พี่ลีวายยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจที่เห็นว่าฉันยอม เขาคงจะดีใจมากที่สามารถบีบบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้“ถ้าอยากให้เช็ดตัวให้ก็เปิดห้องสิคะ”“เปิดทำไม”“จะไปเอากะละมังมาใส่น้ำไง”“ไม่ต้อง เอาผ้าชุบน้ำอุ่นก็พอ”ฉันลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ใจคอคงไม่ยอมออกไปจากห้องง่าย ๆ ฉันพลาดเองที่มาติดกับดักฉันหยิบผ้าผืนเล็กเข้ามาในห้องน้ำแล้วเปิดน้ำอุ่น ๆ จากฝักบัวใส่ก่อนจะบิดหมาด ๆ แล้วเดินกลับมาที่เตียง“เช็ดให้ทั่วตัว”ฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรและเมินคำสั่งนั้นก่อนจะจับเอาท่อนแขนแกร่งขึ้นมาเช็ด ทำแบบนั้นแค่ท่อนบนเพราะไม่อยากจะยุ่งอะไรกับท่อนล่าง“บอกให้เช็ดทั้งตัว”“ของตัวเองก็เช็ดเอาเองสิคะ”“คิดอะไร? แค่ให้เช็ดขาเธอคิดไปถึงไหน”“…” ฉันกัดริมฝีปากแน่น แน่นอนว่ามันก็แค่ข้ออ้างเพราะคำพูดของเขามันกำกวมและสายตาที่สื่อถึงเรื่องลามกในหัวถึงไม่อยากทำแต่ก็ยอมทำง่าย ๆ เหตุผลก็เพราะจะได้รีบออกไปจากห้องสักที ฉันรู้ว่าตอนนี้พี่ลีวายกำลังมองอยู่แต่ทำเป็นไม่สนใจสายตาของเขา“เธอคิดอะไรกับไอ้เด็กนั่นหรือเปล่า”“เขาชื่อแทนค่ะ”“ไอ้เด็กเวรคนนั้นน่ะเหรอ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อได้ยินคำพูดหยาบคายหลุด
จนถึงตอนนี้ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว พี่ลีวายก็ยังไม่ยอมปลดล็อกประตูห้อง ทำให้ฉันต้องนั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงอีกมุมหนึ่งของห้อง “ไม่ง่วงบ้างเหรอคะ ปกติคนป่วยต้องนอนพักนะ” ที่ถามไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่ฉันอยากออกไปจากห้องเต็มทีแล้ว“ถ้าฉันนอนหลับตื่นมาแล้วเธอยังจะอยู่ในห้องหรือเปล่า” เขาพูดจาแปลก ๆ อีกแล้วรู้สึกไม่ชินเอาซะเลย“อยากให้มิลินอยู่ในห้องนี้จนกว่าจะหายป่วยเลยเหรอคะ”“เธอบอกแบบนั้น”“มิลินจะลงไปนอนที่ห้องของตัวเอง มีอะไรก็เรียกแล้วกันค่ะ”“จะขึ้น ๆ ลง ๆ ให้เสียเวลาทำไมนอนกับฉันในห้องนี้เลยสิ” คำชวนนั้นทำให้ฉันขนลุก ถึงจะป่วยอยู่แต่ก็เชื่อไม่ได้อยู่ดี“คงไม่ดีหรอกค่ะ”“คิดว่าฉันจะทำอะไรเธอ?”“มิลินจะลงไปนอนที่ห้องตัวเองค่ะ” ฉันบอกยืนยันอย่างเด็ดขาดแต่พี่ลีวายกลับตอบมาอย่างเลือดเย็น “ไม่ได้”“เอ๊ะ! ทำไมถึงพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้คะ”“เธอต่างหากที่พูดไม่รู้เรื่อง”เป็นฉันอย่างนั้นเหรอที่พูดไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ยืนยันว่าจะไปนอนที่ห้องที่พี่ลีวายเอาแต่ปฏิเสธ ทำเหมือนกลัวว่าฉันจะหนีไปไหน“เดี๋ยวฉันให้แม่บ้านเอาที่นอนมาปูให้ ถ้าฉันยังไม่หายป่วย เธอก็ออกไปไม่ได้”“แบบนี้เรียกว่ากักขังนะคะ ม
ทำไมฉันต้องยอมให้พี่ลีวายกดขี่ขนาดนี้ด้วย ทำไมต้องสู้แรงเขาไม่ได้ทั้งที่เขาป่วยอยู่แท้ ๆ ไม่ได้อยากจะอยู่แบบนี้เลยสักนิด“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะ” ฉันตะเบ็งเสียงบอกอย่างจริงจังอีกครั้ง ก่อนที่พี่ลีวายจะพ่นลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดมายังใบหู“ไม่ปล่อย”กริ่ง~ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแต่ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะกดรับสายเพราะถูกโอบรัดเอาไว้ทำให้ขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลย“พี่ลีวาย!!”“ฉันก็แค่ไม่อยากให้เธอยุ่งกับไอ้เด็กเวรนั่น”“แทนค่ะ กรุณาเรียกชื่อให้ถูก”“ฉันหวงเมียตัวเองแล้วมันผิดตรงไหน”“…” ฉันเงียบเมื่อพี่ลีวายเอ่ยคำนั้นออกมา เขาคงพยายามเป็นอย่างมากเพื่อให้ฉันหวั่นไหว แล้วฉันจะได้กลับไปทำตัวเชื่อง ๆ อย่างเมื่อก่อน“เดี๋ยวนี้พูดคำว่าเมียออกมาบ่อยนะคะ”“… ในเมื่อมันเป็นความจริง ทำไมฉันจะพูดไม่ได้”ฉันหันมองใบหน้าคมคายที่อยู่ใกล้ ๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนความเงียบจะครอบงำ พี่ลีวายค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ ๆ จนริมฝีปากของเราทั้งคู่ประกบกัน“อื้อ~”สมองมันอื้อไปชั่วขณะ ข้างในมันขาวโพลน รู้ตัวอีกทีพี่ลีวายก็สอดลิ้นสากเข้ามาในโพรงปากแล้ว ลมหายใจร้อนผ่าวเริ่มถี่รัวขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นมาบีบขยำห
ฉันรอให้พี่ลีวายพูดคำนี้ และเขาก็พ่นมันออกมาจริง ๆ จึงถือโอกาสรีบเปิดประตูออกมาจากห้อง หากให้นอนเฝ้าทั้งคืนคงเป็นฉันที่อดหลับอดนอนเพราะดูท่าเขาคงจะหาเรื่องไม่เลิก“คุณลีวายหลับไปแล้วเหรอหนูมิลิน” ป้านารีบถามอย่างเป็นห่วง“ยังหรอกค่ะ”“แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง”“ก็เหมือนจะหายดีแล้วนะคะ ปากร้ายเหมือนเดิม” พอฉันบอกแบบนั้นป้านาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ“ป้ารู้ว่าคุณลีวายชอบพูดจาไม่ดีกับหนูอยู่เรื่อย ป้าก็พยายามเตือนอยู่หลายครั้ง”“เตือนไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอกค่ะป้า หนูมันลูกคนใช้เขาจะพูดร้ายใส่ยังไงก็ไม่ผิดหรอก”“อย่าดูถูกตัวเองแบบนั้นสิ”“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว มีงานอะไรให้หนูช่วยทำไหมคะ”“เดี๋ยวป้าทำเอง…”“อีกแล้วนะคะ ให้มิลินช่วยงานบ้างสิ” แม่บ้านทุกคนแทบไม่ค่อยให้ฉันช่วยงานอะไรเลยคงเพราะเห็นว่าฉันเรียนหนังสืออยู่ด้วย“ป้าทำเสร็จหมดแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นหนูกลับก่อนนะคะ”“ไม่อยู่ดูแลคุณลีวายก่อนเหรอหนูมิลิน เห็นคุณท่านบอกว่าฝากให้หนูดูแล”“พี่ลีวายไล่หนูออกมาเองค่ะ”พอบอกแบบนั้นป้านาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย“ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้น ฝากป้านาช่วยพูดให้พี่ลีวายไปหาหมอทีนะคะ”เคร
Talk มิลินถ้าพี่ลีวายจะเรียกพริตตี้มาดูแลจริง ๆ ฉันก็คงห้ามอะไรไม่ได้และจะทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน เขาอยากทำอะไรมันก็เรื่องของเขา#กลับมาที่คอนโดอย่างที่บอกเอาไว้ว่าวันนี้ไม่ได้อยู่เฝ้าเพราะพี่ลีวายบอกเอาไว้ว่าถ้าไม่เต็มใจก็ให้กลับ แต่เหมือนคนที่บอกจะไม่อยากให้กลับสักเท่าไร คงอยากใช้ให้ฉันทำนู่นทำนี่พอไม่ได้ดั่งใจก็ต่อว่าหาเรื่องจริง ๆ ก็แอบรู้สึกผิดที่ผิดคำสัญญากับคุณท่านแต่ทำไงได้…@วันต่อมาวันนี้ฉันไม่มีเรียนจึงไม่ได้ออกไปไหนได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่ห้องและโทรถามป้านาถึงอาการป่วยของพี่ลีวาย ไม่ใช่เพราะห่วงหรืออะไรเพราะกลัวว่าเขาจะตามตัวให้ไปเฝ้าอีก ซึ่งฉันไม่อยากไป พอป้านาบอกว่าพี่ลีวายดีขึ้นแล้วก็โล่งใจ#ตกเย็นตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าควรจะไปคลับดีไหมเพราะอยู่ห้องมาทั้งวันมันเบื่อจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว“อยากชวนน้ำอิงไปเที่ยวด้วยกันจัง แต่เธอคงไม่ว่างไปด้วย หรือฉันจะโทรไปขออนุญาตกับพี่เฟยดีนะ”“ไม่เอาดีกว่า ไปคนเดียวก็ได้”ฉันพูดกับตัวเองราวกับคนบ้าก่อนจะหยิบผ้าขนหนูเดินเข้ามาในห้องน้ำ ใช้เวลานานนับชั่วโมงในการอาบน้ำแต่งตัว@คลับฉันเลือกมาคลับของพี่ลีวายที่หุ้นกับเพื่อน ๆ ของเ
ผมมองไอ้คัลเลนอย่างไม่ชอบใจก่อนจะกลับมานั่งดื่มที่โต๊ะ“ไม่ดูต่อ ระวังมีหนุ่มมาจีบนะ” มันพูดแซว แต่ผมก็ยังนิ่ง และทำเหมือนไม่ใส่ใจ “มึงช่วยหุบปากหรือไปไกล ๆ ได้ไหมไอ้คัลเลน!!”“สารภาพกับน้องไปเถอะว่ามึงรู้สึกยังไง”“ไอ้คัลเลน!!!”“เออ ๆ กูจะเงียบ มึงคิดเอาเองก็แล้วกัน”ผมพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะหันมองไปที่ชั้นล่าง แปลกที่ผู้คนมากมายจนล้นคลับแต่สายตาของผมกลับโฟกัสแค่เธอคนเดียวหรือว่าจะเป็นอย่างที่ไอ้คัลเลนบอก ผมชอบเธออย่างนั้นเหรอวะ!! เป็นไปได้ยังไง“จู่ ๆ เหยื่อก็มาหากูถึงที่”“อะไรของมึง?” ผมมองหน้าไอ้คัลเลนที่กำลังเพ่งสายตามองใครสักคนที่ชั้นล่าง“น้องสาวไอ้เรย์”“เธอมา?”“อืม ไม่คิดว่ามันจะปล่อยให้น้องสาวมาที่นี่”ผมเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างไอ้เรย์ที่หวงน้องสาวอย่างกับไข่ในหินจะปล่อยให้น้องมันมาโผล่ที่คลับของพวกผมได้ แบบนี้คงเข้าทางไอ้คัลเลน“แล้วมึงจะทำยังไง?”“น้องสาวมันสวยใช่เล่น กูว่าจะไปทักทายสักหน่อย”“แค่ทักทาย?”ไอ้คัลเลนไหวไหล่อย่างรู้กันกับผม คนอย่างมันคงไม่ใช่แค่ทักทายเพราะในหัวมันคิดเรื่องชั่วมากกว่านั้น“เธอโชคร้ายจริง ๆ ที่เกิดมาเป็นน้องสาวของคนที่ฉันเกลียด” พูด
พี่ลีวายจ้องหน้าฉันครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแล้วตอบ “ทำไมฉันจะไม่มีหัวใจ”“อ๋อลืมไป พี่ลีวายเคยบอกว่าตัวเองมีหัวใจ แต่ไม่มีพื้นที่ให้กับมิลิน จำได้แล้วค่ะ” ฉันไม่คิดว่าการเอ่ยคำที่พี่ลีวายเลยพูดนั้นเป็นการตอกย้ำตัวเอง จะได้เตือนต่างหากว่าเขาเคยเป็นยังไง“ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว อย่าทำเป็นดูไม่ออก”“นี่เรียกว่าเปลี่ยนแล้วเหรอคะ มิลินไม่เห็นจะรู้สึกเลย”“… เธอก็แค่ปฏิเสธทั้งที่รู้สึก”“จะบังคับให้มิลินรู้สึกให้ได้เลยใช่ไหมคะ” พี่ลีวายขบกรามแน่นก่อนจะก้าวขามาข้างหน้าฉันจึงรีบถอยหนีทันทีเพื่อเว้นระยะห่าง ก่อนจะบอก “อ๋อมิลินรู้แล้ว ที่ต้องแกล้งทำเป็นรู้สึกเพราะไม่อยากไปฮ่องกงใช่ไหมคะ”“เกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้น?” พี่ลีวายขมวดคิ้วถาม“ก็เพราะพี่ลีวายคงอยากให้มิลินไปคุยกับคุณท่านให้”“… ถ้าฉันไม่อยากไป เธอคิดว่าใครจะบังคับได้?”“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปสิ”“ตอนนี้ฉันไม่อยากไปแล้ว… เพราะเธอ” จู่ ๆ บทสนทนาก็เปลี่ยนไป คำตอบของพี่ลีวายทำให้ฉันหยุดชะงักและถอยหนีเขาจนติดกำแพง“เกี่ยวอะไรกับมิลิน ไม่ได้ห้ามสักหน่อย!!”“เพราะฉันคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกบางอย่างกับเธอ”“…” พี่ลีวายเดินม
หมับ!!! อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงรถอยู่แล้วแต่พี่ลีวายกลับคว้ามือมารั้งแขนฉันไว้ได้ทันซะก่อน ทำให้ต้องถอนหายใจพรืดใหญ่อย่างหงุดหงิด“ปล่อย” ฉันพูดเน้นคำให้ฟังชัด ๆ ด้วยสีหน้าที่จริงจัง ไม่รู้ว่าผีอะไรเข้าสิงคนตรงหน้าถึงได้เหมือนเปลี่ยนไปราวกับคนละคนที่เคยรู้จัก“คุยกันดี ๆ สักครั้งได้ไหม”“คุยกันในฐานะอะไรเหรอคะ”“ผัวเมีย”พี่ลีวายเอ่ยคำนั้นออกมาหน้าตาเฉยทำให้ฉันถึงกับต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง นี่ฉันแสดงออกไม่ชัดเจนหรอว่าในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับคำพูดเหล่านั้นอีกแล้วพี่ลีวายถึงดูไม่ออก“พ่อบอกฉันเรื่องแม่ของเธอแล้ว”“เรื่องแม่เหรอคะ?”“อืม เป็นฉันที่เข้าใจผิดมาตลอด แต่จริง ๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของฉันทั้งหมดเพราะพ่อไม่เคยอธิบายอะไรเลยต่างหาก”ให้ตายสิ มันเกือบจะดีอยู่แล้วเชียวแต่ก็อย่างว่าพี่ลีวายไม่เคยโทษตัวเองสักครั้ง จริง ๆ ฉันเองก็สงสัยว่าเรื่องของแม่คือยังไงแต่ไม่อยากถามเพราะไม่อยากพูดยืดเยื้อ“กลับไปกับฉันแล้วคุยกันดี ๆ ได้ไหม?” ไม่รู้ว่าสายตาของฉันมองผิดไปหรือเปล่าที่ตอนนี้สายตาคู่นั้นของพี่ลีวายกำลังอ้อนวอนคำตอบจากฉันอยู่“คุยดี ๆ บนเตียงน่ะเหรอคะ คิดเหรอว่ามิลินรู้ไม่ทัน”“ไ