หยุดพักไปสองวันเต็ม ๆ หลังออกจากโรงพยาบาล วันนี้อัยย์ก็ได้กลับมาทำงานสักที ตอนแรกก็เกรงว่าพี่ผึ้งจะโกรธ แต่เปล่าเลยเจ้าของร้านเบเกอรี่ยังคงใจดีกับเขาเหมือนเดิม เธอเข้าใจและไม่แม้แต่จะต่อว่าเขาสักคำ ทั้งยังถามไถ่กันอย่างเป็นห่วงเป็นใย
รอยแผลฟกช้ำตามร่างกายและใบหน้าก็จางลงเยอะมากแล้ว หากไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็น
“พี่อัยย์ไหวไหม นั่งพักได้นะเดี๋ยวพัดจัดการเอง”
พอรู้ว่าอัยย์ไม่สบายพัดก็เอาแต่ถามแทบจะทุกสิบนาที กลัวว่ารุ่นพี่คนนี้จะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก
“พี่ไม่เป็นไร พัดมีอะไรก็ไปทำเถอะ ตรงนี้เดี๋ยวพี่ทำเอง”
หันกลับไปตอบพลางยกยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายคลายความเป็นห่วง เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ ปล่อยให้อัยย์เก็บของตรงเคาน์เตอร์ต่อ ส่วนตัวเองก็กลับไปล้างจาน
เวลาหกโมงเย็นหลังเลิกงานอัยย์แวะไปบ้านเสี่ยธรรม เจ้าหนี้ของพ่อเพื่อจ่ายเงินในส่วนของเดือนนี้ที่ขอผลัดมาประมาณหนึ่งอาทิตย์
“เสี่ยครับคุณอัยย์มาแล้วครับ”
“ให้เข้ามา”
ชายใหญ่วัยห้าสิบนั่งพิงพนักโซฟาหรูส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มรุ่นลูก หากไม่เป็นหนี้เป็นสินอัยย์ขอสาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาด
แม้ว่าเจ้าหนี้ของพ่อคนนี้จะใจดีกับเขา ไม่เคยเร่งรัดเรื่องเงิน นั่นเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งอัยย์รู้ดีว่าคืออะไร
ครั้นสายตาที่มองมามันแทบจะโลมเลียเขาไปทั้งตัว ทุกครั้งที่เผลอไปสบตากับอีกฝ่ายก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
“เงินของเดือนนี้ครับ ขอโทษที่เอามาส่งให้ช้านะครับเสี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอกหนูอัยย์ เงินแค่นี้เองเสี่ยไม่รีบ”
“งั้นเสร็จเรื่องแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวสิ อยู่คุยกับเสี่ยก่อน”
ไม่ทันจะได้หันหลังหนี ลูกน้องร่างใหญ่กำยำสองคนก็ขยับตัวมาขวางเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับมือสากที่เอื้อมมาจับข้อมือเล็ก ใบหน้าจิ้มลิ้มเรียบนิ่ง ไม่มีความกลัวใด ๆ เล็ดลอดผ่านทางสีหน้าและแววตา เด็กหนุ่มแกะมือใหญ่ออกจากข้อมือตัวเอง ก่อนเอ่ยถามอีกฝ่าย
“เสี่ยมีอะไรจะคุยเหรอครับ”
“ก็แค่อยากถามไถ่ ตามประสาคนรู้จักนั่นแหละ มานั่งคุยกับเสี่ยก่อนสิ”
“ผมต้องไปทำงานต่อ อาจจะไม่สะดวก”
ถึงจะรู้ว่าการปฏิเสธผู้ใหญ่มันเสียมารยาท แต่จะให้เขานั่งอยู่ที่นี่ต่อไป มันก็อึดอัดใจ
“เสียดายจังเลยนะ ที่หนูอัยย์ไม่ว่างอีกแล้ว”
น้ำเสียงและคำเรียกมันไม่ได้น่าฟัง หรือรู้สึกถึงความเอ็นดูจากอีกฝ่าย ช่างต่างจากผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กโดยสิ้นเชิง
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้คนที่อายุมากกว่าพ่อตามมารยาท ก่อนจะหันหลังกลับมองหน้าลูกน้องสองคนของเสี่ยธรรมที่ยังยืนขวางทางออกอยู่
“เปลี่ยนใจอยากมานั่งคุยกับเสี่ยเมื่อไรก็มาได้ตลอดนะ บางทีมันอาจทำให้หนี้ของหนูอัยย์ลดลงก็ได้”
คำพูดกำกวมชวนขนลุกทำให้อัยย์ดันลูกน้องร่างใหญ่ทั้งสองคนให้พ้นทาง ก่อนจะรีบเดินออกมาให้เร็วที่สุด
แก่กว่าพ่อเขาอีกยังจะมาทำตัวเป็นเฒ่าหัวงูอยู่ได้ ทั้งที่มีลูกชายโตจนอายุสิบหกปีแล้ว ยังทำตัวแบบนี้อยู่อีกถึงจะเป็นพ่อหม้ายก็เถอะ แต่ยังไงเขาก็อ่อนคราวรุ่นลูกด้วยซ้ำ
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์มาลงที่คลับ รีบเดินเอากระเป๋าไปเก็บ ก่อนออกมาช่วยพนักงานคนอื่นเก็บกวาดภายในร้าน เริ่มมีลูกค้าทยอยมาเรื่อย ๆ ยิ่งดึกก็ยิ่งมากขึ้น
อาชิลอบสังเกตเพื่อนร่วมงานอยู่หลายครั้ง ทั้งที่ยังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ภายในหัวคิดวนในสิ่งที่ได้ยินจากปากของเขมทัศน์เมื่อวานนี้
ครั้นเห็นอัยย์เดินไปหลังร้าน เวลาบริการของเธอในรอบนี้ก็หมดพอดิบพอดี เด็กหนุ่มก็ปลีกตัวตามออกมาทันที
“อัยย์”
คนตัวเล็กที่กำลังนับแก้วเตรียมยกออกไปข้างนอกต้องหยุดชะงักหันไปมองทางด้านหลัง
“หืม? อาชิมีอะไรเหรอ”
“เปล่าหรอก แค่อยากคุยอะไรด้วยนิดหน่อย”
“ว่ามาสิ”
เอ่ยตอบอย่างเป็นกันเอง แม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุมากกว่า ทว่าเจ้าตัวกลับสั่งไว้ไม่ให้ยึดติดกับอายุของตนมากเกินไป ทั้งยังขอให้อัยย์มองตัวเองเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
“เมื่อวันก่อนที่ไม่สบายหายดีแล้วใช่ไหม”
“อือ หายดีแล้ว”
เจ้าของคำถามพยักหน้าน้อย ๆ “ดีแล้วละ”
“อาชิมีอะไรอีกหรือเปล่า เดี๋ยวเราต้องเอาแก้วออกไปข้างนอกน่ะ”
“กับคุณชัช.. ไม่มีอะไรใช่ไหม?”
“หมายถึงอะไร?”
คิ้วสวยเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจในคำถาม ไม่มีอะไรหมายถึงอะไร เขาต้องตอบคำถามว่ายังไง อาชิมองหน้าเขานิ่ง ๆ เม้มริมฝีปากสวยราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างจนเกิดอาการประหม่า
“ไม่มีอะไร” สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา
“ถ้าไม่มีอะไรงั้นเราขอตัวก่อนนะ”
อัยย์ไม่ได้คิดที่จะเซ้าซี้ถามแม้จะสงสัยก็ตาม หากอีกฝ่ายอยากพูดก็คงพูดออกมาเอง เมื่อเห็นอีกคนนิ่งเงียบไปก็ยกยิ้มบาง ๆ ให้ พลางหันกลับไปยกลังใส่แก้ว เตรียมเดินออกไป ทว่าจู่ ๆ อาชิก็พูดประโยคที่ทำให้เขาต้องสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
“คนบางคนน่ะปากปราศรัยใจเชือดคอ ถ้าไม่อยากเสียใจภายหลังก็อยู่ให้ห่างเขาเข้าไว้นะอัยย์”
ไม่เข้าใจว่าอาชิหมายถึงใคร แล้วทำไมถึงมาพูดอะไรแบบนี้กับเขา ไม่ได้มีการอธิบายอะไรเพิ่มเติม ครั้นหันไปมองอีกฝ่ายก็เดินหายไปเสียแล้ว
เหมือนอาชิต้องการเตือนอะไรบางอย่างกับเขา ที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร..
Rrrrr..
แรงสั่นครืดของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทำให้เด็กหนุ่มต้องหยุดชะงักเท้า วางลังแก้วลงอีกครั้งก่อนล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“พี่อาร์มมีอะไร อัยย์ทำงานอยู่”
[อัยย์ โอนเงินมาให้กูหน่อยดิ กูต้องรีบใช้]
“อัยย์ไม่มีหรอกพี่อาร์ม อัยย์เอาไปจ่ายหนี้ของพ่อหมดแล้ว”
[อะไรวะ! มึงนี่มันเป็นน้องที่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ …]
คำต่อว่ามากมายประเดประดังเข้ามาจากปลายสาย ทั้งที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็รู้สึกชาวาบขึ้นมาที่อกข้างซ้ายทุกครั้ง
เด็กหนุ่มทำเพียงยืนฟังเงียบ ๆ ก่อนจนสายตัดไปเอง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับกลั้นใจไปครู่หนึ่ง
อัยย์รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองทิ้ง ก่อนจะรีบทำหน้าที่ของตัวเองต่อ จะให้อะไรมารบกวนจนเสียงานเสียการไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไม่ควร
หลังเลิกงานเขมทัศน์อาสามาส่งอัยย์อย่างเช่นทุกที และตลอดระยะทางจากคลับมาถึงค่ายมวยก็ไม่ได้ทีบทสนทนาใด ๆ คนน้องเอาแต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง กำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง
ก่อนรถจะจอดนิ่งเมื่อถึงที่หมาย อัยย์หันกลับมามองใบหน้าเข้มเปื้อนรอยยิ้มของเขมทัศน์ พลางเอ่ยพูดสิ่งที่คิดไว้
“พี่เขมครับ”
“ครับ”
“ถ้าอัยย์อยากทำงานตำแหน่งพีอาร์ได้ไหมครับ?”
คำถามของเด็กหนุ่มทำเอาคนถูกถามขมวดคิ้วมุ่น ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามนี้จากปากของอัยย์ เพราะเจ้าตัวรู้ว่างานของพีอาร์คือการบริการลูกค้าแบบใด ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยที่จะให้อัยย์ทำ
“ทำไมถึงอยากทำ”
“ก็แค่เห็นว่าได้ทิปเยอะ ก็เลยอยากลองดู” ตอบกลับตามความจริงไม่คิดปิดบัง
“พี่ไม่เห็นด้วยที่อัยย์จะทำตำแหน่งนี้เพราะเงิน”
“ทำไมล่ะครับ ในเมื่อมันก็คืออาชีพหนึ่งเหมือนกัน คนอื่นที่เขาทำกันก็เพื่อเงินทั้งนั้น”
ที่อัยย์ว่ามามันก็จริงอยู่ แต่เพราะเขารู้จักอัยย์มานานจนรู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ชอบที่คนอื่นมารุ่มร่ามกับตัวเอง และหากจะทำงานในตำแหน่งนี้เรื่องแบบนั้นไม่สามารถเลี่ยงได้อยู่แล้ว แม้ที่ร้านจะกำชับไว้ว่าไม่ให้มีการเลยเถิดไปถึงขั้นพากันขึ้นห้อง แต่ทว่าพีอาร์คนนั้นมีการตกลงนอกรอบกับลูกค้านั่นก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัว
ซึ่งเขมทัศน์ไม่อยากให้อัยย์ทำอย่างนั้น เขาเสนอตัวพร้อมช่วยคนน้องอยู่ตลอด แค่เอ่ยปากบอกเขา ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรืออะไรเขาก็พร้อมจะให้
“อย่าเลยอัยย์ งานนี้ไม่เหมาะกับอัยย์หรอก”
“…”
“คิดดูให้ดีอีกทีเถอะนะ ถ้าอัยย์เดือดร้อนเรื่องเงินจริง ๆ ก็ยังมีพี่ที่พร้อมจะช่วย อย่าไปเปลืองตัวเลย..”
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นวางลงบนหัวทุยของคนอายุน้อยกว่า เขาเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่ตัวยังน้อย ๆ คงจะทำใจไม่ได้หากปล่อยให้ไปทำอะไรอย่างนั้น ทั้งที่ตัวเองมีทุกอย่างที่สามารถช่วยเหลืออัยย์ได้
และเขาก็เข้าใจว่าการตัดสินใจบางอย่างของอัยย์ก็ใช่ว่าจะถี่ถ้วน ด้วยอายุเพียงยี่สิบปี เมื่อเห็นทางออกไหนที่ตรงตามความต้องการก็พร้อมที่จะเสี่ยง จนลืมคิดถึงผลเสียที่จะตามมาในภายหลัง
“นะครับเด็กดี”
“ครับ”
“ดึกแล้ว เข้าบ้านเถอะจะได้พักผ่อน”
แม้จะเป็นค่ายมวยแต่เรียกบ้านก็ไม่ผิด เพราะที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านหลังใหญ่สำหรับอัยย์ เขมจำมันได้ดีว่าอัยย์เคยบอกเขาแบบนั้น
“พี่เขมขับรถกลับดี ๆ นะครับ ขอบคุณมากที่มาส่งอัยย์”
“ยินดีครับ”
ใบหน้าเคร่งเครียดเหมือนกี่คลายลงอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่บอกลากันก่อนเขมทัศน์จะขับรถออกไป
ในระยะเวลาสั้น ๆ แค่สามชั่วโมงกลับมีเรื่องให้อัยย์ต้องเก็บมาคิดถึงสองเรื่อง
เกิดเป็นอัยย์บางทีก็เหนื่อยเกินไปเหมือนกัน
ร่างเล็กค่อย ๆ เปิดประตูห้องอย่างเบามือ เกรงว่าจะรบกวนเต้หากอีกคนหลับไปแล้ว“พี่เขมมาส่งมึงเหรอ”คนที่คิดว่าเข้านอนแล้วกลับเอ่ยถามขึ้นมาผ่านความมืด อัยย์เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟทำให้ภายในห้องสว่างวาบขึ้นมาเพื่อนสนิทนอนตะแคงข้างหันมามองหน้าเขา รอฟังคำตอบ“อือ” กระเป๋าสะพายใบเก่าใบเดิมที่ใช้มานานนับห้าปีถูกตั้งไว้ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ “ทำไมยังไม่นอน”“รอมึง”“บอกแล้วไงว่าให้นอนไปก่อนไม่ต้องรอ”“ก็รอมึงจนมันชิน พอจะนอนก็นอนไม่หลับ”อัยย์ส่ายหัวเบา ๆ พลางยกยิ้มเอ็นดูเพื่อนตัวเอง เสื้อยืดสีดำถูกถอดออกใส่ตะกร้าผ้าด้วยความเคยชิน ไม่ได้นึกเหนียมอายเพราะคิดว่าตัวเองก็ผู้ชายคนหนึ่ง“นี่กูก็กลับมาแล้ว มึงนอนก่อนเลย กูไปอาบน้ำก่อน”“เออ ๆ ไปอาบเถอะ”ร่างบางหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปในทันที กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ปาไปตีหนึ่งกว่าแล้วออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าเต้หลับไปแล้ว ทั้งยังขยับเข้าไปนอนชิดผนัง เว้นที่ว่างที่ประจำไว้ให้อัยย์ เจ้าตัวเดินไปตากผ้าขนหนู พร้อมปิดไฟ เตรียมเข้านอน หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันเขาก็จะได้พักผ่อนสักทีทว่า.. แทนที่จะล้มตัวลงนอนแล้วจะเพลียหลับไป กลับเอาแต่คิดอยู
“คิดเงินด้วยครับ”เสียงลูกข้างโต๊ะข้าง ๆ เคาน์เตอร์ดังขึ้นเรียกพนักงานในร้านให้คิดเงิน ไม่ทันที่อัยย์จะเดินไป พัดก็เสนอตัวไปแทนก่อนเสียงมือถือร้านจะดังขึ้น คนตัวเล็กรีบเช็ดมือเพื่อรับสาย“สวัสดีครับ ร้านบีเบเกอรี่ครับ”เอ่ยสวัสดีปลายสาย พร้อมชื่อร้านเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าโทรเข้ามาถูกเบอร์ เสียงตะกุกตะกักดังผ่านเข้ามาในหูเล็กน้อย[ครับ ไม่ทราบว่าที่ร้านมีบริการส่งใช่ไหมครับ]“มีบริการส่งหากที่อยู่ห่างจากร้านไม่เกินห้ากิโลเมตรครับ” เด็กหนุ่มถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง ครั้นอีกฝ่ายเงียบไป[งั้นเอาเป็นเอสร้อนหนึ่ง เค้กมะพร้าวอ่อนสองครับ รบกวนมาส่งที่คอนโดทีเอ็นเคหน่อยได้ไหมครับ]“ได้ครับ ประมาณสิบห้านาทีนะครับ”[มาถึงแล้วแจ้งพนักงานตรงเคาน์เตอร์แล้วขึ้นมาส่งที่ห้องได้เลยนะครับ ผมจะแจ้งเขาไว้ให้]“ครับ”หลังจากวางสายอัยย์รีบทำกาแฟ พร้อมคีบขนมเค้กมะพร้าวอ่อนใส่กล่อง จัดแจงทุกอย่างเพื่อเตรียมเอาออกไปส่งตามที่อยู่ที่ลูกค้าแจ้งไว้ พร้อมกับปิดร้านตามเวลาอัยย์เอาเงินของตัวเองจ่ายค่ากาแฟและขนมไปก่อน เพราะเขาไม่อยากนั่งรถกลับมาเพื่อเอาเงินเก็บไว้ที่ร้าน กะไว้ว่าส่งกาแฟให้ลูกค้าเสร็จจะนั่งวินมอเตอร์ไ
เมื่อคิดย้อนไปถึงวันนั้นเขาก็ยังเกิดคำถามในสิ่งที่ชัชวินทำ ผนวกกับคำพูดของอาชิที่บอกกับเขาในคืนนั้นด้วยหากที่อาชิพูดมีความหมายส่อไปถึงชัชวินจริง มันสื่อได้ว่าอีกคนไม่มีความจริงใจใด ๆ เลยหากแต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ในการกระทำและสายตานั้นกลับทำให้เขาเผลอคิดว่าชัชวินเป็นห่วงเขาจริง ๆ หรือเขาอาจจะคิดไปเองเริ่มไม่เข้าใจในตัวเองแล้วเหมือนกันว่าทำไมถึงเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิด เป็นเพราะความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?“ก็ได้นะ อาจจะแล้วแต่คนว่ะ ถามทำไมวะ”“แค่ถามดูน่ะ”คำตอบที่ได้จากเต้ใช่ว่าจะคลายความสงสัยได้ แต่ก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อ พลางถอนหายใจเบา ๆอย่าเก็บเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดนักเลย…“พรุ่งนี้มึงหยุดอีกวันนี่ ใช่ไหม?” เต้ถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย“อืม”“กูเห็นครูบอกว่าพรุ่งนี้มีคนติดต่อจะเข้ามาเรียนมวย ไม่แน่มึงอาจได้เป็นคนสอนอีก”“เหรอ ไม่เห็นครูบอกอะไรกูเลย”“ถ้าครูจะให้มึงสอนเดี๋ยวก็มาบอกเองนั่นแหละ” ก็อย่างที่เต้ว่าถ้าครูจะให้เขาเป็นคนสอนจริง ๆ เดี๋ยวก็คงเรียกไปคุยพลันคิดย้อนไปในอดีตตอนที่มาอยู่ค่ายวันแรก ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเรียนมวยจนสามารถสอนคนอื่นได้แล้ว
ที่เต้บอกไว้เมื่อวานว่าจะมีคนติดต่อครูมาเรียนมวย ใครจะคิดว่าเป็นเขมทัศน์กับชัชวิน…หนึ่งวันที่แล้วเขมทัศน์มีคุยธุระที่ร้านอาหารใกล้ ๆ เพนท์เฮาส์ของชัชวิน เลยถือโอกาสนี้แวะไปหาเพื่อน โดยโทรถามเจ้าตัวและได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยร่างสูงโปร่งเดินตามหลังไทท์เลขาคนสนิทของชัชวินที่ลงมารับตั้งแต่หน้าล็อบบี้“คุณชัชอยู่ในห้องครับ คุณเขมเข้าไปได้เลย”เอ่ยบอกตามคำสั่งเจ้านาย ก่อนแยกตัวออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง“วันหยุดก็ยังทำงานอยู่อีกเหรอวะ”กองเอกสารบนโต๊ะทำให้รู้ว่าชัชวินยังมีงานต้องทำ แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม เพราะนอกจากการเป็นเจ้าของคลับแล้ว เจ้าตัวยังมีงานที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ในจังหวัดภูเก็ต ทางผู้จัดการจะติดต่อผ่านเลขาเพื่อส่งเอกสารให้ชัชวินเช็กความเรียบร้อย ในหนึ่งเดือนจะมีวันที่ชัชวินต้องเดินทางไปดูงานต่าง ๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องบินไปที่จีนเพื่อจัดการเคลียร์บัญชีโรงแรมที่จีน“มึงมีอะไร”“พูดกับกูให้มันเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนตอนคุยกับเด็กมึงบ้างไม่ได้หรือไง” เอ่ยแซวเพื่อนสนิทที่ถามเขาเสียงแข็ง ผิดกับตอนคุยกับพวกเด็ก ๆ ของมันที่เลี้ยงไว้“มาเป็นเด็กกูไหมล่ะ กูจะได้พูดหวาน
“ก็ดี เหมือนจะติดใจขึ้นมาซะแล้ว”หากนี้คือการเข้าข้างตัวเอง ก็คงเป็นการคิดไปเองที่ไกลเกินจริงมาก ๆ เพราะทุกคำที่ชัชวินพูดออกมาราวกับว่ากำลังบอกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งสายตาและรอยยิ้มมุมปาก ก่อนที่มันจะกลับไปเป็นใบหน้าเรียบนิ่งดังเดิมเทียบกับวันที่นั่งทานข้าวด้วยกันที่คอนโด กับวันนี้ ชัชวินเหมือนกับเป็นคนละคนก็ว่าได้ พอรอบข้างมีคนอยู่เยอะ เจ้าตัวก็ดูจะนิ่งกว่าปกติ ทว่าตอนอยู่กับเขาสองคนกลับดูพูดเก่งขึ้นมา“ถึงเวลาของมึงแล้ว”เขมทัศน์ไม่ได้สังเกตหรือให้ความสนใจกับท่าทีที่แปลกไปของชัชวิน ก่อนบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาพักของเขา ถึงเวลาที่ต้องสลับให้ชัชวินไปแทนอัยย์ข่มตาพ่นลมหายใจเบา ๆ เพื่อกำจัดความคิดฟุ้งซ่าน เลิกคิดเองเออเองได้แล้ว!“คุณชัชวินถนัดมือข้างไหนครับ”“ขวา”“งั้นเริ่มจากการตั้งการ์ดก่อนนะครับ”อธิบายพร้อมค่อย ๆ ทำท่าให้ดู เพื่อให้อีกฝ่ายทำตาม ชัชวินก็ดูตั้งใจไม่แพ้กับเขมทัศน์ ทว่าดูเก้ ๆ กัง ๆ มากกว่า“แบบนี้หรือเปล่า”“มือข้างนี้ยื่นออกมาอีกนิดครับ” ไม่ว่าเปล่า จับมืออีกคนให้ขยับได้องศาที่พอดี “ได้แล้วค—”พลันเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าระยะห่างของร่างกายเหลือน้อ
หลังจากตรึกตรองมาสองวันเต็ม ๆ อัยย์ก็ได้คำตอบกับตัวเองแล้วว่าเขาตัดสินใจที่จะทำงานพีอาร์ เพราะหนทางเดียวที่จะได้เงินไวและจำนวนมากเท่าที่คิดออกก็มีแค่นี้ทว่า…“คิดใหม่อีกทีดีไหม พี่ไม่อยากให้อัยย์ทำจริง ๆ”คนที่หนักใจที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นเขมทัศน์ที่พยายามหว่านล้อมพูดให้น้องเปลี่ยนใจ แต่เด็กคนนี้กลับหนักแน่นเสียเหลือเกิน“อัยย์คิดมาดีแล้วครับ ให้อัยย์ทำเถอะนะ”“แต่อัยย์ก็รู้ว่างานแบบนี้มันเสี่ยง”“รู้ครับ แต่อัยย์จำเป็นต้องทำ ถ้าพี่เขมลำบากใจเดี๋ยวอัยย์ลองไปสมัครที่ร้านอื่นก็ได้ครับ”ไม่ได้พูดประชดเพื่อให้เขมยอม แต่เขาจะทำอย่างที่ว่าจริง ๆ ก็เข้าใจได้อยู่ว่าพี่ชายคนนี้ก็คงหวังดีกลัวว่าเขาจะทำงานตำแหน่งนี้ไม่ได้ ความเสี่ยงที่ว่าก็มีหลายอย่าง ลูกค้าแต่ละคนใช่ว่าจะเหมือนกัน ยิ่งพวกคนมีเงิน มีอายุ หนีเมียมาเที่ยว เท่าที่เห็นมาก็มือปลาหมึก หื่นกามกันทั้งนั้น แม้จะเคยตั้งปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ก้าวขาไปทำงานแบบนี้เด็ดขาด สุดท้ายเขาก็เหมือนคนกลับกลอกกลืนน้ำลายตัวเองจนได้“แบบนั้นพี่ยิ่งเป็นห่วงกันไปใหญ่” สีหน้าเคร่งเครียดฉายชัดบนใบหน้าคม คิ้วขมวดติดกันจนเกิดปม “ก็ได้ พี่ยอมให้อัย
เหมือนการได้พูดคุยกับคุณลุงคนนี้จะได้ปลดล็อกบางอย่าง เราต่างเป็นคนแปลกหน้า ต่างอายุหลายสิบปี ทว่ากลับพูดคุยแลกเปลี่ยนคำปรึกษากันอย่างไม่อึดอัดใจคุณลุงไม่ได้บอกชื่อให้อัยย์รู้ เพราะเขาบอกไว้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะมาที่คลับนี้ และคงเป็นวันสุดท้ายที่อยู่ไทย พรุ่งนี้เช้าต้องกลับไปอยู่ที่ต่างประเทศบ้านเกิดของแม่ตัวเองทั้งยังรับปากรับคำเอาว่าจะใช้ชีวิตให้ดีต่อไปจนกว่าอายุขัยจะมาถึง อัยย์ได้แต่อวยพรให้คุณลุงมีสุขภาพดี อายุยืนยาว และหากวันใดพบรักครั้งใหม่ก็ขอให้ได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง ทั้งยังกล่าวประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายแอบน้ำตาซึม“ผมเชื่อว่าคุณลุงจะเป็นสามีและพ่อที่ดีอย่างแน่นอน ภรรยาและลูกชายของคุณลุงก็คงจะคิดแบบนี้ เก็บอดีตไว้เป็นความทรงจำที่ดีและใช้ชีวิตใหม่ต่อไปนะครับคุณลุง”เพราะตลอดเวลาที่นั่งคุยกันอัยย์รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนจากอีกฝ่ายจริง ๆ ทุกครั้งที่คุณลุงพูดถึงคนรักสองคนที่จากไป แววตาเต็มไปด้วยความรักที่จริงใจ หากจะมีครอบครัวอีกครั้งก็ไม่ได้สายเกินไปเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เจอลูกค้าดี ๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า ทว่าวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกป
“อึก!”ฟันขาวกัดชายเสื้อแน่น มือข้างหนึ่งปิดตาตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกข้างจับอยู่ตรงข้อมือหนา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงในจังหวะที่เร็วขึ้นเมื่อรู้สึกเสียดเสียวเมื่อสิบนาทีก่อนหลังจากบทสนทนาของเขากับชัชวินจบลง อีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามา ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองส่งสายตาหวานเยิ้มให้คนอายุมากกว่านานเท่าใด รู้เพียงตัวเองพยักหน้าตอบรับยืนยัน เมื่อชัชวินถามซ้ำว่าต้องการให้ช่วยจริง ๆ หรือเปล่า เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาร่างทั้งร่างถูกอุ้มมานั่งลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ครั้นใบหน้าเสมอกันยิ่งเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของชัชวิน“คะ คุณชัช” เสียงเรียกแผ่วเบายามชายเสื้อหลุดออกจากปาก “ผมปวดฉี่”“ฉี่เลยครับ”ไม่พูดเปล่า กลางกายแข็งขืนยิ่งถูกชักรูดในจังหวะที่เร็วขึ้น สองขาเรียวหนีบเข้าหากันตามสัญชาตญาณ“อ๊ะ!”หลุดร้องครางเสียงหวาน แม้สติที่มีจะน้อยแต่ก็ยังเหนียมอายไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย ดึงเอาเสื้อขึ้นมาปิดเอาไว้ ก่อนจะรู้สึกถึงแรงรั้งตรงข้อมือ“ขอดูหน้าได้ไหมครับ”“ผม อื้อ.. อาย อ๊ะ! คุณชัช”“ครับอัยย์”ดวงตาคมฉายแววถึงความพึงพอใจชัดเจน ยิ่งเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเคลิบเคลิ้มทุกสัมผัสที่ได้รับจากตัวเองยิ่งรู้สึก
ตลอดสองเดือนชัชวินโทรหาคนรักกับลูกทุกเวลาที่ว่างอย่างที่พูดไว้จริง ๆ เขาอยากจะบินไปภูเก็ตใจแทบขาด ทว่างานรัดตัวจนไปไม่ได้ อีกทั้งไทท์ยังเอาแต่ห้าม ไหนจะโรงแรมที่จีนที่เขาต้องจัดการบัญชีทุกเดือน ยังต้องบินไปดูงานด้วยตัวเอง มีคุยงานกับนักธุรกิจหลายท่านเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มลงทุนร่วมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะแต่ละคนมีเวลาว่างต่างกัน ชัชวินจึงไม่สามารถไปไหนได้ ตารางงานแต่ละวันแน่นจนเขาอยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ทุกการเคลื่อนไหวของชัชวินไทท์ได้รายงานให้อัยย์ทราบทุกอย่าง เนื่องจากอีกฝ่ายขอร้องมา ไทท์เองก็ไม่อยากทำตัวเป็นนกสองหัว เพราะเหมือนกับกำลังทรยศเจ้านาย แต่ทว่าชัชวินไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรไม่ดี เขาจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร หากบอกให้อัยย์ทราบ ดีเสียอีกที่อีกคนจะได้เห็นว่าเจ้านายของเขาปรับตัวเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัวแล้วจริง ๆ ไม่ทำตัวเหลวไหล หรือมั่วผู้หญิงอย่างแต่ก่อนอัยย์จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ โดยไม่บอกชัชวิน กะไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย โดยมีเขมทัศน์ช่วยเหลืออีกเช่นเคย“เราจะไปไหนกันเหรอม๊า” เด็กน้อยตาใสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื
เวลาเกือบสองทุ่มครึ่งอัยย์ส่งลูกเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลงมาหาคนที่ยังเอาแต่นั่งอ่านเอกสารหน้าเครียด ก่อนหน้านี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้วอัยย์ตั้งใจจะบอกให้ชัชวินกลับไป แต่พอเห็นว่าคนพี่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวนคนตัวเล็กแอบทำอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในครัวประมาณยี่สิบนาที ออกมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ คาดว่าชัชวินน่าจะหิว เพราะเมื่อตอนเย็นทานไปแค่นิดเดียวก็กลับมานั่งทำงานต่อ คงจะมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง“ทานข้าวก่อนสิครับค่อยทำต่อ”ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม จากที่ทำหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที ทว่าดวงตาคมดูล้ากว่าปกติ“ขอบคุณครับ แต่เฮียขอทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยกินครับ”“ไม่ได้ครับ” ตอบกลับเสียงแข็ง “กินก่อนเถอะครับ เมื่อตอนเย็นคุณกินไปแค่นิดเดียว กว่างานจะเสร็จหิวไส้กิ่วกันพอดี”“กินก็กินครับ ไม่เห็นต้องดุเลย”“ไม่ได้ดุสักหน่อย!”“นี่ไงหนูกำลังดุเฮียอยู่ชัด ๆ”อัยย์กรอกตามองบนพลางถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนแก่ ทว่าไม่ทันได้เดินออกไป อีกคนดันจับข้อมือรั้งเขาไว้เสียก่อน“มีอะไรครับ?”“มีเรื่องจะรบกวนครับ”“อะไรครับ?”“พอดีรู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ อยากรบกวนขอกำลังใจเป็นกอด
เช้าวันนี้ดูเหมือนเป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสามปีของชัชวิน เสียงนกร้องดังอยู่บริเวณบ้านปลุกคนนอนหลับฝันดีให้ตื่นขึ้นมา ร่างหนาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ บ้าน กลิ่นของอาหารหอมโชยมาจากในครัวชัชวินเดินมาตามกลิ่น คนตัวเล็กกำลังง้วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ เด็กน้อยที่พึ่งตื่นล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมานั่งเล่นรอมารดาตัวเองที่โต๊ะทานข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช”ศรัณย์เอ่ยพูดประโยคที่ชัชวินเคยสอนเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ“อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์”ชัชวินยกยิ้มให้เด็กน้อย จากตอนแรกที่ได้เจอกันรู้สึกถูกชะตามากอยู่แล้วยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองแท้ ๆ เขายิ่งหลงรักเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าศรัณย์รู้ว่าเขาเป็นพ่อจะดีใจบ้างหรือเปล่าเขาไม่รู้ว่าอัยย์จะบอกลูกตอนไหน แต่ความร้อนใจของเขาเขาอยากให้ลูกรู้เร็ว ๆ ว่าเขาเป็นพ่อ เขาอยากแสดงตัวว่าเป็นพ่อ อยากทำหน้าที่ของพ่อ อยากชดเชยเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทดแทนได้หรือเปล่าเขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ เพื่ออัยย์และลูก“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาครับจะได้กินข้าว”เรื่องที
ร่างสูงโปร่งลงจากรถแท็กซี่ ตั้งสติให้ตัวเองทรงตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังหน้าบ้านของคนที่เขาคิดถึง สองมือเกาะรั้ว ตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านเสียงดังลั่น"อัยย์! อัยย์ครับ ออกมาคุยกับเฮียหน่อย อัยย์!"เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรียกเจ้าของบ้าน เขมทัศน์ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวมาเปิดประตู เห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะอยู่ที่รั้วไม้ จึงเดินเข้าไปหา“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”อัยย์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าชัชวินเคยมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนยังไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร กลัวว่าหากเขมทัศน์รู้เข้าจะมีปากเสียงกับชัชวินเพราะเขาอีก“อัยย์! มาคุยกับเฮียหน่อย”“ถ้าเมาก็กลับไปไอ้ชัช อย่ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่” เขมเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่าย“มึงไม่ต้องเสือก”น้อยครั้งที่ชัชวินจะพูดหยาบคายกับเขม ทว่าครั้งนี้เขามีเรื่องไม่พอใจที่อีกคนโกหกจึงไม่คิดที่จะยั้งปาก อีกทั้งยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหลังจากลูกค้านัดไปคุยงานนั่งดื่มกัน ชัชวินก็ซัดเหล้าเข้าปากเพราะความเครียดที่ตัวเองพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเมาก็คงกล้าทำอะไรมากขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู
หลังจากโดนอัยย์จับได้ว่าแอบเดินตาม ชัชวินก็ใช้เวลาอยู่สามสี่วันกับการกลั่นกรองความคิดตัวเอง เมื่อตกผลึกแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง ไม่ว่าจะกินจะนอนก็อยากเจอหน้าให้ได้ ถ้าเป็นคนงมงายสักนิดคงคิดว่าตัวเองโดนของแน่ ๆร่างหนาเดินเลือกซื้อขนมที่เด็ก ๆ ชอบ ซึ่งถามความคิดเห็นจากไทท์ เพราะเลขาของเขามีลูกชายอยู่หนึ่งคน คงจะพอรู้ว่าเด็กผู้ชายชอบกินอะไร รวมถึงพวกของเล่นต่าง ๆเดินเลือกไปเลือกมาสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาว เพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มชัชวินก็ถูกใจทันที คิดว่าศรัณย์อาจจะชอบ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงหรือผู้ขายก็ชอบตุ๊กตาได้ทั้งนั้น ทว่าลึก ๆ แล้วเขาจะใช้มันเป็นตัวแทนของเขาเอง“จะซื้อจริง ๆ เหรอครับ” คนที่โดนหิ้วให้ติดตามขับรถให้อย่างไทท์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“อือ ผมว่าน้องรัณอาจจะชอบ” ว่าพลางยกยิ้มราวกับคนมีความสุขเต็มเปี่ยม หลายวันที่ไทท์เห็นเจ้านายตัวเองเอาแต่ขมวดคิ้วเหม่อคิดอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว ทว่าวันนี้ราวกับคนละคนจ่ายเงินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่บ้านของอัยย์ทันที ไทท์ลอบมองชัชวินผ่านกระจกหลังเป็นระยะ ดูท่าแล้วจะมีความสุขมากจริง ๆ ถ
แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างพาดผ่านผิวกาย กระทบใบหน้าหล่อเหลา เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นหรี่ตาปรับแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกาย รู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนขดตัวอยู่นโซฟาหลายชั่วโมงดวงตาคมหลุบลงมองผ้านวมผืนหนาที่คลุมร่างของเขาอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนอัยย์ไม่ได้เอามาให้ งั้นคงเอามาห่มให้เขาตอนเขาหลับไปแล้วแน่ ๆ พลันความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นในหัวมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเผลอไผลทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อหันห้ามาเจอเด็กน้อยหน้าตาสดใสกำลังจ้องมองเขาไม่ละสายตา ชัชวินส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง"อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์""อรุณสวัสดิ์คืออะไร" เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยในคำที่ตัวเองไม่เข้าใจ"อรุณสวัสดิ์ก็คือสวัสดีตอนเช้า""อืม รัณเข้าใจแล้ว อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช"ความสดใสจากเด็กคนนี้ทำให้เขาอดนึกถึงภาพของอัยย์ตอนยิ้มร่ามีความสุขไม่ได้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน"ทำไมรัณตื่นเช้าจังครับ" จริง ๆ ก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว"มะม๊าบอกว่าถ้าตื่นสายจะติดเป็นนิสัย ทำให้เป็นเด็กขี้เกียจ รัณไม่อยากเป็นเด็กขี้เกียจ" เด็กช่างพูดจำที่มารดาบอกได้ขึ้นใจ"แล้
เสียงผู้คนจอแจเดินผ่านไปผ่านมา นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่ชัชวินนั่งครุ่นคินอะไรบางอย่างอยู่ที่เดิม เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสามปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กที่เขานั่งคุยด้วยเมื่อไม่นานมานี้เป็นลูกของอัยย์กับเขมทัศน์จริง ๆ หรือเปล่า หากให้เดาเด็กคนนั้นคงอายุประมาณ 3-4 ขวบ คาดว่าเท่ากับระยะเวลาที่อัยย์ออกจากบ้านเขามา เรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก“ยังอยู่อีกเหรอวะ คิดว่ามึงกลับไปแล้วซะอีก”ชัชวินเงยหน้ามองต้นเสียง เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ พลันสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้“ไม่ต้องหาหรอก กูพาอัยย์ไปส่งที่อื่นแล้ว” เขมทัศน์ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน เพราะคิดว่าไม่ได้มีจำเป็นใด ๆ ต้องบอกให้ชัชวินรู้“มึงมีอะไร” การที่เขมทัศน์มายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคงไม่ใช่เพราะแค่เดินกลับมาเพื่อผ่านไปเฉย ๆ แน่นอน ดูเหมือนตั้งใจมาหาเขาเสียด้วยซ้ำ“ไปคุยกันหน่อย”หลังจากไปส่งอัยย์ที่ร้านขนมใกล้ ๆ ห้าง เขมทัศน์จึงวนรถกลับมาที่นี่อีกครั้ง เดาเอาไว้แล้วว่าชัชวินอาจจะยังอยู่และก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ภูเก็ตเขมทัศน์ก็แทบไม่ได้กลับไปกรุงเทพ
“มึงจะลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนที่นี่จริง ๆ เหรอวะ”ใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถามเพื่อนสนิท ที่แวะเข้ามาหาเขาถึงเพนท์เฮาท์เพื่อขอถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนคลับก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องผิดใจกันเราทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันนอกจากเรื่องงาน ชัชวินคิดแค่ว่ารอเวลาให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกันอีกที จนเวลาล่วงเลยไป กลายมาเป็นแบบนี้“อือ กูกับแม่จะกลับไปอยู่ภูเก็ต ถ้าจะให้เทียวไปเทียวมาคงไม่สะดวก”“แล้วมึงจะไปทำงานอะไร”“รับช่วงต่อร้านอาหารของตา”ฐานะที่บ้านของเขมทัศน์ไม่ใช่จะน้อยหน้าชัชวิน ทางคุณตาของเขามีร้านอาหารภัตตาคารใหญ่โต ทั้งยังอยู่ในเมือง การเข้าออกของลูกค้าแต่ละวันสร้างรายได้ให้ไม่น้อยได้รับข่าวมาว่าคุณตาเริ่มจะป่วยบ่อยขึ้น พี่ชายของแม่ที่เคยอยู่ดูแลก็ต้องการจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ารับช่วงต่อดูแลร้านอาหาร สุดท้ายสมบัติชิ้นนี้ที่คุณตาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ตกเป็นของแม่เขา ทว่าขวัญรินก็อายุมากขึ้นทุกวัน เธออยากอยู่บ้านอย่างสบายมากกว่าจึงมอบมันให้ลูกชายดูแลต่อ“ที่ย้ายไปคงไม่ใช่เพราะ..” ชัชวินนิ่งชะงักกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด“มึงให้คนตามสืบจนรู้แล้วเหรอว่าอัยย์อยู่ที่ไหน ถึงกูจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเพราะอัยย์
“มื้อเช้าพร้อมแล้วนะครับคุณชัช”เลขาคนสนิทขึ้นมาเคาะห้องเรียกผู้เป็นนายหลังจากจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้เสร็จสรรพอย่างเช่นที่ทำเป็นประจำหลายวันมานี้ชัชวินพูดน้อยลงยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว บางครั้งก็นั่งเหม่อลอยคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่างคนเจ้าเสน่ห์อย่างชัชวินดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ไทท์ที่อยู่ใกล้ชิดทุกวันยังสังเกตเห็นได้ง่ายเจ้าของร่างสูงเดินลงมานั่งประจำที่ที่โต๊ะทานข้าว จ้องมองอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย“ผมยังไม่หิว ขอไปทำงานก่อนแล้วกัน”ไทท์มองตามผู้เป็นนายเดินลุกออกจากโต๊ะขึ้นไปที่ห้องทำงาน ผิดปกติจริง ๆ ชัชวินไม่ใช่คนที่จะละเลยมื้ออาหาร หากตื่นมาแล้ว ยังไงก็ต้องทานอะไรสักนิดสักหน่อยเพื่อที่ท้องจะได้ไม่ว่างจนเกินไป แต่นี่กลับไม่แตะแม้แต่น้ำหากสาเหตุมาจากคนที่เก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้านอย่างที่เขาคิด อย่างนั้นชัชวินคงต้องคิดพิจารณาความรู้สึกตัวเองใหม่อย่างถี่ถ้วนนับตั้งแต่วันที่เขาเอาเงินจากอัยย์มาคืนให้ชัชวินตามที่อีกคนขอ นายของเขาก็นิ่งเงียบไป ไม่แม้แต่จะขยับปากเอื้อนเอ่ยหรือถามสิ่งใดออกมาจนถึงตอนนี้ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรก้าวก่ายแต่ก็อด