“ฉันถามว่าชื่ออะไร?” พูดย้ำอีกครั้งพร้อมกับทำหน้าเซ็ง หรือว่าเธอพูดจาไม่รู้เรื่องกันนะพวกบ่าวทั้งสามถึงได้ไม่ยอมตอบเอาแต่มองหน้ากันไปมา รออยู่นานสองนานก็ไม่มีใครตอบจนเธอต้องพูดใหม่อีกครั้ง
“ข้า...ถามว่าพี่ชื่ออะไร?” เมื่อพูดจบทั้งสามคนก็มองหน้ากันแล้วปล่อยน้ำตามาอีกครั้ง จับๆลูบๆคลำๆมือของเธอไม่หยุดทั้งที่ยังสะอึกสะอื้น
...WHATTTT???...วันนี้จะรู้เรื่องไหม?...
“เป็นดังที่พ่อหมอว่าเลยอีสาลี่ แม่หญิงโดนพิษมากจนลืมไปเสียสิ้น” แจ่มเอ่ยขึ้น
“ฮือๆ...พ่อหมอว่าตอนไหนวะ?” สาลี่เอ่ยถามทั้งน้ำตา
“มึงมิได้ฟังรือ...พ่อหมอเจรจากับท่านออกพระว่าแม่หญิงโดนพิษมาก ฮือออ...” จันเอ่ยขึ้นต่อ
“แต่พ่อหมอมิได้บอกว่าจะเสียสิ้นความจำ” สาลี่เอ่ยก่อนที่ทุกคนจะชะงักกึกมองหน้ากันราวกับไม่เคยร้องไห้
...เออ คุยกันเองจังหวะซิทคอมเอง...บันเทิงล่ะทีนี้...สรุปไม่รู้เรื่อง!...
“ใช่ก็ใช่ ข้าเสียความทรงจำ..ไม่สิ...หัวเสีย...ไม่ๆ ไม่ได้โกรธหัวเสียเพื่อ?!...เอ่อ..เอาเป็นว่าบอกมาเถอะ ไหว้ล่ะ”
พริกแกงทั้งพูดกับตัวเองทั้งหันไปถามจนคนทั้งสามงงไปตามๆกัน ได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างหวาดระแวง จนพริกแกงยกมือขึ้นไหว้ ทั้งสามจึงรีบกระโจนตะครุบมือนั้นไว้ทันท่วงที
“อย่าไหว้บ่าวไพร่เจ้าค่ะแม่หญิง!” จันพูดขึ้น
“นรกจักกินกะบาลบ่าวพอดี” แจ่มพูดต่อ
“ไม่ว่าแม่หญิงจักเป็นอันใด บ่าวจักอยู่เคียงข้างแม่หญิงเจ้าค่ะ” สาลี่พูดพร้อมกับเข้าบทดราม่าอีกครั้ง
“จ๊ะๆ บอกชื่อก่อนเนอะ” อินไม่ลงจริงๆ เธอเป็นแค่ลูกคนจนที่หาส่งตัวเองเรียนจนจบม.หก จะให้มาเหยียบหัวคนอื่นที่ดูอายุมากกว่าเห็นทีจะไม่ได้ ยิ่งพวกเขาเหล่านั้นดูแลเธอยิ่งไม่ได้ไปกันใหญ่
“ข้าชื่อแจ่ม”
“ข้าชื่อจัน”
“ข้าชื่อสาลี่”
“พวกพี่อายุมากกว่าฉัน...ไม่สิ...ข้าใช่ไหม?”
“ใช่เจ้าค่ะ แต่แม่หญิงไม่ควรเรียกพวกบ่าวว่าพี่นะเจ้าคะ...” สาลี่พูดดักขึ้น
“แต่ข้าไม่เรียกอี ไม่แน่นอน!”
“เอ่อ...แม่หญิง...” สาลี่เอ่ยตะกุกตะกัก
“ยุ่งยากจังวะ...”
“อย่าพูดจาเยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ มิงามเจ้าค่ะ!” จันเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตกใจ
“อ๋อ...ลืม...แม่หญิงสินะ” แค่คิดก็ยุ่งยากมากมายแล้ว มันไม่ใช่นิสัยของเธอเลยการทำตัวเรียบร้อยเป็นแม่บ้านแม่เรือน เธอออกจะเป็นสาวสุดฮอตปรอทแตกแต่ดันมาตัวแตกในยุคโบราณเสียได้ และจากที่ดูการแต่งตัวของตัวเองในกระจกและทรงผมคงไม่พ้นยุคสมัยที่อยุธยารุ่งเรืองถึงขีดสุด หน้าโต๊ะเครื่องแป้งถึงได้มีทองหยองทับทิมกล่องเครื่องประดับเต็มไปหมด
“แม่หญิงรีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวต้องออกไปพบท่านออกพระแล้วเจ้าค่ะ”
“ออกพระ? ใคร?” ถามขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วแอบคาดหวังในใจว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่คิดและอย่างที่เป็นในสมัยนั้นๆหรอกนะ
“คู่หมั้นคู่หมายของแม่หญิงอย่างไรเล่าเจ้าคะ” สาลี่พูดพร้อมกับหันไปยิ้มกระหยิ่มกระหย่องกับจันและแจ่ม คนที่ทำหน้าอึ้งตาโตไม่พ้นพริกแกงที่ดูไม่ได้ยินดีเลยสักนิด หนีการมีสามีจากทางนั้นต้องมาเจอทางนี้แบบคลุมถุงชน
“ออกพระ? แสดงว่าต้อง...แก่? นี่ฉันโดนบังคับแต่งงานกับคนแก่งั้นเหรอ?!!” แค่ชื่อก็รู้แล้วว่าคงจะไม่พ้นหัวขาวถือไม้เท้าค้ำขา เคยได้ยินมาว่าคนที่จะเป็นออกพระออกญาอะไรนั้นอายุค่อนข้างมาก พริกแกงถึงกับทึ้งหัวตัวเองนั่งก้มหน้ากุมขมับ ก่อนจะมองพุงย้อยๆของตัวเอง
...เออ...จากสภาพก็สมควร...ซะที่ไหนเล่า!!...คนอวบอั๋นก็มีหัวใจนะ!!...
“มิเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะแม่หญิง...ท่านออกพระ...รูปงามเจ้าค่ะ” แจ่มพูดไปเขินไปพร้อมกับบ่าวทั้งสอง
“จ้างให้ก็ไม่เชื่อ!”
“รีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจักรู้เอง” ว่าจบจันก็เดินไปเปิดประตูห้องก่อนจะรีบนั่งลงแทบจะทันที
“ท่านออกพระ...”
ไม่คิดว่าเขาจะออกมาหาเธอตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง ซ้ำยังยืนรอเงียบๆอยู่นาน พริกแกงได้ยืนอย่างนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปดูทันที... ใบหน้าหล่อคมหวานปรายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า...
เธออึ้งไปชั่วขณะไม่คิดว่าสมัยนี้ยังมีคนที่หล่อขนาดนี้อยู่ นึกว่าจะเข้มขลังไว้หนวดโค้งยาวเหมือนจันหนวดเขี้ยว...แต่คนตรงหน้านี้ถ้าในสมัยเธอนี่คงเป็นโฮสต์ได้สบายเลย ไหนจะรูปร่างกำยำมัดกล้ามแน่นๆนั่นอีก ผิวเข้มแต่ไม่เข้มมากไม่เว่อวังจนน่าจับต้อง...หุ่นคือเพอร์เฟคสุดๆ เพราะคุณเขาถอดเสื้อนุ่งโสล่งมีผ้าขาม้าพาดบ่าตามสไตล์ชายไทย แล้วเหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวจึงได้เอ่ยขึ้น
“อะฮึ่ม!...ลุกขึ้นแล้วรึ?”
“คะ? ค่ะ เอ้ย! เพคะ...ไม่สิ เจ้าค่ะ”
“เป็นกระไรรือไม่? ออเจ้าพูดจาผิดแผกไป”
“สมอง...หัว...เรียกว่าอะไรวะ...”
“เวียนหัวงั้นรึ?” เดินเข้ามาถามอย่างสงสัยหน้าตาตื่น พริกแกงจึงถอยหลังให้ห่างเขาเองอัตโนมัติเพราะความไม่เคยชิน ทำเอาบ่าวที่ติดตามทั้งสามถึงกับมองหน้ากันงงไปหมด เพราะถ้าเป็นแม่หญิงของพวกเธอคงจะแกล้งเป็นลมซบอกแกร่งนั่นไปแล้ว
“เอ่อ...ค่ะ...เจ้าค่ะ...จำอะไรไม่ค่อยได้”
ออกพระรามถึงกับทำหน้าอึ้งไม่คิดว่าพิษยาปลุกกำหนัดจะไปกระทบกระเทือนสมองจนเธอพูดจาแปลกไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ
...นี่ยามันแรงขนาดนั้นเทียวรือ?.... ออกพระรามคิด
“เอาเถิด...รีบเข้า...เจ้าคุณพ่อ เจ้าคุณแม่คอยท่าอยู่”
“เจ้าค่ะ” ตอบไปและพยักหน้าโดยไม่มองหน้าเขา ผิดคาดไปหมดเพราะมันจริงอย่างที่พวกบ่าวบอกไว้ แต่ไม่ทันที่เขาจะเดินออกไปครบสี่ก้าวก็หยุดชะงักเท้าแล้วเหลียวมองเธอเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
“แต่งงานกับคนแก่เช่นข้ามันมิร้ายแรงปานนั้นดอกหนา” พูดแล้วก็ไป...
...ทรงนี้ขี้น้อยใจชัวร์...อย่างกับผู้หญิง...หรือว่าจะเป็น....
และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ตอนที่ไปอาบน้ำ เธอได้ถามไถ่เรื่องราวของเธอจากบ่าวทั้งสามที่มาขัดสีฉวีวรรณให้ เธอต้องอยู่ที่นี่เป็นปีกว่าจะได้แต่งงาน...ดูความพร้อมการปรนนิบัติของแม่หญิงไทยทั้งงานบ้านงานเรือน เรื่องนั้นเธอถนัดไม่ห่วงเลยเพราะดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก แต่ที่ห่วงคือเธอไม่อยากแต่งงานและทำลูก! อีกอย่างดูเขาจะไม่ได้สนใจเธอด้วย พริกแกงจึงคิดว่าเขาและเธอไม่ได้รักกันอย่างแน่นอน
การคุยกันไม่มีอะไรมาก ออกจะเกร็งๆไปเสียหน่อยเพราะเธอไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง ส่วนใหญ่เธอออกจะเงียบเพื่อฟังว่าเขาพูดกันยังไง จดจำและนำไปใช้เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น พูดคุยกันไม่นานก็ถูกปล่อยตัวให้มาพักผ่อนแต่เธอมีภารกิจที่ต้องจัดการคือการจัดการน้ำหนักตัวที่เกินไปของตัวเองภายในหนึ่งเดือน
เธอไม่ยอมออกไปไหนเลยตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แม้ว่าออกพระจะเทียวมาถามไถ่อาการพูดคุยกันไม่กี่คำก็ไป เธอเองก็มีโปรแกรมอาหารที่ต้องกินตามเวลาและออกกำลังกาย และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอและบ่าวไพร่มาออกกำลังกายในสวนข้างๆริมน้ำตอนมืดๆที่บ่าวไพร่เข้าที่พักของตัวเองไปกันหมดแล้ว ที่ต้องแอบเพราะท่าออกกำลังกายของเธอนั้นมันไม่งามสำหรับยุคนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าเธอดันมาเจอช็อตสำคัญที่ทำให้ความคิดที่มีต่ออกพระรามเปลี่ยนไปทันที
“ขอบน้ำใจที่มาส่งข้าถึงท่า” ออกพระรามกล่าวขอบใจจหมื่นสุนทรเพื่อนคนสนิทพร้อมยืนรอส่ง
“มิเป็นไรหรอกท่านออกพระ ถึงอย่างไรเราก็จักต้องพบกันทุกค่ำคืนอยู่แล้ว”
“มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นหลีกเลี่ยงหาได้ไม่”
“วันรุ่งพรุ่งนี้เวลาเดิมข้าจักมา”
“ข้าจักรอ”
พูดจบทั้งสองก็กอดและตบบ่ากันเบาะๆ พริกแกงเห็นอย่างนั้นรีบเอามือปิดปากและหลบหลังพุ่มไม้ทันที เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆว่าออกพระคนนี้มีความรักกับเพื่อนชาย หรือในยุคเธอเรียกว่าเป็นเกย์นั่นเอง พอรู้ดังนั้นก็อดไม่ได้ที่ดีใจจนออกนอกหน้าในขณะที่บ่าวไพร่ทำหน้าเครียดและหันหลังหลบหลังพุ่มเมื่อเห็นออกพระรามกำลังจะเดินผ่านไป แต่แม่หญิงของพวกเธอนั้นกลับกระโดดเข้าไปขวางหน้าออกพระรามคู่หมายของตนทันทีด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“แม่หญิงมีกระไรรือ? ดึกดื่นป่านนี้มิขึ้นเรือนอีก”
“ข้าเห็นนะเจ้าคะ”
“เห็น? เห็นกระไร?”
“ข้าพูดได้เหรอเจ้าคะ?”
“พูดมา” พูดขึ้นทำเสียงดุถอยหลังให้ห่างจากเธอที่ก้าวเข้าหาเขา เบือนหน้าไปทางอื่นหลบสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองเขาอย่างมีเลศนัย
“เรามาตกลงกันดีกว่าเจ้าค่ะคุณออกพระ”
“เรา? ตกลง?...เรื่องใด?”
“ข้าเห็นว่าคุณแอบพบรักกับชายด้วยกัน นัดกันออกไปกลางดึกสองต่อสอง”
“........”
เธอพูดขึ้นกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน ด้วยความคิดที่ว่าเขาเป็นลูกขุนนางพ่อแม่อาจจะไม่ยอมรับในยุคสมัยนี้ และคงเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับคนอื่นๆ มันจึงมีการปิดบังกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเป็นลูกชายคนเดียวแล้วด้วย
“ข้ารู้ว่าคุณออกพระไม่อยากแต่งงานกับข้า และข้าเองก็คิดเหมือนกัน”
“.......”
“แต่เราเป็นเพื่อนกันได้นะ มายกเลิกงานแต่งงานกันเถอะ!”
“งั้นรึ? แต่ข้าคิดว่า...แต่งงานกับออเจ้าน่าจักเป็นการดีไม่มากก็น้อย”
“ทำไมงั้น?”
“ในเมื่อ ออเจ้าล่วงรู้ความลับของข้าแล้วใยจักต้องปล่อยไป”
“ถ้าอย่างนั้น...เราแต่งงานกันโดยไม่แตะต้องกัน ไม่ยุ่งเรื่องของกันตกลงไหม?”
“...คิดดีแล้วรือที่พูดออกมาเช่นนี้? ออเจ้ายอมรับได้รือถ้าข้า...ไปกับชายอื่น?” พูดพร้อมยื่นหน้ากระซิบถามเลิกคิ้วขึ้น สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างจริงจังเพื่อความแน่ใจ
“แน่นอน! เพราะเราไม่ได้รักกัน!” พูดออกไปอย่างมั่นใจพร้อมใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มอย่างดีใจ คิดว่าได้เพื่อนสาวร่างชายสมัยอยุธยาเชียวนะมันต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา
...พริกแกงแกมาเหนือกว่าคนทั้งโลก...ยุคบุกเบิกชายรักชายสมัยอยุธยา!!...แถมยังได้แต่งงานกับเกย์อีก!!...
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็แปลกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงที่ใจกว้างมากกว่ามหาสมุทรแบบนี้ซ้ำยังยอมรับในเรื่องที่ไม่น่ายอมรับได้ในยุคสมัยนี้อีกด้วย ไม่ทันได้ตั้งตัวหญิงสามก็กระโจนกอดแขนแกร่งของเขาอย่างแนบชิด
“เพื่อนสาวของข้า!”
“เพื่อนสาว?...งั้นรึ!!!”
ไม่คาดคิดว่าแม่หญิงคู่หมั้นคู่หมายจะมีนิสัยแปลกไป แตกต่างจากผู้หญิงทุกคนในยุคนี้ราวกับเธอเป็นคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก ไม่หนำซ้ำยังกอดแขนกอดคอเรียกเขาว่าเพื่อนและสาวได้หน้าตาเฉยทั้งที่เธออายุน้อยกว่าเขาหลายขวบปี ตอนแรกยังว่าเขาแก่อยู่เลยอยู่ๆก็มาเป็นเพื่อนเสียอย่างนั้น“หึ....” ออกพระรามแอบมองพริกแกงที่กำลังทำท่าทางประหลาดอยู่แถวๆท่าน้ำหลังจากที่เจรจาต่อรองกันเสร็จเรียบร้อยในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจภาษาแต่ก็พอเข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อถึง ในสายตาของพริกแกงตอนนี้เขาเป็นพวกบันเดาะนอกรีตที่ครอบครัวไม่ยอมรับและปกปิดตัวเองไว้ แถมเจ้าหล่อนยังยอมรับได้ช่วยแต่งงานปกปิด“นี่มันเรื่องวิปริตกระไรกันหนอ” พูดไปมองท่าทางของหญิงสาวไปและยิ้มออกมา“มองดูอะไรรึพ่อราม” ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาหาลูกชายตัวเองทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยงรีบหันกลับไปทางต้นเสียงทันทีพร้อมกับเอาตัวเองบังหน้าต่างไว้“ดึกดื่นป่านนี้เจ้าคุณแม่ออกมาพบลูกด้วยเรื่องอันใดกันขอรับ?”“เรื่องแม่พริก”“ทำไมรึขอรับ?”“บ่
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เจเจ๊เป็นเพื่อนสาวไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างข้าไม่คิดว่าคุณออกพระเป็นชายเลยสักนิด”ว่าจบก็เดินเบี่ยงบ่าวทั้งสามไปแต่บ่าวทั้งสามก็รีบวิ่งไปดักหน้าจับเท้าเธอก้มหัวลงแทบจะชิดติดเท้าแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือทำเอาเธอตกใจไม่น้อย“หากแม่หญิงไป พวกบ่าวหลังลายเป็นแน่เจ้าค่ะ” แจ่มพูด“ไม่มีใครกล้าตีพวกพี่หรอกเชื่อข้า! ข้าจะปกป้องพวกพี่เอง” พูดพร้อมกับตบบ่าบ่าวทั้งสามก่อนจะรีบเดินไปยังห้องหอนอนตรงข้าม พวกบ่าวเห็นอย่างนั้นก็จำยอมต้องตามแม่หญิงของตนพร้อมกับมอบลงก้มหัวตัวสั่นอยู่หน้าห้องก๊อกๆ...“เจเจ๊ หลับหรือยังเจ้าคะ?” เคาะไปพลางเรียกไปแต่เสียงยังคงเงียบกริบ เธอเงี่ยหูแนบประตูไม้หวังจะฟังเสียงด้านใน แอบคิดว่าออกพระอาจจะนัดชายใดมาที่ห้องก็ได้ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วเธออยากรู้ว่าชาวLGBTQ+สมัยอยุธยาจะหาทางพลอดรักกันอย่างไรก๊อกๆ... “เจเจ๊..หลับหรือ...ว๊าย!!” ไม่ทันตั้งตัวใบหน้าที่แนบกับประตูไม้สีเข้มก็ถลาเข้าไปชนกับอกแกร่งแข็งทันทีจนเธอร้องเสียงหลง เขาเองก็รีบรับตัวเธ
“นี่...แม่พริก...หรอกรือ?” ออกพระรามยังคงมองเธอนิ่งค้าง หญิงงามตรงหน้าเปลี่ยนไปเสียหมดทั้งรูปร่างหน้าตาแต่ก็ยังคงมีเค้าโครงหน้าเดิมของเธออยู่ พริกแกงยังคงยืนยิ้มแป้นอย่างสะใจเมื่อเห็นสีหน้าของเขา“ก็พริกแกงนี่แหละค่ะ พริกแกงคนดีคนเดิม”“...อ๋อ...เอ่อ...อืม...ออเจ้าเปลี่ยนไปมากเสียจน...”“สวยล่ะสิ”“สวย?”“เขาเรียกอะไร งาม...งามล่ะสิ”“ออ..อืม...ก็งามมากอยู่” พูดไปพร้อมยกยิ้มอย่างเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าการที่เธอหายหน้าไปอยู่แต่ในเรือนจะออกมาอีกทีเป็นหญิงงามจนเขาแทบจะไม่อยากวางละสายตาไปเสียอย่างนั้น“เจเจ๊ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”รอยยิ้มได้หุบลงหลังจากที่ได้ยินเธอเรียกเขา หญิงงามที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายยังคงคิดว่าเขาเป็นบันเดาะไม่ได้มองว่าเขาเป็นชายแท้นั้นทำให้เขาแทบหมดอารมณ์จะเอ่ยชม ถึงเขาชมเธอไปเธอก็ไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใดและคงคิดว่าชมแบบเพื่อนสาวอย่างที่เธอเคยบอกไว้เป็นแน่ ชมแบบอิจฉาเธอคงคิดอย่างนั้น...แต่ก็จำต้องยอม“เรื่
เรือล่องไปตามแม่น้ำที่กว้างใหญ่ถ้าเทียบกับปัจจุบันที่ถูกถมดินไปกว่าครึ่งแม่น้ำ พริกแกงยังคงมองรอบๆตัวด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ แม้มันจะไม่ทันสมัยเหมือนที่เธอเคยเป็นอยู่แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความสวยงามแบบธรรมชาติที่คนไทยสรรค์สร้างขึ้น บ้านเรือนที่ปลูกด้วยไม้ดูเข้ากันกับต้นไม้มากมายรายล้อม มีทุ่งนาที่สามารถมองเห็นได้เป็นหย่อมๆตลอดทางเรือของออพระรามที่เธอนั่งโดยสารอยู่ด้วยก็ได้พายมาถึงหัวโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาขนาบขนานระหว่างป้อมปืนและวัดนักบุญโจเซฟ ก่อนจะพายไปจอดถัดจากวัดนักบุญเลยคลองตะเคียนไปก็ถึงที่หมายที่เรียกว่าตลาดบ้านจีน ออกพระรามขึ้นจากเรือไปก่อนโดยไม่สนใจพริกแกงเลยสักนิดจนบ่าวคนสนิททั้งสามของเธอมาประคองขึ้นจากเรือแทน“คนอะไรใจดำชะมัด” ขึ้นฝั่งได้ก็อดมองคนที่ยืนหันหลังตาขวางไม่ได้ เคยเห็นแต่ในละครที่บุรุษกรุงเก่าจะช่วยเหลือแม่หญิงงาม แต่ไม่เคยเห็นใครเมินแม่หญิงแบบเขาผู้นี้“ออเจ้าก็ไปเดินชมตลาดกับบ่าวของออเจ้า ข้าก็จักไปทำธุระของข้า”“ก็ต้องอย่างนั้นแหละค่ะ”“อย่าได้เที่ยวทะเวนไปทั่วเพียงลำพังเป็นอันขาด&rdqu
...ผลั่ก!! ซู้ม!!!...เสียงสุดท้ายที่ได้ยินราวกับหนังบู๊แอ็คชั่นที่เคยเห็นในละครโทรทัศน์ ร่างบางถูกผลักตกลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาหลังจากที่วิ่งหนีมาสักพัก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือร่างหนาของอ้ายทองก่อนที่เธอจะตกลงไปในน้ำนั้นถูกควายขวิดจนกระเด็นเธอตกลงในน้ำจมลึกลงเรื่อยๆ พริกแกงพยายามหรี่ตาสู้กับน้ำสีขุ่นนั้นพยายามว่ายน้ำขึ้นไปก่อนจะเห็นลางๆ ว่ามีคนกระโดดน้ำลงมามากมายเพื่อหาเธอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะกระแสน้ำหรืออย่างไรดูพวกเขาห่างไกลจากเธอพอสมควร...จะตายอีกแล้วเหรอวะ...ถ้าตายแล้วจะได้กลับไปโลกเดิมไหมนะ...ลมหายใจที่เก็บกลั้นไว้เหลือน้อยเต็มที เธอใกล้จะกลั้นหายใจไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ได้ยินเสียงจากบนผิวน้ำแค่กลายๆ ของบ่าวทั้งสามที่ร้องห้มร้องไห้ไม่พักพยายามร้องเรียกให้คนช่วย ไม่ต่างจากชาวบ้านแม่ค้าที่ร้องเรียกให้มาช่วยคนตกน้ำ...ยุคนี้ก็ทำให้เห็นแล้วน่า ชาวสยามมีน้ำใจแค่ไหน...ดีจังที่ได้เห็นก่อนจะ...ตู้มมมม!!!...เสียงของคนกระโดดลงน้ำใกล้ๆ เธอดังขึ้นในวินาทีที่เธอแทบจะไม่เหลือสติ ร่างกายค่อยๆ จมลงสู่ใต้แม่น้ำเจ้าพ
พริกแกงแอบย่องลงมาจากเรือนเงียบๆ โดยมีบ่าวติดตามมาสองคน ส่วนแจ่มนั้นสาลี่บอกให้อยู่ดูต้นทางหน้าหอนอนของแม่หญิงแทน เธอเดินมายังใต้ถุนเรือนที่มืดสนิทเพราะบ่าวในเรือนต่างดับใต้ (ตะเกียงน้ำมันใส้ผ้าในกระป๋องไม่มีที่ครอบสมัยก่อน) กันหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงตรงที่แคร่ใต้ถุนเรือนที่ที่อ้ายทองนอนเอาหลังชี้ฟ้าอยู่เท่านั้น“หูย...หลอนกว่าบ้านผีสิงอีกนะเนี่ย” พริกแกงบ่นอุบพลางเดินเข้าไปชิดบ่าวทั้งสองแล้วมองไปรอบๆ ตัวที่บรรยากาศช่างน่ากลัว ถ้าเป็นยุคเธอพวกล่าท้าผีเป็นคอนเทนต์คงจะไม่พลาดมาล่าท้าผีที่นี่แน่ๆ“นั่นเจ้าค่ะ อ้ายทองนอนอยู่กงนั้น” สาลี่เอ่ยขึ้นพลางชี้ไปทางแคร่ที่อยู่ไม่ไกลสายตานัก พริกแกงหรี่ตามองก่อนจะเดินเข้าไปหาอ้ายทองที่แคร่นั่นโดยที่เจ้าตัวยังคงไม่รู้ตัว อาจจะเพราะความเจ็บแผลที่โดนโบยจนไม่ทันนึกถึงสิ่งรอบตัว จันเดินเอาตะเกียงที่ถือไปจ่อที่อ้ายทองก่อนที่เขาจะหันมามองตามแสงนั้นเงยหน้าขึ้นก็ตั้งท่าจะรีบลุกทันทีหลังจากเห็นผู้มาเยือน“ไม่ต้องลุกหรอก นอนพักเถอะค่ะ”“แม่หญิงลงเรือนมาดึกๆ ดื่นมีกระไรให้บ่าวรับใช้รือขอรับ
“แม่หญิง!! โธ่ แม่หญิง...” จันร้องไห้ฮือออกมาอย่างไม่อายฟ้าอายดินห่วงก็แต่แม่หญิงของตนที่ถูกลากขึ้นเรือนมาเพราะความโกรธของออกพระรามที่ดูท่าคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ เป็นแน่“ออกพระท่านเจ้าคะ ฮือๆ อย่าได้ลงโทษแม่หญิงเลยนะเจ้าคะ”“พวกเอ็งก็อีกคน! มิรู้จักห้ามปรามแม่หญิงของเอ็งเสียบ้าง! กูจักโบยให้เข็ดหลาบกันเสียหมดทุกผู้ทุกตัวคน!!”“อย่าตีพวกพี่เขานะคะ!! ถ้าโกรธข้าก็ตีข้าแค่คนเดียว” พริกแกงยังคงเอ่ยเสียงแข็ง“เวลานี้ออเจ้ายังมิรู้คิดอีกรือ!”“เสียงดังเรื่องกระไรกัน...เอะอะกันเสียให้วุ่นไปหมด” ออกญาเจ้าเรือนเดินออกมาพร้อมไม้เท้าค้ำยันร่างโดยมีคุณหญิงซ่อนกลิ่นคอยพยุงด้วยสีหน้าดุดันจนทุกคนเงียบกริบ“มีเรื่องกระไรรือพ่อราม” คุณหญิงซ่อนกลิ่นเอ่ยขึ้นถามอย่างใจเย็นก่อนจะสอดส่องเมียงมองทุกคนอย่างหาคำตอบแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาสักคน จะมีก็แต่...“แม่หญิงเจ้าค่ะ...ย่องไปลงหาอ้ายทองถึงใต้ถุนเรือนกลางดึก ออกพระท่านรู้เข้าจึงโกรธ” แจ่มพูดขึ้นก่อนที่จะ
“แม่หญิงมีไข้เจ้าค่ะ” สาลี่เอ่ยตอบ ออกพระรามจึงชะเง้อคอมองเข้าไปในห้องก่อนจะยิ้มออกมาราวกับพอใจที่เธอป่วย“ถ้าเช่นนั้นข้าจักบอกหมื่นสุนทรให้กลับไปเสียก่อน คราหน้าค่อยมาใหม่”“ไหวค่ะ!! ข้าจะออกไป” พริกแกงรีบโพลงขึ้นทันทีเพราะความที่อยากเห็นโมเม้นต์ของทั้งสอง อยู่ๆ เลือดสาววายก็สูบฉีดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วเธอแค่อยากรู้ว่าคู่เกย์สมัยอยุธยาเขาพลอดรักไปมาหาสู่กันยังไงก็แค่นั้น อุตส่าห์ได้เกิดมาในยุครุ่นเก่าจะพลาดได้ยังไงไม่ใช่ว่าใครก็มาเห็นได้เสียเมื่อไหร่“ออเจ้ามิต้องฝืนดอก หลังลายกระนั้นยังกล้าออกไปพบแขกเหรื่อมิอายรือ?” ออกพระรามถึงกับขมวดคิ้วแน่นหันไปมองหญิงสาวที่พยายามจะลุกจากเตียงและก็ลุกขึ้นได้สำเร็จราวกับไม่เป็นอะไร เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้กระตือรือร้นขนาดนั้นหรือเป็นเพราะว่าแขกนั้นเป็นชาย ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจ....“ไม่เป็นไรแล้วเห็นไหม” พริกแกงรีบวิ่งออกไปทั้งที่ยังนุ่งแค่เกาะอกไม่ได้มีผ้าคลุมอย่างที่ควรจะเป็นจนออกพระรามถึงกับเบือนหน้าหันหนีไปทางอื่นแทบจะทันที ถ้าเธอไม
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม
“เอ่อ...ก็...” พอรู้ตัวก็หลบเลี่ยงสายตาของจหมื่นพันแสงเล็กน้อย ลอบสายตาขึ้นมองออกพระรามที่นิ่งเงียบจ้องมองเธออย่างรอคำตอบที่เธอจะตอบรับจหมื่นพันแสงเช่นกัน“คุณหมื่นยังไม่ได้ตอบคำถามข้าที่ถามก่อนเลยนะเจ้าคะ” หลีกเลี่ยงคำตอบแล้วหันไปถามจหมื่นพันแสงกลับ เมื่อได้ยินอย่างนั้นจหมื่นพันแสงก็ยิ้มหวานออกมารู้ได้ว่าเธอกำลังหลีกเลี่ยงแต่เขาก็เลือกที่จะตอบคำถามของเธอ“ออ...ที่มิบอกกันกงๆ เพราะแม่หญิงผู้นั้นมิอาจเอื้อมถึง หาใช่แม่หญิงที่ควรนึกถึงได้ไม่...ในเมื่อหักใจตัดเสียมิได้...ก็จักเลือกแสดงความรู้สึกผ่านดอกไม้ดอกนั้น หากแม่หญิงผู้นั้นคิดเช่นเดียวกันกับชายผู้ให้ ก็จักเก็บดอกไม้นั้นไว้กับตัว”“อ๋อ รักต้องห้ามสินะ” พริกแกงพยักเข้าใจในทันทีอย่างลืมตัว เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับคำตอบนั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายสมัยก่อนนี้มีความโรแมนติกอยู่ไม่น้อย“แล้วแม่เล่า...จักเก็บดอกปีบนั้นไว้รือจักทิ้งมันไปเสีย?” หันไปถามเธอกลับ พริกแกงมองจหมื่นพันแสงก่อนจะหันไปมองออกพระรามที่มองเธอด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บป
เสร็จงานกฐินหลังจากที่ยกต้นกฐินเข้าโบสถ์ฟังเทศฟังธรรมกันอยู่นั้น พริกแกงที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่นานถึงกับอยู่ไม่สุข ความปวดเมื่อยคลืบคลานเข้ามาจนทำให้เอนตัวไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยนั้น แม้ว่ามือเล็กทั้งสองข้างจะยกขึ้นพนมไหว้รับพรอยู่ก็ตามทีออกพระรามปรายสายตาหันไปทางเธอที่นั่งอยู่ด้านข้างห่างจากเขาเพียงทางเดินกั้น พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็โน้มตัวเข้าไปทางเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงกระซิบ“คุณเจ๊ ข้าขอออกไปด้านนอกก่อนได้ไหมเจ้าคะ? พอดีมันเมื่อยจนขาชาไปหมดแล้ว” ออกพระรามได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้ากลับไปมองที่พระสงฆ์องค์เจ้ากำลังสวดให้พรอยู่“อืม” ตอบออกไปเพียงสั้นๆ แม้ในใจไม่อยากให้เธอหายไปจากสายตาของเขาเสียเท่าไหร่นักถึงอย่างไรเธอก็ไปอยู่ดีหากเขาห้ามก็คงไม่ฟังเมื่อได้รับคำอนุญาตพริกแกงก็ค่อยๆ ลุกคลานถอยหลังออกไปตามทางอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินขากระเพกออกจากโบสถ์ไป เรียกสายตาให้เพื่อนๆ ของออกพระรามหันไปมองแล้วอมยิ้มกลั้นขำไปตามๆ กันออกพระรามทอดถอนหายใจก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาฟังพระสวดต่อ ปรายสายตาเหลือบไปเห็นจหมื่
“คนรัก? ของข้ารือ?” จหมื่นสุนทรทำหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองไปมีคนรักตอนไหน พริกแกงพยักเพยิดหน้าไปทางโบสถ์ก่อนจะเห็นออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินยิ้มหวานกันออกมา“โน่นไงเจ้าคะ มาโน่นแล้ว” จหมื่นสุนทรหันไปตามดวงหน้าที่พยักไป ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างเข้าใจว่าพริกแกงนั้นยังเข้าใจเขากับออกพระรามผิดไปอยู่ แต่จหมื่นสุนทรก็แปลกใจไม่น้อยที่ออกพระรามพาแม่เดือนแรมน้องสาวของจหมื่นพันแสงเข้าไปกราบพระแทนที่จะเป็นพริกแกงคู่หมั้น“มากันแล้วรือ” ออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินมาถึงกลุ่มก้อนเพื่อนของตน ออกพระรามก็เอ่ยทักขึ้นโดยมีแม่เดือนแรมยืนเคียงข้างไม่ห่างกาย ส่วนพริกแกงนั้นยืนอยู่ระหว่างจหมื่นพันแสงและจหมื่นสุนทรเช่นกัน ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็ดูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก“ขอรับออกพระท่าน” ทั้งสามเอ่ยตอบรับ ออกพระรามพยักหน้ายังคงหันไปขมวดคิ้วให้พริกแกงพร้อมถลึงถลนตาเป็นเชิงตักเตือนว่าไม่ควรที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่พริกแกงกลับไม่รู้เพราะไม่เข้าใจที่เข้าต้องการจะสื่อเท่าไหร่“ที่ที่ควรยืนอยู่กลับมิยืน” พูดแล้วหั