ตอนที่สอง ช่างน่ารำคาญ
เสียงขุนนางใหญ่น้อยถกเถียงกันวุ่นวายราวอยู่ในตลาดมิใช่ท้องพระโรง ส่งให้จ้าวเฟยเฟิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
ฟากฟ้าในร่างองค์หญิงน้อยเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมองค์หญิงจึงต้องรีบตัดสินใจ เพราะขืนชักช้าตาแก่พวกนี้คงเอาแต่พูดมากทั้งวันจนน่ารำคาญ
“เสนาบดีกรมพิธีการเองก็มีบุตรชายวัยกำลังพอดี จึงต้องรีบขัดขวางท่านอย่างไรเล่า ท่านราชครู”
“เจ้าเองก็มีบุตรชายวัยกำลังเหมาะเช่นกัน เสียแต่ความประพฤติฉาวโฉ่ที่ร่ำลือกันคงไม่อาจเสนอชื่อได้กระมัง”
“อ้าวๆๆๆ ไยเอ่ยเช่นนั้นเล่าท่านเสนาบดีกลาโหม บุตรชายข้าฉาวโฉ่อันใด เขาทั้งขยันขันแข็ง เก่งกล้าสามารถ ท่านไม่รู้เรื่องจริงอย่าได้เอาแต่ฟังเสียงเล่าลืออันไม่มีมูล”
“บุตรชายของท่านเองก็ได้ข่าวว่าเก่งกาจไม่น้อยนี่ ท่านเสนาบดีกลาโหม”
“ไม่อาจสู้บุตรชายของท่านอัครเสนาบดีแน่ขอรับ”
เสียงโต้เถียงจากเดิมกลายเป็นเสียงยกยอบุตรชายตนเองและทับถมบุตรชายผู้อื่นจนจ้าวเฟยเฟิ่งเบื่อหน่ายเต็มทน หากเป็นองค์หญิงผู้เพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กน้อยคงได้แต่ตื่นกลัวและไม่กล้าเอ่ยคำใด ปล่อยให้พวกเขากดดันไปมาอยู่อย่างนั้น
แต่เธอไม่ใช่องค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งตามบทเดิม ดังนั้น
“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดดังก้องอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นอาการเช่นนี้จากองค์หญิงผู้น่ารักมาก่อน
“เสด็จพ่อเพิ่งจากไปศพยังไม่ทันเย็น พวกท่านก็เอาแต่ถกเถียงเรื่องจะบังคับให้ข้าแต่งงาน หากเสด็จพ่อได้รับรู้ว่าขุนนางซึ่งทรงไว้วางพระทัยเอาแต่รังแกข่มเหงพระธิดาองค์เดียว พระองค์คงอยากจะลุกขึ้นมาจากสุสานหลวงเพื่อบีบคอพวกเจ้าพาไปอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
ขุนนางทั้งหลายได้ยินคำต่อว่าต่อขานจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาคล้ายมีท่าทีละอายใจ
“พวกเรามิได้รังแกองค์หญิงนะพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์หญิงอย่าได้เอ่ยเช่นนั้น” ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งรีบกล่าวแก้ตัว
“พวกท่านทั้งกดดันทั้งบีบบังคับข้าถึงเพียงนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้รังแกอีกหรือ” องค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งยังคงต่อว่า
“จริงอยู่ที่บ้านเมืองมิอาจขาดผู้ปกครอง แต่หากได้คนไร้ความสามารถ อาจย่ำแย่กว่าก็เป็นได้ เรื่องนี้ต้องให้เวลาข้าคิดพิจารณาให้ละเอียด เอาเป็นว่านับจากนี้ เรื่องน้อยใหญ่ให้ส่งเข้ามาให้ข้าดูก่อน หลังจากนั้นหากข้าตัดสินใจอภิเษกหรือเลือกชายหนุ่มได้เมื่อใด จึงค่อยเปลี่ยนแปลงอีกที เอาตามนี้แหละ เข้าใจหรือไม่” องค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งเอ่ยสรุปแล้วมองหน้าทีละคนเพื่อกดดันขุนนางทั้งหลายให้ตอบรับ
“แต่องค์หญิงมิเคยทรงงาน จะพิจารณาฎีกาต่างๆด้วยตนเองได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีปกครองรีบเอ่ยค้าน
“ของเช่นนี้ย่อมฝึกหัดได้ ข้าไม่เคยแล้วชายหนุ่มที่พวกท่านอยากแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้เคยหรืออย่างไร ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเป็นมือใหม่หัดปกครองบ้านเมืองทั้งสิ้น ดังนั้น นี่คือคำสั่งของข้า ผู้เป็นองค์หญิง หากผู้ใดต้องการคัดค้านก็ถวายฎีกาขึ้นมา” องค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งก้าวเดินออกจากท้องพระโรงทันทีอย่างไม่แยแส
เสียงขุนนางถกเถียงกันตามหลังมาให้ได้ยินแว่วๆ แต่ฟากฟ้าในร่างของจ้าวเฟยเฟิ่งย่อมไม่ใส่ใจ
อยากให้นางแต่งงานแล้วตั้งหุ่นเชิดมาตัวหนึ่งงั้นหรือ
ไม่มีวัน ในเมื่อนางต่างหากคือทายาทตัวจริง
นางจะปกครองบ้านเมืองนี้เอง เป็นผู้หญิงแล้วอย่างไร
ในอดีตก็เคยมีฮ่องเต้หญิงซึ่งลุกขึ้นมาปกครองเอง หรือฮองเฮาหญิงซึ่งนั่งปกครองหลังม่านมาแล้วตั้งหลายคน เพิ่มนางอีกคนจะเป็นไรไป
อีกอย่างจะบังคับให้นางแต่งงานเพื่อแต่งตั้งฮ่องเต้ ตั้งมาทำไม ฮ่องเต้ที่วันวันเอาแต่แต่งสนมสาวๆมากหน้าหลายตาเข้ามาร่วมรักเสพสมโดยทิ้งขว้างนางผู้เป็นฮองเฮาให้นอนเหงาแห้งเหี่ยว
ฟากฟ้ายังจำได้ว่าจ้าวเฟยเฟิ่งในเรื่องได้ร่วมรักกับฮ่องเต้แค่ไม่กี่ครั้ง เขาออดอ้อนอ่อนหวานแสดงความรักหวานชื่นเพียงไม่กี่เดือน หลังจากนั้นก็เอาแต่พลิกป้ายไปตามตำหนักต่างๆ ทิ้งให้หญิงสาวอ่อนเยาว์ต้องเหี่ยวเฉาไร้ความชุ่มฉ่ำ
เรื่องทายาทยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เขาไม่มาส่งน้ำเชื้อปลุกปั้นก้อนแป้งน้อย แล้วจ้าวเฟยเฟิ่งจะตั้งครรภ์มังกรได้อย่างไร จ้าวฮองเฮาจึงต้องรับโอรสบุญธรรมเข้ามาถึงสามคนเพื่อสร้างทางเลือกให้กับตนเอง และนั่นจึงเป็นชายหนุ่มซึ่งหวังกุ้ยเฟยใช้เป็นเชลยรักในนิยายเรื่องเดิม
ชิ ‘หวงฮุ่ยจือ’ เขาเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งเข้ามาจนมีอำนาจวาสนา มีสิทธิอะไรมาใช้ผู้หญิงเปลืองและปล่อยให้นางพวกนั้นมาทะเลาะเบาะแว้งตบตีกับฮองเฮาซึ่งเป็นทายาทตัวจริง สุดท้ายยังปล่อยให้มายึดอำนาจที่บรรพบุรุษของนางสร้างมา
นางต่างหากคือฮองเฮาผู้มีอำนาจวาสนา ดังนั้นนางจะเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองนี้เอง ชายหนุ่มพวกนั้นน่ะหรือ พวกเขาเป็นได้เพียงเชลยรักของนางเท่านั้น
นางจะใช้พวกเขาทำงานให้ จะให้พวกเขาจงรักภักดีต่อนาง และจะสร้างฐานอำนาจจากชายเหล่านี้ แต่พวกเขาเป็นได้แค่ขุนนางคนหนึ่งของนางเท่านั้น
บัลลังก์ทองนี้จะมีนางเป็นฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียว จะไม่มีฮ่องเต้ให้ต้องมาสร้างปัญหา และสุดท้ายจะมีเพียงทายาทสกุลจ้าวของนางเท่านั้นที่ได้สืบทอดอำนาจต่อไป
ตอนที่สามงานราชกิจ จ้าวเฟยเฟิ่งลุกขึ้นมาปฏิบัติราชกิจดั่งเช่นที่พระบิดาอดีตฮ่องเต้เคยกระทำ ยามเช้านางนั่งบนบัลลังก์ข้างเพื่อตัดสินเรื่องทูลเกล้านำเสนอและการโต้แย้งของเหล่าขุนนางใหญ่น้อย ยามบ่ายนางนั่งตรวจพิจารณาฎีกาและลงนามส่งให้พวกเขานำไปปฏิบัติต่อ องค์หญิงน้อยใช้สติปัญญาตัดสินใจและสั่งการอย่างชาญฉลาดจนขุนนางอาวุโสทั้งหลายอับจนคำพูดและจำต้องทำตามคำสั่งแม้ในใจจะไม่นับถือเชื่อฟัง ฟากฟ้าซึ่งเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้วจึงพอจำได้ว่าขุนนางแต่ละฝ่ายมีใครบ้าง และเธอยังเคยช่วยเขียนบทในกองถ่ายมาแล้วหลายเรื่อง หญิงสาวนำความรู้ที่หยิบมาจากละครประกอบกับการแสร้งให้ขุนนางขัดแย้งกัน สุดท้ายพวกเขาก็ขัดขากันไปแก่งแย่งกันมาจนเข้าทางเธอในที่สุด เมื่อเสร็จจากการประชุมเช้าอันน่าเวียนหัว จ้าวเฟยเฟิ่งตัดสินใจเรียกตัวผู้ที่ปฏิบัติงานอย่างแท้จริงเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้องโดยไม่ฟังแต่คำเอ่ยอ้างวุ่นวายของขุนนางเฒ่า “ถวายบังคมองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางหนุ่มที่ถูกเรียกตัวเข้ามาต่างประสานเสียงทำความเคารพ ด้วยตำแหน่งของพว
ตอนที่สาม งานราชกิจหมดเรื่องภัยแล้ง จ้าวเฟยเฟิ่งจึงหันมาถาม’ไป๋ชุนกัง’ บุตรชายหัวหน้าหมอหลวงซึ่งขณะนี้รับผิดชอบดูแลกรมรักษา“ข้าได้ข่าวว่าอำเภอเมิ่งมีโรคแปลกประหลาดจนผู้คนล้มหายและเจ็บป่วยเกือบทั้งอำเภอ เรื่องนี้คืออย่างไรเล่ามาให้ละเอียด” “ข้าได้ตรวจสอบแล้วผู้คนที่นั่นมีอาการประหลาดมาก แรกเริ่มเพียงมีไข้ปวดหัวตัวร้อนธรรมดา ไม่นานก็ไอจากนั้นจะไอมาก สุดท้ายจะล้มหมอนนอนเสื่อและกินไม่ได้นอนไม่หลับจนขาดใจตายพ่ะย่ะค่ะ” “ส่วนใหญ่ผู้ที่ตายมักมีอายุมาก ส่วนเด็กหรือคนหนุ่มสาวยังพอกินยาหายได้บ้าง หมอที่ส่งไปพยายามจัดยาให้หลายขนานแล้ว ทั้งฝังเข็มและเผายา บางรายก็ดีขึ้นแต่บางรายยังคงช่วยไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ชุนกังรายงานอย่
แนะนำตัวละครจ้าวเฟยเฟิ่ง ฮองเฮาสกุลจ้าว อดีตองค์หญิงน้อยธิดาคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของอดีตฮ่องเต้หวงฮุ่ยจือ ฮ่องเต้ซึ่งแต่งเข้าสกุลจ้าวเพื่อครองบัลลังก์หวังลี่ถิง หวังกุ้ยเฟย บุตรสาวเสนาบดีปกครองจางชงเมิ่ง บุตรชายของอัครเสนาบดีจาง ทำงานเป็นผู้ช่วยของบิดาข่งซีห่าว รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพ และเป็นบุตรชายแม่ทัพใหญ่ไป๋ชุนกัง บุตรชายหัวหน้าหมอหลวง ดูแลกรมรักษาหลี่จิ่นติ้ง บุตรชายเสนาบดีกลาโหม ดูแลกรมอาวุธฉีเซี่ยหลิว บุตรชายเสนาบดีกรมคลัง ดูแลกรมอากรหนิงอัน หนิงอ้าย หนิงเหอ นางกำนัลคนสนิทของจ้าวเฟยเฟิ่งเชลยรักของฮองเฮาตัวร้ายโดยวันว่างว่างของหญิงใหญ่องค์หญิงน้อยซึ่งจำต้องก้าวขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะหลอกล่อชายหนุ่มให้เป็นเชลยรักและส่งเสริมนางได้อย่างไร นางอยากเป็นฮองเฮาแสนดีมิใช่ฮองเฮาตัวร้ายสักหน่อยฟากฟ้า ผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายตื่นขึ้นมาในร่างขององค์หญิงน้อยทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่และจำต้องก้าวขึ้นเป็นฮองเฮาแต่นางจะเป็นฮองเฮาเพียงเพื่อแต่งสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้และคอยปกครองวังหลังไล่ตบตีกับเหล่าสนมหรือจะขึ้นนั่งบัลลังค์ปกครองบ้านเมืองเสียเองนางไม่ยอมเดินตามที่ผู้อื่นกดดันแน่ เธอจ
บทนำ“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นอย่างไรเล่า จ้าวฮองเฮาผู้สูงส่ง ไยไม่วางท่าเชิดหน้าแล้วแสดงอำนาจบาตรใหญ่อีกเล่า”เสียงหัวเราะดังแสบแก้วหูจนจ้าวฮองเฮาต้องถลึงตาด้วยความโกรธกริ้วขณะโทสะพุ่งสูงจนต้องกระอักโลหิตพิษออกมาจนเลอะเต็มหน้าและพื้นห้องหญิงสาวสูงศักดิ์มองไปทางเตียงซึ่งมีร่างของฮ่องเต้ผู้เป็นสวามีนอนหายใจรวยรินเต็มทนคล้ายใกล้จะจากไปแล้วนางพลาดเอง นางไม่ควรมัวแต่เย่อหยิ่งจนไม่ใส่ใจรายละเอียดอื่นใดจนเปิดโอกาสให้หวังกุ้ยเฟย สตรีร้ายกาจตรงหน้าฉวยจังหวะวางยาพิษฮ่องเต้ทีละนิดจนบัดนี้ไม่อาจช่วยเหลือได้แล้ว กว่านางจะรู้ตัวและจับได้ ก็กลายเป็นเหยื่อให้พวกเขาได้โอกาสโยนความผิดและจับนางกรอกยาพิษจนต้องนอนเจ็บปวดอยู่เช่นนี้“ไม่ต้องกังวลเรื่องบัลลังก์ทองล่ะ ข้าจะหาชายหนุ่มที่ว่าง่ายสมรสด้วยและแต่งตั้งเขาเป็นฮ่องเต้แสนเชื่อฟังเอง ส่วนข้าก็จะนั่งเป็นฮองเฮาแทนเจ้าอย่างสมเกียรติ จงตายไปอย่างสงบเถอะ จ้าวเฟยเฟิ่ง” หวังกุ้ยเฟยตะโกนก้องอย่างผู้ชนะ ขณะปรายตามองร่างใกล้ตายที่กระเสือกกระสนอย่างสังเวช“ส่วนโอรสบุญธรรมทั้งสามของเจ้า ข้าย่อมดูแลอย่างดี พวกเขาทั้งหล่อเหลาทั้งแข็งแรง ต้องเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่ดี
ตอนที่หนึ่งไม่ได้ดั่งใจ“องค์หญิงฟื้นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ หนิงอ้าย เจ้ารีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า” เสียงหญิงสาวเอ่ยอย่างนุ่มนวลอยู่ด้านข้างทำให้ฟากฟ้าต้องลืมตาขึ้นมามองดู“องค์หญิงยังมึนงงหรือไม่เพคะ” เสียงหญิงสาวคนเดิมเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่องค์หญิงหรือ? องค์หญิงอะไรกัน หรือว่าเธออยู่ในกองถ่าย แต่วันนี้ไม่มีนัดถ่ายงานเรื่องไหนนี่นา ฟากฟ้าคิดอย่างมึนงงด้วยตัวเธอเองทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายทำละคร จึงมักใช้ชีวิตอยู่กับการถ่ายทำจนอาจจะเผลอหลงลืมไป“องค์หญิงเสวยน้ำชาก่อนเพคะ หนิงอ้ายออกไปตามหมอหลวงแล้ว”หนิงอ้าย? นั่นมันชื่อนางกำนัลในนิยาย”เชลยรักฮองเฮา”ที่เพิ่งอ่านไปนี่ฟากฟ้าเริ่มก้มหน้ามองสำรวจตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเฮ้ย! ทำไมเธอใส่ชุดหรูหราอย่างกับในซีรีส์จีน แล้วเตียงนี่ ห้องนี่ ก็ดูอลังการอย่างกับอยู่ในวังยัยผู้หญิงหน้าขาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านี่ก็เหมือนกัน ใส่ชุดอย่างกับนางกำนัลที่เคยเห็นในละคร หรือว่า เธอกำลังฝันว่าอยู่ในนิยายเรื่องที่เพิ่งอ่านไป ฟากฟ้ามองหน้าหญิงที่คุกเข่าอยู่แล้วลองเรียกชื่อเพื่อให้แน่ใจ“หนิงอัน”“เพคะ องค์หญิงอยากได้สิ่งใดเพิ่มหรือเพคะ”ใช่แล้ว
องค์หญิงน้อยนางนี้ใช้เวลาเลือกเฟ้นอยู่ไม่กี่วัน ด้วยโดยกดดันอย่างหนัก สุดท้ายจึงเลือกบุตรชายของราชครูซึ่งเคยเห็นหน้าคาตามาบ้าง เหตุผลหนึ่งเพราะเขาไม่มีฐานอำนาจยิ่งใหญ่จนน่ากลัว และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขามีหน้าตาหล่อเหลาอีกทั้งท่าทางหัวอ่อน ว่าง่าย จึงน่าจะไม่เป็นปัญหากับนางมากนักนางคงไม่คิดว่าชายหนุ่มหวงฮุ่ยจือผู้ดูเหมือนอยู่ในโอวาทใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีถึงกับแต่งสนมเข้ามาจนเต็มวังหลัง องค์หญิงผู้กลายเป็นฮองเฮาจึงต้องเสียเวลาอยู่กับการสู้รบตบมือกับหญิงสาวมากเล่ห์เหล่านี้จนไม่ได้ใส่ใจราชกิจที่ควรต้องทำ เรื่องควรจะดีหากฮ่องเต้หวงฮุ่ยจือมีความสามารถ แต่เขากลับอ่อนแอจนกลายเป็นเครื่องมือของคนอื่น สุดท้ายขุนนางอีกฝ่ายจึงสนับสนุนหวังกุ้ยเฟยให้วางยาสังหารฮ่องเต้และโยนความผิดให้นางเพื่อโค่นล้มช่วงชิงบัลลังก์ แต่นั่นเป็นเนื้อเรื่องที่ยัยนักเขียนทำให้เธอโมโหปรี๊ดแตกจนเก็บมาฝัน เพราะฉะนั้น ในเมื่อมันเป็นฝันของเธอ เรื่องต้องไม่เป็นแบบนั้น เรื่องจะต้องเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ ‘เชลยรักฮองเฮา’ อย่างนั้นหรือ
ตอนที่สาม งานราชกิจหมดเรื่องภัยแล้ง จ้าวเฟยเฟิ่งจึงหันมาถาม’ไป๋ชุนกัง’ บุตรชายหัวหน้าหมอหลวงซึ่งขณะนี้รับผิดชอบดูแลกรมรักษา“ข้าได้ข่าวว่าอำเภอเมิ่งมีโรคแปลกประหลาดจนผู้คนล้มหายและเจ็บป่วยเกือบทั้งอำเภอ เรื่องนี้คืออย่างไรเล่ามาให้ละเอียด” “ข้าได้ตรวจสอบแล้วผู้คนที่นั่นมีอาการประหลาดมาก แรกเริ่มเพียงมีไข้ปวดหัวตัวร้อนธรรมดา ไม่นานก็ไอจากนั้นจะไอมาก สุดท้ายจะล้มหมอนนอนเสื่อและกินไม่ได้นอนไม่หลับจนขาดใจตายพ่ะย่ะค่ะ” “ส่วนใหญ่ผู้ที่ตายมักมีอายุมาก ส่วนเด็กหรือคนหนุ่มสาวยังพอกินยาหายได้บ้าง หมอที่ส่งไปพยายามจัดยาให้หลายขนานแล้ว ทั้งฝังเข็มและเผายา บางรายก็ดีขึ้นแต่บางรายยังคงช่วยไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ชุนกังรายงานอย่
ตอนที่สามงานราชกิจ จ้าวเฟยเฟิ่งลุกขึ้นมาปฏิบัติราชกิจดั่งเช่นที่พระบิดาอดีตฮ่องเต้เคยกระทำ ยามเช้านางนั่งบนบัลลังก์ข้างเพื่อตัดสินเรื่องทูลเกล้านำเสนอและการโต้แย้งของเหล่าขุนนางใหญ่น้อย ยามบ่ายนางนั่งตรวจพิจารณาฎีกาและลงนามส่งให้พวกเขานำไปปฏิบัติต่อ องค์หญิงน้อยใช้สติปัญญาตัดสินใจและสั่งการอย่างชาญฉลาดจนขุนนางอาวุโสทั้งหลายอับจนคำพูดและจำต้องทำตามคำสั่งแม้ในใจจะไม่นับถือเชื่อฟัง ฟากฟ้าซึ่งเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้วจึงพอจำได้ว่าขุนนางแต่ละฝ่ายมีใครบ้าง และเธอยังเคยช่วยเขียนบทในกองถ่ายมาแล้วหลายเรื่อง หญิงสาวนำความรู้ที่หยิบมาจากละครประกอบกับการแสร้งให้ขุนนางขัดแย้งกัน สุดท้ายพวกเขาก็ขัดขากันไปแก่งแย่งกันมาจนเข้าทางเธอในที่สุด เมื่อเสร็จจากการประชุมเช้าอันน่าเวียนหัว จ้าวเฟยเฟิ่งตัดสินใจเรียกตัวผู้ที่ปฏิบัติงานอย่างแท้จริงเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้องโดยไม่ฟังแต่คำเอ่ยอ้างวุ่นวายของขุนนางเฒ่า “ถวายบังคมองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางหนุ่มที่ถูกเรียกตัวเข้ามาต่างประสานเสียงทำความเคารพ ด้วยตำแหน่งของพว
ตอนที่สอง ช่างน่ารำคาญเสียงขุนนางใหญ่น้อยถกเถียงกันวุ่นวายราวอยู่ในตลาดมิใช่ท้องพระโรง ส่งให้จ้าวเฟยเฟิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนักฟากฟ้าในร่างองค์หญิงน้อยเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมองค์หญิงจึงต้องรีบตัดสินใจ เพราะขืนชักช้าตาแก่พวกนี้คงเอาแต่พูดมากทั้งวันจนน่ารำคาญ“เสนาบดีกรมพิธีการเองก็มีบุตรชายวัยกำลังพอดี จึงต้องรีบขัดขวางท่านอย่างไรเล่า ท่านราชครู” “เจ้าเองก็มีบุตรชายวัยกำลังเหมาะเช่นกัน เสียแต่ความประพฤติฉาวโฉ่ที่ร่ำลือกันคงไม่อาจเสนอชื่อได้กระมัง” “อ้าวๆๆๆ ไยเอ่ยเช่นนั้นเล่าท่านเสนาบดีกลาโหม บุตรชายข้าฉาวโฉ่อันใด เขาทั้งขยันขันแข็ง เก่งกล้าสามารถ ท่านไม่รู้เรื่องจริงอย่าได้เอาแต่ฟังเสียงเล่าลืออันไม่มีมูล” “บุตรชายของท่านเองก็ได้ข่าวว่าเก่งกาจไม่น้อยนี่ ท่านเสนาบดีกลาโหม” “ไม่อาจสู้บุตรชายของท่านอัครเสนาบดีแน่ขอรับ” เสียงโต้เถียงจากเดิมกลายเป็นเสียงยกยอบุตรชายตนเองและทับถมบุตรชายผู้อื่นจนจ้าวเฟยเฟิ่งเบื่อหน่ายเต็มทน หากเป็นองค์หญิงผู้เพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กน้อยคงได้แต่ตื่นกลัวและไม่กล้าเอ่ยคำใด ปล่อยให้พวกเ
องค์หญิงน้อยนางนี้ใช้เวลาเลือกเฟ้นอยู่ไม่กี่วัน ด้วยโดยกดดันอย่างหนัก สุดท้ายจึงเลือกบุตรชายของราชครูซึ่งเคยเห็นหน้าคาตามาบ้าง เหตุผลหนึ่งเพราะเขาไม่มีฐานอำนาจยิ่งใหญ่จนน่ากลัว และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขามีหน้าตาหล่อเหลาอีกทั้งท่าทางหัวอ่อน ว่าง่าย จึงน่าจะไม่เป็นปัญหากับนางมากนักนางคงไม่คิดว่าชายหนุ่มหวงฮุ่ยจือผู้ดูเหมือนอยู่ในโอวาทใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีถึงกับแต่งสนมเข้ามาจนเต็มวังหลัง องค์หญิงผู้กลายเป็นฮองเฮาจึงต้องเสียเวลาอยู่กับการสู้รบตบมือกับหญิงสาวมากเล่ห์เหล่านี้จนไม่ได้ใส่ใจราชกิจที่ควรต้องทำ เรื่องควรจะดีหากฮ่องเต้หวงฮุ่ยจือมีความสามารถ แต่เขากลับอ่อนแอจนกลายเป็นเครื่องมือของคนอื่น สุดท้ายขุนนางอีกฝ่ายจึงสนับสนุนหวังกุ้ยเฟยให้วางยาสังหารฮ่องเต้และโยนความผิดให้นางเพื่อโค่นล้มช่วงชิงบัลลังก์ แต่นั่นเป็นเนื้อเรื่องที่ยัยนักเขียนทำให้เธอโมโหปรี๊ดแตกจนเก็บมาฝัน เพราะฉะนั้น ในเมื่อมันเป็นฝันของเธอ เรื่องต้องไม่เป็นแบบนั้น เรื่องจะต้องเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ ‘เชลยรักฮองเฮา’ อย่างนั้นหรือ
ตอนที่หนึ่งไม่ได้ดั่งใจ“องค์หญิงฟื้นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ หนิงอ้าย เจ้ารีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า” เสียงหญิงสาวเอ่ยอย่างนุ่มนวลอยู่ด้านข้างทำให้ฟากฟ้าต้องลืมตาขึ้นมามองดู“องค์หญิงยังมึนงงหรือไม่เพคะ” เสียงหญิงสาวคนเดิมเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่องค์หญิงหรือ? องค์หญิงอะไรกัน หรือว่าเธออยู่ในกองถ่าย แต่วันนี้ไม่มีนัดถ่ายงานเรื่องไหนนี่นา ฟากฟ้าคิดอย่างมึนงงด้วยตัวเธอเองทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายทำละคร จึงมักใช้ชีวิตอยู่กับการถ่ายทำจนอาจจะเผลอหลงลืมไป“องค์หญิงเสวยน้ำชาก่อนเพคะ หนิงอ้ายออกไปตามหมอหลวงแล้ว”หนิงอ้าย? นั่นมันชื่อนางกำนัลในนิยาย”เชลยรักฮองเฮา”ที่เพิ่งอ่านไปนี่ฟากฟ้าเริ่มก้มหน้ามองสำรวจตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเฮ้ย! ทำไมเธอใส่ชุดหรูหราอย่างกับในซีรีส์จีน แล้วเตียงนี่ ห้องนี่ ก็ดูอลังการอย่างกับอยู่ในวังยัยผู้หญิงหน้าขาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านี่ก็เหมือนกัน ใส่ชุดอย่างกับนางกำนัลที่เคยเห็นในละคร หรือว่า เธอกำลังฝันว่าอยู่ในนิยายเรื่องที่เพิ่งอ่านไป ฟากฟ้ามองหน้าหญิงที่คุกเข่าอยู่แล้วลองเรียกชื่อเพื่อให้แน่ใจ“หนิงอัน”“เพคะ องค์หญิงอยากได้สิ่งใดเพิ่มหรือเพคะ”ใช่แล้ว
บทนำ“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นอย่างไรเล่า จ้าวฮองเฮาผู้สูงส่ง ไยไม่วางท่าเชิดหน้าแล้วแสดงอำนาจบาตรใหญ่อีกเล่า”เสียงหัวเราะดังแสบแก้วหูจนจ้าวฮองเฮาต้องถลึงตาด้วยความโกรธกริ้วขณะโทสะพุ่งสูงจนต้องกระอักโลหิตพิษออกมาจนเลอะเต็มหน้าและพื้นห้องหญิงสาวสูงศักดิ์มองไปทางเตียงซึ่งมีร่างของฮ่องเต้ผู้เป็นสวามีนอนหายใจรวยรินเต็มทนคล้ายใกล้จะจากไปแล้วนางพลาดเอง นางไม่ควรมัวแต่เย่อหยิ่งจนไม่ใส่ใจรายละเอียดอื่นใดจนเปิดโอกาสให้หวังกุ้ยเฟย สตรีร้ายกาจตรงหน้าฉวยจังหวะวางยาพิษฮ่องเต้ทีละนิดจนบัดนี้ไม่อาจช่วยเหลือได้แล้ว กว่านางจะรู้ตัวและจับได้ ก็กลายเป็นเหยื่อให้พวกเขาได้โอกาสโยนความผิดและจับนางกรอกยาพิษจนต้องนอนเจ็บปวดอยู่เช่นนี้“ไม่ต้องกังวลเรื่องบัลลังก์ทองล่ะ ข้าจะหาชายหนุ่มที่ว่าง่ายสมรสด้วยและแต่งตั้งเขาเป็นฮ่องเต้แสนเชื่อฟังเอง ส่วนข้าก็จะนั่งเป็นฮองเฮาแทนเจ้าอย่างสมเกียรติ จงตายไปอย่างสงบเถอะ จ้าวเฟยเฟิ่ง” หวังกุ้ยเฟยตะโกนก้องอย่างผู้ชนะ ขณะปรายตามองร่างใกล้ตายที่กระเสือกกระสนอย่างสังเวช“ส่วนโอรสบุญธรรมทั้งสามของเจ้า ข้าย่อมดูแลอย่างดี พวกเขาทั้งหล่อเหลาทั้งแข็งแรง ต้องเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่ดี
แนะนำตัวละครจ้าวเฟยเฟิ่ง ฮองเฮาสกุลจ้าว อดีตองค์หญิงน้อยธิดาคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของอดีตฮ่องเต้หวงฮุ่ยจือ ฮ่องเต้ซึ่งแต่งเข้าสกุลจ้าวเพื่อครองบัลลังก์หวังลี่ถิง หวังกุ้ยเฟย บุตรสาวเสนาบดีปกครองจางชงเมิ่ง บุตรชายของอัครเสนาบดีจาง ทำงานเป็นผู้ช่วยของบิดาข่งซีห่าว รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพ และเป็นบุตรชายแม่ทัพใหญ่ไป๋ชุนกัง บุตรชายหัวหน้าหมอหลวง ดูแลกรมรักษาหลี่จิ่นติ้ง บุตรชายเสนาบดีกลาโหม ดูแลกรมอาวุธฉีเซี่ยหลิว บุตรชายเสนาบดีกรมคลัง ดูแลกรมอากรหนิงอัน หนิงอ้าย หนิงเหอ นางกำนัลคนสนิทของจ้าวเฟยเฟิ่งเชลยรักของฮองเฮาตัวร้ายโดยวันว่างว่างของหญิงใหญ่องค์หญิงน้อยซึ่งจำต้องก้าวขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะหลอกล่อชายหนุ่มให้เป็นเชลยรักและส่งเสริมนางได้อย่างไร นางอยากเป็นฮองเฮาแสนดีมิใช่ฮองเฮาตัวร้ายสักหน่อยฟากฟ้า ผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายตื่นขึ้นมาในร่างขององค์หญิงน้อยทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่และจำต้องก้าวขึ้นเป็นฮองเฮาแต่นางจะเป็นฮองเฮาเพียงเพื่อแต่งสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้และคอยปกครองวังหลังไล่ตบตีกับเหล่าสนมหรือจะขึ้นนั่งบัลลังค์ปกครองบ้านเมืองเสียเองนางไม่ยอมเดินตามที่ผู้อื่นกดดันแน่ เธอจ