การใช้ชีวิตในทุก ๆ วันของอัยย์ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ตื่นเช้ามาก็รีบออกไปทำงานร้านเบเกอรี่ เลิกงานก็ต้องรีบกลับค่ายไปเตรียมตัวเพื่อไปที่คลับ เป็นอย่างนี้มานานถึงสองปี แม้ในระยะเวลานั้นจะมีการเปลี่ยนงานอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง
“สวัสดีครับพี่ผึ้ง สวัสดีครับพี่อัยย์”
พัดยกมือไหว้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่อายุมากกว่า ก่อนจะรีบไปสวมผ้ากันเปื้อนออกมาช่วยอัยย์เตรียมเปิดร้าน
“พี่ฝากอัยย์กับพัดช่วยกันดูแลร้านดูแลลูกค้าด้วยนะ ช่วงนี้พี่คงไม่ว่างได้เข้ามาที่ร้านบ่อย ๆ”
“ได้ครับ”
เด็กหนุ่มตอบรับคำสั่งเจ้าของร้าน ก่อนเดินไปปลดล็อกกลอนประตู เป็นจังหวะเดียวกันกับลูกค้าคนแรกที่กำลังเดินมาที่ร้าน
“สวัสดีครับคุณชัชวิน”
เหมือนว่าช่วงนี้เขาจะเจอผู้ชายคนนี้บ่อยขึ้นอย่างไรอย่างนั้น นับตั้งแต่วันที่เขมทัศน์แนะนำให้รู้จัก หลายวันมานี้ชัชวินมักจะแวะมาซื้อกาแฟที่ร้านอยู่บ่อย ๆ บางวันก็เป็นช่วงเช้า บางวันก็เป็นช่วงบ่าย
หากคิดแบบผิวเผินร้านเบเกอรี่นี้อาจเป็นทางผ่าน หรือไม่กาแฟของที่ร้านก็อาจจะถูกปากจนต้องมาซื้อซ้ำ
อัยย์ไม่อยากคิดอะไรให้มากมาย เพราะทุกครั้งที่มาชัชวินก็ไม่ได้พูดคุยกับเขา ทว่าเวลาเขาเผลอหันไปมองก็จะเห็นว่าคุณชัชวินคนนี้มองเขาอยู่ก่อนแล้วทุกครั้ง
หรือไม่เขาอาจจะคิดไปเองก็ได้…
“เอสร้อนดื่มที่นี่ครับ”
“รอสักครู่ครับ”
ชัชวินเลือกนั่งที่โต๊ะเดิมตรงข้ามกับเคาน์เตอร์กาแฟ สามารถมองเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังตั้งใจทำกาแฟมาให้เขาได้ชัดเจน เพียงไม่นานอัยย์ก็ยกกาแฟมาเสิร์ฟให้กับลูกค้าคนแรกของเช้านี้
“ถ้าคุณชัชวินต้องการอะไรเพิ่มเรียกได้เลยนะครับ”
เด็กหนุ่มเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟังพลางยกยิ้มบาง ๆ ก่อนก้มศีรษะให้เล็กน้อย เดินกลับไปหลังเคาน์เตอร์ หยิบจับนู่นนี่มาเช็ดเงียบ ๆ เช่นเดียวกับพัดที่เดินออกมาช่วย ทั้งยังชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ทว่าดูเหมือนเด็กช่างคุยคนนี้จะพูดคนเดียวเสียมากกว่า เพราะอัยย์ทำเพียงยืนฟังเงียบ ๆ มีพยักหน้ารับบ้าง เพื่อให้รู้ว่าเขาฟังในสิ่งที่อีกคนกำลังพูดอยู่
หารู้ไม่ว่ามีสายตาหนึ่งคู่กำลังจ้องมองมายังพวกเขาสองคนแทบจะตลอดเวลา แม้ว่าจะหยิบไอแพดออกมาเลื่อนดูข่าวสารรายวัน แต่ก็ยังไม่วายเลื่อนสายตาไปมองเด็กหนุ่มสองคน
“พี่อัยย์ว่าพัดเลี้ยงแมวดีไหม”
หลังจากเล่าเรื่องเกี่ยวกับแมวจรจัดที่มาวนเวียนแถว ๆ หอพักได้สักพัก พัดก็ลองถามความคิดเห็นของพี่ชายคนนี้ดู เพราะเขาไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะเลี้ยงแมวตัวนั้นได้ หากได้คำแนะนำคงจะดี
“แล้วพัดอยากเลี้ยงหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็อยากแหละ แต่พัดไม่มั่นใจว่าจะเลี้ยงมันได้หรือเปล่า”
“ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าเลย” หากเอามาเลี้ยงแล้วปล่อยปละละเลย ไม่เลี้ยงเสียยังดีกว่า
“อืม ก็จริง .. แล้วพี่อัยย์เคยเลี้ยงแมวไหม”
“เคยเมื่อตอนยังเด็กน่ะ”
เขาเคยได้แมวมาเลี้ยงตัวแรกตอนอายุ 10 ขวบ พ่อเอามาจากที่ไหนสักที่ ตอนนั้นเขาชอบมันมาก ๆ ถึงขนาดอุ้มไปนอนด้วยทุกคืนในห้อง โดนดุไปหลายครั้งเพราะขนของมันร่วงติดตามที่นอนและผ้าห่ม จนทำให้เป็นหวัดอยู่บ่อยครั้ง น่าเสียดายที่แมวตัวนั้นอายุมันสั้น เพียงแค่ปีเดียวมันก็ป่วยตาย นับตั้งแต่นั้นอัยย์ก็ไม่เลี้ยงสัตว์อะไรอีกเลย
Rrrrrr..
“สวัสดีครับ”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงโทรศัพท์ ทว่ากลับสบตากันอย่างไม่ตั้งใจ แต่กลับไม่มีใครหลบตาออกจากกัน
แม้ชัชวินกำลังพูดคุยกับปลายสาย แต่กลับมองหน้าอัยย์ไม่ละสายตา จนสุดท้ายคนที่ทนสายตาไม่ไหวอย่างอัยย์ก็ต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นหยิบจับอย่างอื่นแทน
ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าชัชวินมองเขาทำไมนักหนา หรือมีอะไรที่อยากพูด อยากถาม หากเป็นอย่างนั้นก็น่าจะเรียกเขาไปคุยเลยน่าจะง่ายกว่า การที่รู้ตัวว่าถูกมองอยู่ตลอดแบบนี้ มันทั้งอึดอัด และทำตัวไม่ถูก แต่จะให้พูดออกไปตรง ๆ ก็ยังไม่กล้าพอ เพียงเพราะคำว่าเจ้านายมันค้ำคอ
“ครับเดี๋ยวผมไป”
อัยย์ไม่รู้ว่าชัชวินคุยอะไรกับใคร แต่ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินคือกำลังจะไป และแค่อึดใจเดียวก็ได้ยินเสียงกริ่งตรงประตูเบา ๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนเดินออกจากร้านไปแล้ว
และแน่นอนว่าเมื่ออัยย์หันกลับมาก็ไม่เจอชัชวิน มีเพียงเงินค่ากาแฟที่ให้มาเกินถูกแก้วกาแฟทับไว้ เพื่อไม่ให้มันปลิว
“คุณคนนี้เขาให้แบงก์พันอีกแล้วพี่อัยย์!” ทั้งที่ทุกครั้งที่ชัชวินมาดื่มกาแฟที่นี่จะทิ้งแบงก์พันไว้ให้เช่นวันนี้ ก็ยังเรียกความตื่นเต้นให้กับพัดได้ทุกครั้ง “ไม่คิดจะเอาเงินถอนบ้างหรือไง กาแฟแก้วแค่แปดสิบเอง”
เด็กหนุ่มบ่นกระปอดกระแปดเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง สุดท้ายก็เลิกสนใจกลับมาทำงานของตัวเองต่อ
“สวัสดีครับเฮีย” ชายหนุ่มชุดดำค้อมศีรษะกล่าวสวัสดีผู้เป็นนาย
“ใครเป็นคนก่อความวุ่นวาย”
เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้ดูโกรธหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย
ในสายก่อนหน้านี้มีลูกน้องโทรตามให้เข้ามาที่บ่อน เพราะเหมือนจะมีพวกผีพนันบางคนที่เล่นจนหมดตัวแล้วสร้างความวุ่นวายจนมีปากเสียงใหญ่โต
“คุณเล้งครับ”
“คนเดิมอีกแล้วเหรอ”
“ครับ แต่ครั้งนี้คุณเล้งทุ่มหมดหน้าตัก พอแพ้ก็เลยพาลครับ พวกผมห้ามแล้วแต่คุณเล้งก็ไม่ยอมบอกว่านายมือโกง โวยวายต้องการจะคุยเฮียให้ได้ครับ”
“ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงจัดการกันไม่ได้ครับ”
เป็นคำถามที่ทำให้คนฟังขนลุกวาบ สีหน้าแววตาที่ยากจะคาดเดายิ่งทำให้ก้านเกรงกลัวเจ้านายกว่ามากกว่าเดิม แม้ว่าที่ผ่านมาตั้งแต่ทำงานกับชัชวิน จะไม่เคยถูกด่าด้วยคำพูดหยาบคาย แต่ทุกคำที่ชัชวินพูดออกมาทำให้คนฟังสะอึกอยู่ในอกไม่น้อยเหมือนกัน
“ขอโทษครับเฮีย”
ก้าวก้มศีรษะขอโทษผู้เป็นนาย ครั้นรู้ตัวว่าไม่สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ทั้งที่ชัชวินมอบหน้าที่ให้เขาเป็นคนดูแล
“ให้คุณเล้งไปพบผมที่ห้องแล้วกัน”
“ครับ”
ร่างสูงเดินเลี่ยงไปทางด้านข้าง ตรงไปที่ห้องทำงานหลังบ่อน เพื่อรอพบคุณเล้งลูกชายคนใหญ่คนโตที่มักมาที่บ่อนของเขาบ่อย ๆ ทว่าครั้งนี้กลับสร้างปัญหาให้เขาต้องเข้ามาจัดการเอง
ก็คงต้องลองพูดคุยเจรจากันก่อน จะได้ไม่ต้องเเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แต่หากว่าคุยกันไม่เข้าใจเขาก็มีวิธีจัดการความวุ่นวายน่ารำคาญนี่อยู่เหมือนกัน
...
@ค่ายมวยก้องเมธี
หลังเลิกงานอัยย์กลับมาค่ายมวยเห็นเต้กำลังทำความสะอาดอย่างเช่นทุกวัน เขาเดินเอากระเป๋าไปวางก่อนจะเข้าไปช่วยเต้เก็บกวาด
“มึงไปพักก็เถอะอัยย์ นี่หน้าที่กูเดี๋ยวกูทำเอง”
“ไม่เป็นไร ช่วยกันจะได้เสร็จไว ๆ ไง”
แม้เต้จะอยากปฏิเสธน้ำใจของเพื่อนเพราะเห็นว่าอีกคนทำงานมาเหนื่อย ๆ ควรพักผ่อนมากกว่ามาช่วยเขา ทว่าพอเห็นสีหน้าแววตาความหวังดีอยากช่วยของอัยย์ เต้ก็ได้แต่ฉีกยิ้มพร้อมเอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณนะมึง”
ระหว่างช่วยกันทำความสะอาดเต้ก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ จนเผลอพูดสิ่งที่ครูชัยห้ามเอาไว้ว่าไม่ให้บอก
“มีคนติดต่ออครูมาจะให้มึงไปต่อยมวยใต้ด---”
พูดไม่ทันจบประโยคก็นึกขึ้นมาได้จนต้องสะอึกกับคำพูดของตัวเอง ลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ หากครูชัยรู้เข้าว่าบอกเรื่องนี้กับอัยย์มีหวังได้โดนครูชัยจับไปมัดเป็นนวมซ้อมจนน่วมแน่ ๆ
รายนั้นเป็นห่วงหลานคนนี้ยิ่งกว่าอะไร แม้จะทำเหมือนนิ่งเฉยและปล่อยให้อัยย์ได้ทำตามที่ต้องการ แต่ จริง ๆ ครูชัยคอยถามไถ่เรื่องของอัยย์จากเต้อยู่ทุกวัน
เพียงเพราะครูชัยเองกลัวว่าตัวเองจะก้าวก่ายอัยย์มากเกินไป ต่อให้เด็กคนนี้จะไว้ใจและเชื่อใจเขาเหมือนพ่อแท้ ๆแต่นั่นก็ไม่ใช้ข้ออ้างในการที่เขาจะเข้าไปวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของอัยย์ได้
“มีคนติดต่อครูมาเหรอ”
“เอ่อ.. คือ มะ ไม่ใช่หรอก กูพูดไปเรื่อยนะ”
เป็นเพื่อนกันเมาตั้งหลายปีทำไมแค่นี้อัยย์จะดูไม่ออกว่าท่าทีเลิ่กลั่กของเต้ที่แสดงออกมามันหมายความว่ากำลังโกหก อย่างงั้นสิ่งที่เพื่อนของเขาหลุดพูดออกมาก็คงเป็นเรื่องจริง
และดูท่าแล้วครูชัยคงจะปฏิเสธทางนั้นไปแล้วแน่ ๆ ทว่าครั้งนี้เขาคงต้องผิดคำพูดกับครูชัย ที่บอกไว้ว่าจะไม่ลงแข่งมวยใต้ดินอีก
“ตอนนี้ครูอยู่ห้องใช่ไหม”
“อัยย์”
น้ำเสียงคล้ายกำลังห้ามกัน เพราะเต้รู้ดีว่าอัยย์ต้องไปคุยกับครูชัยขอลงแข่งแน่ ๆ
“งั้นเดี๋ยวกูขอไปหาครูก่อน”
“เดี๋ยวสิอัยย์”
ไม่รอฟังให้เต้ได้เอ่ยปากห้ามคนตัวเล็กก็เดินตัวปลิวไปทางห้องของครูชัยเสียแล้ว
เต้ยกมือขึ้นตีปากตัวเองเบา ๆ หลาย ๆ ที โทษฐานที่ปากไม่รักดีพลั้งพูดออกไปจนได้
เด็กหนุ่มเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักของครูชัย ก่อนจะชั่งใจเพียงครู่ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะขอ ครั้นมวลน้ำหนักของความจำเป็นที่ต้องใช้เงินมากกว่าจึงยกมือขึ้นเคาะประตูสองสามครั้ง
“ใคร”
“อัยย์เองจ๊ะครู”
รอเพียงอึดใจเดียวเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา
“มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาก่อนสิ” ครูชัยขยับตัวหลีกให้หลานชายเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดประตูไว้ตามเดิม “อัยย์มีอะไรจะคุยกับลุงหรือเปล่า”
“คืออัยย์จะคุยเรื่องที่มีคนติดต่อกันครูมาให้อัยย์ไปขึ้นชก”
คิ้วเข้มกระตุกขมวดเข้าหากันในทันที เรื่องนี้มีแค่เขากับเต้เท่านั้นที่รู้ นึกไว้อยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นต้องหลุดปากแน่ ๆ
“ลุงปฏิเสธไปแล้ว” ครูชัยตอบปัดไป พลางหันไปเก็บกระดาษตารางซ้อมบนโต๊ะทำงาน
“ครูให้อัยย์ขึ้นชกไม่ได้เหรอจ๊ะ”
“ครั้งก่อนคุยกันแล้วไม่ใช่หรือไง ลุงไม่อยากให้อัยย์ไปเจ็บตัวแบบนั้นอีก”
“อีกสักครั้งได้ไหมจ๊ะครู ให้อัยย์ขึ้นชกเถอะนะ” น้ำเสียงหวานออดอ้อนเฉกเช่นครั้งก่อนที่เจ้าตัวมาขอ “นะจ๊ะครู”
“ถ้าอัยย์ต้องการเงินก็บอกลุง ไม่ต้องไปขึ้นชกหรอก”
“แค่ครั้งก่อนที่ครูจ่ายหนี้ของพี่อาร์มแทนอัยย์ อัยย์ยังไม่ได้คืนสักบาท จะให้เอาเพิ่มอัยย์ไม่เอาหรอกจ้ะ”
“แต่ลุงไม่อยากให้ไปชกมวยใต้ดินแล้ว อัยย์ก็รู้มันไม่มีกฎ แล้วยังผิดกฎหมายอีก”
“แต่มันได้เงินไวนี่จ้ะ”
ครูชัยลอบถอนหายใจครั้นหลานชายยังดื้อดึงอ้อนวอนเขาจะไปขึ้นชกให้ได้ ไม่ใช่แค่เป็นห่วงว่าอัยย์จะเจ็บตัว แต่ดูจากร่างกายของอัยย์ตอนนี้มันไม่ได้พร้อมเต็มร้อย ไม่ได้มีเวลาซ้อมอย่างจริง ๆ จัง ๆ วันทั้งวันอัยย์ก็เอาแต่ทำงานแทบจะ 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว
หากให้ไปขึ้นชกทั้งที่พักผ่อนไม่เพียงพอ เกรงว่าความตั้งใจที่จะชนะก็คงไม่ได้ ทั้งยังต้องเจ็บตัวเสียฟรี ๆ
“แต่ร่างกายอัยย์มันไม่พร้อม ลุงว่าอย่าเลย” คนอายุมากกว่าพูดตะล่อมเด็กหนุ่มให้คล้อยตาม ทว่าไม่ได้ผลแม้แต่น้อย
“งั้นก่อนถึงวันแข่งอัยย์จะยอมหยุดงานสักวันเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ดีไหมจ๊ะ”
“อัยย์”
“นะจ๊ะครู ให้อัยย์ขึ้นชกเถอะนะ น้าาา.. นะจ๊ะครูจ๋า” มือเล็กเกาะแขนกำยำเขย่าเบา ๆ ส่งสายตาเว้าวอนจนน่าเห็นใจ
“ก็ได้ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายจริง ๆ แล้วนะ”
สุดท้ายก็ต้องยอมใจอ่อนให้กับสายตาคู่นี้ของอัยย์อีกจนได้ ตอนแรกที่คิดไว้ว่าจะทำโทษแต่ เห็นทีคงต้องทำโทษตัวเองไปด้วยอีกคน
“ขอบคุณนะจ๊ะครู”
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ กอดแขนผู้เป็นลุง เอ่ยขอบคุณจากใจจริง
ยังไงครั้งนี้เขาก็ต้องชนะอีกครั้งให้ได้ นึกถึงเงินที่จะได้มาก็ทำให้ใจชื้นได้ไม่น้อย ยังไงซะเขาก็ต้องจ่ายหนี้ให้ทันจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง
หลายวันต่อมาที่รับปากเอาไว้กับครูชัยว่าก่อนถึงวันขึ้นชกจะหยุดงานเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ อัยย์ทำอย่างนั้นจริง ๆ เป็นครั้งแรกในรอบปีที่รู้สึกว่าร่างกายได้นอนพักอย่างเต็มที่เริ่มเดินทางไปสถานที่แข่งตอนหกโมงเย็น ยังมีเวลาอีกนิดหน่อยให้อัยย์มาแอบซุ่มซ้อมอยู่คนเดียวRrrrrr..ร่างเล็กจับกระสอบทรายให้หยุดนิ่ง พลางเดินไปรับสายเจ้าของเบอร์คุ้นเคย“ฮัลโหลครับพี่เขม”[วันนี้เข้าร้านไหม]“เข้าครับ แต่อาจจะสายหน่อยนะครับ”[หืม? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า]“อัยย์มีขึ้นชกครับ”ปลายสายเงียบไป ทว่ากลับมีเสียงถอนหายใจดังออกให้ได้ยินเบา ๆ หากตอนนี้เขมทัศน์ยืนอยู่ตรงหน้า คงต้องห้ามเขาไม่ให้ไปเหมือนครูชัยแน่นอน[พี่ไปดูได้ไหม]“อย่าเลยครับ ที่นั่นไม่มีอะไรน่าดูหรอก”[พี่จะห้ามอัยย์ยังไงดีนะ]“ห้ามไม่ได้หรอกครับ ฮ่า ๆ”ตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ ราวกับเป็นเรื่องขำขัน แตกต่างจากปลายสายที่ยืนคิ้วขมวดติดกันจนเกิดปมเด็กหนุ่มหันมองเพื่อนสนิทที่เดินมาตาม ครั้นเห็นเขาคุยโทรศัพท์อยู่ก็เลือกที่จะทำมือชี้ออกไปทางซ้ายเพื่อให้อัยย์รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องไปเตรียมตัวแล้ว“เดี๋ยวอัยย์ต้องไปแล้ว ไว้เจอกันที่ร้านครับ”[ครับ]อัยย์กด
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกกระทบใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังนอนหลับพริ้ม ดวงตากลมเริ่มขยับไปมาทั้งที่ยังปิดตาอยู่ พร้อมเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันพลันความเจ็บแล่นปราดไปทั่วตัวยามขยับร่างกาย เปลือกตาสีมุกค่อย ๆ ลืมขึ้นมองเพดานห้องสีขาวสนิท เหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาให้คลายความสงสัยทั้งหมดอย่างนั้นที่นี่ก็คือโรงพยาบาล และคนที่พาเขามาก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชัชวิน เพราะในเวลานั้นมีแค่ชัชวินอยู่กับเขา“อัยย์!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาหา “ครู! ไอ้อัยย์ฟื้นแล้ว!”อัยย์เลื่อนสายตามามองเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าตื่นอยู่ข้างเตียง เพียงไม่นานคนที่เต้ตะโกนเรียกก็กลับเข้าห้องมาพร้อมกับหมอและพยาบาล“เดี๋ยวหมอขอตรวจหน่อยนะครับ”เต้ขยับถอยออกไปยืนข้าง ๆ ครูชัย ปล่อยให้คุณหมอได้ตรวจเช็กร่างกายของเพื่อน พร้อมเปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ช่วงนี้หมอแนะนำให้คนไข้พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็ทานอาหารให้ตรงเวลา ส่วนเรื่องรอยช้ำบนร่างกายอาจจะใช้เวลาหน่อยกว่าจะหายดี” ได้ยินอย่างนั้นก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ทั้งเต้แล
วันต่อมาแม้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ครูชัยก็ยังกำชับไม่ให้ออกไปทำงานจนกว่าจะมั่นใจว่าหายดี ด้วยความเกรงใจพี่ผึ้งที่หยุดมาหลายวันเขาเลยต้องพยายามอ้อนครูชัยให้ปล่อยตัวเองไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่มีพนักงานแค่สองคน หากเขาหยุดงานก็เท่ากับว่าเหลือพัดแค่คนเดียว ไหนช่วงนี้พี่ผึ้งจะบอกเอาไว้อีกว่าไม่ค่อยว่างได้เข้าร้าน ปล่อยให้พัดอยู่ร้านคนเดียวคงเหนื่อยแย่“ให้อัยย์ไปทำงานเถอะนะจ๊ะครู อัยย์หายดีแล้วจริง ๆ นะ”ครูชัยทำทีเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่หลานชายพูด พลางเดินไปทางนั้นทีทางนี้ทีคนที่นั่งมองเหตุการณ์อย่างเต้ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ เห็นใจเพื่อนอยู่หรอกแต่ให้ช่วยพูดก็ไม่กล้า มีหวังได้โดนครูเขกหัวกลับมาแน่ ๆ ไหนจะยังมีความผิดติดตัวที่หลุดปากบอกอัยย์เรื่องแข่งอีก“ครูจ๋า”“ลุงจะไม่พูดซ้ำนะอัยย์”อัยย์เพิ่งจะเคยได้สัมผัสด้วยตัวเองก็วันนี้ ไอ้ที่เด็ก ๆ ในค่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครูชัยน่ะทั้งดุ ทั้งน่ากลัวน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดไม่มีทีท่าว่าจะยอมใจอ่อน เด็กหนุ่มได้แต่หันไปส่งสายตาให้เพื่อนช่วยพูดทั้งที่กลัวว่าตัวเองจะโดนด่า ทว่าพอเห็นสายตาน่าสงสารของอัยย์แล้วก็ได้แต่กลืนน้
หยุดพักไปสองวันเต็ม ๆ หลังออกจากโรงพยาบาล วันนี้อัยย์ก็ได้กลับมาทำงานสักที ตอนแรกก็เกรงว่าพี่ผึ้งจะโกรธ แต่เปล่าเลยเจ้าของร้านเบเกอรี่ยังคงใจดีกับเขาเหมือนเดิม เธอเข้าใจและไม่แม้แต่จะต่อว่าเขาสักคำ ทั้งยังถามไถ่กันอย่างเป็นห่วงเป็นใยรอยแผลฟกช้ำตามร่างกายและใบหน้าก็จางลงเยอะมากแล้ว หากไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็น“พี่อัยย์ไหวไหม นั่งพักได้นะเดี๋ยวพัดจัดการเอง”พอรู้ว่าอัยย์ไม่สบายพัดก็เอาแต่ถามแทบจะทุกสิบนาที กลัวว่ารุ่นพี่คนนี้จะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก“พี่ไม่เป็นไร พัดมีอะไรก็ไปทำเถอะ ตรงนี้เดี๋ยวพี่ทำเอง”หันกลับไปตอบพลางยกยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายคลายความเป็นห่วง เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ ปล่อยให้อัยย์เก็บของตรงเคาน์เตอร์ต่อ ส่วนตัวเองก็กลับไปล้างจานเวลาหกโมงเย็นหลังเลิกงานอัยย์แวะไปบ้านเสี่ยธรรม เจ้าหนี้ของพ่อเพื่อจ่ายเงินในส่วนของเดือนนี้ที่ขอผลัดมาประมาณหนึ่งอาทิตย์“เสี่ยครับคุณอัยย์มาแล้วครับ”“ให้เข้ามา”ชายใหญ่วัยห้าสิบนั่งพิงพนักโซฟาหรูส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มรุ่นลูก หากไม่เป็นหนี้เป็นสินอัยย์ขอสาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาดแม้ว่าเจ้าหนี้ของพ่อคนนี้จะใจดีกับเขา ไม่เคยเร่งรัดเรื่องเงิน นั่น
ร่างเล็กค่อย ๆ เปิดประตูห้องอย่างเบามือ เกรงว่าจะรบกวนเต้หากอีกคนหลับไปแล้ว“พี่เขมมาส่งมึงเหรอ”คนที่คิดว่าเข้านอนแล้วกลับเอ่ยถามขึ้นมาผ่านความมืด อัยย์เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟทำให้ภายในห้องสว่างวาบขึ้นมาเพื่อนสนิทนอนตะแคงข้างหันมามองหน้าเขา รอฟังคำตอบ“อือ” กระเป๋าสะพายใบเก่าใบเดิมที่ใช้มานานนับห้าปีถูกตั้งไว้ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ “ทำไมยังไม่นอน”“รอมึง”“บอกแล้วไงว่าให้นอนไปก่อนไม่ต้องรอ”“ก็รอมึงจนมันชิน พอจะนอนก็นอนไม่หลับ”อัยย์ส่ายหัวเบา ๆ พลางยกยิ้มเอ็นดูเพื่อนตัวเอง เสื้อยืดสีดำถูกถอดออกใส่ตะกร้าผ้าด้วยความเคยชิน ไม่ได้นึกเหนียมอายเพราะคิดว่าตัวเองก็ผู้ชายคนหนึ่ง“นี่กูก็กลับมาแล้ว มึงนอนก่อนเลย กูไปอาบน้ำก่อน”“เออ ๆ ไปอาบเถอะ”ร่างบางหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปในทันที กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ปาไปตีหนึ่งกว่าแล้วออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าเต้หลับไปแล้ว ทั้งยังขยับเข้าไปนอนชิดผนัง เว้นที่ว่างที่ประจำไว้ให้อัยย์ เจ้าตัวเดินไปตากผ้าขนหนู พร้อมปิดไฟ เตรียมเข้านอน หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันเขาก็จะได้พักผ่อนสักทีทว่า.. แทนที่จะล้มตัวลงนอนแล้วจะเพลียหลับไป กลับเอาแต่คิดอยู
“คิดเงินด้วยครับ”เสียงลูกข้างโต๊ะข้าง ๆ เคาน์เตอร์ดังขึ้นเรียกพนักงานในร้านให้คิดเงิน ไม่ทันที่อัยย์จะเดินไป พัดก็เสนอตัวไปแทนก่อนเสียงมือถือร้านจะดังขึ้น คนตัวเล็กรีบเช็ดมือเพื่อรับสาย“สวัสดีครับ ร้านบีเบเกอรี่ครับ”เอ่ยสวัสดีปลายสาย พร้อมชื่อร้านเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าโทรเข้ามาถูกเบอร์ เสียงตะกุกตะกักดังผ่านเข้ามาในหูเล็กน้อย[ครับ ไม่ทราบว่าที่ร้านมีบริการส่งใช่ไหมครับ]“มีบริการส่งหากที่อยู่ห่างจากร้านไม่เกินห้ากิโลเมตรครับ” เด็กหนุ่มถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง ครั้นอีกฝ่ายเงียบไป[งั้นเอาเป็นเอสร้อนหนึ่ง เค้กมะพร้าวอ่อนสองครับ รบกวนมาส่งที่คอนโดทีเอ็นเคหน่อยได้ไหมครับ]“ได้ครับ ประมาณสิบห้านาทีนะครับ”[มาถึงแล้วแจ้งพนักงานตรงเคาน์เตอร์แล้วขึ้นมาส่งที่ห้องได้เลยนะครับ ผมจะแจ้งเขาไว้ให้]“ครับ”หลังจากวางสายอัยย์รีบทำกาแฟ พร้อมคีบขนมเค้กมะพร้าวอ่อนใส่กล่อง จัดแจงทุกอย่างเพื่อเตรียมเอาออกไปส่งตามที่อยู่ที่ลูกค้าแจ้งไว้ พร้อมกับปิดร้านตามเวลาอัยย์เอาเงินของตัวเองจ่ายค่ากาแฟและขนมไปก่อน เพราะเขาไม่อยากนั่งรถกลับมาเพื่อเอาเงินเก็บไว้ที่ร้าน กะไว้ว่าส่งกาแฟให้ลูกค้าเสร็จจะนั่งวินมอเตอร์ไ
เมื่อคิดย้อนไปถึงวันนั้นเขาก็ยังเกิดคำถามในสิ่งที่ชัชวินทำ ผนวกกับคำพูดของอาชิที่บอกกับเขาในคืนนั้นด้วยหากที่อาชิพูดมีความหมายส่อไปถึงชัชวินจริง มันสื่อได้ว่าอีกคนไม่มีความจริงใจใด ๆ เลยหากแต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ในการกระทำและสายตานั้นกลับทำให้เขาเผลอคิดว่าชัชวินเป็นห่วงเขาจริง ๆ หรือเขาอาจจะคิดไปเองเริ่มไม่เข้าใจในตัวเองแล้วเหมือนกันว่าทำไมถึงเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิด เป็นเพราะความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?“ก็ได้นะ อาจจะแล้วแต่คนว่ะ ถามทำไมวะ”“แค่ถามดูน่ะ”คำตอบที่ได้จากเต้ใช่ว่าจะคลายความสงสัยได้ แต่ก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อ พลางถอนหายใจเบา ๆอย่าเก็บเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดนักเลย…“พรุ่งนี้มึงหยุดอีกวันนี่ ใช่ไหม?” เต้ถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย“อืม”“กูเห็นครูบอกว่าพรุ่งนี้มีคนติดต่อจะเข้ามาเรียนมวย ไม่แน่มึงอาจได้เป็นคนสอนอีก”“เหรอ ไม่เห็นครูบอกอะไรกูเลย”“ถ้าครูจะให้มึงสอนเดี๋ยวก็มาบอกเองนั่นแหละ” ก็อย่างที่เต้ว่าถ้าครูจะให้เขาเป็นคนสอนจริง ๆ เดี๋ยวก็คงเรียกไปคุยพลันคิดย้อนไปในอดีตตอนที่มาอยู่ค่ายวันแรก ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเรียนมวยจนสามารถสอนคนอื่นได้แล้ว
ที่เต้บอกไว้เมื่อวานว่าจะมีคนติดต่อครูมาเรียนมวย ใครจะคิดว่าเป็นเขมทัศน์กับชัชวิน…หนึ่งวันที่แล้วเขมทัศน์มีคุยธุระที่ร้านอาหารใกล้ ๆ เพนท์เฮาส์ของชัชวิน เลยถือโอกาสนี้แวะไปหาเพื่อน โดยโทรถามเจ้าตัวและได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยร่างสูงโปร่งเดินตามหลังไทท์เลขาคนสนิทของชัชวินที่ลงมารับตั้งแต่หน้าล็อบบี้“คุณชัชอยู่ในห้องครับ คุณเขมเข้าไปได้เลย”เอ่ยบอกตามคำสั่งเจ้านาย ก่อนแยกตัวออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง“วันหยุดก็ยังทำงานอยู่อีกเหรอวะ”กองเอกสารบนโต๊ะทำให้รู้ว่าชัชวินยังมีงานต้องทำ แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม เพราะนอกจากการเป็นเจ้าของคลับแล้ว เจ้าตัวยังมีงานที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ในจังหวัดภูเก็ต ทางผู้จัดการจะติดต่อผ่านเลขาเพื่อส่งเอกสารให้ชัชวินเช็กความเรียบร้อย ในหนึ่งเดือนจะมีวันที่ชัชวินต้องเดินทางไปดูงานต่าง ๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องบินไปที่จีนเพื่อจัดการเคลียร์บัญชีโรงแรมที่จีน“มึงมีอะไร”“พูดกับกูให้มันเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนตอนคุยกับเด็กมึงบ้างไม่ได้หรือไง” เอ่ยแซวเพื่อนสนิทที่ถามเขาเสียงแข็ง ผิดกับตอนคุยกับพวกเด็ก ๆ ของมันที่เลี้ยงไว้“มาเป็นเด็กกูไหมล่ะ กูจะได้พูดหวาน
ตลอดสองเดือนชัชวินโทรหาคนรักกับลูกทุกเวลาที่ว่างอย่างที่พูดไว้จริง ๆ เขาอยากจะบินไปภูเก็ตใจแทบขาด ทว่างานรัดตัวจนไปไม่ได้ อีกทั้งไทท์ยังเอาแต่ห้าม ไหนจะโรงแรมที่จีนที่เขาต้องจัดการบัญชีทุกเดือน ยังต้องบินไปดูงานด้วยตัวเอง มีคุยงานกับนักธุรกิจหลายท่านเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มลงทุนร่วมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะแต่ละคนมีเวลาว่างต่างกัน ชัชวินจึงไม่สามารถไปไหนได้ ตารางงานแต่ละวันแน่นจนเขาอยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ทุกการเคลื่อนไหวของชัชวินไทท์ได้รายงานให้อัยย์ทราบทุกอย่าง เนื่องจากอีกฝ่ายขอร้องมา ไทท์เองก็ไม่อยากทำตัวเป็นนกสองหัว เพราะเหมือนกับกำลังทรยศเจ้านาย แต่ทว่าชัชวินไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรไม่ดี เขาจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร หากบอกให้อัยย์ทราบ ดีเสียอีกที่อีกคนจะได้เห็นว่าเจ้านายของเขาปรับตัวเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัวแล้วจริง ๆ ไม่ทำตัวเหลวไหล หรือมั่วผู้หญิงอย่างแต่ก่อนอัยย์จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ โดยไม่บอกชัชวิน กะไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย โดยมีเขมทัศน์ช่วยเหลืออีกเช่นเคย“เราจะไปไหนกันเหรอม๊า” เด็กน้อยตาใสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื
เวลาเกือบสองทุ่มครึ่งอัยย์ส่งลูกเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลงมาหาคนที่ยังเอาแต่นั่งอ่านเอกสารหน้าเครียด ก่อนหน้านี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้วอัยย์ตั้งใจจะบอกให้ชัชวินกลับไป แต่พอเห็นว่าคนพี่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวนคนตัวเล็กแอบทำอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในครัวประมาณยี่สิบนาที ออกมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ คาดว่าชัชวินน่าจะหิว เพราะเมื่อตอนเย็นทานไปแค่นิดเดียวก็กลับมานั่งทำงานต่อ คงจะมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง“ทานข้าวก่อนสิครับค่อยทำต่อ”ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม จากที่ทำหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที ทว่าดวงตาคมดูล้ากว่าปกติ“ขอบคุณครับ แต่เฮียขอทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยกินครับ”“ไม่ได้ครับ” ตอบกลับเสียงแข็ง “กินก่อนเถอะครับ เมื่อตอนเย็นคุณกินไปแค่นิดเดียว กว่างานจะเสร็จหิวไส้กิ่วกันพอดี”“กินก็กินครับ ไม่เห็นต้องดุเลย”“ไม่ได้ดุสักหน่อย!”“นี่ไงหนูกำลังดุเฮียอยู่ชัด ๆ”อัยย์กรอกตามองบนพลางถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนแก่ ทว่าไม่ทันได้เดินออกไป อีกคนดันจับข้อมือรั้งเขาไว้เสียก่อน“มีอะไรครับ?”“มีเรื่องจะรบกวนครับ”“อะไรครับ?”“พอดีรู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ อยากรบกวนขอกำลังใจเป็นกอด
เช้าวันนี้ดูเหมือนเป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสามปีของชัชวิน เสียงนกร้องดังอยู่บริเวณบ้านปลุกคนนอนหลับฝันดีให้ตื่นขึ้นมา ร่างหนาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ บ้าน กลิ่นของอาหารหอมโชยมาจากในครัวชัชวินเดินมาตามกลิ่น คนตัวเล็กกำลังง้วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ เด็กน้อยที่พึ่งตื่นล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมานั่งเล่นรอมารดาตัวเองที่โต๊ะทานข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช”ศรัณย์เอ่ยพูดประโยคที่ชัชวินเคยสอนเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ“อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์”ชัชวินยกยิ้มให้เด็กน้อย จากตอนแรกที่ได้เจอกันรู้สึกถูกชะตามากอยู่แล้วยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองแท้ ๆ เขายิ่งหลงรักเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าศรัณย์รู้ว่าเขาเป็นพ่อจะดีใจบ้างหรือเปล่าเขาไม่รู้ว่าอัยย์จะบอกลูกตอนไหน แต่ความร้อนใจของเขาเขาอยากให้ลูกรู้เร็ว ๆ ว่าเขาเป็นพ่อ เขาอยากแสดงตัวว่าเป็นพ่อ อยากทำหน้าที่ของพ่อ อยากชดเชยเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทดแทนได้หรือเปล่าเขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ เพื่ออัยย์และลูก“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาครับจะได้กินข้าว”เรื่องที
ร่างสูงโปร่งลงจากรถแท็กซี่ ตั้งสติให้ตัวเองทรงตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังหน้าบ้านของคนที่เขาคิดถึง สองมือเกาะรั้ว ตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านเสียงดังลั่น"อัยย์! อัยย์ครับ ออกมาคุยกับเฮียหน่อย อัยย์!"เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรียกเจ้าของบ้าน เขมทัศน์ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวมาเปิดประตู เห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะอยู่ที่รั้วไม้ จึงเดินเข้าไปหา“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”อัยย์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าชัชวินเคยมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนยังไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร กลัวว่าหากเขมทัศน์รู้เข้าจะมีปากเสียงกับชัชวินเพราะเขาอีก“อัยย์! มาคุยกับเฮียหน่อย”“ถ้าเมาก็กลับไปไอ้ชัช อย่ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่” เขมเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่าย“มึงไม่ต้องเสือก”น้อยครั้งที่ชัชวินจะพูดหยาบคายกับเขม ทว่าครั้งนี้เขามีเรื่องไม่พอใจที่อีกคนโกหกจึงไม่คิดที่จะยั้งปาก อีกทั้งยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหลังจากลูกค้านัดไปคุยงานนั่งดื่มกัน ชัชวินก็ซัดเหล้าเข้าปากเพราะความเครียดที่ตัวเองพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเมาก็คงกล้าทำอะไรมากขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู
หลังจากโดนอัยย์จับได้ว่าแอบเดินตาม ชัชวินก็ใช้เวลาอยู่สามสี่วันกับการกลั่นกรองความคิดตัวเอง เมื่อตกผลึกแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง ไม่ว่าจะกินจะนอนก็อยากเจอหน้าให้ได้ ถ้าเป็นคนงมงายสักนิดคงคิดว่าตัวเองโดนของแน่ ๆร่างหนาเดินเลือกซื้อขนมที่เด็ก ๆ ชอบ ซึ่งถามความคิดเห็นจากไทท์ เพราะเลขาของเขามีลูกชายอยู่หนึ่งคน คงจะพอรู้ว่าเด็กผู้ชายชอบกินอะไร รวมถึงพวกของเล่นต่าง ๆเดินเลือกไปเลือกมาสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาว เพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มชัชวินก็ถูกใจทันที คิดว่าศรัณย์อาจจะชอบ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงหรือผู้ขายก็ชอบตุ๊กตาได้ทั้งนั้น ทว่าลึก ๆ แล้วเขาจะใช้มันเป็นตัวแทนของเขาเอง“จะซื้อจริง ๆ เหรอครับ” คนที่โดนหิ้วให้ติดตามขับรถให้อย่างไทท์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“อือ ผมว่าน้องรัณอาจจะชอบ” ว่าพลางยกยิ้มราวกับคนมีความสุขเต็มเปี่ยม หลายวันที่ไทท์เห็นเจ้านายตัวเองเอาแต่ขมวดคิ้วเหม่อคิดอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว ทว่าวันนี้ราวกับคนละคนจ่ายเงินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่บ้านของอัยย์ทันที ไทท์ลอบมองชัชวินผ่านกระจกหลังเป็นระยะ ดูท่าแล้วจะมีความสุขมากจริง ๆ ถ
แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างพาดผ่านผิวกาย กระทบใบหน้าหล่อเหลา เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นหรี่ตาปรับแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกาย รู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนขดตัวอยู่นโซฟาหลายชั่วโมงดวงตาคมหลุบลงมองผ้านวมผืนหนาที่คลุมร่างของเขาอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนอัยย์ไม่ได้เอามาให้ งั้นคงเอามาห่มให้เขาตอนเขาหลับไปแล้วแน่ ๆ พลันความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นในหัวมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเผลอไผลทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อหันห้ามาเจอเด็กน้อยหน้าตาสดใสกำลังจ้องมองเขาไม่ละสายตา ชัชวินส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง"อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์""อรุณสวัสดิ์คืออะไร" เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยในคำที่ตัวเองไม่เข้าใจ"อรุณสวัสดิ์ก็คือสวัสดีตอนเช้า""อืม รัณเข้าใจแล้ว อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช"ความสดใสจากเด็กคนนี้ทำให้เขาอดนึกถึงภาพของอัยย์ตอนยิ้มร่ามีความสุขไม่ได้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน"ทำไมรัณตื่นเช้าจังครับ" จริง ๆ ก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว"มะม๊าบอกว่าถ้าตื่นสายจะติดเป็นนิสัย ทำให้เป็นเด็กขี้เกียจ รัณไม่อยากเป็นเด็กขี้เกียจ" เด็กช่างพูดจำที่มารดาบอกได้ขึ้นใจ"แล้
เสียงผู้คนจอแจเดินผ่านไปผ่านมา นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่ชัชวินนั่งครุ่นคินอะไรบางอย่างอยู่ที่เดิม เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสามปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กที่เขานั่งคุยด้วยเมื่อไม่นานมานี้เป็นลูกของอัยย์กับเขมทัศน์จริง ๆ หรือเปล่า หากให้เดาเด็กคนนั้นคงอายุประมาณ 3-4 ขวบ คาดว่าเท่ากับระยะเวลาที่อัยย์ออกจากบ้านเขามา เรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก“ยังอยู่อีกเหรอวะ คิดว่ามึงกลับไปแล้วซะอีก”ชัชวินเงยหน้ามองต้นเสียง เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ พลันสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้“ไม่ต้องหาหรอก กูพาอัยย์ไปส่งที่อื่นแล้ว” เขมทัศน์ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน เพราะคิดว่าไม่ได้มีจำเป็นใด ๆ ต้องบอกให้ชัชวินรู้“มึงมีอะไร” การที่เขมทัศน์มายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคงไม่ใช่เพราะแค่เดินกลับมาเพื่อผ่านไปเฉย ๆ แน่นอน ดูเหมือนตั้งใจมาหาเขาเสียด้วยซ้ำ“ไปคุยกันหน่อย”หลังจากไปส่งอัยย์ที่ร้านขนมใกล้ ๆ ห้าง เขมทัศน์จึงวนรถกลับมาที่นี่อีกครั้ง เดาเอาไว้แล้วว่าชัชวินอาจจะยังอยู่และก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ภูเก็ตเขมทัศน์ก็แทบไม่ได้กลับไปกรุงเทพ
“มึงจะลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนที่นี่จริง ๆ เหรอวะ”ใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถามเพื่อนสนิท ที่แวะเข้ามาหาเขาถึงเพนท์เฮาท์เพื่อขอถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนคลับก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องผิดใจกันเราทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันนอกจากเรื่องงาน ชัชวินคิดแค่ว่ารอเวลาให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกันอีกที จนเวลาล่วงเลยไป กลายมาเป็นแบบนี้“อือ กูกับแม่จะกลับไปอยู่ภูเก็ต ถ้าจะให้เทียวไปเทียวมาคงไม่สะดวก”“แล้วมึงจะไปทำงานอะไร”“รับช่วงต่อร้านอาหารของตา”ฐานะที่บ้านของเขมทัศน์ไม่ใช่จะน้อยหน้าชัชวิน ทางคุณตาของเขามีร้านอาหารภัตตาคารใหญ่โต ทั้งยังอยู่ในเมือง การเข้าออกของลูกค้าแต่ละวันสร้างรายได้ให้ไม่น้อยได้รับข่าวมาว่าคุณตาเริ่มจะป่วยบ่อยขึ้น พี่ชายของแม่ที่เคยอยู่ดูแลก็ต้องการจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ารับช่วงต่อดูแลร้านอาหาร สุดท้ายสมบัติชิ้นนี้ที่คุณตาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ตกเป็นของแม่เขา ทว่าขวัญรินก็อายุมากขึ้นทุกวัน เธออยากอยู่บ้านอย่างสบายมากกว่าจึงมอบมันให้ลูกชายดูแลต่อ“ที่ย้ายไปคงไม่ใช่เพราะ..” ชัชวินนิ่งชะงักกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด“มึงให้คนตามสืบจนรู้แล้วเหรอว่าอัยย์อยู่ที่ไหน ถึงกูจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเพราะอัยย์
“มื้อเช้าพร้อมแล้วนะครับคุณชัช”เลขาคนสนิทขึ้นมาเคาะห้องเรียกผู้เป็นนายหลังจากจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้เสร็จสรรพอย่างเช่นที่ทำเป็นประจำหลายวันมานี้ชัชวินพูดน้อยลงยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว บางครั้งก็นั่งเหม่อลอยคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่างคนเจ้าเสน่ห์อย่างชัชวินดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ไทท์ที่อยู่ใกล้ชิดทุกวันยังสังเกตเห็นได้ง่ายเจ้าของร่างสูงเดินลงมานั่งประจำที่ที่โต๊ะทานข้าว จ้องมองอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย“ผมยังไม่หิว ขอไปทำงานก่อนแล้วกัน”ไทท์มองตามผู้เป็นนายเดินลุกออกจากโต๊ะขึ้นไปที่ห้องทำงาน ผิดปกติจริง ๆ ชัชวินไม่ใช่คนที่จะละเลยมื้ออาหาร หากตื่นมาแล้ว ยังไงก็ต้องทานอะไรสักนิดสักหน่อยเพื่อที่ท้องจะได้ไม่ว่างจนเกินไป แต่นี่กลับไม่แตะแม้แต่น้ำหากสาเหตุมาจากคนที่เก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้านอย่างที่เขาคิด อย่างนั้นชัชวินคงต้องคิดพิจารณาความรู้สึกตัวเองใหม่อย่างถี่ถ้วนนับตั้งแต่วันที่เขาเอาเงินจากอัยย์มาคืนให้ชัชวินตามที่อีกคนขอ นายของเขาก็นิ่งเงียบไป ไม่แม้แต่จะขยับปากเอื้อนเอ่ยหรือถามสิ่งใดออกมาจนถึงตอนนี้ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรก้าวก่ายแต่ก็อด