่อตอนเย็นคุณกินไปแค่นิดเดียว กว่างานจะเสร็จหิวไส้กิ่วกันพอดี”“กินก็กินครับ ไม่เห็นต้องดุเลย”“ไม่ได้ดุสักหน่อย!”“นี่ไงหนูกำลังดุเฮียอยู่ชัด ๆ”อัยย์กรอกตามองบนพลางถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนแก่ ทว่าไม่ทันได้เดินออกไป อีกคนดันจับข้อมือรั้งเขาไว้เสียก่อน“มีอะไรครับ?”“มีเรื่องจะรบกวนครับ”“อะไรครับ?”“พอดีรู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ อยากรบกวนขอกำลังใจเป็นกอด
เช้าวันนี้ดูเหมือนเป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสามปีของชัชวิน เสียงนกร้องดังอยู่บริเวณบ้านปลุกคนนอนหลับฝันดีให้ตื่นขึ้นมา ร่างหนาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ บ้าน กลิ่นของอาหารหอมโชยมาจากในครัวชัชวินเดินมาตามกลิ่น คนตัวเล็กกำลังง้วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ เด็กน้อยที่พึ่งตื่นล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมานั่งเล่นรอมารดาตัวเองที่โต๊ะทานข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช”ศรัณย์เอ่ยพูดประโยคที่ชัชวินเคยสอนเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ“อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์”ชัชวินยกยิ้มให้เด็กน้อย จากตอนแรกที่ได้เจอกันรู้สึกถูกชะตามากอยู่แล้วยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองแท้ ๆ เขายิ่งหลงรักเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าศรัณย์รู้ว่าเขาเป็นพ่อจะดีใจบ้างหรือเปล่าเขาไม่รู้ว่าอัยย์จะบอกลูกตอนไหน แต่ความร้อนใจของเขาเขาอยากให้ลูกรู้เร็ว ๆ ว่าเขาเป็นพ่อ เขาอยากแสดงตัวว่าเป็นพ่อ อยากทำหน้าที่ของพ่อ อยากชดเชยเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทดแทนได้หรือเปล่าเขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ เพื่ออัยย์และลูก“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาครับจะได้กินข้าว”เรื่องที
ร่างสูงโปร่งลงจากรถแท็กซี่ ตั้งสติให้ตัวเองทรงตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังหน้าบ้านของคนที่เขาคิดถึง สองมือเกาะรั้ว ตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านเสียงดังลั่น"อัยย์! อัยย์ครับ ออกมาคุยกับเฮียหน่อย อัยย์!"เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรียกเจ้าของบ้าน เขมทัศน์ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวมาเปิดประตู เห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะอยู่ที่รั้วไม้ จึงเดินเข้าไปหา“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”อัยย์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าชัชวินเคยมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนยังไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร กลัวว่าหากเขมทัศน์รู้เข้าจะมีปากเสียงกับชัชวินเพราะเขาอีก“อัยย์! มาคุยกับเฮียหน่อย”“ถ้าเมาก็กลับไปไอ้ชัช อย่ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่” เขมเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่าย“มึงไม่ต้องเสือก”น้อยครั้งที่ชัชวินจะพูดหยาบคายกับเขม ทว่าครั้งนี้เขามีเรื่องไม่พอใจที่อีกคนโกหกจึงไม่คิดที่จะยั้งปาก อีกทั้งยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหลังจากลูกค้านัดไปคุยงานนั่งดื่มกัน ชัชวินก็ซัดเหล้าเข้าปากเพราะความเครียดที่ตัวเองพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเมาก็คงกล้าทำอะไรมากขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู
หลังจากโดนอัยย์จับได้ว่าแอบเดินตาม ชัชวินก็ใช้เวลาอยู่สามสี่วันกับการกลั่นกรองความคิดตัวเอง เมื่อตกผลึกแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง ไม่ว่าจะกินจะนอนก็อยากเจอหน้าให้ได้ ถ้าเป็นคนงมงายสักนิดคงคิดว่าตัวเองโดนของแน่ ๆร่างหนาเดินเลือกซื้อขนมที่เด็ก ๆ ชอบ ซึ่งถามความคิดเห็นจากไทท์ เพราะเลขาของเขามีลูกชายอยู่หนึ่งคน คงจะพอรู้ว่าเด็กผู้ชายชอบกินอะไร รวมถึงพวกของเล่นต่าง ๆเดินเลือกไปเลือกมาสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาว เพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มชัชวินก็ถูกใจทันที คิดว่าศรัณย์อาจจะชอบ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงหรือผู้ขายก็ชอบตุ๊กตาได้ทั้งนั้น ทว่าลึก ๆ แล้วเขาจะใช้มันเป็นตัวแทนของเขาเอง“จะซื้อจริง ๆ เหรอครับ” คนที่โดนหิ้วให้ติดตามขับรถให้อย่างไทท์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“อือ ผมว่าน้องรัณอาจจะชอบ” ว่าพลางยกยิ้มราวกับคนมีความสุขเต็มเปี่ยม หลายวันที่ไทท์เห็นเจ้านายตัวเองเอาแต่ขมวดคิ้วเหม่อคิดอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว ทว่าวันนี้ราวกับคนละคนจ่ายเงินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่บ้านของอัยย์ทันที ไทท์ลอบมองชัชวินผ่านกระจกหลังเป็นระยะ ดูท่าแล้วจะมีความสุขมากจริง ๆ ถ
แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างพาดผ่านผิวกาย กระทบใบหน้าหล่อเหลา เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นหรี่ตาปรับแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกาย รู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนขดตัวอยู่นโซฟาหลายชั่วโมงดวงตาคมหลุบลงมองผ้านวมผืนหนาที่คลุมร่างของเขาอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนอัยย์ไม่ได้เอามาให้ งั้นคงเอามาห่มให้เขาตอนเขาหลับไปแล้วแน่ ๆ พลันความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นในหัวมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเผลอไผลทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อหันห้ามาเจอเด็กน้อยหน้าตาสดใสกำลังจ้องมองเขาไม่ละสายตา ชัชวินส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง"อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์""อรุณสวัสดิ์คืออะไร" เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยในคำที่ตัวเองไม่เข้าใจ"อรุณสวัสดิ์ก็คือสวัสดีตอนเช้า""อืม รัณเข้าใจแล้ว อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช"ความสดใสจากเด็กคนนี้ทำให้เขาอดนึกถึงภาพของอัยย์ตอนยิ้มร่ามีความสุขไม่ได้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน"ทำไมรัณตื่นเช้าจังครับ" จริง ๆ ก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว"มะม๊าบอกว่าถ้าตื่นสายจะติดเป็นนิสัย ทำให้เป็นเด็กขี้เกียจ รัณไม่อยากเป็นเด็กขี้เกียจ" เด็กช่างพูดจำที่มารดาบอกได้ขึ้นใจ"แล้
เสียงผู้คนจอแจเดินผ่านไปผ่านมา นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่ชัชวินนั่งครุ่นคินอะไรบางอย่างอยู่ที่เดิม เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสามปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กที่เขานั่งคุยด้วยเมื่อไม่นานมานี้เป็นลูกของอัยย์กับเขมทัศน์จริง ๆ หรือเปล่า หากให้เดาเด็กคนนั้นคงอายุประมาณ 3-4 ขวบ คาดว่าเท่ากับระยะเวลาที่อัยย์ออกจากบ้านเขามา เรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก“ยังอยู่อีกเหรอวะ คิดว่ามึงกลับไปแล้วซะอีก”ชัชวินเงยหน้ามองต้นเสียง เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ พลันสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้“ไม่ต้องหาหรอก กูพาอัยย์ไปส่งที่อื่นแล้ว” เขมทัศน์ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน เพราะคิดว่าไม่ได้มีจำเป็นใด ๆ ต้องบอกให้ชัชวินรู้“มึงมีอะไร” การที่เขมทัศน์มายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคงไม่ใช่เพราะแค่เดินกลับมาเพื่อผ่านไปเฉย ๆ แน่นอน ดูเหมือนตั้งใจมาหาเขาเสียด้วยซ้ำ“ไปคุยกันหน่อย”หลังจากไปส่งอัยย์ที่ร้านขนมใกล้ ๆ ห้าง เขมทัศน์จึงวนรถกลับมาที่นี่อีกครั้ง เดาเอาไว้แล้วว่าชัชวินอาจจะยังอยู่และก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ภูเก็ตเขมทัศน์ก็แทบไม่ได้กลับไปกรุงเทพ
“มึงจะลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนที่นี่จริง ๆ เหรอวะ”ใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถามเพื่อนสนิท ที่แวะเข้ามาหาเขาถึงเพนท์เฮาท์เพื่อขอถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนคลับก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องผิดใจกันเราทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันนอกจากเรื่องงาน ชัชวินคิดแค่ว่ารอเวลาให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกันอีกที จนเวลาล่วงเลยไป กลายมาเป็นแบบนี้“อือ กูกับแม่จะกลับไปอยู่ภูเก็ต ถ้าจะให้เทียวไปเทียวมาคงไม่สะดวก”“แล้วมึงจะไปทำงานอะไร”“รับช่วงต่อร้านอาหารของตา”ฐานะที่บ้านของเขมทัศน์ไม่ใช่จะน้อยหน้าชัชวิน ทางคุณตาของเขามีร้านอาหารภัตตาคารใหญ่โต ทั้งยังอยู่ในเมือง การเข้าออกของลูกค้าแต่ละวันสร้างรายได้ให้ไม่น้อยได้รับข่าวมาว่าคุณตาเริ่มจะป่วยบ่อยขึ้น พี่ชายของแม่ที่เคยอยู่ดูแลก็ต้องการจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ารับช่วงต่อดูแลร้านอาหาร สุดท้ายสมบัติชิ้นนี้ที่คุณตาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ตกเป็นของแม่เขา ทว่าขวัญรินก็อายุมากขึ้นทุกวัน เธออยากอยู่บ้านอย่างสบายมากกว่าจึงมอบมันให้ลูกชายดูแลต่อ“ที่ย้ายไปคงไม่ใช่เพราะ..” ชัชวินนิ่งชะงักกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด“มึงให้คนตามสืบจนรู้แล้วเหรอว่าอัยย์อยู่ที่ไหน ถึงกูจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเพราะอัยย์
“มื้อเช้าพร้อมแล้วนะครับคุณชัช”เลขาคนสนิทขึ้นมาเคาะห้องเรียกผู้เป็นนายหลังจากจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้เสร็จสรรพอย่างเช่นที่ทำเป็นประจำหลายวันมานี้ชัชวินพูดน้อยลงยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว บางครั้งก็นั่งเหม่อลอยคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่างคนเจ้าเสน่ห์อย่างชัชวินดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ไทท์ที่อยู่ใกล้ชิดทุกวันยังสังเกตเห็นได้ง่ายเจ้าของร่างสูงเดินลงมานั่งประจำที่ที่โต๊ะทานข้าว จ้องมองอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย“ผมยังไม่หิว ขอไปทำงานก่อนแล้วกัน”ไทท์มองตามผู้เป็นนายเดินลุกออกจากโต๊ะขึ้นไปที่ห้องทำงาน ผิดปกติจริง ๆ ชัชวินไม่ใช่คนที่จะละเลยมื้ออาหาร หากตื่นมาแล้ว ยังไงก็ต้องทานอะไรสักนิดสักหน่อยเพื่อที่ท้องจะได้ไม่ว่างจนเกินไป แต่นี่กลับไม่แตะแม้แต่น้ำหากสาเหตุมาจากคนที่เก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้านอย่างที่เขาคิด อย่างนั้นชัชวินคงต้องคิดพิจารณาความรู้สึกตัวเองใหม่อย่างถี่ถ้วนนับตั้งแต่วันที่เขาเอาเงินจากอัยย์มาคืนให้ชัชวินตามที่อีกคนขอ นายของเขาก็นิ่งเงียบไป ไม่แม้แต่จะขยับปากเอื้อนเอ่ยหรือถามสิ่งใดออกมาจนถึงตอนนี้ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรก้าวก่ายแต่ก็อด