การเสนอราคาของชิงหลงดึงดูดความสนใจของเว่ยเหลียงจีทันทีและชิงหลงไม่สวมหน้ากากเว่ยเหลียงจีจึงจำชิงหลงได้ในทันที“ชิงหลง ยังมียาบำรุงลมปราณเหลืออีกเป็นสิบขวด นี่เป็นแค่ขวดแรก คุณทำแบบนี้คือจะไม่ไว้หน้าฉันใช่ไหม? คิดแข่งขันกับฉันเหรอ?”“เพ้อเจ้อ อะไรคือแข่งกับนาย นี่เป็นการประมูล แน่นอนว่าคนเสนอราคาสูงสุดจะเป็นผู้ชนะ ถ้าอยากได้ก็เสนอราคามาเลย เมื่อไหร่กันที่การประมูลมีไว้เพื่อไว้หน้ากัน? แม้ว่าจะมียาบำรุงลมปราณจะมีอยู่สิบขวด แต่ก็ยังมีคนมากมายที่ต้องการ ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องชิงลงมือก่อน!” ชิงหลงไม่ยอมให้เว่ยเหลียงจีถามและพูดด้วยความโกรธโดยตรง“แก...ได้ รอก่อนเถอะ หลังจากที่เข้าสู่ดินแดนเร้นลับแล้ว แกจะได้เห็นดี” เว่ยเหลียงจีพูดพร้อมกับนั่งลงด้วยสีหน้าหงุดหงิด“ก็ลองดู คนอื่นอาจจะกลัวตระกูลเว่ย แต่ฉันไม่กลัว” ชิงหลงตอบกลับอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนด้วยราคาสองร้อยหินจิตวิญญาณต่อขวด ราคาของยาบำรุงลมปราณนั้นก็สูงเกินความเป็นจริงมากไปแล้ว การเพิ่มราคาขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดมาก ดังนั้นเว่ยเหลียงจีจึงยอมแพ้ที่จะแข่งขันเพื่อชิงขวดแรกฉินลี่ชุนไม่ได้ระงับการปะทะเล็กๆ ของทั้งสองคนยิ่งกา
เหยาปิงชู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มเเฉ่งท่ามกลางฝูงชน“เอาล่ะ มาเริ่มรายการที่สองสำหรับวันนี้กันดีกว่า” ฉินลี่ชุนพูดพร้อมหยิบสินค้าชิ้นที่สองสำหรับการประมูลออกมา ธงเล็กๆ เจ็ดธงที่ทำจากวัสดุที่ทราบชนิดปรากฏขึ้นในมือของเขา“นี่คือธงพิเศษที่ใช้ในการทำลายค่ายกล ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ด้านค่ายกลผู้หนึ่ง ดินแดนเร้นลับที่พวกคุณจะเข้าไปพรุ่งนี้เป็นดินแดนที่เพิ่งค้นพบ และแน่นอนว่าจะต้องมีรูปแบบค่ายกลต่างๆ ธงทำลายค่ายกลนี้จะมีประโยชน์มาก ฉันได้ทดสอบพวกมันมาแล้ว ค่ายกลที่สร้างโดยปรมาจารย์ระดับมหากาฬสามารถถูกทำลายได้ทันทีด้วยธงเหล่านี้ แม้แต่ค่ายกลที่สร้างขึ้นโดยระดับจอมยุทธก็ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการทำลาย ราคาเริ่มต้นคือ 300 หินจิตวิญญาณต่อชิ้น เพิ่มราคาประมูลไม่ต่ำกว่า 50 หินจิตวิญญาณ”ทันทีที่ฉินลี่ชุนพูดเสร็จ ดวงตาหลายดวงก็เป็นประกายเต็มไปด้วยความสนใจเห็นได้ชัดว่าธงทำลายค่ายกลนั้นได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนแม้แต่ชิงหลงซึ่งอยู่ข้างๆ ฉู่เฉิน ก็ยังหายใจแรง และมุ่งมั่นที่จะชนะการประมูลปากตะโกนออกมาทันที“หินจิตวิญญาณห้าร้อยก้อน”“หินจิตวิญญาณหกร้อยก้อน”“หินจิตวิญญาณเจ็ดร้อยก้อน”การ
ราคาของธงทำลายค่ายกลเริ่มสูงเกินจริงมากขึ้น จนกระทั่งชายลึกลับที่ซ่อนรัศมีเอาไว้ ซื้อมันด้วยหินจิตวิญญาณสามพันก้อนจากนั้นฉินลี่ชุนก็เริ่มแนะนำสินค้าประมูลรายการถัดไปในขณะที่การประมูลดำเนินต่อไป สิ่งของมีค่ามากมายก็ถูกนำเสนอทีละรายการมีของวิเศษที่เอาต้านทานพลังระดับจอมยุทธได้ และยาพิษเข้มข้นที่เป็นพิษต่อระดับจอมยุทธเมื่อเวลาผ่านไป การประมูลก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ในที่สุดฉินลี่ชุนโบกมือให้กับผู้ฟังเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ก่อนจะพูดช้าๆ : "ต่อไป ก็มาถึงของชิ้นสุดท้ายของการประมูลนี้ ฉันเชื่อว่าทุกคนคงทราบข่าวแล้ว ไม่ต้องพูดมากความแล้ว โอสถทิพย์จะเริ่มประมูลบัดเดี๋ยวนี้ ราคาเริ่มต้นหินจิตวิญญาณสองพันก้อน สามารถเพิ่มราคาประมูลได้ตามต้องการ”หลังจากที่ ฉินลี่ชุนพูดจบ สถานที่จัดงานก็เงียบลง ไม่มีใครพูดอะไรมีเพียงแต่เสียงกระซิบกระซาบหลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนพูดขึ้นช้าๆ“ผู้นำตระกูลฉิน โปรดแนะนำของชิ้นนี้อย่างถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้นจะคิดว่ามันเป็นเพียงโอสถทิพย์ที่ฉันกำลังรอคอยอยู่” น่าประหลาดใจที่คนที่พูดนั้นเป็นระดับจอมยุทธเมื่อได้ยินคำพูดของคนระดับจอมยุทธ ฉินลี่ช
ในการแข่งขันระหว่างห้าตระกูลหลัก คนธรรมดาไม่กล้าจะสอดแทรกเข้ามา แม้แต่นิกายลับบางนิกายก็ยังด้อยกว่าทรัพยากรทางการเงินของตระกูลที่ร่ำรวยในเมืองหลวงเล็กด้วยเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าใครก็ตามที่เป็นเจ้าของโอสถทิพย์นี้ ก็เทียบเท่ากับได้ครอบครองดินแดนเร้นลับใหม่ไปแล้ว ทำให้ห้าตระกูลใหญ่ต่างก็ไม่ยอมแพ้ผู้คนต่างหน้าแดงระเรื่ออย่างตื่นเต้น และเสนอราคาอย่างบ้าคลั่ง“หินจิตวิญญาณสองหมื่นก้อน!”“สองหมื่นหนึ่งพัน”“สองหมื่นสองพัน”ในเวลาไม่นาน ราคาประมูลก็พุ่งสูงขึ้นถึงสองหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณอย่างน่าประหลาดใจราคาประมูลสุดท้าย ถูกตะโกนออกมาจากหานฉวนซิง ผู้นำตระกูลหานที่กำลังกัดฟันกรอดแม้แต่ตระกูลมั่งคั่งในเมืองหลวง ราคานี้ก็ถือเป็นขีดจำกัดแล้วอย่างทราบกันดีว่าเหมืองหินจิตวิญญาณธรรมดานั้น สามารถผลิตหินจิตวิญญาณได้ประมาณหนึ่งหมื่นก้อนเท่านั้นจำนวนนี้เทียบเท่ากับผลผลิตของเหมืองหินจิตวิญญาณสองเหมืองครึ่ง ทำให้แม้แต่ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงต้องชั่งน้ำหนักผลกำไรและขาดทุนอย่างระมัดระวัง“สองหมื่นห้าพันครั้งที่หนึ่ง”“สองหมื่นห้าพันครั้งที่สอง”“ขอแสดงความยินดีกับผู้นำตระกูลหาน!”ฉินลี่ชุนยิ้
ฉู่เฉินกำลังจะออกจากตระกูลฉินกับชิงหลง แต่จากมุมหนึ่ง เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเป็นเธอเหรอ?ขณะที่ฉู่เฉินกำลังจะยืนยัน ร่างนั้นก็เข้ามาในตระกูลฉินพร้อมกับผู้คนมากมายไปแล้ว“ชิงหลง นายกลับไปก่อน ฉันมีเรื่องต้องทำ!” ฉู่เฉินแยกตัวจากชิงหลงและอธิบาย เสร็จแล้วเดินตามร่างนั้นจากด้านหลังถ้าจำไม่ผิด ร่างนั้นคือฉินปิงเยว่!เธอจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ฉู่เฉินเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นจึงตามไปตลอดทางห้องโถงภายในของตระกูลฉินมีคนคนหนึ่งพาฉินปิงเยว่มาที่นี่ตอนนี้มีคนสองคนรออยู่ที่ห้องโถงด้านในแล้ว“นายน้อย ผมนำตัวมาแล้ว”ที่นั่งอยู่ในห้องโถงคือนายน้อยคนโตของตระกูลฉิน ฉินหยวนไถ และนายน้อยคนที่สอง ฉินหยวนหัวฉินหยวนไถโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้คนรับใช้เพื่อออกไป จากนั้นหันหน้าไปพูดกับฉินปิงเยว่“ปิงเยว่ เธอตัดสินใจแล้วหรือยัง?”“พี่ แม้ว่าพี่จะใจดีกับฉันมากตั้งแต่ฉันมาเมืองหลวง แต่การขอให้ฉันแต่งงานกับคุณก็ยังอุกอาจเกินไปหน่อยนะ แล้วพวกเราเป็นญาติกันอีก” ฉินปิงเยว่ส่ายหัวและปฏิเสธ“อะไรนักหนา การแต่งงานของญาติเป็นเรื่องปกติในตระกูลเรา นอกจากนี้ ตระกูลของเธอและตระกูลของพวกฉันยังห
ฉินหยวนหัวที่เผยธาตุแท้ออกมา แล้วมองฉินปิงเยว่ด้วยสีหน้าเย้ยหยันและพูดต่ออย่างเย็นชา“ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแกมีกายาทิพย์ในตำนาน และบังเอิญมีสายเลือดของตระกูลฉินอีก พี่ฉันจะอดทนต่อแกขนาดนี้ได้ยังไง? แกไม่รู้หรอกเหรอว่า พี่ฉันได้ความบริสุทธิ์ของแกไป เขาก็จะเพิ่มความสามารถก้าวผ่านจิตได้อีกในอนาคต”“จริงเหรอ?” ฉินปิงเยว่มองไปที่ฉินหยวนไถด้วยสีหน้าเหลือเชื่อบนใบหน้า รู้สึกโง่เขลาที่คิดว่าเขาเป็นญาติของเธอในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉินหยวนไถคิดไม่ซื่อต่อเธอแบบนี้“เธอเชื่อจริง ๆ หรือว่าแค่หน้าสวยๆ ของเธอทำให้ฉันหลงใหลได้? ในเมืองหลวงมีคนสวยๆ ให้ฉันชี้นิ้วเลือกมากมาย อย่าเพ้อเจ้อไปเอง!”เมื่อเผชิญกับคำถามของฉินปิงเยว่ ฉินหยวนไถก็ไม่ปฏิเสธ เขายังลุกออกจากที่นั่ง แล้วเดินไปหาฉินปิงเยว่ฉินปิงเยว่ก้าวถอยหลังทันที“คะ...คุณจะทำอะไร?”“ฉันจะทำอย่างไร เธอก็รู้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง ฉันจะอ่อนโยนอย่างแน่นอน”ฉินหยวนไถยิ้มและค่อยๆ เดินเข้าหาฉินปิงเยว่“กะ... แกฝันไปเถอะ! ฉันยอมตายดีกว่ายอมให้แกขืนใจ!” ฉินปิงเยว่ดึงมีดสั้นออกมาจากที่ไหนสักแห่ง แล้วจ่อไว้ที่คอของตัวเองเมื
เมื่อปรมาจารย์ระดับมหากาฬสองคนลงมือ หากพวกเขาไม่ได้ปกป้องฉินปิงเยว่ เธออาจเสียชีวิตทันทีจากลูกหลงจากความอลหม่าน ฉินปิงเยว่จึงได้ลืมตาขึ้นมาเมื่อเห็นฉู่เฉิน สีหน้าแสดงความไม่เชื่อ และปากบ่นพึมพำ: “ปรมาจารย์ฉู่ ใช่คุณจริงๆ เหรอ?”ฉู่เฉินมองไปที่ฉินปิงเยว่ด้วยสีหน้าเรียบๆ และพูดได้เพียงว่า "ถ้าไม่ใช่ผม มันจะเป็นผีหรือเปล่า"“เป็นคุณจริงๆ ปรมาจารย์ฉู่ ฉันคิดถึงคุณมาก”ฉินปิงเยว่หันไปด้านข้าง แล้วโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่เฉินในทันทีในทางตรงกันข้ามกับฉินปิงเยว่ที่กำลังดีใจสองพี่น้องฉินหยวนไถและฉินหยวนหัวมีใบหน้าที่มืดมน โดยเฉพาะฉินหยวนไถที่จ้องฉู่เฉินอย่างไม่ละสายตา“แกเป็นใคร แกรู้ไหมว่านี่คือที่ไหน แกบุกเข้าไปในตระกูลฉินของฉัน แกไม่ตายดีแน่!”ฉินหยวนไถเชื่อว่าเขารู้จักคนรุ่นเยาว์ที่มีทักษะระดับนี้ในเมืองทั้งหมด แต่ด้วยใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย คนๆ นี้ต้องไม่ได้มาจากเมืองหลวง จึงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ลูกศิษย์จากนิกายซ่อนเร้น?เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่รู้จักตัวเอง ฉู่เฉินจึงไม่แนะนำตัวเองอย่างจริงจังเขาแค่เย้ยหยันแล้วพูด: "ฉันเป็นแฟนของเธอ"ฉินปิงเยว่ในอ้อมแขนได
“ท่านพ่อ ฉินปิงเยว่ถูกใครบางคนชิงตัวไปแล้ว” ฉินหยวนไถเล่าอย่างตรงไปตรงมาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นฉินลี่ชุนมีสีหน้าหมองคล้ำ กำลังเปิดปากสอนบทเรียน“ฉันบอกให้แกลงมือมาตั้งนานแล้ว แต่แกก็มัวรอให้เธอเต็มใจอยู่ได้ แล้วเป็นไง ตอนนี้หายกันไปหมดแล้ว!”“ท่านพ่อ ผมกำลังคิดที่จะเพิ่มพลังจากกายาทิพย์ของเธอให้ไปถึงระดับสูงที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการก้าวผ่านจิต ใครจะไปคิดถึงว่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้”“พอแล้ว ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฉันเอง แกไปเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ได้แล้ว”ฉินลี่ชุนขัดจังหวะฉินหยวนไถซึ่งยังคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นไล่ตามทิศทางที่ฉู่เฉินจากไปคืนนี้ก็เป็นคืนที่นอนไม่หลับ……บนท้องฟ้า ฉู่เฉินระบุทิศทางและมุ่งหน้าตรงไปยังฐานชิงหลงฉินปิงเยว่ที่เป็นคนธรรมดากำลังอยู่เคียงข้างเขา จึงไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหยาหลิงเฉินเพิ่งเตือนเขาว่ามีนักรบระดับจอมยุทธกำลังใกล้เข้ามาฉู่เฉินไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้ดีว่านั่นต้องเป็นผู้นำตระกูลฉินจึงออกเล่นกลอุบายก่อน จากนั้นจึงรีบหนีไปทันที“คุณฉู่ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!”ฉินปิงเยว
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่