ตอนที่สาม งานราชกิจ
หมดเรื่องภัยแล้ง จ้าวเฟยเฟิ่งจึงหันมาถาม’ไป๋ชุนกัง’ บุตรชายหัวหน้าหมอหลวงซึ่งขณะนี้รับผิดชอบดูแลกรมรักษา
“ข้าได้ข่าวว่าอำเภอเมิ่งมีโรคแปลกประหลาดจนผู้คนล้มหายและเจ็บป่วยเกือบทั้งอำเภอ เรื่องนี้คืออย่างไรเล่ามาให้ละเอียด”
“ข้าได้ตรวจสอบแล้วผู้คนที่นั่นมีอาการประหลาดมาก แรกเริ่มเพียงมีไข้ปวดหัวตัวร้อนธรรมดา ไม่นานก็ไอจากนั้นจะไอมาก สุดท้ายจะล้มหมอนนอนเสื่อและกินไม่ได้นอนไม่หลับจนขาดใจตายพ่ะย่ะค่ะ”
“ส่วนใหญ่ผู้ที่ตายมักมีอายุมาก ส่วนเด็กหรือคนหนุ่มสาวยังพอกินยาหายได้บ้าง หมอที่ส่งไปพยายามจัดยาให้หลายขนานแล้ว ทั้งฝังเข็มและเผายา บางรายก็ดีขึ้นแต่บางรายยังคงช่วยไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชุนกังรายงานอย่างละเอียดด้วยเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะยังไม่มีผู้ใดกล่าวถึงซึ่งนั่นก็จริงเพราะในท้องพระโรงยามเช้า เหล่าขุนนางอาวุโสต่างตั้งใจข้ามเรื่องนี้ไปด้วยไม่เห็นทางแก้ไขจึงคิดจะปล่อยผู้คนให้ล้มตายไปตามยถากรรม
แต่ฟากฟ้าในร่างจ้าวเฟยเฟิ่งเคยอ่านนิยายที่เขียนถึงเรื่องนี้อยู่หนึ่งบรรทัด เธอจึงไม่คิดจะปล่อยผ่านเพราะคิดว่าน่าจะช่วยคนได้
“โรคประหลาดนี้ส่งให้ผู้คนติดโรคกันทุกคนหรือ”
“ส่วนใหญ่พ่ะย่ะค่ะ เด็กน้อยและหญิงสาวรวมทั้งผู้เฒ่าหากได้สัมผัสหรือมีคนในครอบครัวเป็นหนึ่งคน พวกเขาล้วนติดโรคกันโดยถ้วนทั่ว ยกเว้นชายหนุ่มร่างกายแข็งแรง มีบ้างที่ไม่ติดพ่ะย่ะค่ะ”
อืม...น่าจะคล้ายโรคติดต่อในบ้านเรา
“เอาเช่นนี้ สั่งปิดอำเภอเมิ่งอย่าให้ผู้ใดเข้าออกเพื่อจำกัดไม่ให้โรคหลุดรอดออกมารวมทั้งหมอที่ส่งไปก็ไม่ต้องกลับมาในระหว่างนี้ จากนั้นจัดส่งยาและอาหารไปให้เพียงพอต่อการเป็นอยู่ประมาณหนึ่งเดือนให้พวกเขา แล้วให้พวกเขาค่อยๆรักษาโดยศึกษาจากผู้ที่หายว่าทำอย่างไรพวกเขาจึงหายดี สำคัญที่สุดคือช่วยคนให้มากที่สุด ดังนั้น เด็กน้อยและหนุ่มสาวให้ช่วยเอาไว้ก่อน ส่วนผู้เฒ่าทั้งหลายหากไม่ไหวจริงๆคงต้องปล่อยไป”
ชายหนุ่มทั้งสี่เงยหน้ามองใบหน้างดงามของผู้สูงศักดิ์เพียงหนึ่งเดียวในห้องด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึก
ฟากฟ้าในร่างจ้าวเฟยเฟิ่งมีท่าทีไม่แยแส เธอจำเป็นต้องช่วยเท่าที่ช่วยได้ แม้จะอยากเป็นแม่พระ แต่คนที่ช่วยไม่ไหวก็ไม่อาจเปลืองยาไปมากกว่านั้นได้
“อ้อ...ศพผู้ที่ติดโรคให้ทำการเผาอย่างดีอย่าปล่อยให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อได้” องค์หญิงน้อยกำชับอีกเรื่องสำคัญ
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ชุนกังถอยออกไปเมื่อหมดเรื่อง
ช่วงที่ไป๋ชุนกังก้าวถอยย่อมเป็นจังหวะให้ ’ข่งซีห่าว’ รองแม่ทัพ บุตรชายแม่ทัพใหญ่คนปัจจุบัน เขารีบก้าวเข้ามาโค้งคำนับและเอ่ยคำด้วยความใจร้อน
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ขณะนี้แคว้นเยียนซึ่งอยู่ติดชายแดนของเราคงเห็นว่าอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว บ้านเมืองไร้ผู้ปกครองจึงรวบรวมกองกำลังเตรียมบุกเข้ามาเพื่อชิงเมือง บิดาของกระหม่อมได้ข่าวมาจึงร้อนใจนักส่งกระหม่อมเข้ามากราบทูล ขอองค์หญิงเร่งตัดสินใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ชิงเมืองอีกแล้ว คนพวกนี้กินข้าวอิ่มไม่มีอะไรทำกันหรือไงนะ ยกพวกบุกตีฆ่าฟันแย่งชิงเมืองกันอยู่นั่น แล้วนางจะไปสู้อะไรกับเขาได้ นางเป็นแค่หญิงสาวแสนอ่อนแอเท่านั้น
“ท่านรองแม่ทัพข่งคิดจะทำเยี่ยงไร”
“บิดาของกระหม่อม เอ่อ...ท่านแม่ทัพใหญ่เห็นว่าควรเร่งรับสมัครเกณฑ์ทหารและส่งไปเพิ่มกองกำลังอย่างเร่งด่วน อีกทั้งยังต้องรวบรวมกำลังทหารมากฝีมือที่กระจัดกระจายอยู่ให้มารวมพลเตรียมการต่อสู้อีกทั้งคุ้มครองเมืองหลวงให้ปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องการทหาร ฟากฟ้าในร่างจ้าวเฟยเฟิ่งไม่ค่อยถนัด เพราะไม่ค่อยได้ทำละครแนวนี้จึงได้แต่พยักหน้าเห็นดีเห็นงามไปด้วย
“ข้าเห็นด้วย”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะเร่งออกไปจัดการโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
ตัดสินใจไปสามเรื่อง เหลือเพียงชายหนุ่มคนสุดท้ายที่ยังยืนเฉยอยู่ซึ่งก็คือ’หวงฮุ่ยจือ’ บุตรชายราชครูหรือฮ่องเต้ซึ่งจ้าวเฟยเฟิ่งในนิยายเดิมเลือกแต่งงานด้วยนั่นเอง
ฟากฟ้าในร่างจ้าวเฟยเฟิ่งหันไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้านิ่งเฉยเพราะยังหมั่นไส้อยู่มากที่เขาไม่ใส่ใจหญิงสาวผู้งดงามเพียบพร้อมอย่างองค์หญิงน้อยนางนี้ กลับมัวแต่ไปเย่อกับสนมตามตำหนักต่างๆทุกคืน
“หวงฮุ่ยจือ ข้าเรียกท่านมาด้วยเพื่อให้จดบันทึกเรื่องที่คุยกันในวันนี้ และส่งให้ท่านราชครู ก่อนการประชุมเช้ารุ่งขึ้น ให้ท่านราชครูเข้ามาพบข้าก่อนเพื่อปรึกษาหารือกันอีกที เข้าใจหรือไม่”
จ้าวเฟยเฟิ่งต้องการใช้ให้เขาเป็นแค่ผู้ส่งสารเท่านั้น ถึงอย่างไรความรู้ความสามารถด้านอักษรของเขาก็ไม่เป็นรองผู้ใด บิดาของเขายังนับเป็นอาจารย์ของนาง ปรึกษาผู้อาวุโสเอาไว้บ้างย่อมปลอดภัยกว่า
แนะนำตัวละครจ้าวเฟยเฟิ่ง ฮองเฮาสกุลจ้าว อดีตองค์หญิงน้อยธิดาคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของอดีตฮ่องเต้หวงฮุ่ยจือ ฮ่องเต้ซึ่งแต่งเข้าสกุลจ้าวเพื่อครองบัลลังก์หวังลี่ถิง หวังกุ้ยเฟย บุตรสาวเสนาบดีปกครองจางชงเมิ่ง บุตรชายของอัครเสนาบดีจาง ทำงานเป็นผู้ช่วยของบิดาข่งซีห่าว รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพ และเป็นบุตรชายแม่ทัพใหญ่ไป๋ชุนกัง บุตรชายหัวหน้าหมอหลวง ดูแลกรมรักษาหลี่จิ่นติ้ง บุตรชายเสนาบดีกลาโหม ดูแลกรมอาวุธฉีเซี่ยหลิว บุตรชายเสนาบดีกรมคลัง ดูแลกรมอากรหนิงอัน หนิงอ้าย หนิงเหอ นางกำนัลคนสนิทของจ้าวเฟยเฟิ่งเชลยรักของฮองเฮาตัวร้ายโดยวันว่างว่างของหญิงใหญ่องค์หญิงน้อยซึ่งจำต้องก้าวขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะหลอกล่อชายหนุ่มให้เป็นเชลยรักและส่งเสริมนางได้อย่างไร นางอยากเป็นฮองเฮาแสนดีมิใช่ฮองเฮาตัวร้ายสักหน่อยฟากฟ้า ผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายตื่นขึ้นมาในร่างขององค์หญิงน้อยทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่และจำต้องก้าวขึ้นเป็นฮองเฮาแต่นางจะเป็นฮองเฮาเพียงเพื่อแต่งสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้และคอยปกครองวังหลังไล่ตบตีกับเหล่าสนมหรือจะขึ้นนั่งบัลลังค์ปกครองบ้านเมืองเสียเองนางไม่ยอมเดินตามที่ผู้อื่นกดดันแน่ เธอจ
บทนำ“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นอย่างไรเล่า จ้าวฮองเฮาผู้สูงส่ง ไยไม่วางท่าเชิดหน้าแล้วแสดงอำนาจบาตรใหญ่อีกเล่า”เสียงหัวเราะดังแสบแก้วหูจนจ้าวฮองเฮาต้องถลึงตาด้วยความโกรธกริ้วขณะโทสะพุ่งสูงจนต้องกระอักโลหิตพิษออกมาจนเลอะเต็มหน้าและพื้นห้องหญิงสาวสูงศักดิ์มองไปทางเตียงซึ่งมีร่างของฮ่องเต้ผู้เป็นสวามีนอนหายใจรวยรินเต็มทนคล้ายใกล้จะจากไปแล้วนางพลาดเอง นางไม่ควรมัวแต่เย่อหยิ่งจนไม่ใส่ใจรายละเอียดอื่นใดจนเปิดโอกาสให้หวังกุ้ยเฟย สตรีร้ายกาจตรงหน้าฉวยจังหวะวางยาพิษฮ่องเต้ทีละนิดจนบัดนี้ไม่อาจช่วยเหลือได้แล้ว กว่านางจะรู้ตัวและจับได้ ก็กลายเป็นเหยื่อให้พวกเขาได้โอกาสโยนความผิดและจับนางกรอกยาพิษจนต้องนอนเจ็บปวดอยู่เช่นนี้“ไม่ต้องกังวลเรื่องบัลลังก์ทองล่ะ ข้าจะหาชายหนุ่มที่ว่าง่ายสมรสด้วยและแต่งตั้งเขาเป็นฮ่องเต้แสนเชื่อฟังเอง ส่วนข้าก็จะนั่งเป็นฮองเฮาแทนเจ้าอย่างสมเกียรติ จงตายไปอย่างสงบเถอะ จ้าวเฟยเฟิ่ง” หวังกุ้ยเฟยตะโกนก้องอย่างผู้ชนะ ขณะปรายตามองร่างใกล้ตายที่กระเสือกกระสนอย่างสังเวช“ส่วนโอรสบุญธรรมทั้งสามของเจ้า ข้าย่อมดูแลอย่างดี พวกเขาทั้งหล่อเหลาทั้งแข็งแรง ต้องเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่ดี
ตอนที่หนึ่งไม่ได้ดั่งใจ“องค์หญิงฟื้นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ หนิงอ้าย เจ้ารีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า” เสียงหญิงสาวเอ่ยอย่างนุ่มนวลอยู่ด้านข้างทำให้ฟากฟ้าต้องลืมตาขึ้นมามองดู“องค์หญิงยังมึนงงหรือไม่เพคะ” เสียงหญิงสาวคนเดิมเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่องค์หญิงหรือ? องค์หญิงอะไรกัน หรือว่าเธออยู่ในกองถ่าย แต่วันนี้ไม่มีนัดถ่ายงานเรื่องไหนนี่นา ฟากฟ้าคิดอย่างมึนงงด้วยตัวเธอเองทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายทำละคร จึงมักใช้ชีวิตอยู่กับการถ่ายทำจนอาจจะเผลอหลงลืมไป“องค์หญิงเสวยน้ำชาก่อนเพคะ หนิงอ้ายออกไปตามหมอหลวงแล้ว”หนิงอ้าย? นั่นมันชื่อนางกำนัลในนิยาย”เชลยรักฮองเฮา”ที่เพิ่งอ่านไปนี่ฟากฟ้าเริ่มก้มหน้ามองสำรวจตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเฮ้ย! ทำไมเธอใส่ชุดหรูหราอย่างกับในซีรีส์จีน แล้วเตียงนี่ ห้องนี่ ก็ดูอลังการอย่างกับอยู่ในวังยัยผู้หญิงหน้าขาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านี่ก็เหมือนกัน ใส่ชุดอย่างกับนางกำนัลที่เคยเห็นในละคร หรือว่า เธอกำลังฝันว่าอยู่ในนิยายเรื่องที่เพิ่งอ่านไป ฟากฟ้ามองหน้าหญิงที่คุกเข่าอยู่แล้วลองเรียกชื่อเพื่อให้แน่ใจ“หนิงอัน”“เพคะ องค์หญิงอยากได้สิ่งใดเพิ่มหรือเพคะ”ใช่แล้ว
องค์หญิงน้อยนางนี้ใช้เวลาเลือกเฟ้นอยู่ไม่กี่วัน ด้วยโดยกดดันอย่างหนัก สุดท้ายจึงเลือกบุตรชายของราชครูซึ่งเคยเห็นหน้าคาตามาบ้าง เหตุผลหนึ่งเพราะเขาไม่มีฐานอำนาจยิ่งใหญ่จนน่ากลัว และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขามีหน้าตาหล่อเหลาอีกทั้งท่าทางหัวอ่อน ว่าง่าย จึงน่าจะไม่เป็นปัญหากับนางมากนักนางคงไม่คิดว่าชายหนุ่มหวงฮุ่ยจือผู้ดูเหมือนอยู่ในโอวาทใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีถึงกับแต่งสนมเข้ามาจนเต็มวังหลัง องค์หญิงผู้กลายเป็นฮองเฮาจึงต้องเสียเวลาอยู่กับการสู้รบตบมือกับหญิงสาวมากเล่ห์เหล่านี้จนไม่ได้ใส่ใจราชกิจที่ควรต้องทำ เรื่องควรจะดีหากฮ่องเต้หวงฮุ่ยจือมีความสามารถ แต่เขากลับอ่อนแอจนกลายเป็นเครื่องมือของคนอื่น สุดท้ายขุนนางอีกฝ่ายจึงสนับสนุนหวังกุ้ยเฟยให้วางยาสังหารฮ่องเต้และโยนความผิดให้นางเพื่อโค่นล้มช่วงชิงบัลลังก์ แต่นั่นเป็นเนื้อเรื่องที่ยัยนักเขียนทำให้เธอโมโหปรี๊ดแตกจนเก็บมาฝัน เพราะฉะนั้น ในเมื่อมันเป็นฝันของเธอ เรื่องต้องไม่เป็นแบบนั้น เรื่องจะต้องเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ ‘เชลยรักฮองเฮา’ อย่างนั้นหรือ
ตอนที่สอง ช่างน่ารำคาญเสียงขุนนางใหญ่น้อยถกเถียงกันวุ่นวายราวอยู่ในตลาดมิใช่ท้องพระโรง ส่งให้จ้าวเฟยเฟิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนักฟากฟ้าในร่างองค์หญิงน้อยเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมองค์หญิงจึงต้องรีบตัดสินใจ เพราะขืนชักช้าตาแก่พวกนี้คงเอาแต่พูดมากทั้งวันจนน่ารำคาญ“เสนาบดีกรมพิธีการเองก็มีบุตรชายวัยกำลังพอดี จึงต้องรีบขัดขวางท่านอย่างไรเล่า ท่านราชครู” “เจ้าเองก็มีบุตรชายวัยกำลังเหมาะเช่นกัน เสียแต่ความประพฤติฉาวโฉ่ที่ร่ำลือกันคงไม่อาจเสนอชื่อได้กระมัง” “อ้าวๆๆๆ ไยเอ่ยเช่นนั้นเล่าท่านเสนาบดีกลาโหม บุตรชายข้าฉาวโฉ่อันใด เขาทั้งขยันขันแข็ง เก่งกล้าสามารถ ท่านไม่รู้เรื่องจริงอย่าได้เอาแต่ฟังเสียงเล่าลืออันไม่มีมูล” “บุตรชายของท่านเองก็ได้ข่าวว่าเก่งกาจไม่น้อยนี่ ท่านเสนาบดีกลาโหม” “ไม่อาจสู้บุตรชายของท่านอัครเสนาบดีแน่ขอรับ” เสียงโต้เถียงจากเดิมกลายเป็นเสียงยกยอบุตรชายตนเองและทับถมบุตรชายผู้อื่นจนจ้าวเฟยเฟิ่งเบื่อหน่ายเต็มทน หากเป็นองค์หญิงผู้เพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กน้อยคงได้แต่ตื่นกลัวและไม่กล้าเอ่ยคำใด ปล่อยให้พวกเ
ตอนที่สามงานราชกิจ จ้าวเฟยเฟิ่งลุกขึ้นมาปฏิบัติราชกิจดั่งเช่นที่พระบิดาอดีตฮ่องเต้เคยกระทำ ยามเช้านางนั่งบนบัลลังก์ข้างเพื่อตัดสินเรื่องทูลเกล้านำเสนอและการโต้แย้งของเหล่าขุนนางใหญ่น้อย ยามบ่ายนางนั่งตรวจพิจารณาฎีกาและลงนามส่งให้พวกเขานำไปปฏิบัติต่อ องค์หญิงน้อยใช้สติปัญญาตัดสินใจและสั่งการอย่างชาญฉลาดจนขุนนางอาวุโสทั้งหลายอับจนคำพูดและจำต้องทำตามคำสั่งแม้ในใจจะไม่นับถือเชื่อฟัง ฟากฟ้าซึ่งเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้วจึงพอจำได้ว่าขุนนางแต่ละฝ่ายมีใครบ้าง และเธอยังเคยช่วยเขียนบทในกองถ่ายมาแล้วหลายเรื่อง หญิงสาวนำความรู้ที่หยิบมาจากละครประกอบกับการแสร้งให้ขุนนางขัดแย้งกัน สุดท้ายพวกเขาก็ขัดขากันไปแก่งแย่งกันมาจนเข้าทางเธอในที่สุด เมื่อเสร็จจากการประชุมเช้าอันน่าเวียนหัว จ้าวเฟยเฟิ่งตัดสินใจเรียกตัวผู้ที่ปฏิบัติงานอย่างแท้จริงเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้องโดยไม่ฟังแต่คำเอ่ยอ้างวุ่นวายของขุนนางเฒ่า “ถวายบังคมองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางหนุ่มที่ถูกเรียกตัวเข้ามาต่างประสานเสียงทำความเคารพ ด้วยตำแหน่งของพว
ตอนที่สาม งานราชกิจหมดเรื่องภัยแล้ง จ้าวเฟยเฟิ่งจึงหันมาถาม’ไป๋ชุนกัง’ บุตรชายหัวหน้าหมอหลวงซึ่งขณะนี้รับผิดชอบดูแลกรมรักษา“ข้าได้ข่าวว่าอำเภอเมิ่งมีโรคแปลกประหลาดจนผู้คนล้มหายและเจ็บป่วยเกือบทั้งอำเภอ เรื่องนี้คืออย่างไรเล่ามาให้ละเอียด” “ข้าได้ตรวจสอบแล้วผู้คนที่นั่นมีอาการประหลาดมาก แรกเริ่มเพียงมีไข้ปวดหัวตัวร้อนธรรมดา ไม่นานก็ไอจากนั้นจะไอมาก สุดท้ายจะล้มหมอนนอนเสื่อและกินไม่ได้นอนไม่หลับจนขาดใจตายพ่ะย่ะค่ะ” “ส่วนใหญ่ผู้ที่ตายมักมีอายุมาก ส่วนเด็กหรือคนหนุ่มสาวยังพอกินยาหายได้บ้าง หมอที่ส่งไปพยายามจัดยาให้หลายขนานแล้ว ทั้งฝังเข็มและเผายา บางรายก็ดีขึ้นแต่บางรายยังคงช่วยไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ชุนกังรายงานอย่
ตอนที่สามงานราชกิจ จ้าวเฟยเฟิ่งลุกขึ้นมาปฏิบัติราชกิจดั่งเช่นที่พระบิดาอดีตฮ่องเต้เคยกระทำ ยามเช้านางนั่งบนบัลลังก์ข้างเพื่อตัดสินเรื่องทูลเกล้านำเสนอและการโต้แย้งของเหล่าขุนนางใหญ่น้อย ยามบ่ายนางนั่งตรวจพิจารณาฎีกาและลงนามส่งให้พวกเขานำไปปฏิบัติต่อ องค์หญิงน้อยใช้สติปัญญาตัดสินใจและสั่งการอย่างชาญฉลาดจนขุนนางอาวุโสทั้งหลายอับจนคำพูดและจำต้องทำตามคำสั่งแม้ในใจจะไม่นับถือเชื่อฟัง ฟากฟ้าซึ่งเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้วจึงพอจำได้ว่าขุนนางแต่ละฝ่ายมีใครบ้าง และเธอยังเคยช่วยเขียนบทในกองถ่ายมาแล้วหลายเรื่อง หญิงสาวนำความรู้ที่หยิบมาจากละครประกอบกับการแสร้งให้ขุนนางขัดแย้งกัน สุดท้ายพวกเขาก็ขัดขากันไปแก่งแย่งกันมาจนเข้าทางเธอในที่สุด เมื่อเสร็จจากการประชุมเช้าอันน่าเวียนหัว จ้าวเฟยเฟิ่งตัดสินใจเรียกตัวผู้ที่ปฏิบัติงานอย่างแท้จริงเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้องโดยไม่ฟังแต่คำเอ่ยอ้างวุ่นวายของขุนนางเฒ่า “ถวายบังคมองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางหนุ่มที่ถูกเรียกตัวเข้ามาต่างประสานเสียงทำความเคารพ ด้วยตำแหน่งของพว
ตอนที่สอง ช่างน่ารำคาญเสียงขุนนางใหญ่น้อยถกเถียงกันวุ่นวายราวอยู่ในตลาดมิใช่ท้องพระโรง ส่งให้จ้าวเฟยเฟิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนักฟากฟ้าในร่างองค์หญิงน้อยเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมองค์หญิงจึงต้องรีบตัดสินใจ เพราะขืนชักช้าตาแก่พวกนี้คงเอาแต่พูดมากทั้งวันจนน่ารำคาญ“เสนาบดีกรมพิธีการเองก็มีบุตรชายวัยกำลังพอดี จึงต้องรีบขัดขวางท่านอย่างไรเล่า ท่านราชครู” “เจ้าเองก็มีบุตรชายวัยกำลังเหมาะเช่นกัน เสียแต่ความประพฤติฉาวโฉ่ที่ร่ำลือกันคงไม่อาจเสนอชื่อได้กระมัง” “อ้าวๆๆๆ ไยเอ่ยเช่นนั้นเล่าท่านเสนาบดีกลาโหม บุตรชายข้าฉาวโฉ่อันใด เขาทั้งขยันขันแข็ง เก่งกล้าสามารถ ท่านไม่รู้เรื่องจริงอย่าได้เอาแต่ฟังเสียงเล่าลืออันไม่มีมูล” “บุตรชายของท่านเองก็ได้ข่าวว่าเก่งกาจไม่น้อยนี่ ท่านเสนาบดีกลาโหม” “ไม่อาจสู้บุตรชายของท่านอัครเสนาบดีแน่ขอรับ” เสียงโต้เถียงจากเดิมกลายเป็นเสียงยกยอบุตรชายตนเองและทับถมบุตรชายผู้อื่นจนจ้าวเฟยเฟิ่งเบื่อหน่ายเต็มทน หากเป็นองค์หญิงผู้เพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กน้อยคงได้แต่ตื่นกลัวและไม่กล้าเอ่ยคำใด ปล่อยให้พวกเ
องค์หญิงน้อยนางนี้ใช้เวลาเลือกเฟ้นอยู่ไม่กี่วัน ด้วยโดยกดดันอย่างหนัก สุดท้ายจึงเลือกบุตรชายของราชครูซึ่งเคยเห็นหน้าคาตามาบ้าง เหตุผลหนึ่งเพราะเขาไม่มีฐานอำนาจยิ่งใหญ่จนน่ากลัว และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขามีหน้าตาหล่อเหลาอีกทั้งท่าทางหัวอ่อน ว่าง่าย จึงน่าจะไม่เป็นปัญหากับนางมากนักนางคงไม่คิดว่าชายหนุ่มหวงฮุ่ยจือผู้ดูเหมือนอยู่ในโอวาทใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีถึงกับแต่งสนมเข้ามาจนเต็มวังหลัง องค์หญิงผู้กลายเป็นฮองเฮาจึงต้องเสียเวลาอยู่กับการสู้รบตบมือกับหญิงสาวมากเล่ห์เหล่านี้จนไม่ได้ใส่ใจราชกิจที่ควรต้องทำ เรื่องควรจะดีหากฮ่องเต้หวงฮุ่ยจือมีความสามารถ แต่เขากลับอ่อนแอจนกลายเป็นเครื่องมือของคนอื่น สุดท้ายขุนนางอีกฝ่ายจึงสนับสนุนหวังกุ้ยเฟยให้วางยาสังหารฮ่องเต้และโยนความผิดให้นางเพื่อโค่นล้มช่วงชิงบัลลังก์ แต่นั่นเป็นเนื้อเรื่องที่ยัยนักเขียนทำให้เธอโมโหปรี๊ดแตกจนเก็บมาฝัน เพราะฉะนั้น ในเมื่อมันเป็นฝันของเธอ เรื่องต้องไม่เป็นแบบนั้น เรื่องจะต้องเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ ‘เชลยรักฮองเฮา’ อย่างนั้นหรือ
ตอนที่หนึ่งไม่ได้ดั่งใจ“องค์หญิงฟื้นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ หนิงอ้าย เจ้ารีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า” เสียงหญิงสาวเอ่ยอย่างนุ่มนวลอยู่ด้านข้างทำให้ฟากฟ้าต้องลืมตาขึ้นมามองดู“องค์หญิงยังมึนงงหรือไม่เพคะ” เสียงหญิงสาวคนเดิมเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่องค์หญิงหรือ? องค์หญิงอะไรกัน หรือว่าเธออยู่ในกองถ่าย แต่วันนี้ไม่มีนัดถ่ายงานเรื่องไหนนี่นา ฟากฟ้าคิดอย่างมึนงงด้วยตัวเธอเองทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายทำละคร จึงมักใช้ชีวิตอยู่กับการถ่ายทำจนอาจจะเผลอหลงลืมไป“องค์หญิงเสวยน้ำชาก่อนเพคะ หนิงอ้ายออกไปตามหมอหลวงแล้ว”หนิงอ้าย? นั่นมันชื่อนางกำนัลในนิยาย”เชลยรักฮองเฮา”ที่เพิ่งอ่านไปนี่ฟากฟ้าเริ่มก้มหน้ามองสำรวจตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเฮ้ย! ทำไมเธอใส่ชุดหรูหราอย่างกับในซีรีส์จีน แล้วเตียงนี่ ห้องนี่ ก็ดูอลังการอย่างกับอยู่ในวังยัยผู้หญิงหน้าขาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านี่ก็เหมือนกัน ใส่ชุดอย่างกับนางกำนัลที่เคยเห็นในละคร หรือว่า เธอกำลังฝันว่าอยู่ในนิยายเรื่องที่เพิ่งอ่านไป ฟากฟ้ามองหน้าหญิงที่คุกเข่าอยู่แล้วลองเรียกชื่อเพื่อให้แน่ใจ“หนิงอัน”“เพคะ องค์หญิงอยากได้สิ่งใดเพิ่มหรือเพคะ”ใช่แล้ว
บทนำ“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นอย่างไรเล่า จ้าวฮองเฮาผู้สูงส่ง ไยไม่วางท่าเชิดหน้าแล้วแสดงอำนาจบาตรใหญ่อีกเล่า”เสียงหัวเราะดังแสบแก้วหูจนจ้าวฮองเฮาต้องถลึงตาด้วยความโกรธกริ้วขณะโทสะพุ่งสูงจนต้องกระอักโลหิตพิษออกมาจนเลอะเต็มหน้าและพื้นห้องหญิงสาวสูงศักดิ์มองไปทางเตียงซึ่งมีร่างของฮ่องเต้ผู้เป็นสวามีนอนหายใจรวยรินเต็มทนคล้ายใกล้จะจากไปแล้วนางพลาดเอง นางไม่ควรมัวแต่เย่อหยิ่งจนไม่ใส่ใจรายละเอียดอื่นใดจนเปิดโอกาสให้หวังกุ้ยเฟย สตรีร้ายกาจตรงหน้าฉวยจังหวะวางยาพิษฮ่องเต้ทีละนิดจนบัดนี้ไม่อาจช่วยเหลือได้แล้ว กว่านางจะรู้ตัวและจับได้ ก็กลายเป็นเหยื่อให้พวกเขาได้โอกาสโยนความผิดและจับนางกรอกยาพิษจนต้องนอนเจ็บปวดอยู่เช่นนี้“ไม่ต้องกังวลเรื่องบัลลังก์ทองล่ะ ข้าจะหาชายหนุ่มที่ว่าง่ายสมรสด้วยและแต่งตั้งเขาเป็นฮ่องเต้แสนเชื่อฟังเอง ส่วนข้าก็จะนั่งเป็นฮองเฮาแทนเจ้าอย่างสมเกียรติ จงตายไปอย่างสงบเถอะ จ้าวเฟยเฟิ่ง” หวังกุ้ยเฟยตะโกนก้องอย่างผู้ชนะ ขณะปรายตามองร่างใกล้ตายที่กระเสือกกระสนอย่างสังเวช“ส่วนโอรสบุญธรรมทั้งสามของเจ้า ข้าย่อมดูแลอย่างดี พวกเขาทั้งหล่อเหลาทั้งแข็งแรง ต้องเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่ดี
แนะนำตัวละครจ้าวเฟยเฟิ่ง ฮองเฮาสกุลจ้าว อดีตองค์หญิงน้อยธิดาคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของอดีตฮ่องเต้หวงฮุ่ยจือ ฮ่องเต้ซึ่งแต่งเข้าสกุลจ้าวเพื่อครองบัลลังก์หวังลี่ถิง หวังกุ้ยเฟย บุตรสาวเสนาบดีปกครองจางชงเมิ่ง บุตรชายของอัครเสนาบดีจาง ทำงานเป็นผู้ช่วยของบิดาข่งซีห่าว รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพ และเป็นบุตรชายแม่ทัพใหญ่ไป๋ชุนกัง บุตรชายหัวหน้าหมอหลวง ดูแลกรมรักษาหลี่จิ่นติ้ง บุตรชายเสนาบดีกลาโหม ดูแลกรมอาวุธฉีเซี่ยหลิว บุตรชายเสนาบดีกรมคลัง ดูแลกรมอากรหนิงอัน หนิงอ้าย หนิงเหอ นางกำนัลคนสนิทของจ้าวเฟยเฟิ่งเชลยรักของฮองเฮาตัวร้ายโดยวันว่างว่างของหญิงใหญ่องค์หญิงน้อยซึ่งจำต้องก้าวขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะหลอกล่อชายหนุ่มให้เป็นเชลยรักและส่งเสริมนางได้อย่างไร นางอยากเป็นฮองเฮาแสนดีมิใช่ฮองเฮาตัวร้ายสักหน่อยฟากฟ้า ผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายตื่นขึ้นมาในร่างขององค์หญิงน้อยทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่และจำต้องก้าวขึ้นเป็นฮองเฮาแต่นางจะเป็นฮองเฮาเพียงเพื่อแต่งสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้และคอยปกครองวังหลังไล่ตบตีกับเหล่าสนมหรือจะขึ้นนั่งบัลลังค์ปกครองบ้านเมืองเสียเองนางไม่ยอมเดินตามที่ผู้อื่นกดดันแน่ เธอจ