ฝ่ายเจิ้งหมิงกำลังก้าวเร็วๆ มาตามทางเดินมุ่งสู่ห้องพัก เพื่อเตรียมสัมภาระให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกล ระหว่างเดินผ่านห้องรับรอง องครักษ์หนุ่มก็ต้องชะงักฝีเท้า เพียงแค่เห็นว่า หญิงงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหนึ่งของห้อง
นางสวมชุดฮั่นฟูตัวยาวสีขาว เสื้อกั๊กตัวนอกสีชมพูปักลายแมลงปอตัวเล็กๆ บินอยุ่ในสวนพฤกษชาติ ดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอางแต่พองาม เผยผิวพรรณผุดผ่อง ดวงตาเรียวเล็ก ภายใต้คิ้วโก่งงาม จมูกโด่งเชิดน้อยๆ รับกับกลีบปากอิ่มสีชมพูสดใส ราวกลีบกุหลาบแรกแย้ม และสิ่งที่ทำให้รู้ถึงความสูงศักดิ์ก็คือ เรือนผมเกล้าประดับด้วยปิ่นทองคำ ผมส่วนหนึ่งปล่อยยาวเคลียแผ่นหลังเรียบตรงดุจแพรไหม ดูงดงามไร้ที่ติ
แต่แล้ว องครักษ์หนุ่มก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อแลเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งผ่านเข้ามาซ้อนทับอยู่เหนือร่างนั้น
เธอเป็นหญิงงามดูแปลกตา เรือนผมดำขลับซอยสั้นระต้นคอ รับกับดวงหน้ารูปไข่ขาวผ่อง ดวงตาคู่เรียวคมกล้า นั่นไม่ได้ทำให้เธอดูประหลาดเท่ากับการแต่งกายผิดกับสตรีทั่วไป เธอสวมเสื้อแขนยาวกับกางเกงเข้ารูปสีดำ ดูไม่น่าใช่การแต่งกายของชาวแผ่นดินใหญ่เลย
เจิ้งหมิงยกมือขึ้นขยี้ตา เพ่งพินิจเงาร่างนั้นอีกครั้ง พลันก็แลเห็นเพียงดวงหน้าของหญิงงาม ภาพหญิงสาวแต่งกายประหลาดเลือนหายไปเสียแล้ว
หูตาเขาคงจะฝ้าฟางไปชั่วขณะแล้วแน่ๆ ที่มองเห็นหญิงงามผู้สูงศักดิ์กลายเป็นสตรีประหลาดผู้นั้นไปได้
แต่ก็ช่างเถิด นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องสนใจเรื่องนี้ สู้รีบเก็บสัมภาระ แล้วรีบออกเดินทางโดยม้าเร็วไปยังจุดหมายจะดีกว่า
บอกตนเองแล้ว องครักษ์หนุ่มก็รีบเดินมายังห้องพักทันที
เจิ้งหมิงควบม้าเร็วออกจากเมืองซื่อเหอ ใช้เวลาสองวันหนึ่งคืนก็เดินทางมาถึงเมืองฉางโจว ในเวลาพลบค่ำ องครักษ์หนุ่มจึงพักค้างแรมที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง กลางเมืองฉางโจวนั่นเอง
“เสี่ยวเอ้อ ขอชาร้อนที่นึง” องครักษ์หนุ่มบอกกับเสี่ยวเอ้อหนุ่มน้อยที่กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับเขา ตั้งแต่ก้าวเข้ามา
น่าแปลกที่โรงเตี๊ยมใจกลางเมืองยามพลบค่ำเช่นนี้กลับดูเงียบเหงาไร้ผู้คน
“ครับ คุณชาย” เสี่ยวเอ้อหายเข้าไปในครัวด้านหลังครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมสิ่งที่เจิ้งหมิงต้องการ
“เสี่ยวเอ้อ เจ้าเคยได้ยินเรื่องที่มีผู้หญิงท้องในเมืองฉางโจวหายตัวไปรึเปล่า”
“ได้ยินครับคุณชาย แต่มันก็แปลกอยู่นะครับ ทำไมคนที่หายตัวไปจึงต้องเป็นคนท้องด้วย ชาวบ้านแถวนี้เค้าก็ลือกันทั้งนั้นแหละครับว่า พวกที่จับตัวคนท้องไปคงไม่ใช่คนธรรมดา”
“งั้นเหรอ” เจิ้งหมิงแสดงท่าทีว่าเขาสนใจเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ
ขณะที่เสี่ยวเอ้อเองก็เล่าตามประสาคนช่างพูด
“ครับ เค้าลือกันว่า อาจจะเป็นฝีมือพวกปีศาจจิ้งจอกก็ได้ คิดดูนะครับคุณชาย บางทีพวกมันอาจจะจับคนท้องไปผ่าท้อง เอาเด็กออกมากินก็ได้ คิดแล้ว ขนลุกจริงๆ เลยครับคุณชาย” เสี่ยวเอ้อทำท่าทางขนลุกขนพองอย่างที่พูด
“อ้อ มิน่าล่ะ พอใกล้ค่ำถึงไม่มีใครออกมาข้างนอกกันเลย”
“ครับ แขกที่มาพักก็สั่งอาหารเข้าไปกินในห้อง คงกลัวเจอปีศาจจิ้งจอกกันหมดล่ะครับ”
“เรอะ ขอบใจมากนะ เอานี่ เจ้าไปเถอะ” เจิ้งหมิงยื่นเงินค่าน้ำชาให้เสี่ยวเอ้อ ก่อนที่เขาจะผละไปต้อนรับแขกรายใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามา
แม้จะกลับเข้ามาในห้องพักนานแล้ว หากองครักษ์หนุ่มก็ยังคิดไม่ตกเรื่องที่ได้ยินมาจากเสี่ยวเอ้อหนุ่มน้อยอยู่ดี เพราะหากเรื่องการหายตัวของหญิงตั้งครรภ์ในเมืองฉางโจวเป็นฝีมือของปีศาจจิ้งจอกดังข่าวลือจริง เหตุใด จางเหวินชิง สามีของหนึ่งในหญิงตั้งครรภ์ที่หายตัวไป จึงมีชีวิตรอดไปร้องทุกข์ถึงเมืองซื่อเหอได้
หากผู้อยู่เบื้องหลังเป็นปีศาจจริง เขาควรจะถูกตามฆ่าตั้งแต่ตอนเดินทางไปเมืองซื่อเหอแล้ว
เป็นไปได้ไหมนะว่า จะมีเงื่อนงำบางอย่างแอบแฝงในเรื่องนี้อยู่
เจิ้งหมิงครุ่นคิดก่อนตัดใจดับตะเกียงนอน
ในห้วงนิทรารมย์อันลึกล้ำนั้น เจิ้งหมิงมองเห็นตัวเองยืนอยู่กลางห้องนอนแปลกตา
โต๊ะ ตู้ เตียง ไร้ลวดลายดูเรียบ เตียงนอนที่ควรจะมีมุ้งม่าน กลับมีเพียงที่นอนวางอยู่บนเตียงกลางห้อง ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่มสีขาวจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
แทนที่ภายในห้องจะสว่างด้วยแสงตะเกียง ก็กลับสว่างจ้าด้วยแสงจากโคมระย้า ด้านหนึ่งของผนังห้องมีอะไรบางอย่างรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่แขวนอยู่ และที่แปลกก็คือ มีภาพผู้คนแต่งกายแปลกๆ เคลื่อนไหวอยู่ในนั้นด้วย
บนถนนที่ควรจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ หรือเกี้ยวขุนนางมีวัตถุประหลาดตาเทียมล้อแล่นสวนกันไปมา
เห็นแล้วเจิ้งหมิงก็ชะโงกหน้าไปมองอย่างอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้
แต่แล้ว… องครักษ์หนุ่มก็ต้องสะดุ้งสุดตัว กับเสียงแหวแหลมลั่นดังมาจากทางด้านหลัง
“คุณเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”
เมื่อหันไปมอง จึงเห็นว่าหญิงสาวผมสั้นระต้นคอ หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนยืนอยู่
เธอสวมชุดคลุมตัวยาว ทำด้วยผ้าขนหนูสีขาวสะอาด รัดตัวเสื้อด้วยสายคาดเอวเย็บต่อจากตัวชุดนั่นเอง ดูไม่รัดกุมเอาซะเลย หากหญิงสาวก็ยังตั้งการ์ตเตรียมรับมือกับผู้บุกรุกเต็มที่
“แล้วแม่นางล่ะ เป็นใคร”
“พูดจาแปลกๆ แบบนี้ คนบ้าแน่ๆ” เธอปรามาด ก่อนพุ่งเข้ามาอย่างไม่หวั่นเกรง
เจิ้งหมิงจึงต้องต่อสู้กับเธออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต่างคนต่างรุกรับกันด้วยมือเท้าอย่างไม่มีใครยอมใคร
“แม่นาง หยุดคุยกับข้าก่อนเถิด”
“จะคุยอะไร ก็คุณบุกเข้ามาในห้องฉันน่ะ” เธอโต้ และคงได้ถีบยอดอกเขาแล้ว หากไม่เพราะสายรัดเอวชุดคลุมอาบน้ำเจ้ากรรม เกิดหลุดซะก่อน
“ว้าย!” เธออุทานลั่น ถอยกรูดไปทางผนังด้านหนึ่ง รีบรวบชุดปิดบังเรือนร่างขาวโพลนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“อย่าเข้ามานะ”
“แม่นาง ฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้เจตนาจะมาที่นี่ ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาที่นี่ได้ยังไง”
“คุณกำลังจะบอกฉันว่า คุณทะลุมิติเข้ามาในห้องฉันงั้นสิ ออกไปนะ” หญิงสาวไม่พูดเปล่า ค่อยๆ ขยับไปจนถึงลิ้นชักข้างเตียง ก่อนจะฉวยวัตถุสีดำมะเมื่อมขึ้นมาปลดล็อคแมกกาซีน ปากก็ขู่ฟ่อ
“ยกมือขึ้น ฉันบอกให้ยกมือไง”
เจิ้งหมิงยกมือขึ้นอย่างว่าง่าย แต่แล้วภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็มลายไป กลายเป็นว่าเขายังคงนอนอยู่ที่เดิม
“นี่ข้าฝันไปหรอกเหรอ” เจิ้งหมิงรำพึงกับตนเอง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะเหมือนจริงขนาดนี้ แม้จะเป็นแค่ความฝัน หากเขาก็ยังรู้สึกเคล็ดขัดยอกเล็กน้อย คล้ายได้ผ่านการต่อสู้กับหญิงสาวคนนั้นมาจริงๆ
อีกห่วงเวลาหนึ่ง ห่างไกลกันหลายศรรตวรรษ “ณารา เหว่ย” สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก หอบหายใจแรง แววตาทั้งคู่ทอประกายหวาดหวั่นในความมืด เพียงครู่ก็ถอนหายใจยาว เมื่อรู้แน่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน
ตลอดทั้งวัน เธอคงคร่ำเคร่งกับการถ่ายละคร สวมบทนางเอกหนังจีนโบราณอยู่แน่ๆ ถึงได้เก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ ถึงขนาดฝันว่า มีผู้ชายแต่งตัวอย่างชาวยุทธบุกเข้ามาในห้องนอน
หญิงสาวล้มตัวลงนอน พลิกกายไปมาบนเตียงอยู่เป็นนาน เมื่อไม่อาจข่มตาหลับได้ จึงลุกขึ้นเปิดไฟกลางห้อง
แต่แล้ว ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นรอยเท้ามากมายปรากฏอยู่บนพื้นห้อง อีกทั้งปืนพกของเธอเองก็ตกอยู่บนพื้นห้องด้วย
หากมีใครเข้ามาในห้องจริง ก็ไม่น่าจะมีรอยเท้าเปื้อนดินแบบนี้ได้ เมื่อเดินสำรวจไปทั่วทั้งห้อง ก็ไม่เห็นร่องรอยของการปีน หรืองัดแงะเข้ามา
หรือสิ่งที่เธอฝัน จะเกิดขึ้นจริงกันนะ
ณาราทิ้งกายลงบนที่นอนนุ่ม ครุ่นคิดหาสาเหตุของรอยเท้า
ยิ่งเปิดย้อนดูภาพจากกล้องวงจรปิดชนิดพิเศษที่เธอติดไว้บนนาฬิกาปลุก ก็กลับพบว่า กล้องหยุดทำงานไป ช่วงเวลาระหว่าง 5 ทุ่ม 45 นาทีถึงเที่ยงคืน ขณะที่เวลาอื่นนั้น กล้องยังคงทำงานปกติ
มันจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับเธอแน่ๆ
ณารา เหว่ย ซุปเปอร์สตาร์สาวระดับเอเชีย สวมชุดฮั่นฟูสีส้มแดง ปักลายนกยูงรำแพน สวมหมวกโค้งคล้ายพัดที่ถูกกางออกประดับเพชรพราวระยับยามต้องแสงไฟในห้องแต่งหน้า ดวงหน้างามแตะแต้มเครื่องสำอางแปลงโฉมสาวสวยทันสมัย ให้กลายเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรต้าเถียน งดงามสมกับบทบาท “องค์หญิงกุ้ยเฟย” นางเอกของเรื่อง ยอดหญิงแห่งบัลลังก์มาร” ประกบคู่กับ “จางอี้เหลียง” ผู้รับบท “จอมยุทธฟานซื่อปิง” ประมุขพรรคมาร “วันนี้เป็นฉากใหญ่ด้วย ตื่นเต้นมั้ยณา” “เหว่ยอี้ฟาน” หญิงวัยสี่สิบห้า ผู้เป็นทั้งน้าสาว และรับหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวของณาราเอ่ยขึ้น เธอเป็นหญิงหน้าตาดี ร่างท้วม สูงไม่ถึง 160 เซนติเมตร ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาชั้นเดียวรับกับจมูกเล็ก ริมฝีปากบางเฉียบ ดูอ่อนเยาว์จนหลายครั้งเมื่อต้องไปกองละคร มักจะถูกเรียกว่าน้องเสียมากกว่าน้า “ไม่ตื่นเต้นหรอกค่ะ น้าอี้ฟานก็รู้ว่า ณากำลังคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า” ณาราเอ่ยเบาๆ พอให้ได้ยินกันเพียงสองน้าหลาน “อ้อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ ไม่ต้องคิดมากหรอกณา วันนี้นายอี้เหลียงไปขัดขวางงานสำคัญของตำรวจไม่ได้หรอก เพราะต้องเข้าฉากกกับณาไง” “นั่นล่ะค่ะ ณ
“ว่าไงนะ ถูกจับ ที่ไหน” “สนามบินดอนเมืองครับ ตอนนี้ถูกตำรวจไทยคุมตัวไปแล้ว” “บัดซบ พวกมันรู้ได้ยังไง” “มีนางนกต่อส่งข่าวให้ตำรวจไทยอยู่ในกองถ่ายครับ” “ใคร” ดาราหนุ่มเ่อ่ยถามเสียงเหี้ยม “นังณารา” สิ่งที่ได้ยินกับหู ทำเอาจางอี้เหลียงคั่งแค้นจนแทบกระอักเลือด ไม่น่าเลย เขาไม่น่าหลวมตัวให้ณาราเข้ามาล้วงความลับได้เลย แค่ให้ณารามาที่คอนโดไม่ทันข้ามวัน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานก็กลับถูกล้วงเอาไปจนได้ เขาไม่น่าประมาทฝีมือผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างณาราเลยจริงๆ รู้อย่างนี้แล้ว เขาหรือจะปล่อยให้ณารามีชีวิตรอดจนสาวมาถึงตัวเขาได้ ทางเดียวที่แก๊งค์ของเขาจะปลอดภัยจากไอ้พวกตำรวจได้ ก็คงต้องรีบจัดการกับนางนกต่อให้สิ้นซาก “นังณารา แก” เขาคำรามในลำคอ ดวงตาทั้งคู่ทอประกายเจิดจ้า ในเมื่อณารากล้าทำให้เขาต้องสูญเงินไปถึงสิบล้านบาท เขาก็จะไม่ปล่อยเธอไปเด็ดขาด ณาราจะต้องตายด้วยน้ำมือเขา แต่ก่อนจะตาย ขอให้ได้ฉกชิงความสาว สวยมาจากเรือนร่างเย้ายวนตา ยวนใจนั้นก่อนเถอะ เขาถึงจะพอใจ ณาราก้าวเร็วๆ มาที่รถ เปิดประตูขึ้นนั่งประจำ
ตำหนักของท่านอ๋อง 9 จ้าวเจี้ยนหลิงแห่งฉางโจว ตั้งอยู่บนเนินเขาฉางซาน เป็นเรือนไม้หลังคาทรงเก๊งจีนเรียงเป็นชั้นลดหลั่นกันลงมา ด้านหน้าเป็นเรือนรับรอง ปีกด้านข้างทั้งสองแบ่งเป็นห้องหนังสือ ห้องสวดมนต์ ห้องนอนของเจ้าของตำหนัก ด้านหลังเป็นส่วนครัว ส่วนเรือนพักของภรรยาและบุตรนั้น ปลูกแยกห่างออกไปในระยะห่างพอเดินหากันได้ รายรอบด้วยสวนไม้ประดับนานาพันธุ์ ทันทีที่ขบวนเกี้ยวของงท่านหญิงน้อย พ้นประตูด้านหน้าเข้ามา พ่อบ้านประจำจวนท่านอ๋อง 9 ก็รีบไปรายงานให้เจ้านายของเขาทราบ “ท่านอ๋องครับ เกี้ยวของท่านหญิงน้อยมาถึงแล้วครับ ตอนนี้ข้าน้อยได้พาท่านหญิงน้อยไปยังห้องรับรองแล้ว” “แล้วใต้ท้าวเฉินล่ะ มาด้วยรึเปล่า” ชายชราผู้สูงศักดิ์ เรือนผมบนศีรษะแซมหงอก ดวงหน้าดุดัน หนวดเครายาวตัดแต่งเป็นอย่างดี รับกับดวงหน้าถามถึงขุนนางคนโปรด “ใต้ท้าวเฉินให้คนมาเรียนว่า เมื่อเตรียมของขวัญที่องค์ฮ้องเต้พระราชทานมาด้วยเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางมาภายหลังครับ” “งั้นเรอะ ข้าจะไปหาลูกเดี๋ยวนี้ล่ะ” สีหน้าและแววตาของท่านอ๋องฉาบฉายด้วยความยินดี ขณะก้าวเรื่อยๆ จากห้องหนัง
เรือนเหมยฮวาที่ท่านอ๋ออง 9 พูดถึงนั้น ตั้งห่างออกมาจากเรือนของบุตรธิดาคนอื่นๆ ของท่านอ๋อง เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง หลังคาทรงเก๋งจีน หัวเสาแกะสลักลวดลายกลีบดอกเหมย รอบตัวเรือนปลูกต้นเหมยเป็นแนว ภายในมีเฟอร์นิเจอร์ไม้ครบครัน ประตูหน้าต่างประดับม่าน ที่นอนแขวนมุ่งม่านสีชมพูอ่อน ตู้ด้านหนึ่งจัดวางกรอบภาพเขียนวิหคน้อยในสวนหลิวฝีมือแม่ และภาพเหมือนของแม่ ดูแล้วชวนให้คิดถึงคนวาดแทบขาดใจ แม้ไม่เคยเห็นหน้า หากสายใยผูกพันที่มีก็ไม่อาจทำให้นางคลายความคิดถึงที่มีต่อแม่ไปได้เลย หากแม่ยังอยู่ ฮุ่ยเหนียงคงไม่มีโอกาสเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่เลี้ยงของนางอยู่เช่นนี้หรอก “ท่านแม่ ทำไมท่านถึงจากข้าไปเร็วนัก ท่านจะรู้หรือไม่ว่า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ขณะเดียวกัน เจิ้งหมิง แต่งกายอย่างชาวยุทธทั่วไป กำลังเดินอยู่ในตลาดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าร้องเร่ขายอาหาร ผ้าผ่อนแพรพรรณ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะตั้งป้ายหมอดูเทวดา หยั่งรู้ฟ้าดิน ด้วยความอยากรู้เรื่องคดีที่ใต้ท้าวเฉินรับเอาไว้ องค์รักษ์หนุ่มจึงเดินเข
ร้อยตำรวจเอกธีรเทพใจไม่ดี จึงรีบเหยียบคันเร่งตามรถของตำรวจลับสาวไปทันที ระหว่างนั้นก็รีบโทรหานายตำรวจร่วมทีมไปด้วย “ฮัลโหลสารวัตร หมวดณาราขับรถไปไหนก็ไม่รู้ ท่าทางรีบๆ ผมสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับหมวด สารวัตรรีบตามมาเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะแชร์โลเคชั่นไปให้” รถยนต์คันเล็กสีบรอนด์เงินแล่นมาจอดหน้าตึกร้าง ท้ายซอยค่อนข้างแคบ ณาราก้าวออกจากรถมาด้วยท่าทีร้อนรน ทุกก้าวผ่านบันไดแต่ละขั้นนั้นเร่งร้อน ด้วยความเป็นห่วงญาติเพียงคนเดียวในชีวิต มือข้างหนึ่งรึก็ถือโทรศัพท์เอาไว้ สนทนากับคนร้ายจากต้นสายมาเรื่อยๆ กระทั่งก้าวขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าตึก “มาจนได้นะณารา คุณเก่งจริงๆ ที่หาตึกนี้จนเจอ” จางอี้เหลียงยืนรออยู่ พร้อมกับชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม แววตากราดมองมานั้นเต็มไปด้วยความชิงชัง ผิดจากแววตาของพระเอกหนุ่มในจอราวพลิกฝ่ามือ “ฉันนึกแล้วว่าจะต้องเป็นคุณ” “ช่วยไม่ได้ ก็คุณแส่หาเรื่องเองไม่ใช่เรอะ เป็นซุปเปอร์สตาร์ดีๆ ไม่ชอบนี่นา ถ้าคุณแค่เป็นดารา ถ่ายละคร รับค่าตัวไปวันๆ ซะ ก็คงไม่ต้องมาพบจุดจบแบบนี้หรอก”
ในวินาทีเดียวกัน ต่างกันที่กาลเวลา เจิ้งหมิงจรดปากจอกน้ำชากับริมฝีปาก ขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องคดีที่ไม่มีเค้าความคืบหน้าเลยอยู่นั่นเอง ภาพหญิงสาวคนที่เขาเคยเห็นในความฝันเมื่อคืน ก็แทรกเข้ามาในห้วงความคิด เธอในยามนี้หมดสติ กำลังถูกชายหนุ่มหน้าตาดี ทว่าจิตใจนั้นต่ำทรามกำลังฉีกเสื้อผ้าที่เหลือติดกายเธอออกอย่างย่ามใจ โดยไม่สนใจร่างโชกเลือดของผู้หญิงอีกคนที่นอนอยู่ใกล้ๆ เลยแม้แต่น้อย ขณะที่ชายโฉดผู้นั้นกำลังดึงกางเกงขายาวของเธอออกอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับปืนในมือ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง กราดกระสุนเข้าใส่ชายโฉดผู้นั้นทันที ปัง ปัง ปัง… กระสุนพุ่งเข้าเจาะกะโหลกของมันอย่างแม่นยำ ก่อนที่กลุ่มชายชุดดำจะยิงปืนสวนมา เขาจึงต้องหลบวูบ วิ่งหนีลงมาทางบันไดหนีไฟ คล้ายกำลังต้องการถ่วงเวลา ทว่าแรงขาหรือจะสู้ความเร็วของลูกตะกั่ว วิ่งไปไม่ถึงไหน เขาก็ถูกยิงเข้าที่ขาล้มกลิ้งลงมาตามขั้นบันได อีกด้านหนึ่ง เสียงปืน ทำให้ณาราฟื้นขึ้นมา เพื่อจะพบว่า จางอี้เหลียงนอนทับร่างของเธออยู่ ตำรวจลับสาวค้นกระเป๋ากางเกงข
ในห้วงเวลาปัจจุบันนั้น... ณารากุมบาดแผลฉกรรจ์กลางหน้าอกทะลุแผ่นหลัง ดวงตาพร่าพรายแลเห็นโลหิตแดงฉาดฉาน ปลายจมูกสัมผัสกลิ่นคาวที่กำลังพาเธอก้าวล่วงเข้าสู่ความตาย รู้ดีว่าตนเองคงไม่รอดแน่แล้ว ดีเหมือนกัน... เธอจะได้ตามไปเจอน้าอี้ฟาน เจอพ่อแม่ในโลกหลังความตายสักทีพร้อมกับความคิดนั้น ร่างเพรียวระหงก็ล้มฟาดลงกับพื้น พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไปราวใบไม้ถูกสายลมแรงปลิดจากขั้ว ร่วงผลอยลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ก่อนจะถูกสายน้ำพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย อีกห้วงเวลาหนึ่ง... ณ. เรือนเหมยฮวา ภายในบริเวณตำหนักท่านอ๋อง 9 เฉินลู่ซี พร้อมด้วยขบวนหาบของขวัญพระราชทานจากฮ่องเต้ไท่จือ เพิ่งจะเดินทางมาถึง และถูกเชิญเข้ามาในห้องรับรองอันโอ่โถง “เฉินลู่ซี คำนับท่านอ๋อง 9 ขอจงเจริญ” “อ้อ ใต้ท้าวเฉิน เชิญนั่ง ไม่ต้องเกรงใจ ท่านเดินทางมาไกล ยังต้องนำของพระราชทานจากฮ้องเต้มาให้ข้าอีก คงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เชิญใต้ท้าวเฉินไปพักผ่อนที่ศาลาริมน้ำดีกว่านะ จะได้เล่นหมากรุกกันสักกระดานสองกระดาน” “ครับท่านอ๋อง เชิญๆ” ว่าแล้วเฉินลู่ซีก็เดินต
จ้าวเจี้ยนฟางเดินเข้ามาในงานเลี้ยมวันเกิดของบิดา คารวะใต้ท้าวเฉินด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ทัพหลี่เหวินเฉา และหลี่จิ้ง นางกลับคารวะไปตามมารยาทเท่านั้น “นี่เจี้ยนฟาง ลูกสาวคนเล็กของข้าที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง ต่อไปเจี้ยนฟางจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะนะ” “ดีๆ นั่งก่อนสิหลานเจี้ยนฟาง” หลี่เหวินเฉาผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวบุตรชาย“มานั่งด้วยกันเถิดน้องหญิง” หลี่จิ้งเชื้อเชิกุลีกุจอตักอาหารให้อย่างรู้หน้าที่จ้าวเจี้ยนฟางจึงต้องเดินมานั่งลงข้างๆ เขาอย่างเสียมิได้“ท่านหญิงน้อยก็กลับมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันดี ข้าว่าเรามาคุยเรื่องงานมงคลระหว่างลูกจิ้งกับท่านหญิงดีกว่านะครับท่านอ๋อง” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะที่ท่านหญิงน้อยหน้าตึงขึ้นมาในทันที แม้จะถูกอบรมให้ซ่อนสีหน้า สงบปากสงบคำยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินแบบไม่เคยรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ เธอคงไม่อาจทำได้“หมายความว่ายังไงคะท่านพ่อ”“เอ่อ… เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังเถิดนะแม่ทัพหลี่”“ไม่ได้หรอก วันนี้แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว” หลี่เหวินเฉาเร่ง ขัดใจนิดๆ ที่เอาเข้าจ
ทันทีที่กองทัพจากเมืองหลวงยกพลขึ้นบกที่เกาะจวินจวู พร้อมด้วยเจิ้งหมิง จี้หมิน และเจิ้นหยาง บรรดาหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกจับตัวไป ก็ถูกช่วยพาขึ้นเรือกลับมายังฝั่ง เมื่อไม่ได้รับยาจากคนของเจ้าเกาะ ความทรงจำของพวกนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา ที่ต้องลุ้นระทึกก็คือ หญิงตั้งครรภ์จำนวน 5 นาง ได้คลอดลูกบนเรือ ดีที่เจียงจื่อหยารอบคอบ ให้หมอตำแยในเมืองฉางโจวติดตามไปด้วยหลายคน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน เฉินลู่ซีก็ส่งหญิงตั้งครรภ์กลับสู่ครอบครัวได้สำเร็จ“อวี้เอ๋อ” จางเหวินชิง กอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนทั้งน้ำตาอาบสองแก้ม นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบภรรยาเสียแล้ว“ท่านพี่” นางเองก็กอดสามีเอาไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณใต้ท้าว องครักษ์เจิ้ง ที่ช่วยคลี่คลายคดีความทุกข์ให้ครอบครัวข้า ขอบคุณครับ” จางเหวินชิงคารวะจากใจขณะที่เสี่ยวหง ปิงปิงและซวงเอ๋อเองก็ต่างโผเข้ากอดสามีของนาง ก่อนจะรีบผละออก เมื่อเห็นว่าณารายืนมองมายิ้มๆ“เจี้ยนฟาง” นางทั้งสามปรี่เข้ามาหาณารา ต่างกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมาหยุดอยู่ตรงกลางลำตัว“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์นี่” ซวงเอ๋อทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ“อึม” ณาราพยักหน้า
เจ้าเป็นถึงฮูหยินรองของตำหนักอ๋อง ใครเล่าจะข่มขู่เจ้าได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ อย่างไรข้าก็ต้องพาตัวทั้งเจ้าและพ่อบ้านไปรับโทษอย่างแน่นอน” สิ้นคำพูดของท่านอ๋อง 9 ไห่หลานก็พาตัวจ้าวหลงซินออกมา โดยมีเฉินลู่ซี และมือปราบเจิ้นหยางเดินตามเข้ามาในห้องเช้าวันต่อมา นอกจากข่าวใหญ่ เรื่องคนของศาลซื่อเหอ นำกำลังทหารจากเมืองหลวงไปยังเกาะจวินจวูแล้ว ยังมีข่าวของฮูหยินรองแห่งตำหนักอ๋อง ปองร้ายธิดาคนเล็กของท่านอ๋อง มิหนำซ้ำยังลักลอบเป็นชู้กับพ่อบ้านจ้าวหลงซิน เป็นที่พูดถึงทั่วเมืองเมื่อเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ไห่ถวนก็ขอตัวตามเจิ้งหมิงกลับเกาะจวินจวู ขณะที่ณาราในร่างจ้าวเจี้ยนฟางเอง ต้องรออยู่ที่ตำหนักอ๋อง ให้เจิ้งหมิงทำธุระของเขาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ค่อยพาผู้ใหญ่จากเมืองหลวงมาสู่ขอนางตามประเพณีแม้จะมีชีวิตสุขสบายดีแล้ว ณาราก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ที่ไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ว่า เธอไม่ใช่จ้าวเจี้ยนฟาง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำให้ท่านอ๋อง 9 เสียใจเรื่องธิดาได้ จึงทำได้เพียงเก็บคำเสียค่ำคืนหนึ่ง ท่านอ๋อง 9 นอนกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน จิตดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรารมย์ ที่มีเพียงม่านหมอกขาวจนมองไม่เ
นึกไม่ถึงว่า เสี่ยวชุ่ยจะฝ่าฝืนคำสั่ง คิดปองร้ายจ้าวเจี้ยนฟาง“ข้าผิดไปแล้ว ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“ข้าจะให้ใต้ท้าวเฉิน เป็นคนตัดสินความเรื่องนี้เอง”ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“เสี่ยวชุ่ย บอกข้ามาว่าใครสั่งการให้เจ้าทำร้ายท่านหญิงน้อยเช่นนี้” ฮุ่ยเหนียงปราดเข้าหาคนผิด จิกเล็บลงกับเรือนผมของนางสุดแรง จนหน้าหงาย ดวงตาจับจ้องหน้าสาวรับใช้วาวโรจน์ มิใช่เพราะต้องการให้นางสาภาพความจริง ตรงกันข้าม ฮุ่ยเหนียงต้องการให้นางปิดปากให้สนิทต่างหาก“ฮูหยินรอง ข้าข้า”“พูด” ท่านอ๋อง 9 ตวาดลั่น ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ“หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ” ฮุ่ยเหนียงบอกเป็นนัยๆ ว่า หากนางเปิดปาก จะตัดลิ้นสาวรับใช้เสียให้รู้แล้วรู้รอดหากยังไม่ทันที่เสี่ยวชุ่ยจะเอ่ยอะไรออกมา ร่างนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็กระตุกเฮือก ชักตาตั้ง กระอักเลือดสีแดงสดออกมา“ท่านอ๋อง ท่านหญิงแย่แล้วเจ้าค่ะ” ไห่หลานโวยวายพลางร้องไห้โฮๆ“เด็กๆ พานางไปขังไว้ก่อน ใต้ท้าวเฉินมาค่อยตัดสินความ”สิ้นคำสั่งเรียกคนของท่านแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็ปราดมาที่เตียง ประคองธิดาคนเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน“เจี้ยนฟาง เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ” ท่านอ๋อง 9 รำพัน น้ำตานองหน้า
ณารายิ้มยั่วเย้า“อยากรู้ว่าเคยมั้ยล่ะคะ” ณาราสบตาคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ก่อนจะดันร่างของคนตัวใหญ่กว่าให้เดินถอยหลังไปที่เตียง แกล้งผลักเขาลงกับที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อม ทั้งที่ในชีวิตนี้ เธอไม่เคยทำแบบนี้กับชายใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว“เจ้าจะทำอะไร!” เจิ้งหมิงเบิกตากว้าง ตกใจกับท่าทีของเธอ ไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงจากโลกอนาคตจะไวไฟได้เพียงนี้แต่แทนที่ณาราจะตอบคำถาม กลับก้มลงจรดริมฝีปากกับหน้าผากของเขาแล้วเลื่อนเรื่อยลงมาหยุดตรงซอกคออย่างย่ามใจเรื่องอะไรเจิ้งหมิงจะยอมให้นางทำอย่างนั้นฝ่ายเดียว พอนางเผลอ เขาก็เป็นฝ่ายพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำเอาคนคิดจะแกล้งหยอกเย้าเล่นหน้าตื่น“พี่จะทำอะไร”“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ หึม” เจิ้งหมิงเป็นฝ่ายยิ้มยั่วเย้าบ้าง แล้วจรดริมฝีปากอุ่นจัดลงกับใบหูเล็ก ระเรื่อยลงมายังซอกคอขาวละมุน แล้ววนเรื่อยขึ้นไปยังใบหูเล็กรวดเร็ว“พี่เจิ้ง อย่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้จริงจังสักหน่อย”“แต่เจ้าทำให้ข้าอยากจริงจังนี่นา”“ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าแค่ล้อเล่น ข้าบอกให้ก็ได้ว่า ข้ายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใดสักหน่อย” ณาราสารภาพอ้อมแอ้ม“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวไห่ถวนก็มาเห็นเข้าหรอ
ท่านอ๋อง 9 ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกัน เมื่อจู่ๆ ธิดาคนเล็กก็พาหญิงสาวผู้หนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก พร้อมกับหนุ่มน้อยไห่ถวน จากเกาะจวินจวู“นี่ไห่หลาน พี่สาวของไห่ถวน เพิ่งมาจากเกาะจวินจวูค่ะ” ณาราแนะนำทั้งที่แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่“อึม แม่นางไห่หลานนี่ ดูลักษณะรูปร่างช่างดูค้นตานัก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน” เฉินลู่ซีตั้งข้อสังเกต แม้เรือนร่างภายใต้เครื่องแต่งกายสตรีจะไม่ได้กำยำล่ำสันมากนัก แต่ก็ดูบึกบึนกว่าสตรีโดยทั่วไปอยู่ดีเจิ้งหมิงทำชะม้ายชายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออกดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้งดงามก็จริง แต่ทำไมเขาจะจำดวงตาคมกล้าคู่นั้นไม่ได้เล่าว่า นางเคยเป็นใครมาก่อน“นี่เจ้า เอ่อ…”“ท่านพ่อ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว เรารีบกลับกันเถอะค่ะ” ณาราเดินมาเกาะแขนท่านอ๋อง 9 เอาไว้หลวมๆ“ท่านพ่อคะ อย่างไร ลูกขอพาคนของลูกไปด้วยนะคะ ตอนอยู่บนเกาะ ทั้งสองช่วยเหลือลูกเอาไว้มากเหลือเกิน ลูกไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร จึงทำได้เพียงรับรองทั้งสองเป็นอย่างดี”“ได้สิลูก เรากลับกันเถอะนะ” ท่านอ๋อง 9 ยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ประหลาดใจเหมือนกันว่า ทำไมเจิ้งหมิงจ
ท่านอ๋อง 9 และเจิ้งหมิงยังคงนั่งเฝ้าจ้าวเจี้ยนฟางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง นานๆ จึงจะหันมามองหน้ากันสักครั้ง กระทั่งนาทีหนึ่ง ต่างก็หันมาสนทนากัน กลายเป็นว่าต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน“เจิ้งหมิง”“ท่านอ๋อง”“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”“ท่านอ๋องกินอะไรบ้างเถิดดนะครับ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน” องครักษ์หนุ่มปรายสายตาไปยังโต๊ะกลม ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตากลางห้อง ซึ่งมีข้าวกับซี่โครงหมูตุ๋นกับฟักวางอยู่สองที่“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้างนะ อย่ามัวบอกให้ข้ากินแต่ฝ่ายเดียว คนหนุ่มก็ล้มป่วยได้เช่นกัน”“ถ้าอย่างนั้น เชิญครับท่านอ๋อง” ว่าพลางเจิ้งหมิงก็เป็นฝ่ายผายมือให้ท่านอ๋องไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อน แล้วจึงเป็นฝ่ายตามไปนั่งบ้าง“ข้ามีบุตรธิดาหลายคนก็จริง แต่เจี้ยนฟางก็เป็นลูกที่ข้ารักและห่วงใยมากที่สุด เพราะนางเหมือนฮุหยินของข้ามาก ข้าก็เหมือนพ่อคนอื่นๆ ที่ทั้งรักทั้งหวงลูกสาว ดังแก้วตาดวงใจ ในเมื่อรู้ว่าเจี้ยนฟางกับเจ้าต่างมีใจให้กัน อีกทั้ง ข้าก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า ตอนที่หลี่จิ้งจับเจี้ยนฟางเป็นตัวประกันนั้น เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางมาก ยิ่งกว่าชีวิตของตนเองซะอีก หากเจ้าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับลูกข้าจริง ก็
เวลาเดียวกัน หลี่จิ้งรออยู่นอกศาล เห็นความอัปยศที่เฉินลู่ซีหยิบยื่นให้บิดาดังนั้น ความอดทนก็หมดลง เขาจึงบุกเข้ามาในศาลทันที“หลักฐานเพียงเท่านี้ ท่านถึงกับกล้าถอดชุดกับหมวกประจำตำแหน่งพ่อข้าออกเลยเชียวเรอะ” หลี่จิ้งโวยวายลั่น พลางชักกระบี่คู่กายออกจากฝัก“แม่ทัพหลี่ คุณชาย พวกท่านคงไม่รู้ว่า ฮ่องเต้เองก็ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว”“เหลวไหล ฮ่องเต้อยู่ที่เมืองหลวง จะทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร” ยิ่งเฉินลู่ซีเอ่ยถึงผู้อยู่สุขสบายในวังหลวง แม่ทัพหลี่ก็ยิ่งไม่อาจเชื่อถือคำพูดของเขาได้“ฮ่องเต้ ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นแผ่นดินทั่วหล้า ท่านแม่ทัพ ท่านคงไม่รู้หรอกว่า พระองค์ทรงมีหน่วยลับประจำพระองค์กระจายอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งบนเกาะจวินจวู พระองค์ทรงทราบการกระทำของท่านจากหน่วยลับอยู่ก่อนแล้ว จึงส่งข้ามาสืบความจริงให้กระจ่าง” เฉินลู่ซีเอ่ย พร้อมกับภาพเหตุการณ์หนึ่งผ่านเข้ามาในห้วงความคิดในคืนก่อนวันที่เขาจะออกเดินทางจากเมืองซื่อเหอนั้น ขณะกำลังศึกษาแผนที่ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับเมืองฉางโจว ที่เลขาเจียงค้นคว้ามาให้นั้น จู่ๆ หน้าต่างห้องทำงานของเขาก็พลันเปิดออก สายลมยามดึกพัดเรื่อยเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้
แต่ดูเหมือนว่า ร่างกายของจ้าวเจี้ยนฟางนี่สิ จะไม่ค่อยเป็นใจเอาซะเลย นอกจากจะอ่อนแอ ด้วยไม่เคยผ่านการฝึกฝนทางด้านการต่อสู้ อีกประการคือ ณาราคงไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริง เมื่อประมือกับชายผู้นั้นไปสักพัก ก็เริ่มล้า แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จู่ๆ ทุกอย่างก็ดับวูบลง พร้อมกับร่างล้มลงกับพื้น“เก่งนักเรอะ” ชายผู้นั้นคำรามในลำคอ ก่อนแบกร่างเธอขึ้นบ่า ยัดใส่กระสอบที่เตรียมมาด้วย แล้วเดินจากไปขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงกระโดดลงจากหลังม้า มุ่งหน้าเข้าสุ่จวนตระกูลหลี่ พร้อมด้วยหมายจากศาลซื่อเหอ“คารวะท่านแม่ทัพหลี่”“องครักษ์เจิ้ง ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะ แม้ภายนอกจะดูจริงใจ เปิดเผย ทว่ากลับซุกซ่อนความประหลาดใจว่า เหตุใดคนของศาลซื่อเหอจึงมาถึงที่นี่ได้ ทั้งที่เขาก็ส่งคนไปจัดการกับนายกองฉวนแล้วนี่นะ“ใต้ท้าวให้มาเชิญท่านไปให้การที่ศาลฉางโจวหน่อยน่ะครับ มีคนฟ้องว่า ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหญิงตั้งครรภ์ในเมืองฉางโจว”“อ้อ อย่างนั้นเรอะ ไปสิ ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ข้าเองก็อยากไปเห็นหน้าคนที่กล้าปรักปรำข้าอยู่เหมือนกัน”เจิ้งหมิงยิ้มน้อยๆ แอบโล่งใจที่การมาเชิญหลี่เหว
“ขอเรียนตามตรง เรื่องนั้นข้าทราบแล้วครับ”“แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับเจี้ยนฟางลูกข้า วันๆ เจ้าก็เอาแต่ทำงานสืบคดี เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อีกอย่างด้วยภาระหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะทำให้ลูกข้ามีความสุขได้อย่างไร ข้าไม่อยากให้เจี้ยนฟางต้องทุกข์ใจเพราะเจ้า”“เรื่องนั้น ข้ารู้ตนเองดีครับ” เจิ้งหมิงค้อมศีรษะรับน้อยๆ รู้ตนเองดีว่า แม้ในร่างของเจี้ยนฟาง จะเป็นแม่นางผู้กล้าของเขา แต่ถึงอย่างไร นางก็คือผู้หญิงทั่วไป ที่ต้องการความรัก ความสุขในครอบครัวหลังแต่งงาน“หน้าที่ของข้า คือรักษากฎหมาย ขจัดความอยุติธรรมในบ้านเมือง แต่ภายใต้หน้าที่ที่ข้าสมัครใจแบกมันไว้บนบ่า ข้าเชื่อว่า จะสามารถดูแลท่านหญิงน้อยให้มีความสุขได้ ขอเพียงท่านอ๋องอนุญาตให้ข้าได้คบหาดูใจกับนาง ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้นครับ”“ข้าไม่มีทางเชื่อลมปากของเจ้าเด็ดขาด ถ้าเจ้ายังดื้อดึงอยู่เช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ข้าลาล่ะ ไม่ต้องส่ง”ณาราแอบฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นอกห้องรับรอง รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรชอบกล เมื่อได้ยินท่านอ๋อง9 พูดกับเจิ้งหมิงเช่นนั้น เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การมีพ่อคอยรักคอยหวง ให้ความรู้สึกเช่นไร อยากจ