ระหว่างที่อัยย์กำลังเก็บของเตรียมปิดร้าน ก็มีเพื่อนที่ทำงานด้วยกันเดินเข้ามาประชิดตัว ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้
"นี่อัยย์"
"หืม? มีอะไรเหรอ" เด็กหนุ่มหยุดมือที่เก็บแก้วบนโต๊ะ หันมองเด็กหนุ่มหน้าหวานข้าง ๆ
"วันนี้ได้ขึ้นไปเสิร์ฟที่ชั้นสองใช่ไหม เห็นว่าเป็นห้องของเฮียเขมกับคุณชัช"
"อ่า ก็ใช่ทำไมเหรอ"
"เป็นไงบ้าง คุณชัชน่ะ หล่อไหม"
สายตาบ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจน ฟองเป็นเด็กใหม่ที่เข้ามาทำงานหลังอัยย์ได้ไม่นาน แต่กลับรู้จักชัชวินก่อนเขาเสียอีก
"ก็ดูดีนะ" เลี่ยงที่จะพูดออกไปตรง ๆ ว่าหล่อหรือไม่หล่อ เพราะเขาไม่รู้ว่ามาตรฐานความหล่อของคนตรงหน้าเป็นยังไง
"เราอยากมีวาสนาเจอคุณชัชบ้างจัง นี่ได้ยินพวกพนักงานรุ่นพี่คุยกันว่าคุณชัชเพิ่งกลับมาจากประเทศ นาน ๆ ทีจะได้เห็นหน้า ปกติคนที่เข้าร้านจะเป็นเฮียเขมมากกว่า"
อัยย์ทำเพียงยืนฟังอีกคนพูด ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกไปเพราะเขาไม่ได้รู้จักชัชวินมาก่อน ไม่เคยถามเขมทัศน์เกี่ยวกับเจ้านายคนนี้ด้วยซ้ำ
ฟองเอาแต่ยืนเพ้อฝันพร่ำพูดถึงชัชวินในเรื่องที่ตนรู้ให้อัยย์ฟัง แม้จะเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง อัยย์ก็ไม่ได้ขัดอะไร ปล่อยให้อีกคนได้พูดต่อไปตามที่ต้องการ
วันนี้กว่าจะเก็บร้านเสร็จก็เกินเวลาเลิกงานไปเกือบครึ่งชั่วโมง เด็กหนุ่มเดินออกมายืนอยู่หน้าร้านก่อนรถเบนซ์คันสีดำป้ายทะเบียนคุ้นตาจะขับมาจอดเทียบอยู่ตรงหน้า
"ไปครับอัยย์ เดี๋ยวพี่ไปส่ง"
เพราะรู้ว่าปฏิเสธไม่ได้จึงยอมขึ้นรถเขมอย่างว่าง่าย อีกอย่างเวลานี้ไม่มีวินมอเตอร์ไซค์แล้วด้วย จะให้เรียกแท็กซี่หรือแกร็บก็เสียดายเงิน
"เดี๋ยวพี่เขมไปส่งอัยย์ที่บ้านก็ได้ครับ วันนี้ว่าจะนอนที่นั่น"
"ทำไมไม่กลับไปนอนที่ค่ายมวยล่ะ?"
"อัยย์ลืมกุญแจรั้วน่ะครับ ป่านนี้ทุกคนคงนอนกันหมดแล้วเลยไม่อยากกวน"
เขมทัศน์พยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจ ส่วนอัยย์เองก็ส่งข้อความไปบอกครูชัยกับเต้เป็นที่เรียบร้อย อย่างน้อยตอนเช้าตื่นมาเห็นข้อความจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพรุ่งนี้เช้าเขามีไปทำงานที่ร้านขนมต่อ จะได้กลับค่ายก็คงตอนเย็นหลังเลิกงาน
“จอดตรงนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวอัยย์เดินไปเอง”
ครั้นถึงหน้าปากซอยทางเข้าบ้านก็ขอลงแค่ตรงนี้ แค่เขมทัศน์ขับรถมาส่งเกือบทุกวันหลักเลิกงานก็เกรงใจจะแย่
“แต่ในซอยมันมืดนะ ให้พี่ไปส่งดีกว่า”
“ไม่เป็นไรครับ บ้านอัยย์เดินไปนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว อัยย์ว่าจะแวะซื้อข้าวก่อนเข้าบ้านด้วย นี่ก็ดึกแล้วพี่เขมกลับบ้านเถอะครับ ขอบคุณมาก ๆ ที่มาส่งอัยย์”
เอ่ยพูดยาวเหยียดให้อีกคนคล้อยตาม ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น แม้จะเป็นห่วงแต่เขมก็ไม่อยากขัดความต้องการของอัยย์ เกรงว่าครั้งต่อไปอีกคนจะปฏิเสธน้ำใจของเขาหากไม่ทำตามที่บอก
“ก็ได้ งั้นอัยย์ก็เดินกลับดี ๆ ระวังตัวด้วย เข้าใจไหม”
“ครับ”
มือหนาวางลงบนศีรษะพลางโยกเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะดึงมือกลับปล่อยให้น้องได้ลงจากรถ
อัยย์โบกมือลามองรถหรูขับออกไปจนลับตา ถึงจะเดินไปสั่งข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย แม้ตอนนี้เวลาเลยเที่ยงคืนมาแล้วแต่ก็ยังเปิดอยู่ คงเป็นร้านเดียวในละแวกนี้ที่ยังไม่ปิดร้าน
“เอาอะไรดีจ๊ะหนู”
“ผัดกะเพราหมูไม่เผ็ดหนึ่งกล่องครับ”
“นั่งรอแป๊บหนึ่งนะจ๊ะ”
เด็กหนุ่มยกยิ้มให้ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ทางร้านตั้งไว้ให้สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้นั่งทานในร้าน เพียงไม่ก็ได้ข้าวที่สั่งไป ก่อนจะเดินกลับไปที่บ้าน
เสียงดังตึงตังออกมาจากภายในบ้าน คิ้วสวยกระตุกขึ้นอย่างสงสัย ตั้งแต่พ่อเสียเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ค่ายมวยครูชัย บ้านหลังนี้ที่พ่อซื้อเอาไว้มีแค่พี่ชายคนเดียวของเขาที่อาศัยอยู่ แต่ปกติแล้วก็ไม่ค่อยจะกลับมา รู้ข่าวทีไรก็อยู่กับเพื่อนทุกครั้ง ส่วนอัยย์เองก็กลับมานอนบ้านบ้างบางครั้ง เช่นวันนี้ที่เลิกงานดึก
นึกสงสัยอยู่สองอย่าง หากเสียงที่ได้ยินจากในบ้านไม่ใช่เสียงของอาร์มพี่ชายของเขา ก็คงเป็นโจร
ร่างบางย่องเบาเดินเข้ามาภายในบ้านอย่างระมัดระวัง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทว่าเสียงที่ได้ยินกลับอยู่ชั้นสอง
เด็กหนุ่มวางถุงข้าวไว้บนโต๊ะก่อนจะขึ้นมาถึงชั้นสองก็เดินตรงไปยังต้นเสียง ซึ่งเป็นห้องนอนของเขาเอง
“พี่อาร์ม!”
คนตัวเล็กเอ่ยเรียกพี่ชายตัวเองที่กำลังรื้อข้าวของในห้องจนเละเทะ คล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่ ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นหูร่างสูงก็หยุดชะงักหันกลับมามองผู้เป็นน้องชาย
“อัยย์! มึงไปไหนมากูโทรไปทำไมไม่รับ”
“อัยย์ทำงาน” เพราะในเวลางานเขาไม่ค่อยได้จับโทรศัพท์อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากใครโทรเข้ามาแล้วเขาไม่ได้รับสาย “แล้วนี่พี่เข้ามารื้ออะไรในห้องอัยย์”
เด็กหนุ่มกวาดตามองข้าวของเครื่องใช้ที่กระจัดกระจายอยู่ไม่เป็นที่ผิดวิสัยคนเรียบร้อยแบบเขา
“มึงมาก็ดี ตอนนี้กูมีเรื่องเดือดร้อน ยืมเงินมึงก่อนดิ”
ที่บอกว่ายืมมันไม่เคยจริงเลยสักครั้ง เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้คืน และเขาเองก็ไม่ได้คิดจะท้วงคืนด้วย
“อัยย์ไม่มีหรอก”
“โกหก!”
คนตรงหน้าพุ่งเข้ามากระชากกระเป๋าในมือไปอย่างไม่ไยดี พยายามค้นหาสิ่งที่ต้องการในกระเป๋า แม้อัยย์จะเขามาแย่งคืนก็ไม่เป็นผล ทั้งยังโดนผลักออกทุกครั้ง
ครั้นอีกฝ่ายเปิดซิปเทกระเป๋า ของทุกอย่างก็หล่นลงบนพื้น สิ่งแรกที่อาร์มรีบคว้าก็คือซองเงิน
“นี่ไง!! เดี๋ยวนี้มึงกล้าโกหกกูเหรออัยย์”
“พี่เอาไปไม่ได้ เงินก้อนนี้อัยย์ต้องเอาไปใช้หนี้”
แม้หนี้ที่ว่าจะไม่ใช่ของตัวเอง แต่เขาก็จำเป็นต้องใช้คืน เพราะก่อนที่พ่อจะเสียไป พ่อได้ไปกู้เงินเพื่อซื้อบ้านหลังนี้ไว้ และต่อให้ตายไปแล้ว ลูกชายแท้ ๆ อย่างเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องชดใช้คืน จะหวังพึ่งให้อาร์มช่วยก็ไม่ได้ เพราะแม้แต่ตัวของอาร์มเองก็ยังเอาไม่รอด
“มึงก็หามาใหม่สิวะ ตอนนี้ก็จำเป็นต้องใช้เงิน กูขอก่อนแล้วกัน”
ไม่ว่าอัยย์จะพยายามแย่งมาเท่าไรก็ไม่สำเร็จ เขาไม่ได้อยากใช้ความรุนแรงกับพี่ชาย จึงทำได้แค่มองอีกฝ่ายเอาเงินออกไปจากบ้านเงียบ ๆ
ตั้งแต่วันที่ขาดเสาหลักของบ้าน ทุกคนในครอบครัวก็เสียศูนย์ไปพักใหญ่ พอเสร็จงานศพอาร์มก็เริ่มไปทำงานกับเพื่อน นับแต่นั้นก็เหมือนหน้ามือกลายเป็นหลังมือ จากที่เคยดีแสนดีก็เละเทะไม่เป็นท่า ทั้งเล่นพนัน ติดหนี้ และคงมีอะไรอีกหลายอย่างที่อัยย์เองก็ไม่รู้
ภาระหนี้สินทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่อัยย์ โชคดีที่ได้ครูชัยรับมาเลี้ยงดู คอยสอนมวยให้จนมีวิชาติดตัว แต่เด็กอายุเพียงสิบห้าปีจะไปทำอะไรได้มาก ตอนนั้นทางเดียวที่ได้เงินคือช่วยครูชัยดูแลนักมวยในค่าย จึงพอได้ค่าตอบแทนอยู่บ้าง
ส่วนอาร์มเองครูชัยก็อยากจะพามาอยู่ด้วยกัน แต่อีกคนไม่รักดีทำตัวเหลวไหลจนเอาไม่อยู่ อีกอย่างอาร์มเองก็อายุมากกว่าอัยย์ถึงแปดปี ครูชัยเห็นว่าอาร์มก็ต่อพอที่จะดูแลตัวเองได้จึงปล่อยให้อีกคนได้ทำในสิ่งที่เจ้าตัวเลือก
พอเรียนจบมอหกอัยย์ก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อ มุ่งหน้าหางานทำเพื่อใช้หนี้ แต่รายรับกับรายจ่ายก็ช่างต่างกันเหลือเกิน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะใช้เวลาแค่สองสามปีเพื่อปลดหนี้เกือบล้านที่รวมทั้งต้นทั้งดอก
แม้ตอนนี้จะลดลงไปบ้างแล้ว ทว่าพอถึงเวลาจ่ายแต่ละเดือนบางครั้งมันก็ยังไม่พอ อาจจะเป็นโชคดีอีกอย่างที่เจ้าหนี้ของพ่อคนนี้อะลุ่มอล่วยให้เขาบ้าง
เรื่องราวในอดีตไหลย้อนเข้ามาเป็นฉาก ๆ ความทุกข์ยากที่ตัวเองต้องพบเจอมันบั่นทอนเด็กคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยจะพูดมันออกมาให้ใครฟัง
อัยย์เก็บข้าวของที่กระจัดกระจายภายในห้องเข้าที่อย่างเงียบ ๆ พลางก้มลงเก็บรูปภาพครอบครัวที่ตกอยู่ข้างเตียง ร่างเล็กนั่งลงบนเตียงมองบุคคลในรูปทั้งสี่ที่กำลังยิ้มมีความสุข ก็หลุดคิดไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
ตอนนั้นคงเป็นความสุขครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้…
“อัยย์คิดถึงพ่อจัง”
รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าจิ้มลิ้ม พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ วางกรอบรูปไว้ที่หัวเตียงดังเดิม
จัดแจงเตรียมตัวอาบน้ำจะได้เข้านอน พรุ่งนี้เขายังมีงานที่ต้องทำ จะมานั่งคิดฟุ้งซ่านแบบนี้นาน ๆ คงไม่ได้
…
เช้ารุ่งขึ้นอัยย์รีบแต่งตัวอาบน้ำ เก็บเสื้อผ้าชุดเมื่อคืนใส่กระเป๋า ก่อนจะเดินออกไปหน้าปากซอย เรียกวินมอเตอร์ไซค์ให้ขับมาส่งที่ร้านเบเกอรี่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากค่ายมวยเท่าไรนัก
“สวัสดีครับพี่ผึ้ง”
เด็กหนุ่มยกมือไว้พี่เจ้าของร้าน ก่อนจะได้รับยิ้มหวานทักทายกลับอย่างเช่นทุกครั้ง
“สวัสดีจ้ะน้องอัยย์”
เอ่ยตอบพลางถือถาดขนมที่ทำเมื่อคืนเข้าตู้กระจกเพื่อวางขาย อัยย์รีบเอาของไปเก็บหลังร้าน ใส่เสื้อกันเปื้อนเรียบร้อยก็ออกมาปัดกวาดเช็ดถูเพื่อเตรียมเปิดร้านในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
“เดี๋ยววันนี้ช่วงสาย ๆ พี่จะออกไปทำธุระข้างนอก อาจจะกลับมาเย็น ๆ ฝากอัยย์ดูร้านด้วยนะ”
“ได้ครับ”
เพราะทำงานด้วยกันมานานถึงครึ่งปี อัยย์กับผึ้งจึงสนิทกันพอสมควร เธอเหมือนพี่สาวอีกคนของอัยย์เลยก็ว่าได้ แม้ว่านอกจากอัยย์แล้วจะมีพนักงานอีกคนแต่ผึ้งก็ยังไว้เนื้อเชื่อใจอัยย์มากกว่า
ตั้งแต่เช้าลูกค้าเข้าไม่ขาดสาย แม้ร้านเบเกอรี่ของผึ้งจะเป็นร้านเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ถึงได้มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาตลอด
กริ่ง~
“สวัสดีครับ รับอะไรดี.. ครับ”
ครั้นได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตู ก็รู้ได้ทันทีว่ามีลูกค้าเข้าร้าน คนที่กำลังวุ่นอยู่กับการล้างแก้วจึงรีบวางทุกอย่างพร้อมเช็ดมือ ก่อนหันมาต้อนรับลูกค้า ทว่ากลับตกใจเล็กน้อยที่คนตรงหน้าเขาเพิ่งรู้จักไปเมื่อคืนนี้เอง
“เอสร้อนหนึ่งดื่มที่นี่”
“เดี๋ยวนั่งรอสักครู่นะครับ”
ชัชวินนั่งลงที่โต๊ะใกล้เคาน์เตอร์กาแฟ ทอดสายตามองเด็กหนุ่มที่กำลังทำกาแฟให้เขาอย่างเงียบ ๆ
“พี่อัยย์ครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
พัดพนักงานรุ่นน้องอีกคนในร้านที่เข้ามาถามไถ่หลังจากจัดการหน้าที่ของตัวเองหลังร้านเสร็จเรียบร้อย
“งั้นเดี๋ยวพัดเอานี่ไปเสิร์ฟให้ลูกค้า พี่จะได้ล้างแก้วต่อ”
“พี่อัยย์เอาไปเสิร์ฟดีกว่า เดี๋ยวแก้วพวกนี้พัดล้างเอง”
เด็กหนุ่มว่าพลางยกยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปเปิดน้ำล้างแก้วในซิงค์
อัยย์จึงจำเป็นต้องนำกาแฟมาเสิร์ฟให้ลูกค้าที่นั่งอยู่คนเดียวในร้านตอนนี้
“เอสร้อนครับ”
แก้วกาแฟถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อยทำท่าจะเดินไป ทว่าไม่ทันย่างได้ถึงสองก้าว ก็ต้องหยุดนิ่งหันกลับมาตอบคำถามชัชวินเสียก่อน
“ปกติทำงานที่นี่ทุกวันด้วยหรือเปล่า”
“ทุกวันครับ ยกเว้นเสาร์อาทิตย์”
“แล้วที่คลับ”
“ทำทุกคืนเหมือนกันครับ”
“อ๋อ อือ.. ขยันดี”
ว่าเพียงเท่านั้นก็ยกกาแฟขึ้นดื่ม อัยย์ยกยิ้มให้เล็กน้อยตามมารยาทก่อนเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์
ไม่รู้ว่าชัชวินถามไปทำไม แต่หากคิดในแง่ดีก็คงถามไถ่ตามมารยาทคนที่รู้จักกัน...
ถึงจะเพิ่งรู้จักเมื่อคืนก็เถอะ
ด้วยความอยากรู้ว่าชัชวินเป็นใคร อัยย์ถึงได้ลองค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ต่าง ๆ และมันก็ดันมีขึ้นมาจริง ๆ ทว่าเป็นเพียงประวัติย่อ ๆ อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกเปิดเผยให้ได้รู้ชัชวิน เธียรธนากิจ ลูกชายคนเดียวของคุณชูวิทย์ และคุณหญิงอรอนงค์ ธุรกิจหลักของที่บ้านคือเปิดบริษัทผลิตเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดภูเก็ต และยังมีโรงแรม Thanakit ที่ประเทศจีน ตั้งแต่ที่คุณชูวิทย์เสียไปชัชวินก็ขึ้นเป็นผู้ดูแลกิจการทุกอย่างแทน ทว่านอกจากกิจการของพ่อที่สร้างไว้แล้ว ชัชวินยังเปิดคลับเป็นของตัวเองเนื่องจากความชอบส่วนตัวอัยย์เลื่อนหาข้อมูลเพียงสองสามเว็บก็เขียนเหมือนกันไปหมด ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้ แม้ว่าชัชวินจะเป็นที่รู้จักในแวดวงนักธุรกิจนักลงทุน แต่ก็ใช่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดให้สื่อรู้ และก็คงไม่มีใครสืบรู้“ดูอะไรอยู่วะ”คนตัวเล็กไม่ได้มีอาการตกใจ แม้คนที่เดินเข้ามาจะวางมือลงบนบ่า อัยย์เพียงเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงคุ้นหู พลางยกยิ้มให้น้อย ๆ“เปล่า”ตอบกลับพร้อมกดปิดหน้าจอ เขาเห็นว่าไม่ได้สำคัญอะไรไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวให้เต้รู้“ครูชัยให้มาตาม เดี๋ยวจะมีคนมาเรียนมวยครูจะให้มึงไปสอน
เช้าวันอาทิตย์อัยย์ได้เริ่มงานส่งอาหารเป็นวันแรก ความยากเดียวของงานนี้คือเขาไม่ได้ชำนาญเส้นทางสักเท่าไร แม้จะอยู่มานานเกือบสิบปี“เดี๋ยวอัยย์เอาไปส่งตามที่อยู่นี้นะ”หนึ่งในพนักงานเสิร์ฟยื่นกระดาษแผ่นเล็กที่จดที่อยู่ลูกค้า พร้อมถุงกระดาษบรรจุกล่องอาหารส่งให้อัยย์ ก่อนจะเดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อเด็กหนุ่มเปิด GPS ที่อยู่ในมือถือ ก่อนจะออกรถขับออกไปตามเส้นทาง โชคดีหน่อยที่ไม่ไกลมาก ทั้งยังเป็นถนนเส้นหลัก ไม่ต้องเข้าซอย ไม่งั้นคงได้หลงกันพอดีนิ้วเรียวกดกริ่งหน้าบ้าน รอเพียงไม่นานก็มีแม่บ้านสาววิ่งออกมารับ พร้อมเงินสดสองแบงก์เทา“ไม่ต้องทอนนะคะ”“ขอบคุณครับ”เด็กหนุ่มค้อมศีรษะขอบคุณเล็กน้อย เก็บเงินใส่กระเป๋าเอาไว้อย่างดี ก่อนกลับไปที่ร้านเพื่อรับออร์เดอร์ต่อไปการเริ่มงานวันแรกสำหรับวันนี้ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี พี่ ๆ ที่ทำงานด้วยกันก็ค่อนข้างจะใจดีกับอัยย์เงินรายวันตามค่าแรกขั้นต่ำบวกกับค่าทิปจากลูกค้า ทางเจ้าของร้านให้อัยย์ทั้งหมด รวมแล้วได้ประมาณพันกว่าบาทอัยย์จำเป็นต้องเก็บเอาไว้ทั้งหมด เพื่อรวมกับเงินที่มีอยู่ อีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ก็ถึงเวลาต้องจ่ายดอกเบี้ยร่างบางขึ้นรถเมล์มาล
การใช้ชีวิตในทุก ๆ วันของอัยย์ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ตื่นเช้ามาก็รีบออกไปทำงานร้านเบเกอรี่ เลิกงานก็ต้องรีบกลับค่ายไปเตรียมตัวเพื่อไปที่คลับ เป็นอย่างนี้มานานถึงสองปี แม้ในระยะเวลานั้นจะมีการเปลี่ยนงานอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง“สวัสดีครับพี่ผึ้ง สวัสดีครับพี่อัยย์”พัดยกมือไหว้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่อายุมากกว่า ก่อนจะรีบไปสวมผ้ากันเปื้อนออกมาช่วยอัยย์เตรียมเปิดร้าน“พี่ฝากอัยย์กับพัดช่วยกันดูแลร้านดูแลลูกค้าด้วยนะ ช่วงนี้พี่คงไม่ว่างได้เข้ามาที่ร้านบ่อย ๆ”“ได้ครับ”เด็กหนุ่มตอบรับคำสั่งเจ้าของร้าน ก่อนเดินไปปลดล็อกกลอนประตู เป็นจังหวะเดียวกันกับลูกค้าคนแรกที่กำลังเดินมาที่ร้าน“สวัสดีครับคุณชัชวิน”เหมือนว่าช่วงนี้เขาจะเจอผู้ชายคนนี้บ่อยขึ้นอย่างไรอย่างนั้น นับตั้งแต่วันที่เขมทัศน์แนะนำให้รู้จัก หลายวันมานี้ชัชวินมักจะแวะมาซื้อกาแฟที่ร้านอยู่บ่อย ๆ บางวันก็เป็นช่วงเช้า บางวันก็เป็นช่วงบ่ายหากคิดแบบผิวเผินร้านเบเกอรี่นี้อาจเป็นทางผ่าน หรือไม่กาแฟของที่ร้านก็อาจจะถูกปากจนต้องมาซื้อซ้ำอัยย์ไม่อยากคิดอะไรให้มากมาย เพราะทุกครั้งที่มาชัชวินก็ไม่ได้พูดคุยกับเขา ทว่าเวลาเ
หลายวันต่อมาที่รับปากเอาไว้กับครูชัยว่าก่อนถึงวันขึ้นชกจะหยุดงานเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ อัยย์ทำอย่างนั้นจริง ๆ เป็นครั้งแรกในรอบปีที่รู้สึกว่าร่างกายได้นอนพักอย่างเต็มที่เริ่มเดินทางไปสถานที่แข่งตอนหกโมงเย็น ยังมีเวลาอีกนิดหน่อยให้อัยย์มาแอบซุ่มซ้อมอยู่คนเดียวRrrrrr..ร่างเล็กจับกระสอบทรายให้หยุดนิ่ง พลางเดินไปรับสายเจ้าของเบอร์คุ้นเคย“ฮัลโหลครับพี่เขม”[วันนี้เข้าร้านไหม]“เข้าครับ แต่อาจจะสายหน่อยนะครับ”[หืม? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า]“อัยย์มีขึ้นชกครับ”ปลายสายเงียบไป ทว่ากลับมีเสียงถอนหายใจดังออกให้ได้ยินเบา ๆ หากตอนนี้เขมทัศน์ยืนอยู่ตรงหน้า คงต้องห้ามเขาไม่ให้ไปเหมือนครูชัยแน่นอน[พี่ไปดูได้ไหม]“อย่าเลยครับ ที่นั่นไม่มีอะไรน่าดูหรอก”[พี่จะห้ามอัยย์ยังไงดีนะ]“ห้ามไม่ได้หรอกครับ ฮ่า ๆ”ตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ ราวกับเป็นเรื่องขำขัน แตกต่างจากปลายสายที่ยืนคิ้วขมวดติดกันจนเกิดปมเด็กหนุ่มหันมองเพื่อนสนิทที่เดินมาตาม ครั้นเห็นเขาคุยโทรศัพท์อยู่ก็เลือกที่จะทำมือชี้ออกไปทางซ้ายเพื่อให้อัยย์รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องไปเตรียมตัวแล้ว“เดี๋ยวอัยย์ต้องไปแล้ว ไว้เจอกันที่ร้านครับ”[ครับ]อัยย์กด
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกกระทบใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังนอนหลับพริ้ม ดวงตากลมเริ่มขยับไปมาทั้งที่ยังปิดตาอยู่ พร้อมเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันพลันความเจ็บแล่นปราดไปทั่วตัวยามขยับร่างกาย เปลือกตาสีมุกค่อย ๆ ลืมขึ้นมองเพดานห้องสีขาวสนิท เหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาให้คลายความสงสัยทั้งหมดอย่างนั้นที่นี่ก็คือโรงพยาบาล และคนที่พาเขามาก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชัชวิน เพราะในเวลานั้นมีแค่ชัชวินอยู่กับเขา“อัยย์!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาหา “ครู! ไอ้อัยย์ฟื้นแล้ว!”อัยย์เลื่อนสายตามามองเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าตื่นอยู่ข้างเตียง เพียงไม่นานคนที่เต้ตะโกนเรียกก็กลับเข้าห้องมาพร้อมกับหมอและพยาบาล“เดี๋ยวหมอขอตรวจหน่อยนะครับ”เต้ขยับถอยออกไปยืนข้าง ๆ ครูชัย ปล่อยให้คุณหมอได้ตรวจเช็กร่างกายของเพื่อน พร้อมเปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ช่วงนี้หมอแนะนำให้คนไข้พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็ทานอาหารให้ตรงเวลา ส่วนเรื่องรอยช้ำบนร่างกายอาจจะใช้เวลาหน่อยกว่าจะหายดี” ได้ยินอย่างนั้นก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ทั้งเต้แล
วันต่อมาแม้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ครูชัยก็ยังกำชับไม่ให้ออกไปทำงานจนกว่าจะมั่นใจว่าหายดี ด้วยความเกรงใจพี่ผึ้งที่หยุดมาหลายวันเขาเลยต้องพยายามอ้อนครูชัยให้ปล่อยตัวเองไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่มีพนักงานแค่สองคน หากเขาหยุดงานก็เท่ากับว่าเหลือพัดแค่คนเดียว ไหนช่วงนี้พี่ผึ้งจะบอกเอาไว้อีกว่าไม่ค่อยว่างได้เข้าร้าน ปล่อยให้พัดอยู่ร้านคนเดียวคงเหนื่อยแย่“ให้อัยย์ไปทำงานเถอะนะจ๊ะครู อัยย์หายดีแล้วจริง ๆ นะ”ครูชัยทำทีเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่หลานชายพูด พลางเดินไปทางนั้นทีทางนี้ทีคนที่นั่งมองเหตุการณ์อย่างเต้ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ เห็นใจเพื่อนอยู่หรอกแต่ให้ช่วยพูดก็ไม่กล้า มีหวังได้โดนครูเขกหัวกลับมาแน่ ๆ ไหนจะยังมีความผิดติดตัวที่หลุดปากบอกอัยย์เรื่องแข่งอีก“ครูจ๋า”“ลุงจะไม่พูดซ้ำนะอัยย์”อัยย์เพิ่งจะเคยได้สัมผัสด้วยตัวเองก็วันนี้ ไอ้ที่เด็ก ๆ ในค่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครูชัยน่ะทั้งดุ ทั้งน่ากลัวน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดไม่มีทีท่าว่าจะยอมใจอ่อน เด็กหนุ่มได้แต่หันไปส่งสายตาให้เพื่อนช่วยพูดทั้งที่กลัวว่าตัวเองจะโดนด่า ทว่าพอเห็นสายตาน่าสงสารของอัยย์แล้วก็ได้แต่กลืนน้
หยุดพักไปสองวันเต็ม ๆ หลังออกจากโรงพยาบาล วันนี้อัยย์ก็ได้กลับมาทำงานสักที ตอนแรกก็เกรงว่าพี่ผึ้งจะโกรธ แต่เปล่าเลยเจ้าของร้านเบเกอรี่ยังคงใจดีกับเขาเหมือนเดิม เธอเข้าใจและไม่แม้แต่จะต่อว่าเขาสักคำ ทั้งยังถามไถ่กันอย่างเป็นห่วงเป็นใยรอยแผลฟกช้ำตามร่างกายและใบหน้าก็จางลงเยอะมากแล้ว หากไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็น“พี่อัยย์ไหวไหม นั่งพักได้นะเดี๋ยวพัดจัดการเอง”พอรู้ว่าอัยย์ไม่สบายพัดก็เอาแต่ถามแทบจะทุกสิบนาที กลัวว่ารุ่นพี่คนนี้จะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก“พี่ไม่เป็นไร พัดมีอะไรก็ไปทำเถอะ ตรงนี้เดี๋ยวพี่ทำเอง”หันกลับไปตอบพลางยกยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายคลายความเป็นห่วง เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ ปล่อยให้อัยย์เก็บของตรงเคาน์เตอร์ต่อ ส่วนตัวเองก็กลับไปล้างจานเวลาหกโมงเย็นหลังเลิกงานอัยย์แวะไปบ้านเสี่ยธรรม เจ้าหนี้ของพ่อเพื่อจ่ายเงินในส่วนของเดือนนี้ที่ขอผลัดมาประมาณหนึ่งอาทิตย์“เสี่ยครับคุณอัยย์มาแล้วครับ”“ให้เข้ามา”ชายใหญ่วัยห้าสิบนั่งพิงพนักโซฟาหรูส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มรุ่นลูก หากไม่เป็นหนี้เป็นสินอัยย์ขอสาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาดแม้ว่าเจ้าหนี้ของพ่อคนนี้จะใจดีกับเขา ไม่เคยเร่งรัดเรื่องเงิน นั่น
ร่างเล็กค่อย ๆ เปิดประตูห้องอย่างเบามือ เกรงว่าจะรบกวนเต้หากอีกคนหลับไปแล้ว“พี่เขมมาส่งมึงเหรอ”คนที่คิดว่าเข้านอนแล้วกลับเอ่ยถามขึ้นมาผ่านความมืด อัยย์เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟทำให้ภายในห้องสว่างวาบขึ้นมาเพื่อนสนิทนอนตะแคงข้างหันมามองหน้าเขา รอฟังคำตอบ“อือ” กระเป๋าสะพายใบเก่าใบเดิมที่ใช้มานานนับห้าปีถูกตั้งไว้ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ “ทำไมยังไม่นอน”“รอมึง”“บอกแล้วไงว่าให้นอนไปก่อนไม่ต้องรอ”“ก็รอมึงจนมันชิน พอจะนอนก็นอนไม่หลับ”อัยย์ส่ายหัวเบา ๆ พลางยกยิ้มเอ็นดูเพื่อนตัวเอง เสื้อยืดสีดำถูกถอดออกใส่ตะกร้าผ้าด้วยความเคยชิน ไม่ได้นึกเหนียมอายเพราะคิดว่าตัวเองก็ผู้ชายคนหนึ่ง“นี่กูก็กลับมาแล้ว มึงนอนก่อนเลย กูไปอาบน้ำก่อน”“เออ ๆ ไปอาบเถอะ”ร่างบางหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปในทันที กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ปาไปตีหนึ่งกว่าแล้วออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าเต้หลับไปแล้ว ทั้งยังขยับเข้าไปนอนชิดผนัง เว้นที่ว่างที่ประจำไว้ให้อัยย์ เจ้าตัวเดินไปตากผ้าขนหนู พร้อมปิดไฟ เตรียมเข้านอน หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันเขาก็จะได้พักผ่อนสักทีทว่า.. แทนที่จะล้มตัวลงนอนแล้วจะเพลียหลับไป กลับเอาแต่คิดอยู
ตลอดสองเดือนชัชวินโทรหาคนรักกับลูกทุกเวลาที่ว่างอย่างที่พูดไว้จริง ๆ เขาอยากจะบินไปภูเก็ตใจแทบขาด ทว่างานรัดตัวจนไปไม่ได้ อีกทั้งไทท์ยังเอาแต่ห้าม ไหนจะโรงแรมที่จีนที่เขาต้องจัดการบัญชีทุกเดือน ยังต้องบินไปดูงานด้วยตัวเอง มีคุยงานกับนักธุรกิจหลายท่านเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มลงทุนร่วมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะแต่ละคนมีเวลาว่างต่างกัน ชัชวินจึงไม่สามารถไปไหนได้ ตารางงานแต่ละวันแน่นจนเขาอยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ทุกการเคลื่อนไหวของชัชวินไทท์ได้รายงานให้อัยย์ทราบทุกอย่าง เนื่องจากอีกฝ่ายขอร้องมา ไทท์เองก็ไม่อยากทำตัวเป็นนกสองหัว เพราะเหมือนกับกำลังทรยศเจ้านาย แต่ทว่าชัชวินไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรไม่ดี เขาจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร หากบอกให้อัยย์ทราบ ดีเสียอีกที่อีกคนจะได้เห็นว่าเจ้านายของเขาปรับตัวเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัวแล้วจริง ๆ ไม่ทำตัวเหลวไหล หรือมั่วผู้หญิงอย่างแต่ก่อนอัยย์จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ โดยไม่บอกชัชวิน กะไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย โดยมีเขมทัศน์ช่วยเหลืออีกเช่นเคย“เราจะไปไหนกันเหรอม๊า” เด็กน้อยตาใสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื
เวลาเกือบสองทุ่มครึ่งอัยย์ส่งลูกเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลงมาหาคนที่ยังเอาแต่นั่งอ่านเอกสารหน้าเครียด ก่อนหน้านี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้วอัยย์ตั้งใจจะบอกให้ชัชวินกลับไป แต่พอเห็นว่าคนพี่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวนคนตัวเล็กแอบทำอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในครัวประมาณยี่สิบนาที ออกมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ คาดว่าชัชวินน่าจะหิว เพราะเมื่อตอนเย็นทานไปแค่นิดเดียวก็กลับมานั่งทำงานต่อ คงจะมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง“ทานข้าวก่อนสิครับค่อยทำต่อ”ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม จากที่ทำหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที ทว่าดวงตาคมดูล้ากว่าปกติ“ขอบคุณครับ แต่เฮียขอทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยกินครับ”“ไม่ได้ครับ” ตอบกลับเสียงแข็ง “กินก่อนเถอะครับ เมื่อตอนเย็นคุณกินไปแค่นิดเดียว กว่างานจะเสร็จหิวไส้กิ่วกันพอดี”“กินก็กินครับ ไม่เห็นต้องดุเลย”“ไม่ได้ดุสักหน่อย!”“นี่ไงหนูกำลังดุเฮียอยู่ชัด ๆ”อัยย์กรอกตามองบนพลางถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนแก่ ทว่าไม่ทันได้เดินออกไป อีกคนดันจับข้อมือรั้งเขาไว้เสียก่อน“มีอะไรครับ?”“มีเรื่องจะรบกวนครับ”“อะไรครับ?”“พอดีรู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ อยากรบกวนขอกำลังใจเป็นกอด
เช้าวันนี้ดูเหมือนเป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสามปีของชัชวิน เสียงนกร้องดังอยู่บริเวณบ้านปลุกคนนอนหลับฝันดีให้ตื่นขึ้นมา ร่างหนาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ บ้าน กลิ่นของอาหารหอมโชยมาจากในครัวชัชวินเดินมาตามกลิ่น คนตัวเล็กกำลังง้วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ เด็กน้อยที่พึ่งตื่นล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมานั่งเล่นรอมารดาตัวเองที่โต๊ะทานข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช”ศรัณย์เอ่ยพูดประโยคที่ชัชวินเคยสอนเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ“อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์”ชัชวินยกยิ้มให้เด็กน้อย จากตอนแรกที่ได้เจอกันรู้สึกถูกชะตามากอยู่แล้วยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองแท้ ๆ เขายิ่งหลงรักเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าศรัณย์รู้ว่าเขาเป็นพ่อจะดีใจบ้างหรือเปล่าเขาไม่รู้ว่าอัยย์จะบอกลูกตอนไหน แต่ความร้อนใจของเขาเขาอยากให้ลูกรู้เร็ว ๆ ว่าเขาเป็นพ่อ เขาอยากแสดงตัวว่าเป็นพ่อ อยากทำหน้าที่ของพ่อ อยากชดเชยเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทดแทนได้หรือเปล่าเขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ เพื่ออัยย์และลูก“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาครับจะได้กินข้าว”เรื่องที
ร่างสูงโปร่งลงจากรถแท็กซี่ ตั้งสติให้ตัวเองทรงตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังหน้าบ้านของคนที่เขาคิดถึง สองมือเกาะรั้ว ตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านเสียงดังลั่น"อัยย์! อัยย์ครับ ออกมาคุยกับเฮียหน่อย อัยย์!"เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรียกเจ้าของบ้าน เขมทัศน์ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวมาเปิดประตู เห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะอยู่ที่รั้วไม้ จึงเดินเข้าไปหา“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”อัยย์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าชัชวินเคยมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนยังไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร กลัวว่าหากเขมทัศน์รู้เข้าจะมีปากเสียงกับชัชวินเพราะเขาอีก“อัยย์! มาคุยกับเฮียหน่อย”“ถ้าเมาก็กลับไปไอ้ชัช อย่ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่” เขมเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่าย“มึงไม่ต้องเสือก”น้อยครั้งที่ชัชวินจะพูดหยาบคายกับเขม ทว่าครั้งนี้เขามีเรื่องไม่พอใจที่อีกคนโกหกจึงไม่คิดที่จะยั้งปาก อีกทั้งยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหลังจากลูกค้านัดไปคุยงานนั่งดื่มกัน ชัชวินก็ซัดเหล้าเข้าปากเพราะความเครียดที่ตัวเองพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเมาก็คงกล้าทำอะไรมากขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู
หลังจากโดนอัยย์จับได้ว่าแอบเดินตาม ชัชวินก็ใช้เวลาอยู่สามสี่วันกับการกลั่นกรองความคิดตัวเอง เมื่อตกผลึกแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง ไม่ว่าจะกินจะนอนก็อยากเจอหน้าให้ได้ ถ้าเป็นคนงมงายสักนิดคงคิดว่าตัวเองโดนของแน่ ๆร่างหนาเดินเลือกซื้อขนมที่เด็ก ๆ ชอบ ซึ่งถามความคิดเห็นจากไทท์ เพราะเลขาของเขามีลูกชายอยู่หนึ่งคน คงจะพอรู้ว่าเด็กผู้ชายชอบกินอะไร รวมถึงพวกของเล่นต่าง ๆเดินเลือกไปเลือกมาสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาว เพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มชัชวินก็ถูกใจทันที คิดว่าศรัณย์อาจจะชอบ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงหรือผู้ขายก็ชอบตุ๊กตาได้ทั้งนั้น ทว่าลึก ๆ แล้วเขาจะใช้มันเป็นตัวแทนของเขาเอง“จะซื้อจริง ๆ เหรอครับ” คนที่โดนหิ้วให้ติดตามขับรถให้อย่างไทท์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“อือ ผมว่าน้องรัณอาจจะชอบ” ว่าพลางยกยิ้มราวกับคนมีความสุขเต็มเปี่ยม หลายวันที่ไทท์เห็นเจ้านายตัวเองเอาแต่ขมวดคิ้วเหม่อคิดอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว ทว่าวันนี้ราวกับคนละคนจ่ายเงินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่บ้านของอัยย์ทันที ไทท์ลอบมองชัชวินผ่านกระจกหลังเป็นระยะ ดูท่าแล้วจะมีความสุขมากจริง ๆ ถ
แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างพาดผ่านผิวกาย กระทบใบหน้าหล่อเหลา เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นหรี่ตาปรับแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกาย รู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนขดตัวอยู่นโซฟาหลายชั่วโมงดวงตาคมหลุบลงมองผ้านวมผืนหนาที่คลุมร่างของเขาอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนอัยย์ไม่ได้เอามาให้ งั้นคงเอามาห่มให้เขาตอนเขาหลับไปแล้วแน่ ๆ พลันความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นในหัวมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเผลอไผลทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อหันห้ามาเจอเด็กน้อยหน้าตาสดใสกำลังจ้องมองเขาไม่ละสายตา ชัชวินส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง"อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์""อรุณสวัสดิ์คืออะไร" เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยในคำที่ตัวเองไม่เข้าใจ"อรุณสวัสดิ์ก็คือสวัสดีตอนเช้า""อืม รัณเข้าใจแล้ว อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช"ความสดใสจากเด็กคนนี้ทำให้เขาอดนึกถึงภาพของอัยย์ตอนยิ้มร่ามีความสุขไม่ได้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน"ทำไมรัณตื่นเช้าจังครับ" จริง ๆ ก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว"มะม๊าบอกว่าถ้าตื่นสายจะติดเป็นนิสัย ทำให้เป็นเด็กขี้เกียจ รัณไม่อยากเป็นเด็กขี้เกียจ" เด็กช่างพูดจำที่มารดาบอกได้ขึ้นใจ"แล้
เสียงผู้คนจอแจเดินผ่านไปผ่านมา นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่ชัชวินนั่งครุ่นคินอะไรบางอย่างอยู่ที่เดิม เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสามปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กที่เขานั่งคุยด้วยเมื่อไม่นานมานี้เป็นลูกของอัยย์กับเขมทัศน์จริง ๆ หรือเปล่า หากให้เดาเด็กคนนั้นคงอายุประมาณ 3-4 ขวบ คาดว่าเท่ากับระยะเวลาที่อัยย์ออกจากบ้านเขามา เรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก“ยังอยู่อีกเหรอวะ คิดว่ามึงกลับไปแล้วซะอีก”ชัชวินเงยหน้ามองต้นเสียง เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ พลันสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้“ไม่ต้องหาหรอก กูพาอัยย์ไปส่งที่อื่นแล้ว” เขมทัศน์ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน เพราะคิดว่าไม่ได้มีจำเป็นใด ๆ ต้องบอกให้ชัชวินรู้“มึงมีอะไร” การที่เขมทัศน์มายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคงไม่ใช่เพราะแค่เดินกลับมาเพื่อผ่านไปเฉย ๆ แน่นอน ดูเหมือนตั้งใจมาหาเขาเสียด้วยซ้ำ“ไปคุยกันหน่อย”หลังจากไปส่งอัยย์ที่ร้านขนมใกล้ ๆ ห้าง เขมทัศน์จึงวนรถกลับมาที่นี่อีกครั้ง เดาเอาไว้แล้วว่าชัชวินอาจจะยังอยู่และก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ภูเก็ตเขมทัศน์ก็แทบไม่ได้กลับไปกรุงเทพ
“มึงจะลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนที่นี่จริง ๆ เหรอวะ”ใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถามเพื่อนสนิท ที่แวะเข้ามาหาเขาถึงเพนท์เฮาท์เพื่อขอถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนคลับก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องผิดใจกันเราทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันนอกจากเรื่องงาน ชัชวินคิดแค่ว่ารอเวลาให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกันอีกที จนเวลาล่วงเลยไป กลายมาเป็นแบบนี้“อือ กูกับแม่จะกลับไปอยู่ภูเก็ต ถ้าจะให้เทียวไปเทียวมาคงไม่สะดวก”“แล้วมึงจะไปทำงานอะไร”“รับช่วงต่อร้านอาหารของตา”ฐานะที่บ้านของเขมทัศน์ไม่ใช่จะน้อยหน้าชัชวิน ทางคุณตาของเขามีร้านอาหารภัตตาคารใหญ่โต ทั้งยังอยู่ในเมือง การเข้าออกของลูกค้าแต่ละวันสร้างรายได้ให้ไม่น้อยได้รับข่าวมาว่าคุณตาเริ่มจะป่วยบ่อยขึ้น พี่ชายของแม่ที่เคยอยู่ดูแลก็ต้องการจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ารับช่วงต่อดูแลร้านอาหาร สุดท้ายสมบัติชิ้นนี้ที่คุณตาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ตกเป็นของแม่เขา ทว่าขวัญรินก็อายุมากขึ้นทุกวัน เธออยากอยู่บ้านอย่างสบายมากกว่าจึงมอบมันให้ลูกชายดูแลต่อ“ที่ย้ายไปคงไม่ใช่เพราะ..” ชัชวินนิ่งชะงักกับสิ่งที่ตนกำลังจะพูด“มึงให้คนตามสืบจนรู้แล้วเหรอว่าอัยย์อยู่ที่ไหน ถึงกูจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเพราะอัยย์
“มื้อเช้าพร้อมแล้วนะครับคุณชัช”เลขาคนสนิทขึ้นมาเคาะห้องเรียกผู้เป็นนายหลังจากจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้เสร็จสรรพอย่างเช่นที่ทำเป็นประจำหลายวันมานี้ชัชวินพูดน้อยลงยิ่งกว่าเดิม จากปกติที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว บางครั้งก็นั่งเหม่อลอยคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่างคนเจ้าเสน่ห์อย่างชัชวินดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ไทท์ที่อยู่ใกล้ชิดทุกวันยังสังเกตเห็นได้ง่ายเจ้าของร่างสูงเดินลงมานั่งประจำที่ที่โต๊ะทานข้าว จ้องมองอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย“ผมยังไม่หิว ขอไปทำงานก่อนแล้วกัน”ไทท์มองตามผู้เป็นนายเดินลุกออกจากโต๊ะขึ้นไปที่ห้องทำงาน ผิดปกติจริง ๆ ชัชวินไม่ใช่คนที่จะละเลยมื้ออาหาร หากตื่นมาแล้ว ยังไงก็ต้องทานอะไรสักนิดสักหน่อยเพื่อที่ท้องจะได้ไม่ว่างจนเกินไป แต่นี่กลับไม่แตะแม้แต่น้ำหากสาเหตุมาจากคนที่เก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้านอย่างที่เขาคิด อย่างนั้นชัชวินคงต้องคิดพิจารณาความรู้สึกตัวเองใหม่อย่างถี่ถ้วนนับตั้งแต่วันที่เขาเอาเงินจากอัยย์มาคืนให้ชัชวินตามที่อีกคนขอ นายของเขาก็นิ่งเงียบไป ไม่แม้แต่จะขยับปากเอื้อนเอ่ยหรือถามสิ่งใดออกมาจนถึงตอนนี้ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ควรก้าวก่ายแต่ก็อด