ฉันเดินกลับมาหยิบชามข้าวอย่างไม่เต็มใจ แล้วนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กับพี่ลีวายที่นอนอยู่“ทำหน้าให้มันดี ๆ แค่ป้อนข้าวฉันคงไม่ทำให้เธอขาดใจตายหรอก”“ป่วยแต่ปากร้ายไม่แผ่วเลยนะคะ” ฉันตักข้าวต้มแล้วเอามาจ่อที่ปากของพี่ลีวายพร้อมออกคำสั่ง “อ้าปากด้วยค่ะ”พี่ลีวายทำเมินก่อนที่เขาจะวางมือลงบนขาของฉันอย่างถือวิสาสะ แล้วพูด “เธอบอกกับฉันว่าต่างคนต่างอยู่”ดูก็รู้ว่าตอนนี้พี่ลีวายกำลังหลงตัวเองคิดว่าฉันเป็นห่วงเขาจนต้องมาป้อนข้าวป้อนน้ำถึงบนห้อง“บอกไปแล้วนี่คะว่าคุณท่านขอให้มา”“พ่อฉันขอแต่ถ้าเธอจะไม่มาใครก็บังคับไม่ได้ จริงไหม?”ฉันถอนหายใจออกมากหนัก ๆ เมื่อพี่ลีวายพูดไม่รู้เรื่อง ก่อนจะถามเสียงห้วน “จะกินไหมคะข้าว?”“ถ้าพ่อไม่ขอเธอคงไม่โผล่หน้ามาสินะ”“คงงั้นค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นแปลว่าครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายเข้ามาวุ่นวายกับฉันเอง”“สรุปจะกินข้าวไหมคะ ถ้าไม่กินก็ช่วยปลดล็อกประตูให้มิลินด้วย” ฉันบอกอย่างหงุดหงิดและแสดงสีหน้าไม่พอใจที่เขาเอาแต่พูด แถมยังจะยัดเหยียดว่าฉันเป็นฝ่ายที่อยากจะเข้าหาตัวเองอีกพอฉันจะดึงมือที่ถือช้อนออกพี่ลีวายก็คว้ามือมาจับก่อนจะยกศีรษะขึ้นมาใช้ปากงับข้าวที่อยู่ในช้อนกิน ย
พี่ลีวายยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจที่เห็นว่าฉันยอม เขาคงจะดีใจมากที่สามารถบีบบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้“ถ้าอยากให้เช็ดตัวให้ก็เปิดห้องสิคะ”“เปิดทำไม”“จะไปเอากะละมังมาใส่น้ำไง”“ไม่ต้อง เอาผ้าชุบน้ำอุ่นก็พอ”ฉันลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ใจคอคงไม่ยอมออกไปจากห้องง่าย ๆ ฉันพลาดเองที่มาติดกับดักฉันหยิบผ้าผืนเล็กเข้ามาในห้องน้ำแล้วเปิดน้ำอุ่น ๆ จากฝักบัวใส่ก่อนจะบิดหมาด ๆ แล้วเดินกลับมาที่เตียง“เช็ดให้ทั่วตัว”ฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรและเมินคำสั่งนั้นก่อนจะจับเอาท่อนแขนแกร่งขึ้นมาเช็ด ทำแบบนั้นแค่ท่อนบนเพราะไม่อยากจะยุ่งอะไรกับท่อนล่าง“บอกให้เช็ดทั้งตัว”“ของตัวเองก็เช็ดเอาเองสิคะ”“คิดอะไร? แค่ให้เช็ดขาเธอคิดไปถึงไหน”“…” ฉันกัดริมฝีปากแน่น แน่นอนว่ามันก็แค่ข้ออ้างเพราะคำพูดของเขามันกำกวมและสายตาที่สื่อถึงเรื่องลามกในหัวถึงไม่อยากทำแต่ก็ยอมทำง่าย ๆ เหตุผลก็เพราะจะได้รีบออกไปจากห้องสักที ฉันรู้ว่าตอนนี้พี่ลีวายกำลังมองอยู่แต่ทำเป็นไม่สนใจสายตาของเขา“เธอคิดอะไรกับไอ้เด็กนั่นหรือเปล่า”“เขาชื่อแทนค่ะ”“ไอ้เด็กเวรคนนั้นน่ะเหรอ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อได้ยินคำพูดหยาบคายหลุด
จนถึงตอนนี้ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว พี่ลีวายก็ยังไม่ยอมปลดล็อกประตูห้อง ทำให้ฉันต้องนั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงอีกมุมหนึ่งของห้อง “ไม่ง่วงบ้างเหรอคะ ปกติคนป่วยต้องนอนพักนะ” ที่ถามไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่ฉันอยากออกไปจากห้องเต็มทีแล้ว“ถ้าฉันนอนหลับตื่นมาแล้วเธอยังจะอยู่ในห้องหรือเปล่า” เขาพูดจาแปลก ๆ อีกแล้วรู้สึกไม่ชินเอาซะเลย“อยากให้มิลินอยู่ในห้องนี้จนกว่าจะหายป่วยเลยเหรอคะ”“เธอบอกแบบนั้น”“มิลินจะลงไปนอนที่ห้องของตัวเอง มีอะไรก็เรียกแล้วกันค่ะ”“จะขึ้น ๆ ลง ๆ ให้เสียเวลาทำไมนอนกับฉันในห้องนี้เลยสิ” คำชวนนั้นทำให้ฉันขนลุก ถึงจะป่วยอยู่แต่ก็เชื่อไม่ได้อยู่ดี“คงไม่ดีหรอกค่ะ”“คิดว่าฉันจะทำอะไรเธอ?”“มิลินจะลงไปนอนที่ห้องตัวเองค่ะ” ฉันบอกยืนยันอย่างเด็ดขาดแต่พี่ลีวายกลับตอบมาอย่างเลือดเย็น “ไม่ได้”“เอ๊ะ! ทำไมถึงพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้คะ”“เธอต่างหากที่พูดไม่รู้เรื่อง”เป็นฉันอย่างนั้นเหรอที่พูดไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ยืนยันว่าจะไปนอนที่ห้องที่พี่ลีวายเอาแต่ปฏิเสธ ทำเหมือนกลัวว่าฉันจะหนีไปไหน“เดี๋ยวฉันให้แม่บ้านเอาที่นอนมาปูให้ ถ้าฉันยังไม่หายป่วย เธอก็ออกไปไม่ได้”“แบบนี้เรียกว่ากักขังนะคะ ม
ทำไมฉันต้องยอมให้พี่ลีวายกดขี่ขนาดนี้ด้วย ทำไมต้องสู้แรงเขาไม่ได้ทั้งที่เขาป่วยอยู่แท้ ๆ ไม่ได้อยากจะอยู่แบบนี้เลยสักนิด“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะ” ฉันตะเบ็งเสียงบอกอย่างจริงจังอีกครั้ง ก่อนที่พี่ลีวายจะพ่นลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดมายังใบหู“ไม่ปล่อย”กริ่ง~ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแต่ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะกดรับสายเพราะถูกโอบรัดเอาไว้ทำให้ขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลย“พี่ลีวาย!!”“ฉันก็แค่ไม่อยากให้เธอยุ่งกับไอ้เด็กเวรนั่น”“แทนค่ะ กรุณาเรียกชื่อให้ถูก”“ฉันหวงเมียตัวเองแล้วมันผิดตรงไหน”“…” ฉันเงียบเมื่อพี่ลีวายเอ่ยคำนั้นออกมา เขาคงพยายามเป็นอย่างมากเพื่อให้ฉันหวั่นไหว แล้วฉันจะได้กลับไปทำตัวเชื่อง ๆ อย่างเมื่อก่อน“เดี๋ยวนี้พูดคำว่าเมียออกมาบ่อยนะคะ”“… ในเมื่อมันเป็นความจริง ทำไมฉันจะพูดไม่ได้”ฉันหันมองใบหน้าคมคายที่อยู่ใกล้ ๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนความเงียบจะครอบงำ พี่ลีวายค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ ๆ จนริมฝีปากของเราทั้งคู่ประกบกัน“อื้อ~”สมองมันอื้อไปชั่วขณะ ข้างในมันขาวโพลน รู้ตัวอีกทีพี่ลีวายก็สอดลิ้นสากเข้ามาในโพรงปากแล้ว ลมหายใจร้อนผ่าวเริ่มถี่รัวขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นมาบีบขยำห
ฉันรอให้พี่ลีวายพูดคำนี้ และเขาก็พ่นมันออกมาจริง ๆ จึงถือโอกาสรีบเปิดประตูออกมาจากห้อง หากให้นอนเฝ้าทั้งคืนคงเป็นฉันที่อดหลับอดนอนเพราะดูท่าเขาคงจะหาเรื่องไม่เลิก“คุณลีวายหลับไปแล้วเหรอหนูมิลิน” ป้านารีบถามอย่างเป็นห่วง“ยังหรอกค่ะ”“แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง”“ก็เหมือนจะหายดีแล้วนะคะ ปากร้ายเหมือนเดิม” พอฉันบอกแบบนั้นป้านาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ“ป้ารู้ว่าคุณลีวายชอบพูดจาไม่ดีกับหนูอยู่เรื่อย ป้าก็พยายามเตือนอยู่หลายครั้ง”“เตือนไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอกค่ะป้า หนูมันลูกคนใช้เขาจะพูดร้ายใส่ยังไงก็ไม่ผิดหรอก”“อย่าดูถูกตัวเองแบบนั้นสิ”“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว มีงานอะไรให้หนูช่วยทำไหมคะ”“เดี๋ยวป้าทำเอง…”“อีกแล้วนะคะ ให้มิลินช่วยงานบ้างสิ” แม่บ้านทุกคนแทบไม่ค่อยให้ฉันช่วยงานอะไรเลยคงเพราะเห็นว่าฉันเรียนหนังสืออยู่ด้วย“ป้าทำเสร็จหมดแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นหนูกลับก่อนนะคะ”“ไม่อยู่ดูแลคุณลีวายก่อนเหรอหนูมิลิน เห็นคุณท่านบอกว่าฝากให้หนูดูแล”“พี่ลีวายไล่หนูออกมาเองค่ะ”พอบอกแบบนั้นป้านาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย“ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้น ฝากป้านาช่วยพูดให้พี่ลีวายไปหาหมอทีนะคะ”เคร
Talk มิลินถ้าพี่ลีวายจะเรียกพริตตี้มาดูแลจริง ๆ ฉันก็คงห้ามอะไรไม่ได้และจะทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน เขาอยากทำอะไรมันก็เรื่องของเขา#กลับมาที่คอนโดอย่างที่บอกเอาไว้ว่าวันนี้ไม่ได้อยู่เฝ้าเพราะพี่ลีวายบอกเอาไว้ว่าถ้าไม่เต็มใจก็ให้กลับ แต่เหมือนคนที่บอกจะไม่อยากให้กลับสักเท่าไร คงอยากใช้ให้ฉันทำนู่นทำนี่พอไม่ได้ดั่งใจก็ต่อว่าหาเรื่องจริง ๆ ก็แอบรู้สึกผิดที่ผิดคำสัญญากับคุณท่านแต่ทำไงได้…@วันต่อมาวันนี้ฉันไม่มีเรียนจึงไม่ได้ออกไปไหนได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่ห้องและโทรถามป้านาถึงอาการป่วยของพี่ลีวาย ไม่ใช่เพราะห่วงหรืออะไรเพราะกลัวว่าเขาจะตามตัวให้ไปเฝ้าอีก ซึ่งฉันไม่อยากไป พอป้านาบอกว่าพี่ลีวายดีขึ้นแล้วก็โล่งใจ#ตกเย็นตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าควรจะไปคลับดีไหมเพราะอยู่ห้องมาทั้งวันมันเบื่อจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว“อยากชวนน้ำอิงไปเที่ยวด้วยกันจัง แต่เธอคงไม่ว่างไปด้วย หรือฉันจะโทรไปขออนุญาตกับพี่เฟยดีนะ”“ไม่เอาดีกว่า ไปคนเดียวก็ได้”ฉันพูดกับตัวเองราวกับคนบ้าก่อนจะหยิบผ้าขนหนูเดินเข้ามาในห้องน้ำ ใช้เวลานานนับชั่วโมงในการอาบน้ำแต่งตัว@คลับฉันเลือกมาคลับของพี่ลีวายที่หุ้นกับเพื่อน ๆ ของเ
ผมมองไอ้คัลเลนอย่างไม่ชอบใจก่อนจะกลับมานั่งดื่มที่โต๊ะ“ไม่ดูต่อ ระวังมีหนุ่มมาจีบนะ” มันพูดแซว แต่ผมก็ยังนิ่ง และทำเหมือนไม่ใส่ใจ “มึงช่วยหุบปากหรือไปไกล ๆ ได้ไหมไอ้คัลเลน!!”“สารภาพกับน้องไปเถอะว่ามึงรู้สึกยังไง”“ไอ้คัลเลน!!!”“เออ ๆ กูจะเงียบ มึงคิดเอาเองก็แล้วกัน”ผมพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะหันมองไปที่ชั้นล่าง แปลกที่ผู้คนมากมายจนล้นคลับแต่สายตาของผมกลับโฟกัสแค่เธอคนเดียวหรือว่าจะเป็นอย่างที่ไอ้คัลเลนบอก ผมชอบเธออย่างนั้นเหรอวะ!! เป็นไปได้ยังไง“จู่ ๆ เหยื่อก็มาหากูถึงที่”“อะไรของมึง?” ผมมองหน้าไอ้คัลเลนที่กำลังเพ่งสายตามองใครสักคนที่ชั้นล่าง“น้องสาวไอ้เรย์”“เธอมา?”“อืม ไม่คิดว่ามันจะปล่อยให้น้องสาวมาที่นี่”ผมเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างไอ้เรย์ที่หวงน้องสาวอย่างกับไข่ในหินจะปล่อยให้น้องมันมาโผล่ที่คลับของพวกผมได้ แบบนี้คงเข้าทางไอ้คัลเลน“แล้วมึงจะทำยังไง?”“น้องสาวมันสวยใช่เล่น กูว่าจะไปทักทายสักหน่อย”“แค่ทักทาย?”ไอ้คัลเลนไหวไหล่อย่างรู้กันกับผม คนอย่างมันคงไม่ใช่แค่ทักทายเพราะในหัวมันคิดเรื่องชั่วมากกว่านั้น“เธอโชคร้ายจริง ๆ ที่เกิดมาเป็นน้องสาวของคนที่ฉันเกลียด” พูด
พี่ลีวายจ้องหน้าฉันครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแล้วตอบ “ทำไมฉันจะไม่มีหัวใจ”“อ๋อลืมไป พี่ลีวายเคยบอกว่าตัวเองมีหัวใจ แต่ไม่มีพื้นที่ให้กับมิลิน จำได้แล้วค่ะ” ฉันไม่คิดว่าการเอ่ยคำที่พี่ลีวายเลยพูดนั้นเป็นการตอกย้ำตัวเอง จะได้เตือนต่างหากว่าเขาเคยเป็นยังไง“ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว อย่าทำเป็นดูไม่ออก”“นี่เรียกว่าเปลี่ยนแล้วเหรอคะ มิลินไม่เห็นจะรู้สึกเลย”“… เธอก็แค่ปฏิเสธทั้งที่รู้สึก”“จะบังคับให้มิลินรู้สึกให้ได้เลยใช่ไหมคะ” พี่ลีวายขบกรามแน่นก่อนจะก้าวขามาข้างหน้าฉันจึงรีบถอยหนีทันทีเพื่อเว้นระยะห่าง ก่อนจะบอก “อ๋อมิลินรู้แล้ว ที่ต้องแกล้งทำเป็นรู้สึกเพราะไม่อยากไปฮ่องกงใช่ไหมคะ”“เกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้น?” พี่ลีวายขมวดคิ้วถาม“ก็เพราะพี่ลีวายคงอยากให้มิลินไปคุยกับคุณท่านให้”“… ถ้าฉันไม่อยากไป เธอคิดว่าใครจะบังคับได้?”“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปสิ”“ตอนนี้ฉันไม่อยากไปแล้ว… เพราะเธอ” จู่ ๆ บทสนทนาก็เปลี่ยนไป คำตอบของพี่ลีวายทำให้ฉันหยุดชะงักและถอยหนีเขาจนติดกำแพง“เกี่ยวอะไรกับมิลิน ไม่ได้ห้ามสักหน่อย!!”“เพราะฉันคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกบางอย่างกับเธอ”“…” พี่ลีวายเดินม
สี่เดือนผ่านไปหลังจากที่พูดเรื่องแต่งครั้งนั้นก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลยเพราะฉันยุ่งเรื่องเรียน ส่วนพี่ลีวายก็ยุ่งเรื่องงานที่บริษัท เอาจริง ๆ คือเราแทบไม่เจอกันเลยด้วยซ้ำเพราะโทรหากันบ่อยมากกว่าไปเจอฉันไม่ยอมย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะคอนโดมันใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า ทั้งที่คุณท่านและพี่ลีวายก็ขอให้ย้ายกลับไป แต่คิดว่าอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะเรียนจบแล้วฉันจึงขออยู่ให้ถึงเรียนจบเลยดีกว่านี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่พี่ลีวายว่างมารอรับที่มหาวิทยาลัย เพราะปกติเขางานยุ่งแทบไม่มีเวลาปลีกตัวทำอะไรเลยไหนจะต้องบินไปฮ่องกงบ่อย ๆ อีก“มิลิน ๆ งานโปรเจกต์ที่จะทำด้วยกันจะนัดทำที่ไหนดี” อาตถามเพราะอาจารย์จับคู่ให้เขาสองคน“อาตสะดวกที่ไหน ถ้าบ้านมิลินคงต้องขออนุญาตคุณท่านก่อน”“ที่บ้านมิลินก็ได้เพราะถ้าทำที่บ้านเราเดี๋ยวเธออึดอัด มันไม่เหมาะสมด้วย” อาตค่อนข้างวางตัวดี ยังจำได้ว่าตอนนั้นเขาเกือบจะจีบฉัน แต่มีน้องแทนมาตัดหน้าซะก่อนพูดถึงน้องแทนตอนนี้เขาย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศแล้ว นาน ๆ ทีจะส่งข้อความมาคุยกัน พอถามเรื่องหัวใจก็บอกว่ามีดู ๆ อยู่บ้าง ฉันดีใจนะที่ตอนนี้แทนยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองแล้ว
กว่าจะโอ๋ให้พี่ลีวายหยุดร้องไห้ได้ก็นานพอสมควร เขาคงรู้สึกผิดและเข็ดหลาบแล้วจริง ๆ แต่ตอนนี้นี่สิ นั่งกอดฉันไว้บนตักไม่ยอมให้ลุกขึ้นไปไหนเลย“พี่ลีวาย”“หืม?”“มิลินนั่งอยู่บนตักพี่ลีวายแบบนี้มาเป็นชั่วโมงแล้วนะคะ”“แล้วยังไงต่อครับ”“ปล่อยหนูก่อนได้ไหม”“รู้ไหมว่าพูดแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ไม่อยากปล่อย”ไม่พูดเปล่าพี่ลีวายกดริมฝีปากจูบลงมาบนซอกคอของฉันด้วย เขาลากไล้ริมฝีปากดูดเลียและขบเม้มจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว“อื้อ~ ยะ... หยุดก่อน”“พี่คิดถึงเธอใจแทบขาด”พอได้ยินอีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพี่ทำเอาฉันถึงกับทำตัวไม่ถูก ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแล้วตอนนี้“อยากเป็นเด็กเหรอคะถึงแทนตัวเองว่าพี่”“ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้น”“แต่ก็แก่อยู่ดีนี่นา”“ทำไมชอบว่าฉันแก่” พี่ลีวายถามเสียงเข้ม เมื่อกี้ยังพูดเสียงอ้อนเสียงหวานอยู่เลยพอพูดเข้มใส่มันทำให้ฉันตกใจไม่น้อย“ก็พี่ลีวายสามสิบกว่าแล้ว”“ทำไมชอบพูดเรื่องอายุ”“ทำไมต้องโกรธมิลินด้วย” ฉันถามกลับเพราะเหมือนว่าตอนนี้พี่ลีวายกำลังไม่พอใจ“ก็ดูเธอพูด ทำไมชอบบอกว่าฉันแก่ แก่ยังไงก็เป็นผัวเธอ”“อื้อ!!!”ฉันร้องอุทานเสียงดังเมื่อถูกเขี้ยวฟันคมของพี่ลีวายงับมาบนพวงแก้ม ถึงแ
Talk ลีวาย“กูบอกมึงแล้วว่าแผนมันไม่เวิร์ค!!”“ทำอะไรไม่คิด”“เป็นไงพวกกูเลยถูกมิลินงอนไปด้วย”“มึงก็น่าจะบอกไปตั้งแต่แรกไม่น่ารอให้จับได้”“โง่ฉิบ!!”“พวกมึงหยุด!!!”ผมตวาดออกไปเสียงดังบอกให้คัลเลนและไอ้คาแลนให้หยุด เพราะตั้งแต่มาถึงที่คาสิโนมันก็เอาแต่บ่นไม่เว้นช่องว่างให้หายใจ“กูให้มาช่วยคิดวิธีง้อ ไม่ใช่ซ้ำเติม”“สมควร!!” มันสองพี่น้องสบถออกมาพร้อมกัน ทำให้ผมถอนหายใจพรืดใหญ่ คงคิดผิดจริง ๆ ที่ขอให้มันสองคนช่วย“แล้วยังไง มิลินก็โกรธกูเนี่ย” ไอ้คัลเลนยกมือขึ้นมากุมขมับ “โทรหาก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ”“มึงโทรหาเมียกู?” ผมขมวดคิ้วถามมัน“เออ”“โทรหาทำไม”“ก็มึงบอกว่ามิลินโกรธกู”“มึงจะเดือดร้อนอะไร กูมากกว่าไหมที่ต้องเดือดร้อน เมียไม่ยอมให้ไปเจอหน้า”“นั่นน้องกูไหมวะ”“มั่นใจว่ามึงคิดแค่น้อง?” ผมถามอย่างหาเรื่อง ถึงจะเป็นเพื่อนแต่เรื่องนี้คงยอมให้ไม่ได้“มึงสองตัวหยุด! จะเถียงกันเพื่อ”“ดูน้องชายมึง! ทำไมมันชอบวุ่นวายกับเมียกูนัก”“เออคัลเลนมึงเลิกวอแวกับเมียมันก่อน ดูดิหวงจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว”“มึงเลิกโทรหาเมียกูเลยนะ”“เมียจะทิ้งอยู่แล้วยังจะหวง”“ไอ้สัส มึงเลิกพูด! เมียกูแค่งอนไม
#วันต่อมาฉันนอนอยู่บนเตียงโดยมีพี่ลีวายนอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างกาย เมื่อคืนเขานั้นร้อนแรงราวกับเพลิงไฟ ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนทั้งที่อายุก็เข้าเลขสามแล้วแท้ ๆ“ทำไมมีรอยตรงนี้นะ” ฉันมองท่อนแขนแกร่งที่มีรอยแผลเป็นซึ่งน่าจะเป็นรอยใหม่ ๆ ด้วย เพราะก่อนหน้าจำได้ว่าไม่มีแน่ ๆแผลมันอยู่สูงขึ้นมาเกือบจะถึงไหล่ ทำให้ฉันคิดว่าเขาไปได้รอยแผลนี้มาจากไหน หรือว่าถูกยิงสองจุดแล้วไม่ยอมบอกพรึบ! ฉันดึงผ้าห่มออกเพื่อจะสำรวจแผลที่ถูกยิงของพี่ลีวาย แต่ก็ต้องแปลกใจที่พยายามมองหาตรงแผงอกและหน้าท้องเท่าไร ก็ไม่เห็นแม้แต่รอยแผลเป็น บนตัวเขามีเพียงรอยแผลเดียวตรงท่อนแขนเท่านั้นแล้วตอนที่อยู่โรงพยาบาล เขาพันผ้าพันแผลรอบแผงอกล่ะ มันหมายความว่ายังไง แผลหายไปไหน“พี่ลีวาย!!” ฉันเรียกคนที่นอนหลับอยู่เสียงดังลั่นห้อง ทำให้ดวงตาคมค่อย ๆ ปรือขึ้นมามองช้า ๆ“ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”“อื้อ วันนี้ไม่เข้าบริษัทขอนอนต่ออีกนิดได้ไหม” เขาตอบเสียงงัวเงีย“ไม่ได้ มิลินจะคุยเดี๋ยวนี้ ตอนนี้” ฉันยื่นคำขาด ทำให้พี่ลีวายต้องฝืนตัวเองลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่ตายังไม่อยากจะลืมขึ้นมามอง“มีอะไร”“บอกมิลินอีกครั้งได้ไหม
พี่ลีวายหมกมุ่นอยู่กับฉันหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ฟังไม่ผิด เขาไม่ทำอะไรเลยนอกจากเรื่องบนเตียงแล้วก็ขี้อ้อนไปวัน ๆ“จะไปจริง ๆ ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ”พี่ลีวายทำหน้างอเมื่อฉันบอกว่าจะกลับคอนโดของตัวเอง อยากถ่ายคลิปตอนนี้เอาไว้ให้เขาดูจริง ๆ ว่าตัวเองงอแงขนาดไหน“ทำไมไม่ย้ายไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน”“นี่เราก็อยู่ด้วยกันเป็นอาทิตย์แล้วนะคะ”“หมายถึงย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน”“อยู่คอนโดมันใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่าไงคะ”“อยู่ที่บ้านฉันก็ไปส่งเธอได้ ได้ทุกวัน”“แต่พี่ลีวายต้องทำงาน”“ไปส่งเธอแล้วไปทำงาน”“อยู่คอนโดดีแล้วค่ะ สะดวกที่สุดแล้ว”ฉันตัดบทสนทนาอย่างเด็ดขาด จริง ๆ เรื่องกลับไปอยู่ที่บ้านพี่ลีวายพูดหลายครั้งแล้วแต่ฉันคิดว่าการอยู่คอนโดมันสะดวกมากกว่า อีกไม่นานก็จะเรียนจบแล้วด้วย จบแล้วค่อยกลับไปอยู่ที่บ้านก็ได้#วันต่อมาวันนี้ฉันมาเรียนแล้วยื่นคำขาดกับพี่ลีวายว่าจะกลับมานอนที่คอนโดของตัวเอง ซึ่งเขาก็ทำหน้างอนตุบป่องตั้งแต่เช้า“ได้ข่าวว่าพี่ลีวายติดแกมากเลยเหรอมิลิน” น้ำอิงถามพร้อมยิ้มกริ่ม“พี่เฟยบอกใช่ไหม รู้ดีจริง ๆ เลย”“อือ เล่าว่างานไม่ยอมทำเลยด้วย”“วันนี้ฉันไล่ให้ไปทำงาน หน้างอมาก”“ก็เขาติดแ
พอได้ยินฉันพูดแบบนั้นพี่ลีวายก็เริ่มยิ้มออก เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แล้วขโมยหอมไปหนึ่งที“ฉันรักเธอมาก ๆ มากที่สุด”“ค่ะ มิลินก็รักพี่ลีวายมาก ๆ มากที่สุดเหมือนกัน”สายตาของเราทั้งคู่มองประสานกัน ส่งมอบความรักทั้งหมดที่มีผ่านแววตานี้ ใบหน้าของพี่ลีวายขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนริมฝีปากของเราห่างกันไม่ถึงคืบปลายจมูกโด่งแนบชิดกับปลายจมูกฉัน พร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดลงมา ทำเอาหัวใจเต้นตุ้บตั้บไม่เป็นจังหวะฉันสัมผัสได้ถึงจังหวะการหายใจของพี่ลีวายที่คล้ายจะถี่ขึ้น จึงขยับใบหน้าออกห่าง ทว่ากลับถูกมือหนาคว้าท้ายทอยไว้ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงมาจูบอย่างแนบแน่นดวงตาฉันเบิกกว้างอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทว่าครู่เดียวก็คล้อยตามไปกับจูบหวานละมุนของคนตรงหน้าพี่ลีวายบรรจงขบเม้มและดูดดึงกลีบปากของฉันอย่างอ่อนโยน เขาใช้ปลายลิ้นลากเลีย บางครั้งก็ใช้ฟันกัดมันเบา ๆ จนตอนนี้มันเริ่มบวมเห่อและได้กลิ่นคาวของเลือด“อื้อ~” ฉันส่งเสียงในลำคอเบา ๆ เมื่อเรียวลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าในโพรงปากโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัวเขาตวัดเลีย รุกไล่ และเกี่ยวกระหวัดอย่างชำนาญ ลิ้นของเราทั้งคู่พัวพันกันจนน้ำลายสีใสไหล
แกร็ก!! เมื่อประตูเปิดออก ฉันสังเกตสีหน้าของพี่ลีวายดูซีด ๆ นี่เขาซุกกิ๊กเอาไว้จริงเหรอเนี่ย ทำไมถึงได้แสดงความกังวลออกมาแบบนั้น“ค... คุณท่าน”“พ่อ”ทั้งฉันและพี่ลีวายต่างหันมองหน้ากัน เพราะไม่คิดว่าคนที่มาเคาะห้องจะเป็นคุณท่าน นี่ก็ลืมไปเลยว่าคุณท่านบอกไปแล้วเรื่องกลับไทย ลืมสนิทจริง ๆ“เห็นหน้าฉันแล้วทำไมถึงตกใจขนาดนั้น”“กลับมาเมื่อไรครับ”คุณท่านไม่ตอบคำถามของพี่ลีวาย ก่อนจะเดินแทรกตัวเข้ามาในห้อง เดินไปนั่งบนโซฟา สีหน้าที่ค่อนข้างตึงเครียดทำให้ฉันค่อนข้างทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าท่านกำลังโกรธอยู่หรือเปล่า“ถูกยิงทำไมไม่บอกพ่อสักคำ”“ผมไม่อยากให้เป็นห่วง”“ลากตัวคนทำมาได้หรือยัง”“ผมให้ลูกน้องตามสืบอยู่”“ปกติลูกน้องแกไม่เคยทำงานช้า ไม่กี่วันก็รู้ตัวพวกบงการแล้ว ทำไมรอบนี้ถึงหาตัวคนทำมาไม่ได้”อืม! มันก็จริงอย่างที่คุณท่านว่า ปกติลูกน้องของพี่ลีวายเก่งเรื่องสืบจะตาย ไม่มีทางที่จะรู้ตัวคนทำช้าขนาดนี้“ผม… ก็ไม่รู้ครับ” พี่ลีวายก้มหน้าตอบ ปกติจะประจันหน้าตลอดครั้งนี้ทำเอาแปลกใจ หรือว่ากลัวคุณท่านอย่างนั้นเหรอ“นิสัยลูกชายฉันมันต้องเร่งหาตัวคนทำสิ ใครทำงานช้าก็จะไล่ออก แกทำให้
#เช้าวันใหม่ฉันตื่นเช้าพร้อมกับความรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว เพราะเมื่อคืนเจอศึกหนัก กว่าพี่ลีวายจะยอมให้นอนก็เกือบตีสี่ เขาดุร้ายราวกับเสือที่อดอาหารมานาน ทำกับฉันเหมือนตัวเองไม่ได้เพิ่งถูกยิงมาบางทีก็แอบสงสัยว่าทำแรงขนาดนั้นพี่ลีวายไม่รู้สึกเจ็บแผลบ้างเลยหรือไงหลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็เปิดตู้เสื้อผ้าของพี่ลีวายก่อนจะหยิบเสื้อออกมาตัวนึงอย่างถือวิสาสะ เพราะไม่มีชุดใส่ก็เลยต้องเอาชุดของเขามาใส่ก่อนเพราะพี่ลีวายตัวโตกว่ามากเมื่อชุดของเขามาอยู่บนตัวฉันจึงมีความยาวเกือบถึงเข่า เพิ่งรู้ว่าตัวเองตัวเล็กมากก็ตอนนี้แหละแต่งตัวเสร็จฉันก็หันมองพี่ลีวายที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อมาทำอาหารเช้าไว้รอเขา เลือกทำเมนูง่าย ๆ เช่นข้าวต้ม เพราะไม่มีของอะไรให้ทำมากนัก“พี่ลีวายตื่นได้แล้วค่ะ” หลังจากทำข้าวต้มเสร็จแล้ว ฉันก็เดินกลับมาปลุกคนขี้เซาที่นอนไม่ยอมตื่นสักที“อื้อ”“ตื่นได้แล้ว มิลินทำข้าวต้มไว้ให้รีบไปล้างหน้าเร็ว”พี่ลีวายค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมอง ใบหน้าตอนเพิ่งตื่นของเขานั้นไม่ได้ดูแย่เลย กลับกัน มันดูดีจนฉันรู้สึกหวง“ตื่นเช้าจัง เมื่อคืนฉันทำตั้งหลายรอบทำไมลุกไหว หืม” ริมฝีป
“ใจร้ายชะมัด” เขาทำหน้าบึ้ง แต่ก็ยอมดึงกางเกงขึ้นแล้วกลับมานอนในท่าเดิม “ไม่ทำแบบนั้นแต่ใช้มือช่วยหน่อยได้ไหม อารมณ์มันค้าง”“ถ้าพี่ลีวายพูดอีกคำเดียว มิลินจะกลับไปนอนโซฟาจริง ๆ ด้วย”“แค่มือก็ไม่ได้เหรอ” พี่ลีวายทำเสียงเศร้า ๆ หวังจะให้ฉันใจอ่อนเหรอ ไม่มีทางหรอก“มิลินว่ามิลินรู้จักพี่ลีวายดีค่ะ มันไม่มีทางจบแค่มือแน่นอน”คนอย่างเขาถ้าฉันใช้มือทำให้จริง ๆ เดี๋ยวก็หาทางแตะต้องร่างกายฉันจนเกิดอารมณ์ แล้วสุดท้ายเหตุการณ์แบบเมื่อกี้ก็จะวนมาอีกครั้งจุ๊บ~จู่ ๆ พี่ลีวายก็เขยิบใบหน้าเข้ามาขโมยจุ๊บที่หน้าผากฉันแรง ๆ “ชอบจังเลยคนรู้ทันเนี่ย”แล้วไม่ใช่แค่จุ๊บแต่เขายังใช้ปลายจมูกไล้หอมไปทั่วใบหน้าจนฉันแทบหายใจไม่ออก“หยุดลวนลามมิลินแล้วนอนสักทีได้ไหมคะ ไม่อยากออกจากโรงพยาบาลไว ๆ รึไง”“โอโห แค่จุ๊บกับหอมก็ไม่ได้ คอยดูนะแผลฉันหายดีเมื่อไรจะทบต้นทบดอกให้ร้องขอชีวิตเลย”“ถ้าพี่ลีวายทำแบบนั้นมันจะเป็นการมีอะไรกันครั้งสุดท้ายแน่นอนค่ะ”“นี่ฉันต้องโทษตัวเองใช่ไหม ที่ทำร้ายเธอบ่อย ๆ จนทำให้เธอเข้มแข็งได้ขนาดนี้เนี่ย”“ใช่ค่ะ โทษตัวเองไปเยอะ ๆ เลย ตอนมิลินยอมทุกอย่างก็มาใจร้ายด้วยเองนี่”“ค้าบ ๆ