ตอนที่สอง ช่างน่ารำคาญ
เสียงขุนนางใหญ่น้อยถกเถียงกันวุ่นวายราวอยู่ในตลาดมิใช่ท้องพระโรง ส่งให้จ้าวเฟยเฟิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
ฟากฟ้าในร่างองค์หญิงน้อยเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมองค์หญิงจึงต้องรีบตัดสินใจ เพราะขืนชักช้าตาแก่พวกนี้คงเอาแต่พูดมากทั้งวันจนน่ารำคาญ
“เสนาบดีกรมพิธีการเองก็มีบุตรชายวัยกำลังพอดี จึงต้องรีบขัดขวางท่านอย่างไรเล่า ท่านราชครู”
“เจ้าเองก็มีบุตรชายวัยกำลังเหมาะเช่นกัน เสียแต่ความประพฤติฉาวโฉ่ที่ร่ำลือกันคงไม่อาจเสนอชื่อได้กระมัง”
“อ้าวๆๆๆ ไยเอ่ยเช่นนั้นเล่าท่านเสนาบดีกลาโหม บุตรชายข้าฉาวโฉ่อันใด เขาทั้งขยันขันแข็ง เก่งกล้าสามารถ ท่านไม่รู้เรื่องจริงอย่าได้เอาแต่ฟังเสียงเล่าลืออันไม่มีมูล”
“บุตรชายของท่านเองก็ได้ข่าวว่าเก่งกาจไม่น้อยนี่ ท่านเสนาบดีกลาโหม”
“ไม่อาจสู้บุตรชายของท่านอัครเสนาบดีแน่ขอรับ”
เสียงโต้เถียงจากเดิมกลายเป็นเสียงยกยอบุตรชายตนเองและทับถมบุตรชายผู้อื่นจนจ้าวเฟยเฟิ่งเบื่อหน่ายเต็มทน หากเป็นองค์หญิงผู้เพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กน้อยคงได้แต่ตื่นกลัวและไม่กล้าเอ่ยคำใด ปล่อยให้พวกเขากดดันไปมาอยู่อย่างนั้น
แต่เธอไม่ใช่องค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งตามบทเดิม ดังนั้น
“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดดังก้องอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นอาการเช่นนี้จากองค์หญิงผู้น่ารักมาก่อน
“เสด็จพ่อเพิ่งจากไปศพยังไม่ทันเย็น พวกท่านก็เอาแต่ถกเถียงเรื่องจะบังคับให้ข้าแต่งงาน หากเสด็จพ่อได้รับรู้ว่าขุนนางซึ่งทรงไว้วางพระทัยเอาแต่รังแกข่มเหงพระธิดาองค์เดียว พระองค์คงอยากจะลุกขึ้นมาจากสุสานหลวงเพื่อบีบคอพวกเจ้าพาไปอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
ขุนนางทั้งหลายได้ยินคำต่อว่าต่อขานจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาคล้ายมีท่าทีละอายใจ
“พวกเรามิได้รังแกองค์หญิงนะพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์หญิงอย่าได้เอ่ยเช่นนั้น” ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งรีบกล่าวแก้ตัว
“พวกท่านทั้งกดดันทั้งบีบบังคับข้าถึงเพียงนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้รังแกอีกหรือ” องค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งยังคงต่อว่า
“จริงอยู่ที่บ้านเมืองมิอาจขาดผู้ปกครอง แต่หากได้คนไร้ความสามารถ อาจย่ำแย่กว่าก็เป็นได้ เรื่องนี้ต้องให้เวลาข้าคิดพิจารณาให้ละเอียด เอาเป็นว่านับจากนี้ เรื่องน้อยใหญ่ให้ส่งเข้ามาให้ข้าดูก่อน หลังจากนั้นหากข้าตัดสินใจอภิเษกหรือเลือกชายหนุ่มได้เมื่อใด จึงค่อยเปลี่ยนแปลงอีกที เอาตามนี้แหละ เข้าใจหรือไม่” องค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งเอ่ยสรุปแล้วมองหน้าทีละคนเพื่อกดดันขุนนางทั้งหลายให้ตอบรับ
“แต่องค์หญิงมิเคยทรงงาน จะพิจารณาฎีกาต่างๆด้วยตนเองได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีปกครองรีบเอ่ยค้าน
“ของเช่นนี้ย่อมฝึกหัดได้ ข้าไม่เคยแล้วชายหนุ่มที่พวกท่านอยากแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้เคยหรืออย่างไร ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเป็นมือใหม่หัดปกครองบ้านเมืองทั้งสิ้น ดังนั้น นี่คือคำสั่งของข้า ผู้เป็นองค์หญิง หากผู้ใดต้องการคัดค้านก็ถวายฎีกาขึ้นมา” องค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งก้าวเดินออกจากท้องพระโรงทันทีอย่างไม่แยแส
เสียงขุนนางถกเถียงกันตามหลังมาให้ได้ยินแว่วๆ แต่ฟากฟ้าในร่างของจ้าวเฟยเฟิ่งย่อมไม่ใส่ใจ
อยากให้นางแต่งงานแล้วตั้งหุ่นเชิดมาตัวหนึ่งงั้นหรือ
ไม่มีวัน ในเมื่อนางต่างหากคือทายาทตัวจริง
นางจะปกครองบ้านเมืองนี้เอง เป็นผู้หญิงแล้วอย่างไร
ในอดีตก็เคยมีฮ่องเต้หญิงซึ่งลุกขึ้นมาปกครองเอง หรือฮองเฮาหญิงซึ่งนั่งปกครองหลังม่านมาแล้วตั้งหลายคน เพิ่มนางอีกคนจะเป็นไรไป
อีกอย่างจะบังคับให้นางแต่งงานเพื่อแต่งตั้งฮ่องเต้ ตั้งมาทำไม ฮ่องเต้ที่วันวันเอาแต่แต่งสนมสาวๆมากหน้าหลายตาเข้ามาร่วมรักเสพสมโดยทิ้งขว้างนางผู้เป็นฮองเฮาให้นอนเหงาแห้งเหี่ยว
ฟากฟ้ายังจำได้ว่าจ้าวเฟยเฟิ่งในเรื่องได้ร่วมรักกับฮ่องเต้แค่ไม่กี่ครั้ง เขาออดอ้อนอ่อนหวานแสดงความรักหวานชื่นเพียงไม่กี่เดือน หลังจากนั้นก็เอาแต่พลิกป้ายไปตามตำหนักต่างๆ ทิ้งให้หญิงสาวอ่อนเยาว์ต้องเหี่ยวเฉาไร้ความชุ่มฉ่ำ
เรื่องทายาทยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เขาไม่มาส่งน้ำเชื้อปลุกปั้นก้อนแป้งน้อย แล้วจ้าวเฟยเฟิ่งจะตั้งครรภ์มังกรได้อย่างไร จ้าวฮองเฮาจึงต้องรับโอรสบุญธรรมเข้ามาถึงสามคนเพื่อสร้างทางเลือกให้กับตนเอง และนั่นจึงเป็นชายหนุ่มซึ่งหวังกุ้ยเฟยใช้เป็นเชลยรักในนิยายเรื่องเดิม
ชิ ‘หวงฮุ่ยจือ’ เขาเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งเข้ามาจนมีอำนาจวาสนา มีสิทธิอะไรมาใช้ผู้หญิงเปลืองและปล่อยให้นางพวกนั้นมาทะเลาะเบาะแว้งตบตีกับฮองเฮาซึ่งเป็นทายาทตัวจริง สุดท้ายยังปล่อยให้มายึดอำนาจที่บรรพบุรุษของนางสร้างมา
นางต่างหากคือฮองเฮาผู้มีอำนาจวาสนา ดังนั้นนางจะเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองนี้เอง ชายหนุ่มพวกนั้นน่ะหรือ พวกเขาเป็นได้เพียงเชลยรักของนางเท่านั้น
นางจะใช้พวกเขาทำงานให้ จะให้พวกเขาจงรักภักดีต่อนาง และจะสร้างฐานอำนาจจากชายเหล่านี้ แต่พวกเขาเป็นได้แค่ขุนนางคนหนึ่งของนางเท่านั้น
บัลลังก์ทองนี้จะมีนางเป็นฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียว จะไม่มีฮ่องเต้ให้ต้องมาสร้างปัญหา และสุดท้ายจะมีเพียงทายาทสกุลจ้าวของนางเท่านั้นที่ได้สืบทอดอำนาจต่อไป
ตอนที่สามงานราชกิจ จ้าวเฟยเฟิ่งลุกขึ้นมาปฏิบัติราชกิจดั่งเช่นที่พระบิดาอดีตฮ่องเต้เคยกระทำ ยามเช้านางนั่งบนบัลลังก์ข้างเพื่อตัดสินเรื่องทูลเกล้านำเสนอและการโต้แย้งของเหล่าขุนนางใหญ่น้อย ยามบ่ายนางนั่งตรวจพิจารณาฎีกาและลงนามส่งให้พวกเขานำไปปฏิบัติต่อ องค์หญิงน้อยใช้สติปัญญาตัดสินใจและสั่งการอย่างชาญฉลาดจนขุนนางอาวุโสทั้งหลายอับจนคำพูดและจำต้องทำตามคำสั่งแม้ในใจจะไม่นับถือเชื่อฟัง ฟากฟ้าซึ่งเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้วจึงพอจำได้ว่าขุนนางแต่ละฝ่ายมีใครบ้าง และเธอยังเคยช่วยเขียนบทในกองถ่ายมาแล้วหลายเรื่อง หญิงสาวนำความรู้ที่หยิบมาจากละครประกอบกับการแสร้งให้ขุนนางขัดแย้งกัน สุดท้ายพวกเขาก็ขัดขากันไปแก่งแย่งกันมาจนเข้าทางเธอในที่สุด เมื่อเสร็จจากการประชุมเช้าอันน่าเวียนหัว จ้าวเฟยเฟิ่งตัดสินใจเรียกตัวผู้ที่ปฏิบัติงานอย่างแท้จริงเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้องโดยไม่ฟังแต่คำเอ่ยอ้างวุ่นวายของขุนนางเฒ่า “ถวายบังคมองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางหนุ่มที่ถูกเรียกตัวเข้ามาต่างประสานเสียงทำความเคารพ ด้วยตำแหน่งของพว
ตอนที่สาม งานราชกิจหมดเรื่องภัยแล้ง จ้าวเฟยเฟิ่งจึงหันมาถาม’ไป๋ชุนกัง’ บุตรชายหัวหน้าหมอหลวงซึ่งขณะนี้รับผิดชอบดูแลกรมรักษา“ข้าได้ข่าวว่าอำเภอเมิ่งมีโรคแปลกประหลาดจนผู้คนล้มหายและเจ็บป่วยเกือบทั้งอำเภอ เรื่องนี้คืออย่างไรเล่ามาให้ละเอียด” “ข้าได้ตรวจสอบแล้วผู้คนที่นั่นมีอาการประหลาดมาก แรกเริ่มเพียงมีไข้ปวดหัวตัวร้อนธรรมดา ไม่นานก็ไอจากนั้นจะไอมาก สุดท้ายจะล้มหมอนนอนเสื่อและกินไม่ได้นอนไม่หลับจนขาดใจตายพ่ะย่ะค่ะ” “ส่วนใหญ่ผู้ที่ตายมักมีอายุมาก ส่วนเด็กหรือคนหนุ่มสาวยังพอกินยาหายได้บ้าง หมอที่ส่งไปพยายามจัดยาให้หลายขนานแล้ว ทั้งฝังเข็มและเผายา บางรายก็ดีขึ้นแต่บางรายยังคงช่วยไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ชุนกังรายงานอย่
ฟากฟ้าในร่างจ้าวเฟยเฟิ่งหันไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้านิ่งเฉยเพราะยังหมั่นไส้อยู่มากที่เขาไม่ใส่ใจหญิงสาวผู้งดงามเพียบพร้อมอย่างองค์หญิงน้อยนางนี้ กลับมัวแต่ไปเย่อกับสนมตามตำหนักต่างๆทุกคืน “หวงฮุ่ยจือ ข้าเรียกท่านมาด้วยเพื่อให้จดบันทึกเรื่องที่คุยกันในวันนี้ และส่งให้ท่านราชครู ก่อนการประชุมเช้ารุ่งขึ้น ให้ท่านราชครูเข้ามาพบข้าก่อนเพื่อปรึกษาหารือกันอีกที เข้าใจหรือไม่” จ้าวเฟยเฟิ่งต้องการใช้ให้เขาเป็นแค่ผู้ส่งสารเท่านั้น ถึงอย่างไรความรู้ความสามารถด้านอักษรของเขาก็ไม่เป็นรองผู้ใด บิดาของเขายังนับเป็นอาจารย์ของนาง ปรึกษาผู้อาวุโสเอาไว้บ้างย่อมปลอดภัยกว่า เชอะ คิดจะเป็นตัวเลือกของนางเพื่อนั่งตำแหน่งฮ่องเต้หรือ &n
ตอนที่ห้าพระสวามีหรือ“หามิได้ ด้วยบารมีขององค์หญิง ถึงอย่างไรย่อมผ่านพ้นไปได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”แหนะ ยังจะมาประจบอีก ฟากฟ้าในร่างจ้าวเฟยเฟิ่งมองใบหน้ายิ้มกริ่มท่าทีประจบเอาใจด้วยคิดว่าตนเองหล่อเหลาเอาการและเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆของการเป็นพระสวามีอย่างอยากจะจิ้มลูกตาวาววับนั้นให้สาแก่ใจ งานการไม่ทำ วันวันเอาแต่ทำตัวหล่อ กินเหล้า ป้อสาว ผู้ชายแบบนี้จะเอามาทำไมให้รกหูรกตา “หากยังเก็บอากรไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีเจ้ากรมอากร ปลดฉีเซี่ยหลิวออก งานที่ค้างให้รองเจ้ากรมดูแลไปก่อน หลังจากนี้ให้ส่งรายงานตรงมาที่ข้า และเสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมมาให้คัดเลือกตั้งเป็นเจ้ากรมคนใหม่ด้วย” คำส
ตอนที่หกเลือกทีละคนอีกคนที่จ้าวเฟยเฟิ่งโยนภาพวาดทิ้งตั้งแต่ยังไม่ทันได้อ่านก็คือ ‘ฉ่งต๋าเห่ย’ บุตรชายของเสนาบดีกรมพิธีการผู้ฉาวโฉ่ เชอะ ก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ บิดาของเขายังกล้าส่งชื่อมาเสนออีก น่าจับเข้าคุกเสียให้เข็ดทั้งพ่อทั้งลูก องค์หญิงน้อยกาหัวสองพ่อลูกเอาไว้ในใจแล้ว แน่นอนว่าเสนาบดีฉีซึ่งเพิ่งถูกจ้าวเฟยเฟิ่งประกาศปลดตำแหน่งเจ้ากรมอากรของบุตรชายไม่กล้าส่งชื่อเขาเข้ามาอีกแน่ ฎีกาที่ได้รับมีเพียงการเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางทบทวนเรื่องนี้อีกทีเท่านั้น คนที่องค์หญิงน้อยหยิบออกมาจากกองท่วมสูงจึงเหลือเพียงอีกสามคน
ตอนที่เจ็ดปกป้องสาวงามข่งซีห่าวเดินล่องลอยกลับจากการเข้าเฝ้าองค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเขาไม่เคยคิดเสนอตัวเป็นหนึ่งในพระสวามีของลูกพี่ลูกน้อง ด้วยคิดเพียงว่าตนเองไม่คู่ควร อีกทั้งยังรู้สึกผิดจากการที่ไม่เคยปกป้องสองแม่ลูกจนอาหญิงต้องสิ้นชีวิตลงแต่เมื่อหญิงซึ่งเปรียบเสมือนน้องสาวถูกรังแก เขาย่อมไม่อยู่นิ่งเฉยยิ่งนางซบหน้าออดอ้อน กลิ่นกายอันหอมกรุ่น ผมสลวยดุจเส้นไหม ผิวกายขาวเนียนละเอียด และใบหน้างดงามซึ่งเงยอ้อนจนมองเห็นชัดเจนกระทั่งขนตางอนยาว และปากแดงอิ่มนางช่างดูอ่อนหวาน น่ารัก จนเขาอยากโอบกอดเอาไว้เพื่อปกป้องให้พ้นภัย นั่นทำให้ใจที่ไม่เคยคิดเกินเลยกลับเต้นแรงด้วยเขาเกิดความคิดช่วงชิงตำแหน่งพระสวามีเสียแล้ว แต่มิใช่เพื่ออำนาจวาสนาในการเป็นฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือปวงชนเขาเพียงอยากปกป้องสาวงามและช่วยให้นางได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาเท่านั้นเมื่อเจรจากับข่งซีห่าวได้สำเร็จแล้ว จ้าวเฟยเฟิ่งจึงเข้าหาชายคนต่อไปนั่นก็คือ ไป๋ชุนกัง บุตรชายของหัวหน้าหมอหลวง
ตอนที่แปดง่ายไปไหมคราวนี้หลี่จิ่นติ้งไม่อิดออดอีก ก้าวเข้าใกล้ร่างบางอันหอมกรุ่นพลางสูดดมกลิ่นกายหอมหวาน ตามองมือที่ขยับชี้บอกกล่าวราวอยากจับมือบางมากอบกุมเอาไว้อีกครา “หากทำเสร็จแล้ว รีบนำมาให้ข้าดู ข้าอยากเห็นเร็วๆ” “ได้ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเร่งจัดการโดยเร็ว” หลี่จิ่นติ้งเป็นอีกคนที่เดินลอยออกจากตำหนักอีกทั้งยังเร่งกลับไปเจรจากับบิดาให้ช่วยหาทางเสนอให้เขาได้เป็นพระสวามีขององค์หญิงน้อยผู้งดงามแสนหอมหวานนางนี้ จ้าวเฟยเฟิ่งนั่งลงถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย&nbs
ตอนที่เก้ามาได้ไง“น้องเฟยจำเรื่องเมื่อสองปีก่อนไม่ได้หรือ ยามนั้นพี่ตามท่านพ่อเข้ามาในวัง ส่วนเจ้ากำลังร้องไห้เนื่องจากเพิ่งโดนฮองเฮาทำโทษ พี่รอท่านพ่อจนเบื่อหน่ายจึงเดินเล่นแล้วได้ยินเสียงร้องไห้และเดินตามหากระทั่งได้พบแมวสาวตัวน้อยหน้าตามอมแมม” “น้องเฟยยามนั้นช่างน่าสงสารนัก ข้าจึงปลอบโยนอยู่หลายคำ หลังจากนั้นยามท่านพ่อเข้าวัง ข้ามักจะขอติดตามเข้ามาและแอบไปหาเจ้าที่ตำหนัก พวกเราพูดคุย ฝึกวาดอักษร เล่นหมาก ดีดพิณ และเล่าเรื่องต่างๆให้กันฟังจนสนิทสนม” “ก่อนอดีตฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ พี่ให้สัญญาไว้ว่าจะทูลขอสมรสพระราชทานกับเจ้าให้ได้ พวกเราแลกของแทนใจเป็นหยกคู่สลักอักษรชงเฟยซึ่งพี่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ หยกนี้พี่พกติดตัวตลอด แล้วของเจ้าเล่าอยู่ที่ใด” 
ตอนที่สามสิบสอง เนื้อเรื่องที่เปลี่ยนไปจ้าวเฟยเฟิ่งมองไปทางคนสกุลหวังสองพ่อลูกซึ่งนั่งพิงกันอยู่โดยไม่เอ่ยขอความเมตตา“เสนาบดีหวังเล่า ไม่แก้ตัวสักหน่อยหรือ”“ข้าไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัว ขอเพียงประหารในคราวเดียวอย่าได้เจ็บปวดจนเกินไปจะเป็นพระกรุณายิ่งแล้ว”“แล้วคุณหนูหวังเล่า”“ผู้แพ้เป็นมาร ผู้ชนะย่อมเป็นพระ ครั้งนี้เจ้าได้ชัยไปก็ด้วยโชคดีที่มีอนุหลายคนคอยช่วยเหลือ ครั้งหน้าอย่าหวังว่าเรื่องจะดำเนินไปเช่นนี้อีก ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้มีโอกาสดีดีเช่นนี้อีกแน่” วาจาถูกเอ่ยด้วยความเคียดแค้นและไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ สายตาของหวังลี่ถิงถูกส่งออกมาสื่อให้เห็นว่านางไม่ยินยอมและจะหาโอกาสกลับมาอีกแน่หรือว่านิยายเรื่องนี้จะวนกลับไปใหม่และต้องเดินเรื่องวนไปวนมาอยู่อย่างนี้หรือ ไม่...ฟากฟ้าในร่างจ้าวเฟยเฟิ่งไม่ยอม เธอเข้ามาเดินเรื่องและสวมบทบาทของจ้าวฮองเฮามาจนใกล้จบเรื่องแล้ว เธอจะไม่ยอมให้เรื่องวนกลับไปเริ่มต้นใหม่แน่จ้าวฮองเฮาออกราชโองการสั่งประห
ตอนที่สามสิบเอ็ด ผิดแผนอัครเสนาบดีจาง เสนาบดีคลัง เสนาบดีกรมพิธีการ ขุนนางคนสำคัญอีกสามสี่คนซึ่งทยอยเดินเข้ามาต่างแยกย้ายกันไปนั่งเรียงสองฝั่งห้องโถง ในขณะที่จางชงเมิ่ง ข่งซีห่าวและไป๋ชุนกังเดินไปยืนด้านหลังจ้าวฮองเฮาในฐานะอนุชายเกากงกงก้าวออกมาจากด้านข้างพร้อมประกาศเสียงดัง“ถวายบังคมจ้าวฮองเฮา”เสียงทำความเคารพและถวายพระพรดังขึ้นกึกก้องพร้อมเพรียง“พวกเจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงอีก” เกากงกงตวาดกลุ่มคนที่โดนควบคุมอยู่ตรงกลางอย่างโมโห คนพวกนี้สั่งการให้จับกุมเขาไปขังไว้ในตำหนักร้าง กว่าจะมีคนไปช่วยออกมาก็อดข้าวอดน้ำอยู่หลายวันทหารต่างช่วยกันใช้อาวุธกระแทกเข้าที่หลังและขาจนคนทั้งกลุ่มต้องคุกเข่าลงอย่างไม่เต็มใจ“ข้าไม่เกี่ยวข้องด้วย เพียงถูกเชิญมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถึงอย่างไรข้าก็มีฐานะเป็นอ๋องคนหนึ่ง เจ้าควรให้เกียรติข้าบ้างนะจ้าวฮองเฮา” อ๋องหย่งรีบเอ่ยขึ้นเมื่อโดนกระแทกจนจำต้องคุกเข่าเป็นคนสุดท้าย“ไม่รู้เรื่องหรือ ให้เกียรติหรือ ท่านทำสิ่งใดไว้ย่อมร
“เจ้าเนี่ยนะ ข้าไม่เชื่อ” จ้าวเฟยเฟิ่งเอ่ยคำดูหมิ่นออกมา“ไม่เชื่อก็ถามพวกเขาดูสิ แผนทั้งหมดข้าเป็นคนคิดแล้วบอกให้ท่านพ่อทำตามโดยการติดต่อกับอ๋องหย่ง ส่วนหวงฮุ่ยจือก็เห็นด้วยกับข้า แม้จะอยากแต่งงานกันแต่เขาถูกเจ้าทำลายเกียรติไปแล้ว จึงยอมช่วยงานเพื่อเร่งส่งเจ้าไปยมโลกโดยเร็ว”“หมอไป๋ไม่มีเหตุผลที่ต้องช่วยเจ้า” จ้าวเฟยเฟิ่งข้องใจ“เดิมทีไม่มี แต่บิดาของเขาอยู่ในกำมือข้า หากเขาไม่ทำย่อมกลายเป็นบุตรอกตัญญู อีกทั้งหลังจากนี้ ข้าย่อมตอบแทนด้วยตำแหน่งลาภยศอย่างจุใจ”“เจ้าซื้อหนิงเหอด้วยสิ่งใดหรือ”“ด้วยสิ่งที่นางไม่เคยได้จากเจ้าอย่างไรเล่า พี่หนิงเหออยากได้การยอมรับและอยากได้ชีวิตครอบครัวที่ดี ข้ารับปากจะยกฉีเซี่ยหลิวให้พวกเขาได้แต่งงานกัน หลังจากนี้นางก็จะกลายเป็นฮูหยินเอกสกุลฉีมีชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต้องคอยรับใช้คนเอาแต่ใจเช่นเจ้า”“หากข้าตาย คิดหรือว่าจะได้บัลลังก์และตำแหน่งฮ่องเต้ไปง่ายๆ ยังมีอัครเสนาบดีจางอยู่อีกทั้งคน”“ย่อมง่ายดายด้วยพวกเราจะยัด
ตอนที่สามสิบ เจ้าแผนการเมื่อเห็นว่าองครักษ์เงาถูกส่งออกไปแล้ว หวงฮุ่ยจือจึงรีบลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็วจ้าวเฟยเฟิ่งสบตานิ่งเฉยของไป๋ชุนกังก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงไม่นานก็มีเสียงคนหลายคนเดินตรงมายังห้องบรรทมโดยมีนางกำนัลหนิงเหอเปิดประตูนำเข้ามาจ้าวฮองเฮามองใบหน้าที่เดินเรียงกันมาอย่างพร้อมเพรียงด้วยสายตาฉงนสงสัยโดนเฉพาะคนสุดท้ายซึ่งนางไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน“หนิงเหอ เหตุใดจึงเป็นเจ้าที่พาคนพวกนี้เข้ามา เกากงกงเล่า อยู่ที่ใด ไยไม่มากราบทูลขออนุญาตก่อน” จ้าวฮองเฮาตรัสถามเสียงอ่อนแรงความจริงนางสงสัยอยู่แต่แรกแล้วว่า ช่วงหลายวันมานี้ เหตุใดนางกำนัลหนิงอันและหนิงอ้ายจึงหายหน้าไป อีกทั้งเกากงกงเองก็หายไปเช่นกัน มีเพียงหนิงเหอซึ่งอยู่ดูแลรับใช้ แต่ด้วยอ่อนแรงเต็มทนจึงไม่อยากถามให้มากความ “พวกเราคงรบกวนเวลาฮองเฮาไม่นาน ไม่ต้องสร้างความยุ่งยากให้เกากงกงหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีหวังเอ่ยตอบเสียงระรื่น“พวกเจ้ามีเรื
ตอนที่ยี่สิบเก้าเจ็บป่วยหลังจากคืนนั้น จ้าวเฟยเฟิ่งจึงแสร้งแวะไปที่ตำหนักของอนุข่งซีห่าวและอนุไป๋ชุนกัง เพื่อไม่ให้ผู้คนครหานินทาว่านางไม่โปรดปรานพวกเขา แต่หญิงสาวเพียงนั่งกินอาหารและจับจูงกันเข้าห้องนอนเพื่อสร้างภาพเท่านั้นภายในห้องนอนกลับเป็นการนั่งลงพูดคุยกันของสองหนุ่มสาวเพื่อถกสถานการณ์ในช่วงนี้ผ่านการแวะเวียนยังตำหนักของเหล่าอนุทุกค่ำคืน ไม่นานจ้าวเฟยเฟิ่งก็มีอาการป่วยไข้จนสังเกตได้แค่ก แค่ก แค่ก“น้องเฟย ช่วงนี้เจ้าดูอ่อนเพลียและมีสีหน้าซีดเซียวมาก อีกทั้งยังไอไม่หยุดเช่นนี้ กลับไปพักก่อนดีหรือไม่”จางชงเมิ่งซึ่งเพิ่งมาถึงยังห้องอักษรทันได้ยินเสียงไอของฮองเฮาสาวจึงรีบก้าวเข้ามาถามอย่างห่วงใยแม้เขาจะไม่พอใจที่หญิงสาวแวะเวียนไปหาชายอื่น แต่ไม่อาจว่ากล่าวอันใดได้ด้วยนางมีตำแหน่งเป็นถึงฮองเฮา“หมอหลวงไป๋ตรวจดูแล้ว บอกว่าเพียงโดนไอเย็นมากไปหน่อย กินยาฝังเข็มแล้ว อีกไม่กี่วันก็ดีขึ้นเอง”“งานพวกนี้ไม่ได้เร่งมากนัก พี
ตอนที่ยี่สิบแปด หาหลักฐาน“เชอะ ทำลายหลักฐานมาแล้วล่ะสิ จึงกล้าท้าทายเช่นนี้”“ทำลายที่ใด กลับจากจวนสกุลหวังพี่ก็ตรงมาที่นี่ จะมีเวลาใดทำอย่างที่เจ้าว่า น้องเฟย เจ้าฟังพี่หน่อยเถิด หวังลี่ถิงมีเจตนาไม่ดีต้องการยุแยงให้พวกเราแตกคอกัน พี่ย่อมรู้ตัวอยู่ก่อนไม่ปล่อยให้นางได้ทำสำเร็จตามแผนแน่” “แล้วในห้องนั่น เข้าไปทำสิ่งใดกัน” “นางแสร้งว่ามีของสำคัญจึงให้พี่ช่วยค้นหา พี่ทำทีเป็นช่วยหาของแต่สังเกตท่าทางของนางโดยตลอด จู่ๆนางก็แสร้งทำถ้วยน้ำชาหกใส่ชุดเสื้อผ้าแล้วขอตัวไปเปลี่ยนที่หลังฉากเพื่อยั่วยวน แต่นางหรือจะงดงามเท่าน้องเฟย พี่ไม่มีวันหลงกลตื้นๆพวกนี้ จึงฉวยโอกาสค้นข้าวของในห้องของนางจนทั่ว” 
ตอนที่ยี่สิบเจ็ด ทำสิ่งใดกันในขณะที่ไป๋ชุนกังยังได้รับการไหว้วานจากเสนาบดีหวังให้เข้าไปตรวจรักษาบุตรสาวเกือบทุกวัน อีกทั้งจางชงเมิ่งซึ่งยังต้องแวะเวียนไปสืบหาความคืบหน้าที่จวนสกุลหวังนั่นทำให้หวังลี่ถิงมีโอกาสได้ใกล้ชิดและใช้ความอ่อนหวานน่ารักยั่วยวนชายหนุ่มทั้งสามอย่างเต็มที่โดยไม่มีผู้ใดขัดขวางข่าวคราวที่องครักษ์เงาและสายสืบส่งมาถึงจ้าวฮองเฮาสร้างความขุ่นเคืองจนหญิงสาวไม่เป็นอันทำงานทำการด้วยช่วงนี้มีงานมากฮองเฮาสาวจึงไม่ใคร่ได้แวะเวียนไปยังตำหนักของอนุจาง อีกทั้งยังไม่ได้เรียกตัวไป๋ชุนกังหรือหวงฮุ่ยจือมาเข้าเฝ้า พวกเขาทั้งสามจึงได้โอกาสหลบลี้หนีหน้าไม่ต้องเผชิญกับกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของน้ำส้มอันคละคลุ้ง“วันนี้อนุจางแวะไปที่จวนสกุลหวังพ่ะย่ะค่ะ”“พบผู้ใด คนพ่อหรือคนลูก”“เสนาบดีหวังยังไม่กลับพ่ะย่ะค่ะ เขาแวะพูดคุยกับเสนาบดีกลาโหมที่ร้านอาหารกลางทาง”“เช่นนั้นก็พบหวังลี่ถิงสินะ”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงสั่งการด้วยความโมโหก่อนจ้าวเฟยเฟิ่งจะสะบัดหน้าเดินออกไปยังตำหนักของจางชงเมิ่งเพื่อตอกหน้าผู้คนจนขบวนนางกำนัลและขันทีเดินตามแทบไม่ทันจางชงเมิ่งซึ่งเพิ่งกลับเข้ามาในตำหนักของตนเองโดยยังไม่ได้รับรู้ว่ามีเรื่องใดถูกจ้าวฮองเฮาพุ่งเข้ากระชากตัวมาจุมพิตดุเดือดต่อหน้าผู้คนบริเวณหน้าตำหนักคล้ายต้องการแสดงให้ได้โจษจันเมื่อจุมพิตจนพอใจ จ้าวฮองเฮาก็ลากมืออนุชายคนโปรดเข้าไปในห้องนอนโดยไม่ใส่ใจเรื่องอื่นมือบางกระชากชุดเสื้อของชายหนุ่มออกโดยไม่ปรานีก่อนจะถอดชุดเสื้อหนาหนักของตนเองออกอย่างรวดเร็ว สองร่างเข้าพัวพันนัวเนียกันอย่างเร่าร้อน ทั้งมือและปากต่างคลึงเคล้นเลียไล้กันด้วยความร้อนแรงจางชงเมิ่งแม้ไม่เข้าใจแต่เมื่อหญิงสาวจู่โจมมาถึงเพียงนั้น เขาย่อมคล้อยตามและตอบสนองอย่างเต็มที่ จ้าวเฟยเฟิ่งผลักร่างหนาให้นอนลงแล้วขึ้นนั่งตรงกลางหว่างขาด้วยตนเองแท่งทวนแกร่งถูกดึงขึ้นๆลงๆเพื่อสำรวจความแข็งแรง ก่อนที่ร่างบางจะจับท่อนลำไปจดจ่อกับปากร่องดอกไม้ฉ่ำแล้วหย่อนตัวเองลงมาอย่างเหมาะเจาะหญิงสาวโยกขยับควบคุมการเข้าออกอย่างฮึกเหิม ขณะมือหนาทำได้เ
ตอนที่ยี่สิบหก บังอาจเสนอหน้า “น้องเฟยคิดผิดแล้ว ยิ่งพวกเขาได้เป็นอนุ ยิ่งน่าดึงเป็นพวกที่สุด จะมีผู้ใดได้ใกล้ชิดกับเจ้าได้เท่าพวกเขาอีก”“แต่ข้าไม่เคยคิดจะไปนอนกับพวกเขา”“ผู้ใดจะล่วงรู้เรื่องในตำหนักหลังของฮองเฮาเล่า”“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร”“เจ้ารับพวกเขาเข้ามาแล้ว คงคืนคำมิได้ เอาเป็นว่าใช้งานพวกเขาให้เต็มที่ เมื่อไม่เห็นประโยชน์ก็ปลดเสีย คนใดมีความดีก็ตั้งตำแหน่งให้ออกไปมีหน้ามีตา คนใดทรยศหรือไม่น่าวางใจก็ปลดทิ้งและลงโทษไปตามสมควร" จางชงเมิ่งออกความเห็น“เหล่าขุนนางจะไม่กล่าวหาว่าข้าเป็นหญิงใจร้ายใช่หรือไม่”“พวกเขาคงครหานินทาอยู่บ้าง แต่จะใส่ใจไยเล่า ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดล้วนไม่พ้นคำนินทาทั้งสิ้น แม้แต่เรื่องที่พวกเรากำลังทำกันอยู่”“เรื่องใดหรือ”“เรื่องที่เจ้าร่วมรักอยู่แต่กับพี่อย่างไรเล่า อีกไม่กี่วันก็คงมีคำครหาออกมาแน่”“เช่นนั้นควรแก้ไขอย่างไรดี”