“คิดเงินด้วยครับ”
เสียงลูกข้างโต๊ะข้าง ๆ เคาน์เตอร์ดังขึ้นเรียกพนักงานในร้านให้คิดเงิน ไม่ทันที่อัยย์จะเดินไป พัดก็เสนอตัวไปแทน
ก่อนเสียงมือถือร้านจะดังขึ้น คนตัวเล็กรีบเช็ดมือเพื่อรับสาย
“สวัสดีครับ ร้านบีเบเกอรี่ครับ”
เอ่ยสวัสดีปลายสาย พร้อมชื่อร้านเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าโทรเข้ามาถูกเบอร์ เสียงตะกุกตะกักดังผ่านเข้ามาในหูเล็กน้อย
[ครับ ไม่ทราบว่าที่ร้านมีบริการส่งใช่ไหมครับ]
“มีบริการส่งหากที่อยู่ห่างจากร้านไม่เกินห้ากิโลเมตรครับ” เด็กหนุ่มถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง ครั้นอีกฝ่ายเงียบไป
[งั้นเอาเป็นเอสร้อนหนึ่ง เค้กมะพร้าวอ่อนสองครับ รบกวนมาส่งที่คอนโดทีเอ็นเคหน่อยได้ไหมครับ]
“ได้ครับ ประมาณสิบห้านาทีนะครับ”
[มาถึงแล้วแจ้งพนักงานตรงเคาน์เตอร์แล้วขึ้นมาส่งที่ห้องได้เลยนะครับ ผมจะแจ้งเขาไว้ให้]
“ครับ”
หลังจากวางสายอัยย์รีบทำกาแฟ พร้อมคีบขนมเค้กมะพร้าวอ่อนใส่กล่อง จัดแจงทุกอย่างเพื่อเตรียมเอาออกไปส่งตามที่อยู่ที่ลูกค้าแจ้งไว้ พร้อมกับปิดร้านตามเวลา
อัยย์เอาเงินของตัวเองจ่ายค่ากาแฟและขนมไปก่อน เพราะเขาไม่อยากนั่งรถกลับมาเพื่อเอาเงินเก็บไว้ที่ร้าน กะไว้ว่าส่งกาแฟให้ลูกค้าเสร็จจะนั่งวินมอเตอร์ไซค์กลับค่ายทันที
“ให้พัดรอไหม”
“ไม่เป็นไรพัดกลับได้เลย เดี๋ยวพี่เอาไปส่งให้ลูกค้าเสร็จแล้วจะกลับเอง”
“โอเคครับ”
“ขอบคุณมากนะที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นพัดไปก่อนนะ”
คนตัวเล็กพยักหน้าให้คนน้อง อีกคนอาสามาส่งเขาหน้าคอนโด เพราะยังไงก็เป็นทางผ่านพอดี จะไม่ต้องเสียเวลาเรียกวินมอเตอร์ไซค์
อัยย์เดินเข้าไปบอกพนักงานตามที่ลูกค้าได้แจ้งไว้เพราะรู้แล้วว่าอยู่ห้องไหน ก็รีบสาวเท้าเดินตรงมาที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังที่หมายในทันที
คอนโดหรูอยู่ในทำเลที่ดี วิวรอบนอกน่ามอง ไม่แปลกใจสักเท่าไรที่ราคาแต่ละห้องไม่ต่ำกว่าสิบล้าน
นี่เป็นครั้งแรกที่อัยย์ได้ขึ้นมาเหยียบชั้นบนของคอนโดหรูแบบนี้ ปกติหากมาส่งตามออร์เดอร์ก็แค่ฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ด้านล่าง ทว่าครั้งนี้กลับได้ขึ้นมาส่งถึงห้องเป็นครั้งแรก
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มทอดมองไปรอบบริเวณด้วยความตื่นตา อาจจะเพราะไม่ค่อยได้เห็นความสวยหรูแบบนี้บ่อย ๆ
ทั้งความปลอดภัย การบริการ ความสวยงาม ความสะอาด ช่างคุ้มค่ากับผู้ซื้อที่ทุ่มเงินเป็นล้าน
เมื่อเดินมาจนถึงหน้าห้อง ก็ตั้งท่าจะเคาะประตู ทว่าสายตากลับเหลือบเห็นออดตรงประตูเสียก่อน เกือบขาดหน้าแล้วเชียว
เพียงไม่นานประตูบานหนาถูกเปิดห้อง พร้อมชายร่างสูงหน้าตาดูดี ยกยิ้มบางให้เขาก่อนขยับตัวไปทางด้านข้างเล็กน้อย
“เข้ามาก่อนสิครับ”
เมื่อได้ยินคำเชิญชวนให้เข้าห้อง พลันคิ้วสวยก็ขมวดเข้าหากันทันที ไม่รู้จักกันทำไมถึงชวนให้เขาเข้าไปในห้อง
หรือนี่เป็นการล่อลวง!
“คุณไทท์ชวนอัยย์เข้าห้องแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนั้น เดี๋ยวอัยย์ก็ตกใจหมดพอดี”
เสียงทุ้มของชายอีกคนดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงจะเดินมาที่หน้าประตู เรียวคิ้วยิ่งขมวดเข้าหากันจนขึ้นเป็นปม เมื่อคนตรงหน้าคือชัชวิน เจ้าของคลับซึ่งมีตำแหน่งพ่วงเป็นเจ้านายของเขาอีกที
“ขอโทษด้วยครับคุณอัยย์”
“ครับ ไม่เป็นไร”
เด็กหนุ่มตอบกลับพลางมองหน้าทั้งสองคนสลับกัน ก่อนไทท์จะเดินหลบเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ทั้งคู่คนได้คุยกัน
“ต้องขอโทษแทนเลขาผมด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“นี่ถึงเวลางานพอดีใช่ไหมครับ” แม้จะรู้อยู่แล้ว ทว่ายังเลือกที่จะถามราวกับหาเรื่องชวนคุยก็เท่านั้น
“ครับ”
“ทานอะไรมาหรือยัง ผมสั่งอาหารมาเยอะเลย ถ้าไม่รีบไปไหนอยู่ทานด้วยกันก่อนสิครับ”
“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรดีกว่า” ตอบกลับอย่างไม่ลังเล “นี่กาแฟกับเค้กที่สั่งครับ ทั้งหมดสองร้อยสามสิบเก้าบาท”
“เข้ามาก่อนเถอะครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ไม่รอฟังคำตอบ พลางเดินนำเข้าไปยังโซนห้องอาหาร เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เข้าไม่ทราบว่าเรื่องที่ชัชวินจะคุยเกี่ยวกับอะไร สุดท้ายก็จำใจยอมเดินตามเข้ามาพร้อมปิดประตูให้เจ้าของห้อง
อัยย์มองไทท์ที่กำลังจัดเตรียมอาหารใส่จานอย่างรู้หน้าที่ พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสังเกต
แค่ห้องห้องเดียวกว้างพอ ๆ กับบ้านเดี่ยวหนึ่งหลัง ถ้าเทียบกับบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดก็ดูจะกว้างกว่านิดหน่อย
“นั่งก่อนสิครับอัยย์”
“คุณชัชมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“นั่งก่อนเถอะ ยืนคุยกับแบบนี้มันจะเมื่อขาเอาเปล่า ๆ”
อัยย์รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย อาจจะเพราะเขากับชัชวินแทบไม่ต่างจากคนแปลกหน้า แม้หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจะพบเจอกันบ่อยครั้ง ทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้มีการสนทนากันสักเท่าไร
เขาไม่รู้จักชัชวินดีด้วยซ้ำ การได้เข้ามาเหยียบอยู่ในห้องของอีกคนตอนนี้ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก อยากรีบคุยรีบกลับ
แต่ชัชวินกลับอ้างโน่นอย่างนี่ราวกับกำลังยื้อเวลาให้เขาอยู่นานขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ไม่สามารถเดาอะไรจากดวงตาสีรัตติกาลเข้มนั้นได้เลย
จานเปล่าพร้อมช้อนและส้อมถูกวางลงตรงหน้าเจ้านายและแขกผู้มาใหม่อย่างอัยย์ ไทท์จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็เดินหายออกไปจากตรงนี้
“เรื่องที่คุณชัชจะคุย?”
ร่างสูงปรายตามองคนอายุน้อยกว่าด้วยรอยยิ้ม ทว่าเลือกที่จะตักอาหารใส่จานให้อัยย์ก่อนจะตอบกลับ
“หลายวันก่อนผมได้ยินที่อัยย์คุยกับเขมเรื่องงาน” ตอนนั้นอัยย์ไม่แน่ใจว่าชัชวินได้ยินหรือเปล่า เพราะเห็นเดินออกมาจากห้องน้ำ พอชัชวินบอกแบบนี้ก็คลายความสงสัยเขาได้ในทันที “ได้งานหรือยังครับ”
“ยังครับ”
“เหนื่อยไหม”
น้ำเสียงอ่อนโยน กับสายตาที่มองมา อัยย์ไม่อาจเข้าใจได้เลย หากตั้งใจมองให้ดี ในแววตานั้นแอบคล้ายกับตอนที่ครูชัยมองเขา เหมือนกำลังเป็นห่วงกัน…
“ทำงานเยอะขนาดนี้ทุกวัน อัยย์เหนื่อยไหมครับ”
“…”
คนถูกถามไม่ได้เอ่ยตอบเพียงแค่ส่ายหัวไปมา ก้อนเนื้อภายในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตั้งแต่เกิดไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ความรู้สึกอื้ออึงอึดอัดแปลก ๆ ในใจ ยิ่งถูกมองด้วยสายตาแบบนี้ใบหน้ากลับร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องหลุบตาต่ำมองมือตัวเอง
ทั้งที่ชัชวินไม่ใช่คนแรกที่มองเขาด้วยสายตาแบบนี้ ทว่าความรู้สึกตอนที่เห็นกลับต่างกัน
“จริง ๆ ตอนแรกผมก็อยากแนะนำงานให้นะ แต่เห็นอัยย์เป็นลมคืนนั้น ผมว่าแค่สองสามงานที่อัยย์ทำอยู่ก็หนักแล้ว อัยย์ควรมีเวลาพักผ่อนบ้างนะครับ”
“คุณชัชวินไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ..”
“…”
“เอ่อ ผมหมายถึงไม่ต้องไปกังวลอะไรแบบนั้นหรอกครับ ผมไหว งานที่ทำไม่ได้หนักมากขนาดนั้น อีกอย่างผมแข็งแรงจะตาย”
เด็กหนุ่มยกยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้มทั้งสองข้างยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้ใบหน้าจิ้มลิ้ม แต่เพียงครู่เดียวรอยยิ้มนั้นก็หายไป
อัยย์ก็พอเข้าใจในความหวังดี แต่คำพูดพวกนี้เขาได้ยินจากครูชัยกับเขมทัศน์บ่อยเสียจนชินไปแล้ว สุดท้ายยังไงเขาก็ยังทำงานหนักเท่าเดิม และคิดว่าจะมากกว่าเดิม
“อัยย์นี่เก่งจังเลยนะครับ”
“…” คล้ายประโยคประชดประชัน ทว่าฟังดูให้ดีเหมือนอีกคนกำลังชมกันอยู่จริง ๆ
“งั้นทานกันดีกว่า อาหารเริ่มเย็นแล้ว เสร็จแล้วเดี๋ยวให้ไทท์ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองน่าจะสะดวกใจกว่า”
“ตามใจอัยย์ครับ แต่อยู่ทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนผมก่อนกลับนะ”
แม้จะปฏิเสธเรื่องที่จะไปให้เลขาไปส่ง ก็ยังถูกต่อรองให้อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกัน
อัยย์ไม่ได้แสดงท่าทียินดียินร้ายใด ๆ ลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
ไม่รู้เป็นเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่าถึงสิบห้าปีหรือเปล่า ท่าทางที่แสดงออกมาค่อนข้างสุขุม คำพูดคำจาที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้เขาถึงไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่ชัชวินคิด สิ่งที่ชัชวินทำได้เลย
เพราะอะไร?
ทำไม?
เพื่ออะไร?
ทว่ายิ่งเกิดคำถาม คำพูดก่อนหน้านี้ของชัชวินกลับวนเวียนอยู่ในหัว จนหัวใจทำงานหนักขึ้นมาอีกครั้ง เป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับเขาจริง ๆ
…
แสงแดดทอแสงอ่อนลงใกล้ถึงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินเต็มที สายลมเย็น ๆ พัดผ่านกระทบผิวกายให้รู้สึกสบาย เหมือนเป็นตัวช่วยให้ความคิดฟุ้งซ่านหยุดลงได้บ้าง
สองวันที่ผ่านมาเวลาอยู่คนเดียวคำพูดของชัชวินในวันนั้นยังแล่นเข้ามาในหัวอยู่ทุกครั้ง ทั้งน้ำเสียงและสายตายังชัดเจนอยู่ในโสตประสาท
แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดเนื่องจากร้านอาหารที่เขาทำงานอยู่เจ้าของร้านต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัด พลอยให้ต้องปิดร้านไปด้วยทั้งสองวัน ถือว่าได้พักผ่อนไปในตัว ทว่าตอนหนึ่งทุ่มยังต้องไปทำงานที่คลับตามปกติ
“มานั่งทำอะไรคนเดียววะ”
เต้หย่อนก้นนั่งลงบนพื้นดินข้าง ๆ กาย ปัดมือที่เลอะดินเล็กน้อย พลางกอดเข่าที่ชันขึ้น ทอดมองเสี้ยวใบหน้าจิ้มลิ้ม
“คิดอะไรนิดหน่อย”
“เล่าให้กูฟังได้นะ” ไอ้เต้คนนี้พร้อมเป็นที่ระบาย เป็นที่ปรึกษาให้กับอัยย์เสมอ อ่า..พ่วงความอยากรู้ส่วนตัวเข้าไปด้วยนิดหนึ่ง
“จริง ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก”
คำตอบที่ได้ยินทำให้เต้เพียงพยักหน้าตอบรับ ไม่ได้เซ้าซี้ให้อีกคนเล่า หากอัยย์อยากพูดเดี๋ยวก็พูดออกมาเอง
ทั้งคู่ต่างมองภาพทิวทัศน์ธรรมชาติหลังค่ายโดยไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นหลังคำตอบของอัยย์ เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้นจนเต้อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
“คนที่รู้จักกันได้ไม่นาน เป็นห่วงกันได้ไหมวะ?”
เมื่อคิดย้อนไปถึงวันนั้นเขาก็ยังเกิดคำถามในสิ่งที่ชัชวินทำ ผนวกกับคำพูดของอาชิที่บอกกับเขาในคืนนั้นด้วยหากที่อาชิพูดมีความหมายส่อไปถึงชัชวินจริง มันสื่อได้ว่าอีกคนไม่มีความจริงใจใด ๆ เลยหากแต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ในการกระทำและสายตานั้นกลับทำให้เขาเผลอคิดว่าชัชวินเป็นห่วงเขาจริง ๆ หรือเขาอาจจะคิดไปเองเริ่มไม่เข้าใจในตัวเองแล้วเหมือนกันว่าทำไมถึงเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิด เป็นเพราะความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?“ก็ได้นะ อาจจะแล้วแต่คนว่ะ ถามทำไมวะ”“แค่ถามดูน่ะ”คำตอบที่ได้จากเต้ใช่ว่าจะคลายความสงสัยได้ แต่ก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อ พลางถอนหายใจเบา ๆอย่าเก็บเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดนักเลย…“พรุ่งนี้มึงหยุดอีกวันนี่ ใช่ไหม?” เต้ถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย“อืม”“กูเห็นครูบอกว่าพรุ่งนี้มีคนติดต่อจะเข้ามาเรียนมวย ไม่แน่มึงอาจได้เป็นคนสอนอีก”“เหรอ ไม่เห็นครูบอกอะไรกูเลย”“ถ้าครูจะให้มึงสอนเดี๋ยวก็มาบอกเองนั่นแหละ” ก็อย่างที่เต้ว่าถ้าครูจะให้เขาเป็นคนสอนจริง ๆ เดี๋ยวก็คงเรียกไปคุยพลันคิดย้อนไปในอดีตตอนที่มาอยู่ค่ายวันแรก ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเรียนมวยจนสามารถสอนคนอื่นได้แล้ว
ที่เต้บอกไว้เมื่อวานว่าจะมีคนติดต่อครูมาเรียนมวย ใครจะคิดว่าเป็นเขมทัศน์กับชัชวิน…หนึ่งวันที่แล้วเขมทัศน์มีคุยธุระที่ร้านอาหารใกล้ ๆ เพนท์เฮาส์ของชัชวิน เลยถือโอกาสนี้แวะไปหาเพื่อน โดยโทรถามเจ้าตัวและได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยร่างสูงโปร่งเดินตามหลังไทท์เลขาคนสนิทของชัชวินที่ลงมารับตั้งแต่หน้าล็อบบี้“คุณชัชอยู่ในห้องครับ คุณเขมเข้าไปได้เลย”เอ่ยบอกตามคำสั่งเจ้านาย ก่อนแยกตัวออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง“วันหยุดก็ยังทำงานอยู่อีกเหรอวะ”กองเอกสารบนโต๊ะทำให้รู้ว่าชัชวินยังมีงานต้องทำ แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม เพราะนอกจากการเป็นเจ้าของคลับแล้ว เจ้าตัวยังมีงานที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ในจังหวัดภูเก็ต ทางผู้จัดการจะติดต่อผ่านเลขาเพื่อส่งเอกสารให้ชัชวินเช็กความเรียบร้อย ในหนึ่งเดือนจะมีวันที่ชัชวินต้องเดินทางไปดูงานต่าง ๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องบินไปที่จีนเพื่อจัดการเคลียร์บัญชีโรงแรมที่จีน“มึงมีอะไร”“พูดกับกูให้มันเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนตอนคุยกับเด็กมึงบ้างไม่ได้หรือไง” เอ่ยแซวเพื่อนสนิทที่ถามเขาเสียงแข็ง ผิดกับตอนคุยกับพวกเด็ก ๆ ของมันที่เลี้ยงไว้“มาเป็นเด็กกูไหมล่ะ กูจะได้พูดหวาน
“ก็ดี เหมือนจะติดใจขึ้นมาซะแล้ว”หากนี้คือการเข้าข้างตัวเอง ก็คงเป็นการคิดไปเองที่ไกลเกินจริงมาก ๆ เพราะทุกคำที่ชัชวินพูดออกมาราวกับว่ากำลังบอกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งสายตาและรอยยิ้มมุมปาก ก่อนที่มันจะกลับไปเป็นใบหน้าเรียบนิ่งดังเดิมเทียบกับวันที่นั่งทานข้าวด้วยกันที่คอนโด กับวันนี้ ชัชวินเหมือนกับเป็นคนละคนก็ว่าได้ พอรอบข้างมีคนอยู่เยอะ เจ้าตัวก็ดูจะนิ่งกว่าปกติ ทว่าตอนอยู่กับเขาสองคนกลับดูพูดเก่งขึ้นมา“ถึงเวลาของมึงแล้ว”เขมทัศน์ไม่ได้สังเกตหรือให้ความสนใจกับท่าทีที่แปลกไปของชัชวิน ก่อนบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาพักของเขา ถึงเวลาที่ต้องสลับให้ชัชวินไปแทนอัยย์ข่มตาพ่นลมหายใจเบา ๆ เพื่อกำจัดความคิดฟุ้งซ่าน เลิกคิดเองเออเองได้แล้ว!“คุณชัชวินถนัดมือข้างไหนครับ”“ขวา”“งั้นเริ่มจากการตั้งการ์ดก่อนนะครับ”อธิบายพร้อมค่อย ๆ ทำท่าให้ดู เพื่อให้อีกฝ่ายทำตาม ชัชวินก็ดูตั้งใจไม่แพ้กับเขมทัศน์ ทว่าดูเก้ ๆ กัง ๆ มากกว่า“แบบนี้หรือเปล่า”“มือข้างนี้ยื่นออกมาอีกนิดครับ” ไม่ว่าเปล่า จับมืออีกคนให้ขยับได้องศาที่พอดี “ได้แล้วค—”พลันเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าระยะห่างของร่างกายเหลือน้อ
หลังจากตรึกตรองมาสองวันเต็ม ๆ อัยย์ก็ได้คำตอบกับตัวเองแล้วว่าเขาตัดสินใจที่จะทำงานพีอาร์ เพราะหนทางเดียวที่จะได้เงินไวและจำนวนมากเท่าที่คิดออกก็มีแค่นี้ทว่า…“คิดใหม่อีกทีดีไหม พี่ไม่อยากให้อัยย์ทำจริง ๆ”คนที่หนักใจที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นเขมทัศน์ที่พยายามหว่านล้อมพูดให้น้องเปลี่ยนใจ แต่เด็กคนนี้กลับหนักแน่นเสียเหลือเกิน“อัยย์คิดมาดีแล้วครับ ให้อัยย์ทำเถอะนะ”“แต่อัยย์ก็รู้ว่างานแบบนี้มันเสี่ยง”“รู้ครับ แต่อัยย์จำเป็นต้องทำ ถ้าพี่เขมลำบากใจเดี๋ยวอัยย์ลองไปสมัครที่ร้านอื่นก็ได้ครับ”ไม่ได้พูดประชดเพื่อให้เขมยอม แต่เขาจะทำอย่างที่ว่าจริง ๆ ก็เข้าใจได้อยู่ว่าพี่ชายคนนี้ก็คงหวังดีกลัวว่าเขาจะทำงานตำแหน่งนี้ไม่ได้ ความเสี่ยงที่ว่าก็มีหลายอย่าง ลูกค้าแต่ละคนใช่ว่าจะเหมือนกัน ยิ่งพวกคนมีเงิน มีอายุ หนีเมียมาเที่ยว เท่าที่เห็นมาก็มือปลาหมึก หื่นกามกันทั้งนั้น แม้จะเคยตั้งปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ก้าวขาไปทำงานแบบนี้เด็ดขาด สุดท้ายเขาก็เหมือนคนกลับกลอกกลืนน้ำลายตัวเองจนได้“แบบนั้นพี่ยิ่งเป็นห่วงกันไปใหญ่” สีหน้าเคร่งเครียดฉายชัดบนใบหน้าคม คิ้วขมวดติดกันจนเกิดปม “ก็ได้ พี่ยอมให้อัย
เหมือนการได้พูดคุยกับคุณลุงคนนี้จะได้ปลดล็อกบางอย่าง เราต่างเป็นคนแปลกหน้า ต่างอายุหลายสิบปี ทว่ากลับพูดคุยแลกเปลี่ยนคำปรึกษากันอย่างไม่อึดอัดใจคุณลุงไม่ได้บอกชื่อให้อัยย์รู้ เพราะเขาบอกไว้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะมาที่คลับนี้ และคงเป็นวันสุดท้ายที่อยู่ไทย พรุ่งนี้เช้าต้องกลับไปอยู่ที่ต่างประเทศบ้านเกิดของแม่ตัวเองทั้งยังรับปากรับคำเอาว่าจะใช้ชีวิตให้ดีต่อไปจนกว่าอายุขัยจะมาถึง อัยย์ได้แต่อวยพรให้คุณลุงมีสุขภาพดี อายุยืนยาว และหากวันใดพบรักครั้งใหม่ก็ขอให้ได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง ทั้งยังกล่าวประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายแอบน้ำตาซึม“ผมเชื่อว่าคุณลุงจะเป็นสามีและพ่อที่ดีอย่างแน่นอน ภรรยาและลูกชายของคุณลุงก็คงจะคิดแบบนี้ เก็บอดีตไว้เป็นความทรงจำที่ดีและใช้ชีวิตใหม่ต่อไปนะครับคุณลุง”เพราะตลอดเวลาที่นั่งคุยกันอัยย์รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนจากอีกฝ่ายจริง ๆ ทุกครั้งที่คุณลุงพูดถึงคนรักสองคนที่จากไป แววตาเต็มไปด้วยความรักที่จริงใจ หากจะมีครอบครัวอีกครั้งก็ไม่ได้สายเกินไปเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เจอลูกค้าดี ๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า ทว่าวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกป
“อึก!”ฟันขาวกัดชายเสื้อแน่น มือข้างหนึ่งปิดตาตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกข้างจับอยู่ตรงข้อมือหนา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงในจังหวะที่เร็วขึ้นเมื่อรู้สึกเสียดเสียวเมื่อสิบนาทีก่อนหลังจากบทสนทนาของเขากับชัชวินจบลง อีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามา ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองส่งสายตาหวานเยิ้มให้คนอายุมากกว่านานเท่าใด รู้เพียงตัวเองพยักหน้าตอบรับยืนยัน เมื่อชัชวินถามซ้ำว่าต้องการให้ช่วยจริง ๆ หรือเปล่า เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาร่างทั้งร่างถูกอุ้มมานั่งลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ครั้นใบหน้าเสมอกันยิ่งเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของชัชวิน“คะ คุณชัช” เสียงเรียกแผ่วเบายามชายเสื้อหลุดออกจากปาก “ผมปวดฉี่”“ฉี่เลยครับ”ไม่พูดเปล่า กลางกายแข็งขืนยิ่งถูกชักรูดในจังหวะที่เร็วขึ้น สองขาเรียวหนีบเข้าหากันตามสัญชาตญาณ“อ๊ะ!”หลุดร้องครางเสียงหวาน แม้สติที่มีจะน้อยแต่ก็ยังเหนียมอายไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย ดึงเอาเสื้อขึ้นมาปิดเอาไว้ ก่อนจะรู้สึกถึงแรงรั้งตรงข้อมือ“ขอดูหน้าได้ไหมครับ”“ผม อื้อ.. อาย อ๊ะ! คุณชัช”“ครับอัยย์”ดวงตาคมฉายแววถึงความพึงพอใจชัดเจน ยิ่งเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเคลิบเคลิ้มทุกสัมผัสที่ได้รับจากตัวเองยิ่งรู้สึก
08:45 pm.เวลาเกือบสามทุ่มอัยย์นั่งรถเข้ามาตามแผนที่ที่อีกฝ่ายใช้แช็ตของอาร์มส่งพิกัดมาให้ ที่เคยคิดว่าคลับอยู่ในที่ลับตาคนแล้ว สถานที่ที่เขามาตอนนี้ไกลกว่าและเงียบกว่าเป็นไหน ๆ ครั้นเข้ามาถึงก็เห็นอาคารสองชั้นขนาดใหญ่ พร้อมลานกว้างหลายไร่ที่ใช้ทำเป็นที่จอดรถ ซึ่งมีทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายแทบไม่มีช่องว่าง“เชิญทางนี้ครับคุณอัยย์”เลขาหนุ่มคนสนิทของชัชวินที่อัยย์เคยเจอมาก่อนหน้านี้ตอนไปส่งอาหารที่คอนโด เอ่ยบอกด้วยท่าทีสุขุม เดินนำไปยังบ้านพักหลังเล็กถัดจากตึกใหญ่ประตูบานหนาถูกเปิดออกพร้อมกับไทท์ที่ขยับตัวไปยืนด้านข้างให้อัยย์ได้เดินเข้าไปก่อนภายในบ้านเย็นฉ่ำราวกับเปิดแอร์ทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง ไฟฟ้าเปิดสว่างทั่วทั้งบ้าน ต่างจากรอบบ้านที่มืดสนิท“พี่ผมอยู่ไหน”“ในห้องนี้ครับ เชิญคุณอัยย์เข้าไปได้เลย”อัยย์ไม่รีรอรีบจ้ำอ้าวตรงไปยังห้องที่ไทท์ชี้บอก ด้วยความร้อนใจจึงไม่ได้เคาะประตูก่อนแต่กลับเปิดเข้าไปอย่างเสียมารยาทชายร่างโตคุ้นตาถูกหนุ่มตัวโตกว่าสองคนจับเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำ มุมปากยังมีเลือดเกาะติดอยู่ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ หันมองร่างสูงที่กำลังยืนหันหลังมอง
เมื่อสองวันที่แล้วเขาเพิ่งจะมาที่บ้านหลังนี้ ต่างกันตรงที่ครั้งก่อนยืนอยู่แค่หน้าประตูรั้ว ทว่าครั้งนี้ได้เข้ามาเหยียบถึงในบ้าน การตกแต่งภายในดูดีเหมาะสมกับฐานะ มีทั้งแม่บ้านวัยอาวุโส และแม่บ้านสาว รวมแล้วประมาณห้าคนเด็กหนุ่มยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนอย่างมีมารยาทก่อนที่จะนั่งตัวเกร็งไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว มีหลายจังหวะที่เผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ ครั้นนายหญิงของบ้านหลังนี้ผู้มีศักดิ์เป็นแม่ของชัชวินกำลังนั่งมองเขาไม่วางตา“นี่คุณหญิงอรอนง คุณแม่ของเฮีย”“คนนี้เหรอที่ชัชบอกแม่ว่าจะให้เข้ามาอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนแม่”“ครับ น้องชื่ออัยย์ ต่อไปนี้น้องจะมาช่วยดูแลคุณแม่ตอนที่ชัชไม่อยู่”“มานั่งตรงนี้สิหนูอัยย์”อัยย์ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมชัชวินถึงมีท่าทีอ่อนโยน การพูดการจาดูสุขุม เพราะถอดแบบแม่มาเป๊ะ ๆ นี่เอง คุณผู้หญิงตรงหน้าดูดีทั้งหน้าตาและกิริยามารยาท เธอส่งยิ้มให้อัยย์อย่างเป็นมิตร พลางยื่นมือมาหวังจะจับมือเด็กหนุ่มให้ย้ายมานั่งข้างกัน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียหน้าอัยย์จึงยอมจับมือและย้ายไปนั่งข้าง ๆ“มีหนูอัยย์มาอยู่ด้วยแม่คงไม่เหงา”แม้สีหน้าจะยิ้มแย้ม แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความน้อยใจ คล้ายก
ตลอดสองเดือนชัชวินโทรหาคนรักกับลูกทุกเวลาที่ว่างอย่างที่พูดไว้จริง ๆ เขาอยากจะบินไปภูเก็ตใจแทบขาด ทว่างานรัดตัวจนไปไม่ได้ อีกทั้งไทท์ยังเอาแต่ห้าม ไหนจะโรงแรมที่จีนที่เขาต้องจัดการบัญชีทุกเดือน ยังต้องบินไปดูงานด้วยตัวเอง มีคุยงานกับนักธุรกิจหลายท่านเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มลงทุนร่วมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะแต่ละคนมีเวลาว่างต่างกัน ชัชวินจึงไม่สามารถไปไหนได้ ตารางงานแต่ละวันแน่นจนเขาอยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ทุกการเคลื่อนไหวของชัชวินไทท์ได้รายงานให้อัยย์ทราบทุกอย่าง เนื่องจากอีกฝ่ายขอร้องมา ไทท์เองก็ไม่อยากทำตัวเป็นนกสองหัว เพราะเหมือนกับกำลังทรยศเจ้านาย แต่ทว่าชัชวินไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรไม่ดี เขาจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร หากบอกให้อัยย์ทราบ ดีเสียอีกที่อีกคนจะได้เห็นว่าเจ้านายของเขาปรับตัวเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัวแล้วจริง ๆ ไม่ทำตัวเหลวไหล หรือมั่วผู้หญิงอย่างแต่ก่อนอัยย์จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ โดยไม่บอกชัชวิน กะไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย โดยมีเขมทัศน์ช่วยเหลืออีกเช่นเคย“เราจะไปไหนกันเหรอม๊า” เด็กน้อยตาใสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื
เวลาเกือบสองทุ่มครึ่งอัยย์ส่งลูกเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลงมาหาคนที่ยังเอาแต่นั่งอ่านเอกสารหน้าเครียด ก่อนหน้านี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้วอัยย์ตั้งใจจะบอกให้ชัชวินกลับไป แต่พอเห็นว่าคนพี่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวนคนตัวเล็กแอบทำอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในครัวประมาณยี่สิบนาที ออกมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ คาดว่าชัชวินน่าจะหิว เพราะเมื่อตอนเย็นทานไปแค่นิดเดียวก็กลับมานั่งทำงานต่อ คงจะมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง“ทานข้าวก่อนสิครับค่อยทำต่อ”ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม จากที่ทำหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที ทว่าดวงตาคมดูล้ากว่าปกติ“ขอบคุณครับ แต่เฮียขอทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยกินครับ”“ไม่ได้ครับ” ตอบกลับเสียงแข็ง “กินก่อนเถอะครับ เมื่อตอนเย็นคุณกินไปแค่นิดเดียว กว่างานจะเสร็จหิวไส้กิ่วกันพอดี”“กินก็กินครับ ไม่เห็นต้องดุเลย”“ไม่ได้ดุสักหน่อย!”“นี่ไงหนูกำลังดุเฮียอยู่ชัด ๆ”อัยย์กรอกตามองบนพลางถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนแก่ ทว่าไม่ทันได้เดินออกไป อีกคนดันจับข้อมือรั้งเขาไว้เสียก่อน“มีอะไรครับ?”“มีเรื่องจะรบกวนครับ”“อะไรครับ?”“พอดีรู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ อยากรบกวนขอกำลังใจเป็นกอด
เช้าวันนี้ดูเหมือนเป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสามปีของชัชวิน เสียงนกร้องดังอยู่บริเวณบ้านปลุกคนนอนหลับฝันดีให้ตื่นขึ้นมา ร่างหนาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ บ้าน กลิ่นของอาหารหอมโชยมาจากในครัวชัชวินเดินมาตามกลิ่น คนตัวเล็กกำลังง้วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ เด็กน้อยที่พึ่งตื่นล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมานั่งเล่นรอมารดาตัวเองที่โต๊ะทานข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช”ศรัณย์เอ่ยพูดประโยคที่ชัชวินเคยสอนเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ“อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์”ชัชวินยกยิ้มให้เด็กน้อย จากตอนแรกที่ได้เจอกันรู้สึกถูกชะตามากอยู่แล้วยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองแท้ ๆ เขายิ่งหลงรักเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าศรัณย์รู้ว่าเขาเป็นพ่อจะดีใจบ้างหรือเปล่าเขาไม่รู้ว่าอัยย์จะบอกลูกตอนไหน แต่ความร้อนใจของเขาเขาอยากให้ลูกรู้เร็ว ๆ ว่าเขาเป็นพ่อ เขาอยากแสดงตัวว่าเป็นพ่อ อยากทำหน้าที่ของพ่อ อยากชดเชยเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทดแทนได้หรือเปล่าเขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ เพื่ออัยย์และลูก“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาครับจะได้กินข้าว”เรื่องที
ร่างสูงโปร่งลงจากรถแท็กซี่ ตั้งสติให้ตัวเองทรงตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังหน้าบ้านของคนที่เขาคิดถึง สองมือเกาะรั้ว ตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านเสียงดังลั่น"อัยย์! อัยย์ครับ ออกมาคุยกับเฮียหน่อย อัยย์!"เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรียกเจ้าของบ้าน เขมทัศน์ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวมาเปิดประตู เห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะอยู่ที่รั้วไม้ จึงเดินเข้าไปหา“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”อัยย์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าชัชวินเคยมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนยังไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร กลัวว่าหากเขมทัศน์รู้เข้าจะมีปากเสียงกับชัชวินเพราะเขาอีก“อัยย์! มาคุยกับเฮียหน่อย”“ถ้าเมาก็กลับไปไอ้ชัช อย่ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่” เขมเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่าย“มึงไม่ต้องเสือก”น้อยครั้งที่ชัชวินจะพูดหยาบคายกับเขม ทว่าครั้งนี้เขามีเรื่องไม่พอใจที่อีกคนโกหกจึงไม่คิดที่จะยั้งปาก อีกทั้งยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหลังจากลูกค้านัดไปคุยงานนั่งดื่มกัน ชัชวินก็ซัดเหล้าเข้าปากเพราะความเครียดที่ตัวเองพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเมาก็คงกล้าทำอะไรมากขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู
หลังจากโดนอัยย์จับได้ว่าแอบเดินตาม ชัชวินก็ใช้เวลาอยู่สามสี่วันกับการกลั่นกรองความคิดตัวเอง เมื่อตกผลึกแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง ไม่ว่าจะกินจะนอนก็อยากเจอหน้าให้ได้ ถ้าเป็นคนงมงายสักนิดคงคิดว่าตัวเองโดนของแน่ ๆร่างหนาเดินเลือกซื้อขนมที่เด็ก ๆ ชอบ ซึ่งถามความคิดเห็นจากไทท์ เพราะเลขาของเขามีลูกชายอยู่หนึ่งคน คงจะพอรู้ว่าเด็กผู้ชายชอบกินอะไร รวมถึงพวกของเล่นต่าง ๆเดินเลือกไปเลือกมาสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาว เพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มชัชวินก็ถูกใจทันที คิดว่าศรัณย์อาจจะชอบ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงหรือผู้ขายก็ชอบตุ๊กตาได้ทั้งนั้น ทว่าลึก ๆ แล้วเขาจะใช้มันเป็นตัวแทนของเขาเอง“จะซื้อจริง ๆ เหรอครับ” คนที่โดนหิ้วให้ติดตามขับรถให้อย่างไทท์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“อือ ผมว่าน้องรัณอาจจะชอบ” ว่าพลางยกยิ้มราวกับคนมีความสุขเต็มเปี่ยม หลายวันที่ไทท์เห็นเจ้านายตัวเองเอาแต่ขมวดคิ้วเหม่อคิดอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว ทว่าวันนี้ราวกับคนละคนจ่ายเงินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่บ้านของอัยย์ทันที ไทท์ลอบมองชัชวินผ่านกระจกหลังเป็นระยะ ดูท่าแล้วจะมีความสุขมากจริง ๆ ถ
แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างพาดผ่านผิวกาย กระทบใบหน้าหล่อเหลา เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นหรี่ตาปรับแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกาย รู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนขดตัวอยู่นโซฟาหลายชั่วโมงดวงตาคมหลุบลงมองผ้านวมผืนหนาที่คลุมร่างของเขาอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนอัยย์ไม่ได้เอามาให้ งั้นคงเอามาห่มให้เขาตอนเขาหลับไปแล้วแน่ ๆ พลันความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นในหัวมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเผลอไผลทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อหันห้ามาเจอเด็กน้อยหน้าตาสดใสกำลังจ้องมองเขาไม่ละสายตา ชัชวินส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง"อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์""อรุณสวัสดิ์คืออะไร" เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยในคำที่ตัวเองไม่เข้าใจ"อรุณสวัสดิ์ก็คือสวัสดีตอนเช้า""อืม รัณเข้าใจแล้ว อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช"ความสดใสจากเด็กคนนี้ทำให้เขาอดนึกถึงภาพของอัยย์ตอนยิ้มร่ามีความสุขไม่ได้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน"ทำไมรัณตื่นเช้าจังครับ" จริง ๆ ก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว"มะม๊าบอกว่าถ้าตื่นสายจะติดเป็นนิสัย ทำให้เป็นเด็กขี้เกียจ รัณไม่อยากเป็นเด็กขี้เกียจ" เด็กช่างพูดจำที่มารดาบอกได้ขึ้นใจ"แล้
เสียงผู้คนจอแจเดินผ่านไปผ่านมา นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่ชัชวินนั่งครุ่นคินอะไรบางอย่างอยู่ที่เดิม เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสามปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กที่เขานั่งคุยด้วยเมื่อไม่นานมานี้เป็นลูกของอัยย์กับเขมทัศน์จริง ๆ หรือเปล่า หากให้เดาเด็กคนนั้นคงอายุประมาณ 3-4 ขวบ คาดว่าเท่ากับระยะเวลาที่อัยย์ออกจากบ้านเขามา เรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก“ยังอยู่อีกเหรอวะ คิดว่ามึงกลับไปแล้วซะอีก”ชัชวินเงยหน้ามองต้นเสียง เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ พลันสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้“ไม่ต้องหาหรอก กูพาอัยย์ไปส่งที่อื่นแล้ว” เขมทัศน์ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน เพราะคิดว่าไม่ได้มีจำเป็นใด ๆ ต้องบอกให้ชัชวินรู้“มึงมีอะไร” การที่เขมทัศน์มายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคงไม่ใช่เพราะแค่เดินกลับมาเพื่อผ่านไปเฉย ๆ แน่นอน ดูเหมือนตั้งใจมาหาเขาเสียด้วยซ้ำ“ไปคุยกันหน่อย”หลังจากไปส่งอัยย์ที่ร้านขนมใกล้ ๆ ห้าง เขมทัศน์จึงวนรถกลับมาที่นี่อีกครั้ง เดาเอาไว้แล้วว่าชัชวินอาจจะยังอยู่และก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ภูเก็ตเขมทัศน์ก็แทบไม่ได้กลับไปกรุงเทพ
“มึงจะลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนที่นี่จริง ๆ เหรอวะ”ใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถามเพื่อนสนิท ที่แวะเข้ามาหาเขาถึงเพนท์เฮาท์เพื่อขอถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนคลับก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องผิดใจกันเราทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันนอกจากเรื่องงาน ชัชวินคิดแค่ว่ารอเวลาให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกันอีกที จนเวลาล่วงเลยไป กลายมาเป็นแบบนี้“อือ กูกับแม่จะกลับไปอยู่ภูเก็ต ถ้าจะให้เทียวไปเทียวมาคงไม่สะดวก”“แล้วมึงจะไปทำงานอะไร”“รับช่วงต่อร้านอาหารของตา”ฐานะที่บ้านของเขมทัศน์ไม่ใช่จะน้อยหน้าชัชวิน ทางคุณตาของเขามีร้านอาหารภัตตาคารใหญ่โต ทั้งยังอยู่ในเมือง การเข้าออกของลูกค้าแต่ละวันสร้างรายได้ให้ไม่น้อยได้รับข่าวมาว่าคุณตาเริ่มจะป่วยบ่อยขึ้น พี่ชายของแม่ที่เคยอยู่ดูแลก็ต้องการจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ารับช่วงต่อดูแลร้านอาหาร สุดท้ายสมบัติชิ้นนี้ที่คุณตาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ตกเป็นของแม่เขา ทว่าขวัญรินก็อายุมากขึ้นทุกวัน เธออยากอยู่บ้านอย่างสบายมากกว่าจึงมอบมันให้ลูกชายดูแลต่อ“ที่ย้ายไปคงไม่ใช่เพราะ..” ชัชวินนิ่งชะงักกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด“มึงให้คนตามสืบจนรู้แล้วเหรอว่าอัยย์อยู่ที่ไหน ถึงกูจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเพราะอัยย์
“มื้อเช้าพร้อมแล้วนะครับคุณชัช”เลขาคนสนิทขึ้นมาเคาะห้องเรียกผู้เป็นนายหลังจากจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้เสร็จสรรพอย่างเช่นที่ทำเป็นประจำหลายวันมานี้ชัชวินพูดน้อยลงยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว บางครั้งก็นั่งเหม่อลอยคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่างคนเจ้าเสน่ห์อย่างชัชวินดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ไทท์ที่อยู่ใกล้ชิดทุกวันยังสังเกตเห็นได้ง่ายเจ้าของร่างสูงเดินลงมานั่งประจำที่ที่โต๊ะทานข้าว จ้องมองอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย“ผมยังไม่หิว ขอไปทำงานก่อนแล้วกัน”ไทท์มองตามผู้เป็นนายเดินลุกออกจากโต๊ะขึ้นไปที่ห้องทำงาน ผิดปกติจริง ๆ ชัชวินไม่ใช่คนที่จะละเลยมื้ออาหาร หากตื่นมาแล้ว ยังไงก็ต้องทานอะไรสักนิดสักหน่อยเพื่อที่ท้องจะได้ไม่ว่างจนเกินไป แต่นี่กลับไม่แตะแม้แต่น้ำหากสาเหตุมาจากคนที่เก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้านอย่างที่เขาคิด อย่างนั้นชัชวินคงต้องคิดพิจารณาความรู้สึกตัวเองใหม่อย่างถี่ถ้วนนับตั้งแต่วันที่เขาเอาเงินจากอัยย์มาคืนให้ชัชวินตามที่อีกคนขอ นายของเขาก็นิ่งเงียบไป ไม่แม้แต่จะขยับปากเอื้อนเอ่ยหรือถามสิ่งใดออกมาจนถึงตอนนี้ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรก้าวก่ายแต่ก็อด